Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 พงศาวดาร 23

ดาวิดจัดหน้าที่ให้ชาวเลวี

23 เมื่อดาวิดชราลงมากแล้ว ท่านแต่งตั้งซาโลมอนบุตรชายให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล

ดาวิดนัดประชุมบรรดาหัวหน้าของอิสราเอล ปุโรหิต และชาวเลวี ชาวเลวีที่อายุ 30 ปีขึ้นไปนับจำนวนได้ 38,000 คน ดาวิดกล่าวว่า “ชาวเลวี 24,000 คนจงดูแลงานในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ให้เป็นเจ้าหน้าที่และผู้วินิจฉัย 6,000 คน เป็นนายประตู 4,000 คน เป็นนักดนตรีนมัสการพระผู้เป็นเจ้าด้วยเครื่องดนตรีซึ่งเราได้ทำไว้สำหรับนมัสการ 4,000 คน” และดาวิดจัดบรรดาบุตรของเลวีให้เป็นกลุ่มเป็นกองตามชื่อคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี

เกอร์โชนมีบุตรชื่อ ลาดาน และชิเมอี ลาดานมีบุตร 3 คนชื่อ เยฮีเอลผู้เป็นหัวหน้า เศธาม และโยเอล ชิเมอีมีบุตร 3 คนชื่อ เชโลโมท ฮาซีเอล และฮาราน ชายเหล่านี้เป็นหัวหน้าบรรพบุรุษของลาดาน 10 ชิเมอีมีบุตรชื่อ ยาหาท ศีนา เยอูช และเบรีอาห์ ทั้งสี่คนนี้เป็นบุตรของชิเมอี 11 ยาหาทเป็นหัวหน้า ศีศาห์เป็นคนที่สอง แต่เยอูชและเบรีอาห์มีบุตรไม่มาก ฉะนั้นจึงนับรวมเป็นตระกูลเดียวกัน

12 โคฮาทมีบุตร 4 คนชื่อ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล 13 อัมรามมีบุตรชื่อ อาโรน และโมเสส อาโรนได้รับมอบหมายให้ถวายสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด คือทั้งอาโรนและบุตรของท่านควรมอบเครื่องสักการะ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติรับใช้พระองค์ และกล่าวคำอวยพรในพระนามของพระองค์เป็นนิตย์ 14 โมเสสคนของพระเจ้า มีบรรดาบุตรที่นับได้ว่าอยู่ในเผ่าเลวี 15 โมเสสมีบุตรชื่อ เกอร์โชม และเอลีเอเซอร์ 16 เกอร์โชมมีบุตรชื่อ เชบูเอลผู้เป็นหัวหน้า 17 เอลีเอเซอร์มีบุตรชื่อ เรหับยาห์ผู้เป็นหัวหน้า เอลีเอเซอร์ไม่มีบุตรอื่นอีก แต่เรหับยาห์มีบุตรมาก 18 อิสฮาร์มีบุตรชื่อ เชโลมิทผู้เป็นหัวหน้า 19 เฮโบรนมีบุตรชื่อ เยรียาห์ผู้เป็นหัวหน้า อามาริยาห์ที่สอง ยาฮาซีเอลที่สาม และเยคาเมอัมที่สี่ 20 อุสซีเอลมีบุตรชื่อ มีคาห์ผู้เป็นหัวหน้า และยิชชียาห์คนที่สอง

21 เมรารีมีบุตรชื่อ มัคลี และมูชี มัคลีมีบุตรชื่อ เอเลอาซาร์ และคีช 22 เอเลอาซาร์สิ้นชีวิตโดยไม่มีบุตรชาย แต่มีบุตรหญิงซึ่งแต่งงานกับบรรดาบุตรของคีชญาติของตน 23 มูชีมีบุตร 3 คนชื่อ มัคลี เอเดอร์ และเยเรโมท

24 คนเหล่านี้เป็นบุตรของเลวีตามตระกูลของพวกเขา เป็นหัวหน้าตระกูลตามลำดับชื่อของแต่ละคน อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ที่ต้องปฏิบัติงานในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 25 เพราะดาวิดกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลให้ชนชาติของพระองค์ได้หยุดพัก และพระองค์สถิตในเยรูซาเล็มเป็นนิตย์ 26 ฉะนั้นชาวเลวีไม่จำเป็นต้องแบกหามกระโจมที่พำนักหรือเครื่องใช้ในการปฏิบัติงาน” 27 ตามคำสั่งของดาวิดครั้งสุดท้าย ท่านให้นับจำนวนชาวเลวีที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 28 เพราะว่าพวกเขามีหน้าที่ช่วยบุตรของอาโรนปฏิบัติหน้าที่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการดูแลลานพระตำหนักและห้อง ช่วยชำระสิ่งบริสุทธิ์ทั้งสิ้น และปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างในพระตำหนักของพระเจ้า 29 นอกจากนั้นก็มีหน้าที่ช่วยในเรื่องขนมปังอันบริสุทธิ์ แป้งสำหรับเครื่องธัญญบูชา ขนมปังกรอบไร้เชื้อ ของถวายอบ ของถวายผสมน้ำมัน และดูแลเรื่องการชั่งตวงคุณภาพและขนาดของทุกสิ่ง 30 ทุกเช้า พวกเขาต้องยืนขอบคุณและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ในเวลาเย็นก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน 31 เมื่อใดก็ตามที่เผาสัตว์เป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ในวันสะบาโต วันข้างขึ้น และเทศกาลที่กำหนดไว้ ให้ชาวเลวีทำหน้าที่ตามจำนวนที่ต้องใช้ปฏิบัติงาน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าเป็นประจำ 32 พวกเขาต้องดูแลกระโจมที่นัดหมายและวิสุทธิสถาน และคอยรับใช้บรรดาบุตรของอาโรนพี่น้องของเขา เพื่อรับใช้ที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า

1 เปโตร 4

ใช้ชีวิตเพื่อพระเจ้า

ฉะนั้น ในเมื่อพระคริสต์ถูกทรมานทางร่างกาย ท่านจงมีความคิดอย่างเดียวกัน อันเป็นเสมือนอาวุธป้องกันตัวด้วย เพราะว่าผู้ที่ได้รับทุกข์ทรมานทางร่างกายไม่อยู่ใต้อำนาจบาป ผลที่ได้รับก็คือ จะไม่ใช้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในโลกเพื่อปฏิบัติตามกิเลสของมนุษย์ แต่อยู่เพื่อปฏิบัติตามความประสงค์ของพระเจ้า พวกท่านได้ใช้ชีวิตที่ผ่านมาในสิ่งที่คนนอกเลือกกระทำ คือใช้ชีวิตหมดไปกับความมักมากในกาม กิเลส ดื่มสุราเมามาย เฮฮามั่วสุม ดื่มจนหัวราน้ำ และบูชารูปเคารพอันน่าชัง พวกเขาคงแปลกใจที่ท่านไม่ประพฤติชั่วคล้อยตามความเหลวแหลก และเขาก็ว่าร้ายท่าน แต่พวกเขาจะต้องให้การต่อพระองค์ ซึ่งพร้อมที่จะพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย ด้วยเหตุนี้ข่าวประเสริฐได้ถูกประกาศ แม้แก่ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว และถึงแม้ว่าฝ่ายกายนั้นเขาถูกพิพากษาอย่างเช่นมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่เขาจะได้มีชีวิตฝ่ายวิญญาณตามความประสงค์ของพระเจ้า

การสิ้นสุดของสิ่งทั้งหลายใกล้เข้ามาแล้ว ฉะนั้นจงมีสติสัมปชัญญะ และรู้จักควบคุมตนเองเพื่ออธิษฐาน เหนือสิ่งอื่นใดแล้วท่านจงรักกันและกันอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าความรักให้อภัยบาปมากมายได้ จงต้อนรับกันและกันโดยไม่บ่น 10 ทุกคนควรใช้ของประทานที่ตนได้รับเพื่อรับใช้ผู้อื่น เป็นผู้รับมอบหมายที่ดี โดยการแสดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า 11 ถ้าผู้ใดจะพูด ก็ให้พูดเสมือนเป็นคำที่มาจากพระเจ้า ถ้าผู้ใดรับใช้ก็ควรปฏิบัติด้วยพลังซึ่งพระเจ้าให้ เพื่อว่าในทุกสิ่งที่ท่านกระทำไป พระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญโดยผ่านพระเยซูคริสต์ ขอพระบารมีและอานุภาพจงมีแด่พระองค์ชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน

ทนทุกข์ทรมานเพราะเป็นคริสเตียน

12 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าประหลาดใจกับความทุกข์ที่ท่านรับอย่างแสนสาหัส เสมือนว่าเป็นสิ่งแปลกที่เกิดขึ้นกับท่าน 13 แต่จงชื่นชมยินดีว่าท่านร่วมรับความทุกข์กับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้ร่าเริงใจยิ่งเมื่อพระบารมีของพระองค์มาปรากฏ 14 ถ้าท่านถูกเหยียดหยามเพราะพระนามของพระคริสต์ ท่านก็ได้รับพระพร เพราะพระวิญญาณพระเจ้าอันกอปรด้วยพระสง่าราศีสถิตกับท่าน 15 ถ้าท่านทนทุกข์ทรมาน ก็อย่าให้เป็นเหตุอันเนื่องมาจากฆาตกรรม การลักขโมย เป็นคนชั่วร้าย หรือเป็นคนเข้าไปยุ่งกับกิจธุระของผู้อื่นโดยไม่จำเป็น 16 อย่างไรก็ตามถ้าท่านทนทุกข์ทรมานเพราะว่าท่านเป็นคริสเตียน ก็อย่าได้ละอายใจ แต่จงสรรเสริญพระเจ้าเพราะพระนามนั้น 17 ถึงเวลาที่การพิพากษาจะเริ่มต้นกับครอบครัวของพระเจ้า และถ้าเริ่มต้นกับพวกเราแล้ว ผู้ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะได้รับผลเช่นไร 18 และ

“ถ้ายากสำหรับคนที่มีความชอบธรรมจะได้รับความรอดพ้น
    แล้วคนที่ไร้คุณธรรมกับคนบาปเล่าจะเป็นอย่างไร”[a]

19 ดังนั้นแล้ว เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามความประสงค์ของพระเจ้าและต้องทนทุกข์ทรมาน ก็จงให้ผู้นั้นฝากฝังจิตวิญญาณของเขากับผู้ที่ไว้วางใจได้ คือองค์ผู้สร้างสิ่งทั้งปวง และจงประพฤติดีต่อไปเถิด

มีคาห์ 2

วิบัติจงเกิดแก่ผู้กดขี่ข่มเหง

วิบัติจงเกิดแก่บรรดาผู้ที่วางแผนชั่วร้าย
    และเจตนาทำความชั่วขณะที่นอนอยู่บนเตียง
ทันทีที่ฟ้าสาง พวกเขาก็ดำเนินการ
    เพราะมีอำนาจอยู่ในมือ
พวกเขาโลภอยากได้ที่นาแล้วก็ยึดไป
    อยากได้บ้านเรือนแล้วก็ยึดไป
พวกเขากดขี่ข่มเหงและปล้นเอาบ้านของเขาไป
    บ้านซึ่งเป็นมรดกของเขา

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ดูเถิด เรากำลังวางแผนที่จะทำให้ตระกูลนี้พินาศ
    และเจ้าจะไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้
แล้วเจ้าจะไม่ดำเนินชีวิตด้วยความยโส
    เพราะจะเป็นกาลวิบัติ
ในวันนั้น จะมีคนที่ใช้สุภาษิตถากถางเจ้า
    และเขาจะร้องคร่ำครวญดังนี้ว่า
‘พวกเรายับเยินอย่างสิ้นเชิง
    พระองค์เปลี่ยนส่วนแบ่งซึ่งเป็นของชนชาติของเรา
พระองค์เอาไปจากเราได้อย่างไร
    พระองค์แบ่งที่นาของพวกเราไปให้แก่คนทรยศ’
ฉะนั้น เจ้าจะไม่มีใครสักคนในที่ประชุมของพระผู้เป็นเจ้า
    ที่จะแบ่งที่ดินด้วยการจับฉลาก

พวกเขาเทศนาดังนี้ว่า ‘จงหยุดเทศนา
    ไม่ควรมีใครกล่าวคำเทศนาเรื่องเหล่านี้
    ความอัปยศจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเรา’
โอ พงศ์พันธุ์ของยาโคบเอ๋ย เจ้าควรจะพูดอย่างนี้กันหรือว่า
    พระผู้เป็นเจ้าหมดความอดทนแล้วหรือ
    พระองค์กระทำสิ่งเหล่านี้หรือ’
คำพูดของเราไม่ทำให้เกิดผลดี
    กับคนที่ดำเนินชีวิตด้วยความเที่ยงธรรมหรือ
เมื่อไม่นานมานี้ ชนชาติของเรา
    ได้ลุกขึ้นสู้เหมือนกับว่าเป็นศัตรู
เจ้าริบเสื้อคลุมไปจากบรรดาผู้ที่เดินผ่านมา
    อย่างไม่ระวังตัว
    จากบรรดาผู้ที่กลับมาจากสงคราม
พวกเจ้าขับไล่บรรดาผู้หญิงของชนชาติของเราออกไปจากบ้านอันร่มรื่น
    ของพวกนาง
เจ้าเอาบารมีของเราไปจากลูกๆ
    ของพวกนางไปตลอดกาล
10 จงลุกขึ้นและไปให้พ้น
    เพราะนี่ไม่ใช่ที่พักของพวกเจ้า
เนื่องจากความเป็นมลทิน
    เจ้าจะถูกทำลายจนยับเยิน
11 ถ้าคนใดคนหนึ่งดำเนินชีวิตด้วยการพูดอย่างลมๆ แล้งๆ และโป้ปดว่า
    ‘เราจะเทศนาเรื่องเหล้าองุ่นและสุราแก่เจ้า’
    เขาจะเป็นนักเทศน์ของชนชาตินี้
12 โอ ยาโคบเอ๋ย เราจะรวบรวมพวกเจ้าทุกคนอย่างแน่นอน
    เราจะรวบรวมผู้ที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ของอิสราเอล
เราจะให้พวกเขาเข้ามาอยู่ด้วยกัน
    เหมือนแกะในคอก
เหมือนฝูงแกะในทุ่งหญ้า
    ผู้คนจำนวนมากส่งเสียงเอิกเกริก
13 ผู้ที่ทะลวงทางจะนำหน้าพวกเขาขึ้นไป
    จะพังประตู และออกไปทางนั้น
กษัตริย์ของพวกเขาจะเดินนำพวกเขาออกไป
    พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้นำของพวกเขา”

ลูกา 11

การอธิษฐาน

11 พระเยซูกำลังอธิษฐานในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกคนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า “พระองค์ท่าน ขอได้โปรดสอนพวกข้าพเจ้าอธิษฐานเหมือนกับที่ยอห์นสอนพวกสาวกของเขาเถิด” พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “เมื่อเจ้าอธิษฐาน จงว่า

‘ข้าแต่พระบิดา
ขอพระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาสถิตเถิด
ขอพระองค์ให้อาหารประจำวันแก่พวกเราในแต่ละวัน
ขอพระองค์ยกโทษบาปทั้งปวงให้แก่พวกเรา
    ด้วยว่าพวกเรายกโทษให้แก่ทุกคนที่กระทำบาปต่อเรา
และขอพระองค์นำเราไปให้พ้นจากสิ่งยั่วยุ’”

แล้วพระองค์กล่าวต่อไปอีกว่า “หากคนใดในพวกเจ้าไปหาเพื่อนในเวลาเที่ยงคืน แล้วพูดว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราขอยืมขนมปังสัก 3 ก้อนเถิด เพราะว่าเพื่อนคนหนึ่งของเราเดินทางมาหา แล้วเราไม่มีอะไรที่จะต้อนรับเขา’ คนที่อยู่ข้างในตอบว่า ‘อย่ารบกวนเราเลย ประตูก็ลงกลอนแล้ว ทั้งลูกๆ และเราเองก็เข้านอนแล้ว เราลุกขึ้นหยิบอะไรให้ไม่ได้’ เราขอบอกเจ้าว่า แม้ว่าเขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบขนมปังให้เพราะความเป็นเพื่อน แต่เป็นเพราะความไม่ย่อท้อ เขาก็จะลุกขึ้นและหยิบให้ตามที่เพื่อนต้องการ ฉะนั้นเราขอบอกพวกเจ้าว่า จงขอและเจ้าก็จะได้รับ จงแสวงหาและเจ้าก็จะพบ จงเคาะประตูและประตูก็จะเปิดให้เจ้า 10 เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้รับ คนที่หาก็พบ คนที่เคาะประตู ประตูก็จะเปิด 11 ถ้าลูกของเจ้าขอปลาแล้ว เจ้าผู้เป็นพ่อจะให้งูแทนหรือ 12 ถ้าหากเขาขอไข่แล้วกลับให้แมงป่องแทนหรือ 13 ถ้าเจ้าเองผู้เป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งที่ดีแก่ลูกๆ และยิ่งกว่านั้นขนาดไหนที่พระบิดาในสวรรค์จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอจากพระองค์”

พระเยซูกับเบเอลเซบูล

14 พระเยซูขับไล่มารใบ้ตนหนึ่งออกจากร่างของชายคนหนึ่ง เมื่อมารออกจากร่างแล้ว ชายใบ้จึงพูดได้ และฝูงชนก็ประหลาดใจ 15 บางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ขับไล่พวกมารออกได้โดยใช้เบเอลเซบูลหัวหน้าของพวกมารนั่นเอง” 16 คนอื่นๆ ได้ทดสอบพระองค์ โดยขอให้พระองค์ส่งปรากฏการณ์อัศจรรย์จากสวรรค์ 17 พระเยซูทราบความคิดของคนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า “อาณาจักรใดก็ตามที่แบ่งแยกกันเองก็จะพินาศ และบ้านใดที่แบ่งแยกกันเองก็จะล้มลง 18 ถ้าซาตานแบ่งแยกตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะยืนหยัดได้อย่างไร เราพูดเช่นนี้เพราะท่านยืนยันว่าเราขับไล่พวกมารโดยใช้เบเอลเซบูล 19 ถ้าเราขับมารโดยใช้เบเอลเซบูล แล้วผู้ติดตามของท่านเองล่ะ ใช้ใครในการขับ ฉะนั้นแล้วเขาเหล่านั้นก็เป็นผู้ตัดสินความของท่าน 20 แต่ถ้าเราขับพวกมารโดยการใช้นิ้วของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว 21 เมื่อคนที่แข็งแกร่งถืออาวุธไว้พร้อมเพื่อเฝ้าบ้านของเขา ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย 22 แต่หากมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเข้าจู่โจมและชนะเขา คนนั้นก็ริบอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เขาพึ่งพา แล้วแบ่งปันของที่เขาได้ริบเอาไป 23 ใครที่ไม่เป็นฝ่ายเราก็เป็นฝ่ายค้านเรา และคนที่ไม่เก็บรวบรวมกับเราก็กระจัดกระจายไป

24 เมื่อวิญญาณร้ายออกมาจากคนหนึ่ง มันก็เที่ยวหาที่แล้งเพื่อพำนัก เมื่อไม่พบ มันจึงพูดว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ 25 แต่เมื่อมาถึง ก็กลับพบว่าบ้านนั้นถูกปัดกวาดจนสะอาดเรียบร้อย 26 มันจึงไปเอาพวกวิญญาณอีก 7 ตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าเข้าไปอยู่ในบ้านนั้น ในที่สุดอาการของคนนั้นก็ทรุดหนักลงกว่าเดิม”

27 ขณะที่พระองค์กำลังกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ มีหญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มคนได้ร้องขึ้นว่า “มารดาที่ได้ให้กำเนิดและให้น้ำนมเลี้ยงดูพระองค์ก็เป็นสุข” 28 พระองค์ตอบว่า “ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวของพระเจ้าแล้วปฏิบัติตามต่างหากเล่าจึงเป็นสุข”

ปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์

29 ขณะที่ผู้คนเข้ามาสมทบมากขึ้น พระเยซูกล่าวว่า “คนในช่วงกาลเวลาอันชั่วโฉด เป็นพวกที่แสวงหาปรากฏการณ์อัศจรรย์ แต่จะไม่ได้รับสิ่งใดนอกจากปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์[a] 30 ด้วยว่าโยนาห์ได้เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์กับชาวนีนะเวห์อย่างไร บุตรมนุษย์ก็จะเป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์กับคนในช่วงกาลเวลานี้อย่างนั้น 31 ราชินีแห่งทิศใต้[b]จะลุกผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ด้วยว่าพระนางมาจากปลายฟ้าเพื่อฟังสติปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน และบัดนี้ผู้ที่เหนือกว่ากษัตริย์ซาโลมอนอยู่ที่นี่ 32 ชาวนีนะเวห์จะผงาดขึ้นในวันพิพากษา และกล่าวหาคนในช่วงกาลเวลานี้ ชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเพราะคำประกาศของโยนาห์ และเวลานี้ผู้ที่เหนือกว่าโยนาห์อยู่ที่นี่แล้ว

ดวงตาคือตะเกียงของร่างกาย

33 ไม่มีผู้ใดที่จุดตะเกียงแล้วซ่อนหรือวางไว้ใต้ภาชนะ แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงเพื่อผู้ที่เข้ามาจะได้เห็นแสงสว่าง 34 ดวงตาของเจ้าเป็นเสมือนตะเกียงของร่างกาย เมื่อดวงตาของเจ้าดี ร่างกายของเจ้าก็เต็มด้วยความสว่าง ถ้าดวงตาของเจ้าไม่ดี ร่างกายก็มีแต่ความมืด 35 จงดูให้ดีว่าเจ้ามีความสว่างภายใน ไม่ใช่ความมืด 36 ฉะนั้นถ้าทั่วทั้งร่างกายของเจ้าสว่างและไม่มีส่วนใดเลยที่มืด มันก็จะสว่างตลอดเหมือนเวลาที่แสงของตะเกียงส่องมาที่เจ้า”

วิบัติบังเกิดแก่บรรดาผู้นำทางศาสนา

37 เมื่อพระเยซูกล่าวจบแล้ว ฟาริสีผู้หนึ่งก็ได้เชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา เมื่อไปถึงก็เอนกายลงรับประทาน 38 ฟาริสีรู้สึกประหลาดใจเมื่อสังเกตเห็นว่าพระเยซูไม่ได้ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร 39 พระเยซูเจ้ากล่าวว่า “เอาล่ะ พวกท่านฟาริสีทำความสะอาดถ้วยชามภายนอก แต่ภายในกลับเต็มด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40 เจ้าคนเขลา คนที่สร้างภายนอกไม่ได้สร้างภายในด้วยหรือ 41 จงให้ทานสงเคราะห์ที่เกิดจากใจและทุกสิ่งก็จะสะอาดสำหรับท่าน

42 วิบัติจงเกิดแก่พวกฟาริสี แม้ว่าท่านให้หนึ่งในสิบของสะระแหน่ ขมิ้นและสมุนไพรชนิดอื่นๆ ทุกชนิดแด่พระเจ้า แต่กลับเพิกเฉยต่อความเป็นธรรมและความรักของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ท่านควรกระทำอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ละเลยจำนวนหนึ่งในสิบด้วย 43 วิบัติจงเกิดแก่พวกฟาริสี เพราะท่านชอบที่นั่งสำหรับคนสำคัญที่สุดในศาลาที่ประชุม และชอบให้คนทักทายแสดงความเคารพในย่านตลาด 44 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านเป็นเสมือนหลุมฝังศพที่ไม่มีเครื่องหมายระบุไว้ คนเดินเหยียบไปก็มิอาจทราบได้”

45 คนหนึ่งในจำนวนผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ท่านก็ดูถูกพวกเราด้วย” 46 พระเยซูตอบว่า “และท่านที่เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติ วิบัติก็จงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านให้ผู้คนแบกหามภาระหนัก โดยที่พวกท่านไม่ยอมแม้แต่จะยกนิ้วขึ้นช่วยเขาเลย 47 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน เพราะท่านสร้างถ้ำเก็บศพให้พวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และบรรพบุรุษของท่านนั่นแหละที่ฆ่าพวกเขา 48 ดังนั้นนับได้ว่าท่านเป็นผู้เห็นชอบด้วยกับการกระทำของบรรพบุรุษของท่าน ที่พวกเขาฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และท่านเองก็ได้สร้างถ้ำเก็บศพให้ 49 ด้วยเหตุนี้ และด้วยพระปัญญา พระเจ้ากล่าวว่า ‘เราจะส่งพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและพวกอัครทูตให้คนเหล่านั้น บางคนจะต้องถูกฆ่า บ้างก็จะถูกกดขี่ข่มเหง’ 50 ฉะนั้นคนในช่วงกาลเวลานี้จะต้องรับผิดชอบในหยาดโลหิตทุกหยดของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านที่ได้พลีไว้ ตั้งแต่แรกสร้างโลก 51 นับแต่โลหิตของอาเบล[c] จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์[d] ผู้ถูกสังหารในระหว่างแท่นบูชาและพระตำหนักของพระเจ้า ใช่แล้ว เราขอบอกท่านว่า คนในช่วงกาลเวลานี้จะต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ 52 วิบัติจงเกิดแก่ท่านผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติ เพราะท่านได้เอากุญแจแห่งความรู้ไปเสีย ท่านเองยังไม่ได้เข้าไปและยังขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นก้าวเข้าไปเสียด้วย”

53 เมื่อพระเยซูเดินออกไป พวกฟาริสีและพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติเริ่มกลุ้มรุมพระองค์ และกระตุ้นให้พระองค์พูดต่อไปอีกหลายเรื่อง 54 เพื่อคอยเฝ้าจับผิดจากคำพูดของพระองค์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation