M’Cheyne Bible Reading Plan
ลำดับเชื้อสายของเชลยที่กลับมา
9 ชาวอิสราเอลทั้งปวงมีชื่อระบุอยู่ในลำดับเชื้อสายที่บันทึกไว้ในหนังสือแห่งบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล ชาวยูดาห์ถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลนก็เพราะความไม่ภักดีของพวกเขา[a] 2 บรรดาชนกลุ่มแรกที่กลับไปอาศัยอยู่ในเมืองที่มีดินแดนเป็นของพวกเขาอีกคือ ชาวอิสราเอลบางคน บรรดาปุโรหิต ชาวเลวี และบรรดาผู้รับใช้ประจำพระตำหนัก 3 มีบางคนจากอาณาเขตยูดาห์ เบนยามิน เอฟราอิม และมนัสเสห์ ที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มคือ 4 อุธัยเป็นบุตรของอัมมีฮูด อัมมีฮูดเป็นบุตรของอมรี อมรีเป็นบุตรของอิมรี อิมรีเป็นบุตรของบานีผู้สืบเชื้อสายจากเปเรศบุตรของยูดาห์ 5 จากชาวชิโลห์ คืออาสายาห์ผู้เป็นบุตรหัวปี และพวกบุตรของอาสายาห์ 6 จากพวกบุตรของชาวเศรัค คือเยอูเอลและญาติพี่น้องของพวกเขา รวมได้ 690 คน 7 จากชาวเบนยามินคือ สัลลูบุตรของเมชุลลาม เมชุลลามเป็นบุตรของโฮดาวิยาห์ โฮดาวิยาห์เป็นบุตรของหัสเสนูอาห์ 8 และอิบเนยาห์เป็นบุตรของเยโรฮัม เอลาห์เป็นบุตรของอุสซี อุสซีเป็นบุตรของมิครี และเมชุลลามบุตรของเชฟาทิยาห์ เชฟาทิยาห์เป็นบุตรของเรอูเอล เรอูเอลเป็นบุตรของอิบนียาห์ 9 และญาติพี่น้องตามประวัติครอบครัวของพวกเขา รวมได้ 956 คน คนเหล่านี้เป็นผู้นำของตระกูล
10 จากบรรดาปุโรหิตคือ เยดายาห์ เยโฮยาริบ ยาคีน 11 และอาซาริยาห์ผู้เป็นบุตรของฮิลคียาห์ ฮิลคียาห์เป็นบุตรของเมชุลลาม เมชุลลามเป็นบุตรของศาโดก ศาโดกเป็นบุตรของเมราโยท เมราโยทเป็นบุตรของอาหิทูบหัวหน้าเจ้าหน้าที่ในพระตำหนักของพระเจ้า 12 อาดายาห์เป็นบุตรของเยโรฮัม เยโรฮัมเป็นบุตรของปาชเฮอร์ ปาชเฮอร์เป็นบุตรของมัลคิยาห์ และมาอาสัยเป็นบุตรของอาดีเอล อาดีเอลเป็นบุตรของยาเซราห์ ยาเซราห์เป็นบุตรของเมชุลลาม เมชุลลามเป็นบุตรของเมชิลเลมิท เมชิลเลมิทเป็นบุตรของอิมเมอร์ 13 นอกจากญาติพี่น้องและผู้นำของตระกูลของพวกเขาแล้ว ก็มีทหารที่เก่งกล้า 1,760 คนที่ปฏิบัติงานที่พระตำหนักของพระเจ้า
14 จากชาวเลวีคือ เชไมยาห์ผู้เป็นบุตรของหัสชูบ หัสชูบเป็นบุตรของอัสรีคัม อัสรีคัมเป็นบุตรของฮาชาบิยาห์ผู้สืบเชื้อสายจากเมรารี 15 และบัคบัคคาร์ เฮเรช กาลาล และมัทธานิยาห์ผู้เป็นบุตรของมีคา มีคาเป็นบุตรของศิครี ศิครีเป็นบุตรของอาสาฟ 16 และโอบาดีห์เป็นบุตรของเชไมยาห์ เชไมยาห์เป็นบุตรของกาลาล กาลาลเป็นบุตรของเยดูธูน และเบเรคิยาห์เป็นบุตรของอาสา อาสาเป็นบุตรของเอลคานาห์ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของชาวเนโทฟาห์
17 บรรดาผู้เฝ้าประตูในเยรูซาเล็มคือ ชัลลูม อักขูบ ทัลโมน อาหิมาน และญาติพี่น้อง ชัลลูมเป็นหัวหน้า 18 คนเหล่านี้ประจำการอยู่ที่ประตูของกษัตริย์ทางด้านตะวันออก มาจนถึงปัจจุบันนี้ เฝ้าประตูค่ายของชาวเลวี 19 ชัลลูมเป็นบุตรของโคเร โคเรเป็นบุตรของเอบียาสาฟ เอบียาสาฟเป็นบุตรของโคราห์ ชัลลูมและญาติพี่น้องในตระกูลของพวกเขาผู้เป็นชาวโคราห์ เป็นผู้ดูแลการปฏิบัติงานคือเป็นผู้เฝ้าที่ทางเข้ากระโจม เหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นผู้ดูแลค่ายของพระผู้เป็นเจ้า คือเป็นผู้เฝ้าประตูทางเข้า 20 แต่ก่อนหน้านี้ ฟีเนหัสบุตรของเอเลอาซาร์เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมพวกเขา และพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา 21 เศคาริยาห์บุตรของเมเชเลมิยาห์เป็นผู้เฝ้าทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย 22 คนที่ได้รับเลือกเป็นผู้เฝ้าที่ทางเข้า มีจำนวน 212 คน ซึ่งมีชื่อบันทึกไว้ตามลำดับเชื้อสายในหมู่บ้านของพวกเขา ดาวิดและซามูเอลผู้รู้เป็นผู้เลือกเขาเหล่านั้น เพราะเป็นที่ไว้ใจให้ปฏิบัติงานได้ 23 ดังนั้นพวกเขาและบุตรจึงเป็นผู้เฝ้าประตูพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า คือกระโจม 24 ผู้เฝ้าประตูประจำอยู่ที่ 4 ด้านคือ ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ 25 และญาติพี่น้องของพวกเขาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน จำต้องเข้ามาเป็นครั้งคราว เพื่อช่วยปฏิบัติงานทุกๆ 7 วัน 26 ชาวเลวี 4 คนที่เฝ้าประตูเป็นประจำได้รับมอบหมายดูแลห้องและคลังพระตำหนักของพระเจ้า 27 และพวกเขาพักอาศัยอยู่ในบริเวณพระตำหนักของพระเจ้า เพราะพวกเขามีหน้าที่เฝ้ารักษาและเปิดพระตำหนักทุกเช้า
28 บางคนมีหน้าที่ดูแลเครื่องใช้ในการปฏิบัติงาน คือจำเป็นต้องนับจำนวนที่นำเข้ามาหรือเบิกออกไป 29 บางคนได้รับหน้าที่ดูแลเครื่องใช้ทั่วไป ภาชนะเครื่องใช้บริสุทธิ์ทุกชิ้น และแป้งสาลีชั้นเยี่ยม เหล้าองุ่น น้ำมัน กำยาน และเครื่องเทศ 30 ส่วนบุตรของบรรดาปุโรหิตก็เตรียมเครื่องเทศผสม 31 มัททีธิยาห์ชาวเลวีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรหัวปีของชัลลูมชาวโคราห์ รับมอบหมายให้ทำขนมอบ 32 ญาติพี่น้องของพวกเขาบางคนซึ่งเป็นชาวโคฮาทมีหน้าที่เตรียมขนมปังอันบริสุทธิ์ทุกวันสะบาโต
33 ผู้นำของชาวเลวีเหล่านี้เป็นนักร้องที่อาศัยอยู่ในห้องในพระตำหนัก พวกเขาไม่ต้องปฏิบัติงานอื่นๆ อีก เพราะอยู่เวรทั้งวันและคืน 34 คนเหล่านี้เป็นผู้นำของชาวเลวี ตามประวัติครอบครัวของพวกเขา และอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม
ลำดับเชื้อสายของซาอูล
35 เยอีเอลบิดาของกิเบโอนอาศัยอยู่ในกิเบโอน เขามีภรรยาชื่อมาอาคาห์ 36 บุตรหัวปีชื่ออับโดน คนต่อไปชื่อ ศูร์ คีช บาอัล เนอร์ นาดับ 37 เกโดร์ อาหิโย เศคาริยาห์ และมิกโลท 38 มิกโลทเป็นบิดาของชิเมอาม คนเหล่านี้อาศัยอยู่ใกล้ญาติพี่น้องของเขาในเยรูซาเล็มด้วย 39 เนอร์เป็นบิดาของคีช คีชเป็นบิดาของซาอูล ซาอูลเป็นบิดาของโยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับ และเอชบาอัล 40 โยนาธานมีบุตรชื่อเมริบบาอัล เมริบบาอัลมีบุตรชื่อมีคาห์ 41 มีคาห์มีบุตรชื่อ ปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส 42 อาหัสมีบุตรชื่อ เยโฮอัดดาห์ เยโฮอัดดาห์มีบุตรชื่อ อาเลเมท อัสมาเวท และศิมรี ศิมรีมีบุตรชื่อโมซา 43 โมซามีบุตรชื่อบิเนอา บิเนอามีบุตรชื่อเรไฟยาห์ เรไฟยาห์มีบุตรชื่อเอลอาสาห์ เอลอาสาห์มีบุตรชื่ออาเซล 44 อาเซลมีบุตร 6 คนชื่อ อัสรีคัม โบเครู อิชมาเอล เชอาริยาห์ โอบาดีห์ และฮานาน คนเหล่านี้เป็นบุตรของอาเซล
ซาอูลสิ้นชีวิต
10 ในเวลานั้นฟีลิสเตียสู้รบกับอิสราเอล ฝ่ายอิสราเอลแตกพ่ายไปต่อหน้าต่อตาชาวฟีลิสเตีย และล้มตายลงที่ภูเขากิลโบอา 2 ชาวฟีลิสเตียไล่ตามซาอูลและบุตรของท่านไปอย่างกระชั้นชิด และชาวฟีลิสเตียฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวาบุตรทั้งสามของซาอูล 3 การสู้รบครั้งนี้รุนแรงยิ่งนักสำหรับซาอูล เมื่อพวกนักธนูมาพบท่าน ก็เห็นว่าท่านถูกยิงอาการสาหัส 4 ซาอูลกล่าวกับคนถืออาวุธของท่านว่า “จงชักดาบของเจ้าออกมาแทงเราให้ทะลุ มิฉะนั้นคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตพวกนั้นจะมาใช้ดาบแทงเราให้ทะลุ ซ้ำจะเหยียดหยามเราอีกด้วย” แต่คนถืออาวุธของท่านไม่กล้าทำเช่นนั้นเพราะเขากลัวมาก ดังนั้นซาอูลจึงชักดาบของท่านออก และล้มทับดาบเสียเอง 5 เมื่อคนถืออาวุธของท่านเห็นว่าซาอูลสิ้นชีวิตแล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาเช่นกัน และสิ้นชีวิต 6 ซาอูลเสียชีวิตดังกล่าว บุตร 3 คนของท่าน และคนของท่านทุกคนก็เสียชีวิตด้วยกัน 7 เมื่อชายชาวอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ในหุบเขาเห็นว่ากองทัพของพวกตนได้เตลิดหนีไป และซาอูลกับบุตรของท่านก็สิ้นชีวิตแล้ว พวกเขาจึงต่างก็ทิ้งบ้านเมืองของตนและหนีไป ชาวฟีลิสเตียจึงเข้าไปอยู่แทน
8 วันรุ่งขึ้น เมื่อชาวฟีลิสเตียมาปลดของจากคนที่ถูกฆ่า และพบว่าซาอูลและบุตรของท่านนอนตายอยู่บนภูเขากิลโบอา 9 พวกเขาจึงปลดเครื่องอาวุธออกและตัดศีรษะของซาอูล และให้ผู้สื่อข่าวไปทั่วดินแดนของชาวฟีลิสเตีย เพื่อนำข่าวดีไปยังวิหารที่เก็บรูปเคารพของพวกเขา และยังประชาชน 10 พวกเขาเก็บเครื่องอาวุธของท่านไว้ในวิหารของเทพเจ้าของตน และมัดศีรษะของท่านไว้ในวิหารของดาโกน 11 แต่เมื่อผู้อยู่อาศัยของยาเบชกิเลอาดทราบว่าชาวฟีลิสเตียกระทำอย่างไรต่อซาอูล 12 ชายผู้กล้าหาญทุกคนก็เดินทางไปรับร่างของซาอูลและบุตรของท่านมายังเมืองยาเบช แล้วพวกเขาก็เก็บกระดูกไปฝังที่ใต้ต้นโอ๊กที่ยาเบช และอดอาหาร 7 วัน
13 ดังนั้นซาอูลสิ้นชีวิตเพราะไม่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านไม่ปฏิบัติตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ปรึกษาคนทรงเพื่อแสวงหาคำแนะนำ 14 ท่านไม่ได้แสวงหาคำแนะนำจากพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงสังหารท่าน และมอบอาณาจักรให้แก่ดาวิดบุตรของเจสซี
พระเจ้าฝึกบรรดาบุตรให้มีวินัย
12 ฉะนั้น ในเมื่อเรามีผู้ยืนยันมากมายอยู่รอบข้างเช่นนี้ ขอให้เรากำจัดทุกสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเรา และบาปซึ่งเกาะเราไว้แน่น และขอให้เราบากบั่นเช่นเดียวกับการวิ่งแข่งขันที่จะต้องวิ่งต่อไป 2 ขอให้เราใฝ่ใจในพระเยซูซึ่งเป็นผู้เบิกทางให้แก่ความเชื่อของเรา และทำให้ความเชื่อนั้นบริบูรณ์ เป็นเพราะความยินดีที่กำลังรอคอยพระองค์อยู่ พระองค์จึงไม่ได้นึกถึงความอัปยศอดสูเพราะการสิ้นชีวิตบนไม้กางเขน และพระองค์ก็ได้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของบัลลังก์ของพระเจ้า
3 จงนึกถึงพระองค์ผู้อดทนต่อคนบาปซึ่งมุ่งร้ายต่อพระองค์มากเช่นนั้น ท่านจะได้ไม่อ่อนใจและท้อถอย 4 การที่ท่านต่อสู้กับบาป ท่านยังไม่ได้ยืนหยัดสู้จนถึงกับต้องเสียโลหิตเลย 5 แล้วท่านก็ได้ลืมคำที่ให้กำลังใจซึ่งเจาะจงถึงท่านว่าเป็นบรรดาบุตรคือ
“บุตรเอ๋ย เจ้าจงเอาใจใส่เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฝึกให้มีวินัย
และอย่าท้อถอยเมื่อพระองค์ว่ากล่าวตักเตือนเจ้า
6 เพราะพระผู้เป็นเจ้าฝึกคนที่พระองค์รักให้มีวินัย
และพระองค์ลงโทษทุกคนที่พระองค์รับไว้เป็นบุตร”[a]
7 จงอดทนต่อความยากลำบากที่เป็นการฝึกให้มีวินัย พระเจ้าปฏิบัติต่อท่านเสมือนว่าท่านเป็นบุตร บุตรแบบไหนที่บิดาไม่ฝึกให้มีวินัย 8 ถ้าท่านไม่ได้รับการฝึกให้มีวินัย (และทุกคนก็ต้องได้ผ่านการฝึกให้มีวินัย) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมาย คือไม่ใช่บุตรที่แท้ 9 ยิ่งไปกว่านั้นเรามีบรรดาบิดาที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ฝึกเราให้มีวินัย และเราก็นับถือท่าน แล้วเราจะไม่ยอมเชื่อฟังพระบิดาฝ่ายวิญญาณมากกว่าหรือ เพื่อเราจะได้มีชีวิต 10 เพราะบรรดาบิดาของเราฝึกให้เรามีวินัยเพียงชั่วขณะหนึ่งตามที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่พระเจ้าฝึกเราเพื่อประโยชน์ของเราเอง เราจะได้มีส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11 ขณะที่การฝึกให้มีวินัยเกิดขึ้นทุกครั้ง ก็ดูเหมือนว่าไม่น่ายินดีเลย แต่น่าเจ็บปวด และต่อมาภายหลัง คนที่ได้รับการฝึกจะได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความชอบธรรมและสันติสุข
12 ฉะนั้น จงทำให้มือที่อ่อนแอ และเข่าที่อ่อนแรงมีพลังขึ้น 13 และ “ทำทางเดินให้ตรงเพื่อเท้าของเจ้า”[b] เพื่อขาที่เป๋จะได้ไม่พลิก แต่จะหายเป็นปกติ
การเตือนไม่ให้พลาดพระคุณของพระเจ้า
14 จงพยายามอยู่อย่างสงบสุขกับคนทั้งหลายและด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีใครเห็นพระผู้เป็นเจ้า 15 จงระวังว่าไม่มีใครพลาดพระคุณของพระเจ้า และไม่มีความขมขื่นที่เป็นเสมือนรากฝังอยู่ในใจจนงอกขึ้น อันเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยาก และทำให้คนเป็นอันมากมีมลทิน 16 อย่าให้ผู้ใดประพฤติผิดทางเพศหรือขาดคุณธรรม เช่นเอซาวที่ขายสิทธิ์ของการได้รับมรดกของเขาในฐานะเป็นบุตรหัวปีไป เพื่อเห็นแก่อาหารมื้อเดียว 17 พวกท่านก็ทราบว่า ต่อมาภายหลังเมื่อเขาต้องการรับพรนี้เป็นมรดก เขาก็ถูกปฏิเสธ เขาไม่มีหนทางแก้ไขสิ่งใดได้เลยแม้จะพยายามแสวงหาพรจนน้ำตาไหลก็ตาม
18 ท่านไม่ได้มาถึงภูเขาที่จับต้องได้ ซึ่งลุกไหม้เป็นไฟในความมืด อีกทั้งมีความมืดมนและลมพายุ 19 หรือเสียงแตรดัง เสียงพูดซึ่งพวกคนที่ได้ยินก็ขอร้องไม่ให้พูดกับเขาอีกต่อไป 20 เพราะเขาไม่สามารถทนต่อคำสั่งที่ว่า “ถ้าแม้สัตว์แตะต้องภูเขา มันก็จะถูกหินขว้างตาย”[c] 21 ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวจนโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”[d] 22 แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยนและถึงเมืองเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ คือเมืองของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ พวกท่านได้มาถึงที่ชุมนุมอันน่ายินดีของทูตสวรรค์ ซึ่งมีจำนวนมากมายเกินที่จะนับได้ 23 และถึงคริสตจักรของบรรดาบุตรหัวปีที่มีชื่อบันทึกในสวรรค์ ท่านได้มาถึงพระเจ้าที่เป็นผู้พิพากษาของคนทั้งปวง มาถึงวิญญาณของคนทั้งปวงที่มีความชอบธรรมและเพียบพร้อมทุกประการแล้ว 24 และได้มาถึงพระเยซูผู้เป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และถึงโลหิตที่ประพรมซึ่งร้องด้วยคำพูดที่ดีกว่าโลหิตของอาเบล
25 จงระวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธที่จะฟังพระองค์ผู้กำลังพูดอยู่ ถ้าพวกเขาหนีไม่พ้น เพราะปฏิเสธที่จะฟังผู้ที่ได้ตักเตือนเขาในโลกแล้ว พวกเรายิ่งจะหนีไม่พ้น ยิ่งไปกว่านั้นสักเท่าใด ถ้าเราหันหลังให้พระองค์ผู้เตือนจากสวรรค์ 26 และเสียงของพระองค์ทำให้แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนในเวลานั้น แต่บัดนี้พระองค์ได้สัญญาไว้ว่า “ไม่เพียงแต่แผ่นดินโลกเท่านั้นที่เราจะทำให้สั่นสะเทือนอีกครั้งหนึ่ง แต่ทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย”[e] 27 คำที่ว่า “อีกครั้งหนึ่ง” ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจะถูกทำให้สั่นสะเทือนและถูกกำจัดเสีย เพื่อว่าสิ่งที่ไม่ถูกสั่นสะเทือนจะได้คงอยู่ 28 ฉะนั้นในเมื่อเรากำลังรับอาณาจักรที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ ขอให้เราขอบคุณและนมัสการพระเจ้า ตามที่พระองค์โปรดด้วยความเคารพและยำเกรง 29 ด้วยว่าพระเจ้าของเราเป็นดั่งไฟเผาผลาญ
วิบัติแก่บรรดาผู้ที่นิ่งนอนใจในศิโยน
6 วิบัติแก่บรรดาผู้ที่นิ่งนอนใจในศิโยน
และแก่บรรดาผู้ที่รู้สึกปลอดภัยบนภูเขาในสะมาเรีย
แก่บรรดาผู้มีชื่อเสียง และเป็นที่หนึ่งของบรรดาประชาชาติ
ซึ่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลมาขอความช่วยเหลือ
2 จงไปดูเมืองคาลเนห์
จากนั่นก็ไปยังฮามัทเมืองอันยิ่งใหญ่
และลงไปยังเมืองกัทในฟีลิสเตีย
สามเมืองนี้มั่งคั่งกว่าอาณาจักรทั้งสองของพวกท่านหรือ
แผ่นดินของพวกเขากว้างใหญ่กว่าของพวกท่านหรือ
3 พวกท่านผลัดวันแห่งความทุกข์ยากให้ไกลออกไป
และเปิดทางให้กับการปกครองที่ชั่วร้ายเร็วยิ่งขึ้น
4 วิบัติเกิดแก่พวกท่านที่นอนบนเตียงงาช้าง
และยืดกายบนเตียง
ท่านรับประทานเนื้อแกะจากฝูง
และเนื้อลูกโคตัวผู้จากคอก
5 พวกท่านดีดพิณเล็กอย่างดาวิด
และแต่งเพลงร้องขึ้นเอง
6 พวกท่านดื่มเหล้าองุ่นเป็นไห
และเจิมตัวเองด้วยน้ำมันชนิดดีที่สุด
แต่ไม่เศร้าใจกับความหายนะของพงศ์พันธุ์โยเซฟ
7 ฉะนั้น บัดนี้พวกท่านจะเป็นพวกแรกที่จะถูกเนรเทศ
การเลี้ยงฉลองและความสุขสบายจะจบสิ้นลง
8 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ปฏิญาณโดยพระองค์เอง พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้
“เราชิงชังความหยิ่งยโสของยาโคบ
และเกลียดป้อมปราการของเขา
เราจะยกเมืองและทุกสิ่งในนั้น
ให้แก่ศัตรูไป”
9 ถ้าบ้านใดบ้านหนึ่งมีคน 10 คนอยู่ในบ้าน พวกเขาก็จะตายเช่นกัน 10 และถ้าญาติคนหนึ่งที่จะเป็นผู้ทำศพมาหามพวกเขาออกไปจากบ้าน จะตะโกนถามว่า “ยังมีผู้ใดอยู่ในบ้านหรือไม่” ถ้ามีคนตอบว่า “ไม่มี” ญาติคนนั้นจะพูดว่า “เงียบไว้ พวกเราต้องไม่เอ่ยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า”
11 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าออกคำสั่ง
พระองค์จะพังบ้านหลังใหญ่ให้ทลายลง
และหลังเล็กก็จะถูกพังจนแหลกละเอียด
12 ม้าวิ่งตามโขดหินได้อย่างนั้นหรือ
จะให้โคไถนาที่นั่นได้หรือ
แต่พวกท่านได้ทำให้ความเป็นธรรมกลายเป็นยาพิษ
และผลแห่งความชอบธรรมกลายเป็นความขมขื่น
13 พวกท่านดีใจที่ชนะเมืองโลเดบาร์
และพูดดังนี้ว่า “พวกเราได้ยึดคาร์นาอิม
ด้วยกำลังของเราเองมิใช่หรือ”
14 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้
“โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะทำให้ประชาชาติหนึ่งมาโจมตีพวกเจ้า
และจะกดขี่ข่มเหงพวกเจ้าตั้งแต่เลโบฮามัท
ไปจนถึงธารน้ำในหุบเขาอาราบาห์”
มารีย์ทักทายเอลีซาเบธ
39 มารีย์รีบเดินทางไปยังเมืองหนึ่งซึ่งตั้งอยู่แถบเทือกเขาแห่งแคว้นยูเดีย 40 ครั้นเธอเข้าบ้านของเศคาริยาห์ก็ได้ทักทายกับเอลีซาเบธ 41 เมื่อเอลีซาเบธได้ยินเสียงทักทาย ทารกในครรภ์ก็ดิ้นแรงราวกับจะโลดแล่น และทันใดนั้นเอลีซาเบธก็เปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42 เอลีซาเบธร้องด้วยเสียงอันดัง และกล่าวว่า “ในหมู่สตรีทั้งหลายเธอเป็นผู้ที่ได้รับพระพร และบุตรในครรภ์ของเธอก็เช่นกัน 43 เป็นไปได้อย่างไรที่มารดาของพระผู้เป็นเจ้าของฉันมาเยี่ยมฉัน 44 เมื่อได้ยินเสียงเธอทักทาย ทารกในครรภ์ของฉันจึงดิ้นด้วยความยินดี 45 เธอคือผู้ที่ได้รับพระพร เพราะเธอเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายจะสัมฤทธิผลตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า”
มารีย์สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
46 มารีย์พูดว่า
“จิตวิญญาณของฉันเชิดชูพระผู้เป็นเจ้า
47 วิญญาณของฉันชื่นชมยินดีในพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดพ้นของฉัน
48 เพราะพระองค์สนใจผู้รับใช้ซึ่งเจียมตัว
ดูเถิด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกชั่วอายุคนจะถือว่าฉันได้รับพระพร
49 ด้วยว่าองค์ผู้มีอานุภาพกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่ฉัน
และพระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ์
50 ความเมตตาของพระองค์ดำรงอยู่ทุกกาล
หากว่ามีผู้ใดเกรงกลัวในพระองค์
51 พระองค์ก็แสดงอานุภาพด้วยแขนของพระองค์
สำหรับผู้ที่มีความเย่อหยิ่งในหัวใจ พระองค์ทำให้แยกกระจัดกระจายไป
52 พระองค์นำให้ผู้สูงส่งลงจากบัลลังก์
และยกผู้ถ่อมตัวขึ้นมา
53 ผู้ที่หิวกระหาย พระองค์ก็ให้จนอิ่มหนำด้วยสิ่งดี
และผู้มั่งมี พระองค์ก็จะส่งกลับไปมือเปล่า
54 พระองค์ได้ช่วยผู้รับใช้ของพระองค์คือชาวอิสราเอล
พระองค์ได้ระลึกถึงความเมตตาของพระองค์
55 ที่มีต่ออับราฮัม[a]และผู้สืบเชื้อสายตลอดไป
ดังที่พระองค์กล่าวกับบรรพบุรุษของเรา”
56 มารีย์พักอยู่กับเอลีซาเบธประมาณ 3 เดือนจึงได้กลับบ้านไป
การเกิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
57 เมื่อถึงกำหนดคลอด เอลีซาเบธก็ได้คลอดบุตรเป็นชาย 58 เพื่อนบ้านและญาติที่ทราบถึงความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อนาง ก็พากันมาแสดงความยินดีกับนาง 59 เมื่อถึงวันที่แปด ผู้คนเหล่านั้นก็พากันมาร่วมในพิธีเข้าสุหนัตของทารก และจะตั้งชื่อทารกนี้ว่า เศคาริยาห์ ตามชื่อบิดา 60 แต่มารดากลับกล่าวว่า “ไม่ได้หรอก ทารกน้อยนี้จะต้องชื่อ ยอห์น” 61 ผู้คนเหล่านั้นพูดกับนางว่า “ไม่มีใครในตระกูลของท่านชื่อนี้เลย” 62 พวกเขาจึงผงกศีรษะเป็นเชิงถามเศคาริยาห์ว่าเขาจะให้ทารกชื่ออะไร 63 เศคาริยาห์เขียนลงบนแผ่นไม้ที่เขาให้คนนำมาว่า “ยอห์น คือชื่อของเขา” คนเหล่านั้นต่างประหลาดใจ 64 และทันใดนั้นปากและลิ้นของเศคาริยาห์ก็ขยับได้เป็นปกติ เศคาริยาห์จึงกล่าวสรรเสริญพระเจ้า 65 เพื่อนบ้านใกล้เคียงก็เกิดความยำเกรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถูกเล่าขานกันไปทั่วแถบเทือกเขาแห่งแคว้นยูเดีย 66 ทุกคนที่ได้ยินเรื่องเหล่านี้ล้วนแต่สงสัยและพูดว่า “แล้วทารกนี้จะเป็นอย่างไรในภายหน้า” ด้วยว่ามือของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา
เศคาริยาห์สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
67 ส่วนเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
68 “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล
เพราะว่าพระองค์ได้มาไถ่ชนชาติของพระองค์
69 และได้ยกชูเขาแห่งความรอดพ้นสำหรับเรา[b]
ในตระกูลของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
70 ดังที่พระองค์ได้กล่าวผ่านผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหลายท่านที่บริสุทธิ์ในสมัยโบราณ
71 ความรอดพ้นจากหมู่ศัตรู
และเงื้อมมือของทุกคนที่เกลียดชังเรา
72 เพื่อที่จะแสดงความเมตตาต่อบรรพบุรุษของเรา
และเพื่อที่จะระลึกถึงพันธสัญญาอันบริสุทธิ์ของพระองค์
73 พระองค์รักษาสัญญาที่ได้ปฏิญาณ[c]กับอับราฮัมบิดาของเรา
74 พระองค์ช่วยเราให้หลุดรอดจากเงื้อมมือของเหล่าศัตรู
และรับใช้พระองค์โดยไม่มีความกลัว
75 ด้วยความบริสุทธิ์และความชอบธรรมต่อหน้าพระองค์ตลอดชีวิตของเรา
76 และเจ้าเอง ลูกยอห์น เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้สูงสุด
เพราะว่าเจ้าจะไปล่วงหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่จะเตรียมทางให้แก่พระองค์
77 และเพื่อบอกชนชาติของพระองค์ ให้มีความรู้ถึงความรอดพ้น
อันเนื่องมาจากที่ได้รับการยกโทษบาปของเขา
78 เพราะว่าพระเจ้าของเรามีใจเมตตาอย่างลึกล้ำ
โดยที่ว่าอรุณรุ่งจากสวรรค์จะมาเยือนเรา
79 เพื่อจะส่องให้ผู้ที่นั่งอยู่ในความมืด
และในเงาแห่งความตาย
เพื่อจะนำทางให้เราพบกับทางสันติสุข”
80 ทารกก็ได้เจริญวัย สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่ปรากฏตัวกับชาวอิสราเอล
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation