M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดรับเจิมเป็นกษัตริย์
11 ต่อจากนั้น ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็มาหาดาวิดที่เฮโบรน และพูดว่า “ดูเถิด พวกเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน 2 ที่ผ่านมา แม้เมื่อซาอูลเป็นกษัตริย์ปกครอง ดาวิดเป็นผู้ที่นำทัพอิสราเอลออกไปและนำกลับเข้ามา และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกล่าวกับท่านว่า ‘เจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงดูอิสราเอลชนชาติของเรา และเจ้าจะเป็นผู้นำของอิสราเอลชนชาติของเรา’”[a] 3 เมื่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาหากษัตริย์ที่เฮโบรน ดาวิดทำพันธสัญญากับเขาเหล่านั้นที่เฮโบรน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และเขาทั้งปวงเจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านซามูเอลไว้แล้ว
ดาวิดยึดเยรูซาเล็ม
4 ดาวิดและชาวอิสราเอลทั้งปวงไปยังเยรูซาเล็ม ชื่อเดิมคือเยบุส ซึ่งชาวเยบุสอาศัยอยู่ เป็นผู้อยู่อาศัยของเขตแดนนั้น 5 ผู้อยู่อาศัยของเยบุสพูดกับดาวิดว่า “ท่านเข้ามาที่นี่ไม่ได้” อย่างไรก็ตาม ดาวิดยึดป้อมปราการอันแข็งแกร่งของศิโยนได้ซึ่งเรียกว่า เมืองของดาวิด 6 ดาวิดพูดว่า “ใครก็ตามที่จะโจมตีชาวเยบุสได้เป็นคนแรก ก็จะเป็นหัวหน้าและผู้บัญชาการ” โยอาบบุตรของนางเศรุยาห์บุกไปโจมตีเป็นคนแรก ดังนั้นเขาจึงได้เป็นหัวหน้า 7 และดาวิดอาศัยอยู่ในป้อมปราการอันแข็งแกร่ง ฉะนั้นจึงเรียกเมืองนั้นว่า เมืองของดาวิด 8 ท่านสร้างเมืองให้กว้างใหญ่ขึ้นโดยรอบ โดยเริ่มจากมิลโล[b]ขยับเข้าไปถึงกำแพงเมืองโดยรอบ และโยอาบซ่อมแซมเมืองส่วนที่เหลือ 9 และดาวิดเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้น เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาสถิตกับท่าน
ทหารกล้าของดาวิด
10 เหล่าหัวหน้าของทหารกล้าของดาวิด เป็นผู้ที่ช่วยสนับสนุนท่านอย่างเต็มกำลังในอาณาจักรของท่าน ร่วมกับอิสราเอลทั้งปวง เพื่อเชิญท่านให้เป็นกษัตริย์ ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับอิสราเอล 11 รายชื่อทหารกล้าของดาวิดคือ ยาโชเบอัมชาวฮัคโมนีเป็นหัวหน้าของทหารกล้าทั้งสาม เขาพุ่งหอกสู้รบกับคน 300 คน และฆ่าได้หมดสิ้นในศึกเดียว
12 คนรองจากเขาในกลุ่มทหารกล้าทั้งสามคือ เอเลอาซาร์บุตรของโดโดชาวอาโคค 13 เขาอยู่กับดาวิดที่ปัสดัมมิมเมื่อชาวฟีลิสเตียรวมตัวกันรบในสงคราม มีผืนดินแห่งหนึ่งมีข้าวบาร์เลย์เต็มไปหมด และบรรดาทหารต่างก็หนีชาวฟีลิสเตียไป 14 แต่เขากับดาวิดได้ยืนหยัดอยู่บนที่ดินผืนนั้น และป้องกันที่ดินไว้ ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย และพระผู้เป็นเจ้าช่วยพวกเขาด้วยชัยชนะครั้งใหญ่
15 มีทหาร 3 คนในบรรดาหัวหน้าทหารกล้า 30 คนลงมาหาดาวิดที่ถ้ำที่อดุลลาม พอดีกับที่ชาวฟีลิสเตียกลุ่มหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 16 ขณะนั้นดาวิดอยู่ในที่หลบภัย และทางข้ามที่เนินเขาของชาวฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 17 ดาวิดกล่าวด้วยความปรารถนายิ่งนักว่า “โอ อยากให้ใครสักคนเอาน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮมมาให้เราดื่ม” 18 ทหารกล้าทั้งสามจึงแหกค่ายของชาวฟีลิสเตีย และตักน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮม นำมาให้ดาวิด แต่ท่านไม่ยอมดื่มน้ำนั้น ท่านกลับเทถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 19 และกล่าวว่า “ไม่มีวันที่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนี้ต่อหน้าพระเจ้าของข้าพเจ้า สมควรหรือที่ข้าพเจ้าจะดื่มโลหิตจากชีวิตของทหารเหล่านี้ เพราะว่าพวกเขาเสี่ยงชีวิตไปเอาน้ำมา” ฉะนั้นท่านจึงไม่ยอมดื่มน้ำนั้น นี่แหละเป็นสิ่งที่ทหารกล้าทั้งสามกระทำ
20 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบ เป็นหัวหน้าของทหารทั้งสามสิบ เขาพุ่งหอกสู้กับ 300 คน และฆ่าพวกเขาได้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารทั้งสาม 21 เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดในหมู่ทหารทั้งสามสิบ และได้เป็นผู้บังคับกองพันทหารของกลุ่ม แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม
22 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาเป็นชายผู้กล้าหาญคนหนึ่งของเมืองขับเซเอล และเป็นคนปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่ เขาฆ่าบุตรทั้งสองของอารีเอลแห่งโมอับ[c] และเขาลงไปฆ่าสิงโตในหลุมลึกในวันที่หิมะตกด้วย 23 เขาฆ่าชาวอียิปต์รูปงามคนหนึ่งสูง 5 ศอก ชาวอียิปต์นั้นถือหอกเหมือนไม้กระพั่นของคนทอผ้า แต่เบไนยาห์ถือไม้ตะบองลงไปโจมตีเขา และยึดหอกออกจากมือของชาวอียิปต์ได้ และฆ่าเขาด้วยหอกของเขาเอง 24 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดากระทำสิ่งเหล่านี้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารกล้าทั้งสาม 25 เขาเป็นที่รู้จักในหมู่ทหารทั้งสามสิบ แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม และดาวิดแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าองครักษ์
26 เหล่าทหารกล้ามีอาสาเฮลน้องชายของโยอาบ เอลฮานันบุตรของโดโดชาวเบธเลเฮม 27 ชัมโมทแห่งฮาโรด เฮเลสชาวเปโลน 28 อิราบุตรของอิกเขชแห่งเมืองเทโคอา อาบีเอเซอร์แห่งเมืองอานาโธท 29 สิบเบคัยชาวหุชาห์ อิลัยชาวอาโคค 30 มาหะรัยแห่งเนโทฟาห์ เฮเลดบุตรของบาอานาห์แห่งเนโทฟาห์ 31 อิททัยบุตรของรีบัยแห่งกิเบอาห์เชื้อสายของเบนยามิน เบไนยาห์แห่งปิราโธน 32 หุรัยแห่งลำธารกาอัช อาบีเอลชาวอาร์บัท 33 อัสมาเวทชาวบาฮารุม อาลียาบาชาวชาอัลโบน 34 ฮาเชมชาวกิโซน โยนาธานบุตรของชากีชาวฮาราร์ 35 อาหิอัมบุตรของสาคาร์ชาวฮาราร์ เอลีฟัลบุตรของเออร์ 36 เฮเฟอร์ชาวเมเคราธ อาหิยาห์ชาวเปโลน 37 เฮสโรชาวคาร์เมล นาอารัยบุตรของเอสบัย 38 โยเอลน้องของนาธาน มิบฮาร์บุตรของฮากรี 39 เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยแห่งเบเอโรท คนถืออาวุธของโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ 40 อิราชาวอิท กาเรบชาวอิท 41 อุรียาห์ชาวฮิต[d] ศาบาดบุตรของอัคลัย 42 อาดีนาบุตรของชิซาชาวรูเบน ซึ่งเป็นผู้นำของชาวรูเบน และทหารทั้งสามสิบที่อยู่กับเขา 43 ฮานานบุตรของมาอาคาห์ และโยชาฟัทชาวมิท 44 อุสซียาชาวอัชเทราธ ชามาและเยอีเอลบุตรของโฮธามชาวอาโรเออร์ 45 เยดียาเอลบุตรของชิมรี และโยฮาน้องของเขาชาวทิซ 46 เอลีเอลชาวมาหาบ เยรีบัยและโยชาวิยาห์บุตรของเอลนาอัม อิทมาห์ชาวโมอับ 47 เอลีเอล โอเบด และยาอาซีเอลชาวมาโซบัย[e]
ทหารกล้ากับดาวิด
12 มีพวกผู้ชายที่มาหาดาวิดที่ศิกลาก[f] ในเวลาที่ท่านไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระเนื่องจากซาอูลบุตรของคีช ชายเหล่านี้อยู่ในกลุ่มทหารกล้าที่ช่วยท่านในการสู้รบ 2 พวกเขาเป็นนักธนู สามารถยิงธนูและถนัดใช้สลิงเหวี่ยงก้อนหินได้ทั้งมือขวาและมือซ้าย เป็นชาวเบนยามินญาติของซาอูล 3 อาหิเยเซอร์ซึ่งเป็นหัวหน้า และโยอาช ทั้งสองเป็นบุตรของเช-มาอาห์ชาวกิเบอาห์ เยซีเอล และเปเลธ บุตรของอัสมาเวท เบ-ราคาห์ เยฮูชาวอานาโธท 4 อิชมัยยาห์ชาวกิเบโอนเป็นทหารกล้าผู้หนึ่งในกลุ่มทหารทั้งสามสิบ และเป็นผู้นำของกลุ่ม เยเรมีย์ ยาฮาซีเอล โยฮานาน โยซาบาดแห่งเกเดราห์ 5 เอลูซัย เยรีโมท เบอัลลิยาห์ เช-มาริยาห์ เชฟาทิยาห์ชาวฮารูฟ 6 เอลคานาห์ ยิชชียาห์ อาซาร์เอล โยเอเซอร์ และยาโชเบอัมชาวโคราห์ 7 โยเอลาห์ และเศบาดิยาห์ บุตรของเยโรฮัมแห่งเกโดร์
8 ชาวกาดบางคนหนีไปหาดาวิดยังที่หลบภัยในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเป็นนักรบผู้เก่งกล้าและช่ำชอง เชี่ยวชาญในการใช้โล่และหอก มีใบหน้าเหมือนหน้าสิงโต เคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างกับละองละมั่งบนภูเขา 9 เอเซอร์เป็นหัวหน้า โอบาดีห์ที่สอง เอลีอับที่สาม 10 มิชมันนาห์ที่สี่ เยเรมีย์ที่ห้า 11 อัททัยที่หก เอลีเอลที่เจ็ด 12 โยฮานานที่แปด เอลซาบาดที่เก้า 13 เยเรมีย์ที่สิบ มัคบันนัยที่สิบเอ็ด 14 ชาวกาดเหล่านี้เป็นผู้บัญชากองทัพ คนด้อยสุดของพวกเขาคนเดียวก็จะสู้ได้กับ 100 คน และคนเก่งสุดก็จะสู้ได้กับ 1,000 คน 15 ผู้ชายเหล่านี้แหละที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนในเดือนแรก เมื่อน้ำท่วมฝั่งทุกแห่ง และพวกเขาทำให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาหนีเตลิดไปทั้งทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
16 ผู้ชายจากเผ่าเบนยามินและเผ่ายูดาห์บางคนไปหาดาวิดที่ป้อมปราการอันแข็งแกร่ง 17 ดาวิดออกไปพบพวกเขา และพูดว่า “ถ้าพวกท่านมาหาเราอย่างสันติเพื่อช่วยเรา ใจของเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน แต่ถ้ามาเพื่อจะทรยศเราให้กับศัตรูของเรา แม้ว่ามือของเราบริสุทธิ์ ก็ขอให้พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราเห็นและห้ามท่านไว้เถิด”
18 ครั้นแล้วอามาสัยหัวหน้าของทหารทั้งสามสิบก็เปี่ยมด้วยพระวิญญาณ และพูดว่า
“โอ ท่านดาวิด พวกเราเป็นของท่าน
โอ บุตรของเจสซี พวกเราอยู่กับท่าน
สันติภาพ สันติภาพจงมีแก่ท่าน
และสันติภาพจงมีแก่ผู้ช่วยของท่าน
เพราะว่าพระเจ้าของท่านช่วยท่าน”
และดาวิดก็รับพวกเขาไว้ และแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองทหารของท่าน
19 ผู้ชายบางคนจากเผ่ามนัสเสห์หนีไปเป็นพวกของดาวิด เมื่อเขามากับพวกฟีลิสเตีย และไปสู้รบกับซาอูล (แต่ดาวิดกับพรรคพวกไม่ได้ช่วยพวกฟีลิสเตีย เพราะหลังจากที่บรรดาผู้นำของฟีลิสเตียปรึกษากันแล้ว ก็ให้ดาวิดกลับไป พวกเขาพูดว่า “ถ้าหากว่าดาวิดหันไปเข้าข้างซาอูลเจ้านายของเขา พวกเราต้องหัวหลุดจากบ่าแน่”) 20 ขณะที่ดาวิดกลับไปยังศิกลาก ชายชาวมนัสเสห์เหล่านี้หนีไปเป็นพวกของท่าน ตามรายชื่อดังต่อไปนี้ อัดนาห์ โยซาบาด เยดียาเอล มีคาเอล โยซาบาด เอลีฮู และศิลเลธัย พวกเขาแต่ละคนนำทหารจำนวน 1,000 คนจากเผ่ามนัสเสห์ 21 พวกเขาช่วยดาวิดสู้กับกลุ่มปล้นได้ เพราะล้วนแต่เป็นนักรบผู้กล้าหาญและเป็นผู้บัญชากองพัน 22 แต่ละวันก็มีผู้ชายที่เข้ามาช่วยดาวิด จนกระทั่งเป็นกองทัพใหญ่ เหมือนกองทัพของพระเจ้า
23 จำนวนทหารที่มาหาดาวิดในเฮโบรนมีอาวุธพร้อมที่จะสู้รบ เพื่อมอบอาณาจักรของซาอูลให้แก่ท่าน ตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า[g] 24 ชายชาวยูดาห์ถือโล่และหอกมี 6,800 คนที่มีอาวุธพร้อม 25 จากชาวสิเมโอน มีนักรบผู้กล้าหาญพร้อมที่จะสู้รบ 7,100 คน 26 จากชาวเลวี 4,600 คน 27 เยโฮยาดาหัวหน้าตระกูลอาโรนมีชาย 3,700 คนอยู่กับเขา 28 ศาโดกนักรบหนุ่มผู้กล้าหาญมีผู้บัญชาการจากตระกูลของเขา 22 คน 29 จากชาวเบนยามินญาติของซาอูล 3,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เคยสัตย์ซื่อต่อพงศ์พันธุ์ของซาอูลจนกระทั่งเวลานั้น 30 จากชาวเอฟราอิม มีนักรบผู้กล้าหาญที่มีชื่อในตระกูลของพวกเขา 20,800 คน 31 จากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ 18,000 คนที่มีชื่อเจาะจง ให้มาเชิญดาวิดไปเป็นกษัตริย์ 32 จากเผ่าอิสสาคาร์ คือบรรดาผู้ที่เข้าใจว่าอิสราเอลควรจะทำสิ่งอันควรอย่างไรในเวลาใด มีผู้นำ 200 คนพร้อมด้วยญาติทั้งสิ้นที่อยู่ใต้บัญชาของพวกเขา 33 จากเผ่าเศบูลุน 50,000 คนที่เป็นทหารชำนาญศึก พร้อมรบด้วยอาวุธสงครามทุกชนิด เพื่อช่วยดาวิดอย่างสัตย์ซื่อ 34 จากเผ่านัฟทาลี เป็นผู้บัญชา 1,000 คน พร้อมกับทหารใช้โล่และหอก 37,000 คน 35 จากชาวดาน 28,600 คนที่พร้อมรบ 36 จากเผ่าอาเชอร์ 40,000 คนที่เป็นทหารชำนาญศึก 37 ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน มี 120,000 คนจากชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ ที่พร้อมรบด้วยอาวุธสงครามทุกชนิด
38 นักรบเหล่านี้กล้าหาญทุกคน และมายังเฮโบรนด้วยความตั้งใจที่จะเชิญดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล ชาวอิสราเอลทุกคนที่เหลืออยู่ก็มีความมุ่งมั่นพร้อมเพรียงกัน เพื่อเชิญดาวิดให้เป็นกษัตริย์ด้วย 39 ชายเหล่านั้นดื่มกินอยู่กับดาวิดเป็นเวลา 3 วัน เพราะว่าพี่น้องเตรียมเสบียงให้ 40 และคนใกล้ชิดของพวกเขามาจากแดนไกลเช่น อิสสาคาร์ เศบูลุน และนัฟทาลี ได้นำอาหารบรรทุกบนลา อูฐ ล่อ และโค จัดเสบียงแป้งสาลี มะเดื่อแห้ง พวงองุ่นแห้ง เหล้าองุ่น น้ำมัน โค และแกะอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะว่ามีความยินดีปรีดาในอิสราเอล
เครื่องสักการะอันเป็นที่พอใจของพระเจ้า
13 จงรักกันฉันพี่น้องเสมอไป 2 อย่าละเลยที่จะแสดงการต้อนรับคนแปลกหน้า เพราะว่าการกระทำเช่นนี้บางคนได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว 3 จงระลึกถึงคนที่ถูกจำขังเหมือนกับว่าท่านอยู่ในคุกด้วยกันกับพวกเขา และระลึกถึงคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงเหมือนกับว่าท่านเองทนทุกข์ด้วย 4 จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และจงให้เตียงสมรสปราศจากมลทิน เพราะพระเจ้าจะกล่าวโทษผู้ประพฤติผิดทางเพศและผู้ผิดประเวณี 5 อย่าให้ชีวิตของท่านตกเป็นทาสของความรักเงิน จงพอใจกับสิ่งที่ท่านมี เพราะพระองค์เองกล่าวว่า “ไม่มีวันที่เราจะจากหรือทอดทิ้งเจ้าไป”[a] 6 ดังนั้นพวกเราพูดด้วยความมั่นใจได้ว่า
“พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นกลัว
มนุษย์จะทำอะไรต่อข้าพเจ้าได้หรือ”[b]
7 จงระลึกถึงเหล่าผู้นำของท่านที่ประกาศคำกล่าวของพระเจ้าแก่ท่าน จงพิจารณาดูผลที่เกิดจากความประพฤติของเขา และจงทำตามอย่างความเชื่อของเขา 8 พระเยซูคริสต์เป็นเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และตลอดไป 9 อย่ายอมให้การสั่งสอนแปลกๆ สารพันอย่างนำท่านไปในทางที่ผิด จะเป็นการดีถ้ากำลังใจของเราดีขึ้นได้โดยพระคุณ ไม่ใช่โดยอาหารที่กินตามกฎเกณฑ์ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่พวกที่ถือตามเลย 10 พวกเรามีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง และบรรดาผู้รับใช้ที่กระโจมไม่มีสิทธิ์รับประทานของจากแท่นนั้นได้ 11 หัวหน้ามหาปุโรหิตนำเลือดสัตว์เข้าไปในอภิสุทธิสถานเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป แต่ร่างของสัตว์ถูกเผาที่นอกค่าย 12 และพระเยซูก็ทนทุกข์ทรมานอยู่นอกเขตประตูเมืองด้วย เพื่อให้คนทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ได้โดยโลหิตของพระองค์เอง 13 ขอให้พวกเราออกไปหาพระองค์ที่นอกค่ายเถิด เพื่อทนกับความเหยียดหยามที่พระองค์รับ 14 ด้วยว่า ณ ที่นี้ พวกเราไม่มีเมืองอันถาวร แต่เรากำลังแสวงหาเมืองที่จะมีในภายหน้า 15 ฉะนั้นขอให้เราถวายเครื่องสักการะแห่งการสรรเสริญแด่พระเจ้าโดยผ่านพระเยซูต่อไปเถิด คือเครื่องถวายจากริมฝีปากที่สารภาพรับพระนามของพระองค์ 16 อย่าลืมกระทำความดีและแบ่งปันให้แก่กันและกัน เพราะพระเจ้าพอใจกับเครื่องสักการะแบบนั้น
17 จงเชื่อฟังและยอมอยู่ใต้อำนาจของเหล่าผู้นำของท่าน เพราะเขาห่วงใยและดูแลท่านอยู่เสมอ และต้องรายงานความรับผิดชอบของเขา จงเชื่อฟังเขา เพื่อเขาจะได้ยินดีในการทำงาน มิฉะนั้นจะกลายเป็นภาระกับเขา และท่านจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
18 จงอธิษฐานเพื่อเรา พวกเราแน่ใจว่าเรามีมโนธรรมที่ดี ต้องการประพฤติสิ่งที่ดีงามทุกอย่าง 19 ข้าพเจ้าขอด้วยความจริงใจให้พวกท่านอธิษฐาน เพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้มาหาท่านในไม่ช้า
คำลงท้าย
20 ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้โปรดให้พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ยิ่งใหญ่ และฟื้นขึ้นจากความตายโดยโลหิตแห่งพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์ 21 ช่วยให้ท่านพร้อมเสมอที่จะประพฤติตามความประสงค์ของพระองค์ และสำแดงการกระทำในหมู่เราตามความพอใจของพระองค์โดยผ่านพระเยซูคริสต์ ขอพระบารมีจงมีแด่พระองค์ชั่วนิรันดร์กาลเถิด อาเมน
22 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอดทนฟังคำเตือนที่ให้กำลังใจท่าน ด้วยว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่านอย่างสั้นๆ เท่านั้น 23 จงทราบไว้ด้วยว่าทิโมธีน้องชายของเราได้รับการปลดปล่อยแล้ว ถ้าเขามาถึงทันเวลา เขาก็จะมาหาท่านด้วยกันกับข้าพเจ้า 24 ช่วยฝากความคิดถึงมายังเหล่าผู้นำของท่าน และผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน บรรดาผู้ที่มาจากประเทศอิตาลีฝากความคิดถึงมาด้วย
25 ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทุกคนเถิด
เตือนด้วยภาพนิมิต
7 นี่คือภาพที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้าแลเห็น พระองค์บันดาลให้มีฝูงตั๊กแตนขึ้นมาขณะที่หญ้าเพิ่งจะเริ่มงอกครั้งต่อไป ดูเถิด เป็นหญ้าที่งอกครั้งต่อไปหลังจากที่ให้ตัดหญ้าของกษัตริย์แล้ว[a] 2 เมื่อฝูงตั๊กแตนกัดกินหญ้าบนแผ่นดินจนเกลี้ยงแล้ว ข้าพเจ้าพูดว่า
“โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดยกโทษด้วยเถิด
พงศ์พันธุ์ยาโคบจะรอดได้อย่างไร
เขาเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย”
3 พระผู้เป็นเจ้าเปลี่ยนใจในเรื่องนี้
พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวดังนี้ว่า
“จะไม่ให้เป็นไปตามนั้น”
4 นี่คือภาพที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ให้ข้าพเจ้าแลเห็น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กำลังจะลงโทษด้วยไฟ ซึ่งทำให้ห้วงน้ำลึกเหือดแห้งและลามไหม้ถึงพื้นแผ่นดิน 5 ข้าพเจ้าจึงพูดดังนี้ว่า
“โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดหยุดกระทำเถิด
พงศ์พันธุ์ยาโคบจะรอดได้อย่างไร
เขาเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย”
6 พระผู้เป็นเจ้าเปลี่ยนใจในเรื่องนี้
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จึงกล่าวดังนี้ว่า
“จะไม่ให้เป็นไปตามนั้นก็แล้วกัน”
7 นี่คือภาพที่พระองค์ให้ข้าพเจ้าแลเห็น พระผู้เป็นเจ้ายืนข้างกำแพงที่ใช้สายดิ่งในการก่อสร้าง และสายดิ่งอยู่ในมือของพระองค์ 8 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “อาโมส เจ้ามองเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “สายดิ่ง” พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวดังนี้
“ดูเถิด เรากำลังตั้งสายดิ่งเป็นมาตรฐานการวัด
ท่ามกลางอิสราเอลชนชาติของเรา
เราจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้อีกต่อไป
9 สถานบูชาบนภูเขาสูงของอิสอัคจะถูกทำลาย
และสถานที่บูชาต่างๆ ของอิสราเอลจะถูกพังทลายสิ้น
และเราจะทำให้พงศ์พันธุ์ของกษัตริย์เยโรโบอัมแพ้สงคราม”
อาโมสถูกกล่าวหา
10 อามาซิยาห์ปุโรหิตของเบธเอลจึงส่งสาสน์ถึงกษัตริย์เยโรโบอัมกษัตริย์ของอิสราเอล มีใจความดังนี้ว่า “อาโมสได้วางแผนที่จะทำร้ายท่านในท่ามกลางพงศ์พันธุ์อิสราเอล แผ่นดินไม่สามารถทนต่อคำพูดของเขาได้ 11 เพราะอาโมสได้พูดไว้ว่า
‘เยโรโบอัมจะตายด้วยคมดาบ
และอิสราเอลจะถูกเนรเทศ
ไปจากแผ่นดินของตน’”
12 อามาซิยาห์พูดกับอาโมสดังนี้ว่า “โอ ผู้รู้จงไป หนีไปยังแผ่นดินแห่งยูดาห์ ไปหาอาหารรับประทาน และเผยคำกล่าวที่นั่นได้แล้ว 13 อย่าเผยคำกล่าวในเบธเอลอีกต่อไป เพราะที่นี่เป็นสถานที่พำนักของกษัตริย์ และเป็นวิหารของอาณาจักร”
14 อาโมสตอบอามาซิยาห์ดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และไม่ใช่บุตรของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเช่นกัน แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ และข้าพเจ้าดูแลต้นมะเดื่อ 15 แต่พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าเลิกเฝ้าฝูงแกะ และกล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า ‘จงไปเผยคำกล่าวแก่อิสราเอลชนชาติของเรา’ 16 บัดนี้ จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ท่านพูดว่า
‘อย่าเผยคำกล่าวต่อต้านอิสราเอล
และหยุดเทศนาต่อว่าพงศ์พันธุ์อิสอัค’
17 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
‘ภรรยาของเจ้าจะเป็นโสเภณีในเมือง
บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าจะตายด้วยคมดาบ
แผ่นดินของเจ้าจะถูกแบ่งแยกด้วยสายดิ่ง
ตัวเจ้าเองจะตายในแผ่นดินที่เป็นมลทิน
และอิสราเอลจะถูกเนรเทศไปจากแผ่นดินอย่างแน่นอน’”
การเกิดของพระเยซู
2 ในครั้งนั้นซีซาร์ออกัสตัส[a]ได้ออกคำสั่งให้ประชาชนไปจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วราชอาณาจักรโรมัน[b] 2 และเป็นครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนขณะที่คีรินิอัสเป็นผู้ว่าราชการแคว้นซีเรีย 3 ทุกคนก็เตรียมพร้อมที่จะไปจดทะเบียนยังเมืองของตน
4 โยเซฟก็เดินทางไปเช่นกัน เขาออกจากเมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิด ซึ่งเรียกว่าเบธเลเฮมในแคว้นยูเดีย เพราะเขาสืบเชื้อสายจากราชวงศ์ดาวิด 5 เพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัวกับมารีย์คู่หมั้นซึ่งกำลังตั้งครรภ์อยู่ 6 ขณะที่อยู่ในเมืองนั้นมารีย์ก็ครบกำหนดคลอด 7 ทั้งสองไม่อาจหาห้องว่างได้แม้แต่ห้องเดียวจากโรงแรมทั่วไป นางได้ให้กำเนิดบุตรชายหัวปี และใช้ผ้าพันไว้แล้ววางในรางหญ้า
ทูตสวรรค์ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ
8 ในแถบเดียวกันนั้นเองมีคนเลี้ยงแกะกำลังเฝ้าฝูงแกะอยู่ในทุ่งนายามราตรี 9 ในทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะเหล่านั้น แสงอันรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบพวกเขา จึงทำให้เขาตกใจกลัวอย่างยิ่ง 10 ทูตสวรรค์กล่าวกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เรานำข่าวอันประเสริฐที่น่ายินดียิ่งมาให้ทุกท่าน 11 ด้วยว่าวันนี้องค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นได้กำเนิดขึ้นแล้วในเมืองของดาวิด พระองค์คือพระคริสต์[c] องค์พระผู้เป็นเจ้า 12 สัญลักษณ์สำคัญที่จะทำให้ท่านทราบได้คือ ท่านจะพบว่าทารกนั้นห่อหุ้มด้วยผ้านอนอยู่ในรางหญ้า” 13 ในทันใดนั้น ชาวสวรรค์กลุ่มใหญ่ก็ได้ปรากฏขึ้นใกล้ๆ ทูตสวรรค์องค์นั้น และได้ร่วมกล่าวสรรเสริญพระเจ้าว่า
14 “ขอพระบารมีจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด
และสันติสุขจงบังเกิดท่ามกลางมวลมนุษย์ในโลกที่พระองค์โปรด”
15 แล้วทูตสวรรค์เหล่านั้นก็จากคนเลี้ยงแกะคืนสู่สวรรค์ คนเลี้ยงแกะพูดกันเองว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นเราเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮมกันเถิด จะได้เห็นว่าสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าบอกแก่เราได้บังเกิดขึ้นจริง” 16 หมู่คนเลี้ยงแกะจึงได้รีบเดินทางมาพบกับมารีย์ โยเซฟ และทารกน้อยที่นอนอยู่ในรางหญ้า 17 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ก็ได้เล่าเรื่องที่ทูตสวรรค์บอกเกี่ยวกับทารกน้อยนี้ 18 ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ประหลาดใจกับเรื่องราวที่คนเลี้ยงแกะเหล่านั้นบอกแก่เขา 19 แต่ว่ามารีย์เองได้ระลึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ในความทรงจำ และครุ่นคิดในใจ 20 และคนเลี้ยงแกะก็กลับออกไป พลางยกย่องและสรรเสริญพระเจ้าที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นทุกสิ่ง ตามที่พวกเขาได้รับฟังคำบอกไว้
21 เมื่อครบ 8 วันก็ได้เวลาเข้าสุหนัต พระองค์ได้รับนามว่า เยซู ซึ่งเป็นชื่อที่ทูตสวรรค์ให้ไว้กับมารีย์เมื่อก่อนตั้งครรภ์
โยเซฟและมารีย์มอบพระเยซูแด่พระผู้เป็นเจ้า
22 เมื่อครบกำหนดเวลาที่จะทำพิธีชำระตัวตามหมวดกฎบัญญัติของโมเสสแล้ว[d] โยเซฟและมารีย์ก็นำพระองค์ไปยังเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อมอบแด่พระผู้เป็นเจ้า 23 ตามที่มีบันทึกไว้ในกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าว่า “บุตรชายคนแรกทุกคนจะนับว่าเป็นบุตรที่ถวายให้แด่พระผู้เป็นเจ้า”[e] 24 และเขายังได้ถวายเครื่องสักการะตามกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอันได้แก่ “นกเขา 1 คู่ หรือนกพิราบหนุ่ม 2 ตัว”[f] 25 ในเมืองเยรูซาเล็มมีชายผู้หนึ่งชื่อ สิเมโอน ซึ่งเป็นคนที่มีความชอบธรรมทั้งยังเชื่อในพระเจ้ามาก เขารอคอยวันที่ชาวอิสราเอลจะรอดพ้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตกับเขาด้วย 26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เผยให้สิเมโอนทราบว่า เขาจะได้เห็นพระคริสต์ของพระผู้เป็นเจ้า ก่อนที่เขาจะตาย 27 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้นำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่บิดามารดานำพระเยซูมาเข้าพิธีตามกฎบัญญัติ 28 สิเมโอนจึงรับพระองค์มาไว้ในอ้อมแขนและกล่าวสรรเสริญพระเจ้าว่า
29 “พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุด ขอพระองค์ให้ข้าพเจ้า
ผู้เป็นผู้รับใช้ไปอย่างสันติสุขเถิด ตามที่ได้สัญญาไว้
30 เพราะว่าตาของข้าพเจ้าได้เห็นความรอดพ้นที่มาจากพระองค์
31 ซึ่งพระองค์ได้จัดเตรียมไว้ที่ตรงหน้าคนทั้งปวงแล้ว
32 เป็นแสงสว่างให้บรรดาคนนอกได้รู้เห็นชัด[g]
และเพื่อเป็นบารมีแก่อิสราเอล ซึ่งเป็นชนชาติของพระองค์”
33 บิดามารดาของพระเยซูต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินคำที่สิเมโอนกล่าวอ้างถึงพระองค์เช่นนั้น 34 หลังจากสิเมโอนอวยพรทั้งสองแล้วก็ได้กล่าวกับมารีย์มารดาของพระองค์ว่า “ดูเถิด เด็กผู้นี้ได้รับมอบหมายให้เป็นเหตุของการล้มลงและลุกขึ้นของคนจำนวนมากในอิสราเอล และเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ผู้คนจะต่อต้าน 35 เพื่อว่าความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะปรากฏชัด และความโศกเศร้าดั่งคมดาบจะทิ่มแทงจิตใจของท่าน มารีย์”
36 ยังมีหญิงชราผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าคนหนึ่งชื่ออันนา นางเป็นบุตรีของฟานูเอลเผ่าอาเชอร์ นางสมรสอยู่กินกับสามีได้เพียง 7 ปี 37 และก็เป็นม่ายมาจนอายุได้ 84 ปี นางไม่เคยย่างกรายออกจากพระวิหารเลย อันนาใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนนมัสการ อดอาหาร และอธิษฐาน 38 ขณะนั้นนางได้เดินเข้ามาหาและกล่าวขอบคุณพระเจ้า แล้วนางก็พูดถึงพระองค์ให้คนทั้งหลายที่เฝ้ารอการไถ่ของเยรูซาเล็มฟังด้วย
39 หลังจากเสร็จพิธีตามกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว คนทั้งสามได้เดินทางกลับมายังนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี 40 ทารกก็ได้เจริญวัย สมบูรณ์และเปี่ยมด้วยพระปัญญา และพระคุณของพระเจ้าได้สถิตกับพระองค์ด้วย
พระเยซูไปยังพระวิหารครั้งยังเยาว์
41 โยเซฟและมารีย์ได้เดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็มทุกๆ ปีในเทศกาลปัสกา[h] 42 เมื่อพระเยซูอายุได้ 12 ปี ทั้งสามก็ขึ้นไปร่วมในเทศกาลตามประเพณีนิยม 43 ครั้นงานเทศกาลสิ้นสุดลง บิดามารดาของพระองค์ได้เดินทางกลับบ้าน แต่พระเยซูยังอยู่ต่อที่เมืองเยรูซาเล็ม โดยที่ทั้งสองไม่ทราบ 44 แต่คิดว่าพระองค์อาจจะเดินทางพร้อมกับหมู่คนที่เดินทางไปด้วยแล้ว ครั้นออกกันไปได้หนึ่งวัน จึงได้ตามหาพระองค์ในหมู่ญาติและเพื่อน 45 เมื่อไม่พบพระองค์ ทั้งสองจึงได้ย้อนกลับไปตามหาพระองค์ในเมืองเยรูซาเล็ม 46 สามวันผ่านไป จึงพบพระเยซูในพระวิหารท่ามกลางเหล่าอาจารย์ ทั้งฟังและซักถามเขาเหล่านั้น 47 ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ประหลาดใจที่พระองค์เข้าใจและตอบคำถามต่างๆ ได้ 48 เมื่อบิดามารดาเห็นพระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ มารีย์บอกพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงทำเช่นนี้ ดูเถิด พ่อแม่ต้องตามหาเจ้าด้วยความกังวล” 49 พระเยซูตอบว่า “ทำไมจึงตามหาข้าพเจ้า ท่านไม่ทราบหรือว่า ข้าพเจ้าต้องร่วมในกิจการของพระบิดาของข้าพเจ้า”[i] 50 แต่บิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำพูดของพระองค์ 51 พระเยซูได้เดินทางกลับลงไปยังเมืองนาซาเร็ธพร้อมกับบิดามารดา และเชื่อฟังเขาทั้งสองด้วยดี แต่มารีย์ระลึกเรื่องราวทั้งหมดมาครุ่นคิดในใจ
52 พระเยซูเจริญวัยขึ้นไม่เพียงแต่ร่างกายและพระปัญญา พระองค์ยังเป็นที่พอใจของพระเจ้าและบุคคลทั่วไปด้วย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation