Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 พงศาวดาร 19-20

19 หลังจากนั้น นาหาชกษัตริย์ของชาวอัมโมนก็สิ้นชีวิต และบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน ดาวิดกล่าวว่า “เราจะกระทำต่อฮานูนบุตรของนาหาชด้วยความเมตตา เพราะบิดาของท่านได้กระทำต่อเรา” ดังนั้น ดาวิดจึงให้บรรดาผู้ส่งข่าวของท่านไปแสดงความเสียใจต่อฮานูนเรื่องบิดา และผู้รับใช้ของดาวิดจึงมาแสดงความเสียใจต่อฮานูนที่ดินแดนของชาวอัมโมน แต่บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของชาวอัมโมนพูดกับฮานูนว่า “ท่านคิดหรือว่า ที่ดาวิดให้คนมาแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อท่านนั้น เป็นการให้เกียรติบิดาของท่าน พวกผู้รับใช้ของดาวิดมาเพื่อสำรวจและสอดแนมความในแผ่นดิน เพื่อจะล้มล้างเมืองมิใช่หรือ” ดังนั้นฮานูนจึงให้คนโกนเคราพวกทหารรับใช้ของดาวิด และตัดเครื่องแต่งกายที่ตรงกลางจากสะโพกลงมา และส่งพวกเขากลับไป และพวกเขาก็จากไป เมื่อมีคนไปแจ้งข่าวแก่ดาวิด ท่านก็ให้คนไปพบกับพวกเขา เพราะชายเหล่านั้นอับอายมาก กษัตริย์กล่าวว่า “จงพักอยู่ที่เยรีโค จนกว่าเคราของพวกเจ้าจะขึ้นแล้วจึงกลับมา”

เมื่อชาวอัมโมนเห็นว่าพวกเขาได้กลับกลายเป็นที่น่ารังเกียจของดาวิด ฮานูนและชาวอัมโมนจึงใช้เงิน 1,000 ตะลันต์ไปว่าจ้างรถศึกและสารถีจากอารัมนาหะราอิม[a] จากอารัมมาอาคาห์ และจากโศบาห์ พวกเขาจ้างรถศึก 32,000 คัน กษัตริย์แห่งมาอาคาห์พร้อมกับกองทัพของท่านก็มาตั้งค่ายที่หน้าเมืองเมเดบา ชาวอัมโมนถูกรวบรวมกำลังมาจากเมืองต่างๆ เพื่อสู้รบ เมื่อดาวิดทราบเช่นนั้น ท่านจึงบัญชาให้โยอาบและทหารกล้าจากกองทัพทั้งหมดยกทัพไป ฝ่ายชาวอัมโมนก็เดินทัพออกมาประจำตำแหน่งรบของตนที่ทางเข้าเมือง และบรรดากษัตริย์ที่มาถึงก็แยกไปตั้งทัพอยู่ในที่โล่งห่างจากตัวเมือง

ชาวอัมโมนและชาวอารัมพ่ายแพ้

10 เมื่อโยอาบเห็นว่าสงครามครั้งนี้เขาถูกขนาบทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เขาจึงเลือกนักรบที่ดีที่สุดของอิสราเอลจำนวนหนึ่ง และจัดทัพให้ต่อสู้กับชาวอารัม 11 นักรบที่เหลือก็จัดให้อยู่ในบังคับของอาบีชัยน้องชายของตน เขาก็ให้ทหารตั้งทัพสู้กับชาวอัมโมน 12 เขาพูดว่า “ถ้าหากว่าชาวอารัมมีกำลังแข็งแกร่งเกินเรา ท่านจะได้ช่วยเราได้ แต่ถ้าชาวอัมโมนแข็งแกร่งเกินท่าน เราก็จะมาช่วยท่าน 13 จงกล้าหาญเถิด และพวกเราควรจะกล้าหาญเพื่อคนของพวกเราและเพื่อเมืองทั้งหลายของพระเจ้าของเรา และขอพระผู้เป็นเจ้ากระทำสิ่งที่พระองค์เห็นสมควร” 14 ดังนั้นโยอาบและคนที่อยู่กับเขาขยับเข้าใกล้ประจัญศึกกับชาวอารัม และชาวอารัมก็ถอยหนีไปต่อหน้าต่อตาเขา 15 ครั้นชาวอัมโมนเห็นว่าชาวอารัมหนีไป พวกเขาจึงถอยหนีไปต่อหน้าอาบีชัยน้องชายของโยอาบด้วย และเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบก็กลับมายังเยรูซาเล็ม

16 เมื่อชาวอารัมเห็นว่าพวกตนพ่ายแพ้อิสราเอลแล้ว พวกเขาจึงใช้บรรดาผู้ส่งข่าวไป และนำกำลังชาวอารัมที่อยู่โพ้นแม่น้ำยูเฟรติสออกมา โดยมีโชฟัคผู้บังคับกองพันทหารของฮาดัดเอเซอร์เป็นผู้นำ 17 เมื่อมีคนรายงานเรื่องแก่ดาวิด ท่านก็รวบรวมอิสราเอลเข้าด้วยกัน และข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาประชิดตัวและปะทะกับชาวอารัม ครั้นดาวิดจัดทัพให้ต่อสู้กับชาวอารัม พวกเขาก็สู้รบกับท่าน 18 และชาวอารัมก็ถอยหนีไปต่อหน้าอิสราเอล ดาวิดฆ่าสารถีชาวอารัม 7,000 คน และทหารราบ 40,000 คน และฆ่าโชฟัคผู้บังคับกองพันทหารของพวกเขาด้วย 19 เมื่อพวกทหารรับใช้ของฮาดัดเอเซอร์เห็นว่าพวกตนพ่ายแพ้อิสราเอลแล้ว พวกเขาจึงยอมสงบศึกและยอมอยู่ใต้การควบคุมของดาวิด ดังนั้นชาวอารัมจึงไม่ยินดีที่จะช่วยเหลือชาวอัมโมนอีกต่อไป[b]

รับบาห์ถูกยึด

20 ครั้นฤดูใบไม้ผลิเวียนมาถึง อันเป็นเวลาที่บรรดากษัตริย์ออกศึก โยอาบนำกองทัพออกไป ทำลายล้างดินแดนของชาวอัมโมน และล้อมเมืองรับบาห์ไว้ ส่วนดาวิดอยู่ที่เยรูซาเล็ม โยอาบโจมตีและทำลายเมืองรับบาห์[c] ดาวิดได้ถอดมงกุฎซึ่งเป็นทองหนัก 1 ตะลันต์[d]ฝังด้วยพลอย 1 เม็ด ออกจากศีรษะของกษัตริย์เมืองนั้น และมงกุฎนั้นถูกสวมบนศีรษะของดาวิด และท่านขนของที่ริบมาได้จากเมืองนั้นเป็นอันมาก และท่านให้เกณฑ์คนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองไปทำงานที่เกี่ยวกับเลื่อย เครื่องมือเหล็กและขวานเหล็ก ดาวิดกระทำเช่นนั้นต่อเมืองทั้งสิ้นของชาวอัมโมน แล้วดาวิดกับประชาชนทั้งปวงก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม

สงครามกับชาวฟีลิสเตีย

หลังจากนั้น เกิดการสู้รบกับชาวฟีลิสเตียที่เมืองเกเซอร์ สิบเบคัยชาวหุชาห์ฆ่าสิปปัยผู้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้สืบเชื้อสายมาจากพวกมนุษย์ยักษ์ และชาวฟีลิสเตียก็ถูกปราบ มีการสู้รบกับชาวฟีลิสเตียอีก และเอลฮานันบุตรของยาอีร์ฆ่าลามีน้องชายของโกลิอัทชาวกัท ผู้ถือด้ามหอกที่ใหญ่เหมือนไม้กระพั่นของคนทอผ้า มีการสู้รบอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ แต่ละมือมี 6 นิ้ว แต่ละเท้ามี 6 นิ้ว รวมได้ 24 นิ้ว เขาสืบเชื้อสายมาจากพวกมนุษย์ยักษ์เช่นกัน เมื่อเขาท้าทายอิสราเอล โยนาธานบุตรของชิเมอาพี่ชายของดาวิด ก็ฆ่าเขาเสีย ทหารชาวฟีลิสเตียเหล่านี้สืบเชื้อสายมาจากพวกมนุษย์ยักษ์ในเมืองกัท พวกเขาล้มตายด้วยมือของดาวิดและด้วยมือของพวกทหารรับใช้ของท่าน[e]

1 เปโตร 1

การทักทายของเปโตร

ข้าพเจ้าเปโตรอัครทูตของพระเยซูคริสต์

เรียน ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนต่างแดนที่พระเจ้าได้เลือกไว้ ซึ่งได้กระจัดกระจายไปอยู่ทั่วแคว้นปอนทัส แคว้นกาลาเทีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นเอเชีย และแคว้นบิธีเนีย ท่านได้รับเลือกตามที่พระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาทราบดีมาแต่แรก และโดยการชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อจะได้เชื่อฟังพระเยซูคริสต์ และรับการประพรมด้วยโลหิตของพระองค์

ขอพระคุณและสันติสุขจงมีแก่ท่านอย่างเต็มเปี่ยมเถิด

ความหวังอันดำรงอยู่

สรรเสริญพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ด้วยความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์จึงโปรดให้เราได้บังเกิดใหม่เพื่อเข้าสู่ความหวังแห่งชีวิต โดยผ่านการฟื้นคืนชีวิตจากความตายของพระเยซูคริสต์ และให้ได้รับมรดกซึ่งไม่มีวันสูญสิ้น ปราศจากมลทินและไม่ร่วงโรย ซึ่งได้เก็บรักษาไว้ให้ท่านในสวรรค์แล้ว ท่านผู้มีความเชื่อก็จะได้รับการคุ้มครองโดยอานุภาพของพระเจ้า จนกระทั่งถึงวันแห่งความรอดพ้น ซึ่งจะได้เผยให้ทราบในวาระสุดท้าย ท่านควรชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ว่า ในขณะนี้ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานนานัปการชั่วขณะหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อพิสูจน์ความถ่องแท้ของความเชื่อของท่าน แม้แต่ทองคำซึ่งถูกทำลายได้เมื่อถูกทดสอบด้วยไฟ ฉะนั้นความเชื่อของท่านมีค่ามากกว่าทองคำก็ต้องถูกทดสอบด้วย และผลที่จะได้รับคือคำสรรเสริญ บารมี และเกียรติในเวลาที่พระเยซูคริสต์มาปรากฏ แม้ว่าท่านยังไม่เคยเห็นพระองค์ ท่านก็ยังรักพระองค์ และแม้ว่าท่านไม่เห็นพระองค์ในขณะนี้ ท่านก็ยังเชื่อพระองค์ ท่านร่าเริงด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นเกินที่จะกล่าวได้ เพราะท่านกำลังรับผลของความเชื่อของท่าน คือความรอดพ้นของจิตวิญญาณ

10 บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้เผยความถึงพระคุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่าน พวกเขาได้สืบเสาะและสอบถามอย่างระมัดระวังเรื่องความรอดพ้นนี้ 11 พระวิญญาณของพระคริสต์สถิตกับพวกเขา และพระวิญญาณได้พยากรณ์ถึงการทนทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และหลังจากการทรมานนั้นแล้ว พระองค์จะได้รับพระบารมี พวกเขาพยายามสืบหาว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และเกิดกับผู้ใด 12 พระเจ้าเปิดเผยให้พวกเขาทราบว่า เขาไม่ได้กระทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่เพื่อพวกท่าน สิ่งใดก็ตามที่เขากล่าวไว้ พวกท่านก็ได้รับรู้แล้วโดยบรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จากสวรรค์ให้ประกาศแก่ท่านในเวลานี้ แม้เหล่าทูตสวรรค์ก็ปรารถนาจะได้ทราบสิ่งเหล่านี้

จงเป็นผู้บริสุทธิ์

13 ดังนั้น พวกท่านจงเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม จงควบคุมตนเอง และตั้งความหวังทั้งหมดที่มีไว้ในพระคุณ ซึ่งจะให้แก่ท่านเวลาพระเยซูคริสต์มาปรากฏ 14 ตามอย่างบุตรที่เชื่อฟัง อย่าทำตัวตามกิเลสเหมือนครั้งที่ท่านยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 15 แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้บริสุทธิ์ที่ได้เรียกท่าน ท่านก็จงกระทำทุกสิ่งด้วยความบริสุทธิ์ 16 ดังที่มีบันทึกไว้ว่า “จงเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”[a] 17 ถ้าท่านร้องเรียกพระนามของพระบิดาผู้พิพากษาการกระทำของทุกคนโดยปราศจากความลำเอียง ท่านก็จงดำเนินชีวิตดั่งเป็นคนแปลกถิ่นด้วยความยำเกรง 18 เพราะท่านทราบว่าพระองค์ได้ไถ่ท่านจากวิถีชีวิตอันว่างเปล่าอันตกทอดจากบรรพบุรุษมาสู่ท่าน ด้วยสิ่งที่ไม่อาจเสื่อมสลายได้ดังเช่นเงินและทอง 19 แต่ไถ่ด้วยโลหิตอันล้ำค่าของพระคริสต์ เหมือนลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง 20 พระเจ้าได้กำหนดพระคริสต์ก่อนสร้างโลก แต่ให้พระองค์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้เพื่อท่านทั้งหลาย 21 เพราะพระคริสต์ ท่านจึงเชื่อในพระเจ้าที่โปรดให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย และมอบพระบารมีแก่พระองค์ ดังนั้นความเชื่อและความหวังของท่านจึงอยู่ในพระเจ้า

22 ในเมื่อท่านทั้งหลายได้ชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์แล้วโดยการเชื่อฟังความจริง เพื่อรักกันฉันพี่น้องอย่างแท้จริง ท่านจงรักกันอย่างลึกซึ้งด้วยใจจริงเถิด 23 เพราะท่านบังเกิดใหม่แล้วจากเมล็ดที่มีชีวิต ไม่ใช่จากเมล็ดที่ฝ่อ คือด้วยคำกล่าวของพระเจ้าซึ่งมีชีวิตและดำรงอยู่ 24 ด้วยว่า

“มนุษย์ทุกคนเป็นเสมือนต้นหญ้า
    และบารมีของเขาเป็นเสมือนดอกหญ้า
ต้นหญ้านั้นเหี่ยวแห้ง และดอกร่วงโรย
25     แต่คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ายั่งยืนอยู่ตลอดกาล”[b]

นี่คือคำกล่าวซึ่งได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายแล้ว

โยนาห์ 3

โยนาห์ไปยังนีนะเวห์

ครั้นแล้วคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สอง โดยกล่าวดังนี้ว่า “จงลุกขึ้นเถิด ไปยังนีนะเวห์เมืองอันยิ่งใหญ่ และประกาศต่อต้านเมืองนั้น เป็นคำประกาศตามที่เรากำลังจะบอกเจ้า” ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น และไปยังเมืองนีนะเวห์ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า ในเวลานั้นนีนะเวห์เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่นัก ถ้าจะเดินให้ทั่วเมืองต้องใช้เวลา 3 วัน โยนาห์เริ่มเข้าไปในเมือง เดินเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาประกาศกล่าวโทษว่า “อีก 40 วัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย” แล้วชาวเมืองนีนะเวห์ก็เชื่อในพระเจ้า พวกเขาประกาศให้ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยอดอาหารและสวมผ้ากระสอบ

เมื่อกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ได้ยินเรื่องราว ท่านจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ถอดเสื้อคลุมออก คลุมกายด้วยผ้ากระสอบ และนั่งบนกองขี้เถ้า แล้วกษัตริย์ก็สั่งให้เขียนข้อความประกาศทั่วนีนะเวห์ว่า “มีคำสั่งจากกษัตริย์และบรรดาผู้สูงศักดิ์ของท่านดังนี้ ‘อย่าให้คน สัตว์เลี้ยง ฝูงโค และฝูงแพะแกะลิ้มรสสิ่งใดเลย และอย่าให้ดื่มน้ำ แต่ให้คนและสัตว์สวมผ้ากระสอบ และร้องเรียกถึงพระเจ้าอย่างไม่ย่อท้อ ทุกคนจงหันจากวิถีทางที่ชั่วร้ายและจากการประพฤติที่รุนแรง ใครจะทราบได้ พระเจ้าอาจจะเปลี่ยนใจและสงสาร และถอนความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ พวกเราจะได้ไม่วอดวาย’”

10 เมื่อพระเจ้าเห็นการกระทำของพวกเขาว่า พวกเขาได้หันไปจากทางที่ชั่วร้าย พระเจ้าจึงเปลี่ยนใจเรื่องภัยพิบัติที่พระองค์ได้ประกาศไว้ว่า จะให้เกิดขึ้นกับพวกเขา และพระองค์ไม่ให้มันเกิดขึ้น

ลูกา 8

อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด

หลังจากนั้น พระเยซูพร้อมด้วยอัครทูตทั้งสิบสองได้เดินทางไปตามเมืองและหมู่บ้านเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า มีผู้หญิงบางคนที่รับการรักษาหายจากพวกวิญญาณร้ายและโรคต่างๆ ด้วยคือ มารีย์ชาวมักดาลา ซึ่งมารทั้งเจ็ดได้ออกจากตัวไป โยอันนาภรรยาของคูซาผู้ดูแลผลประโยชน์ของเฮโรด ซูซานาและคนอื่นอีกจำนวนมาก ผู้หญิงเหล่านี้ได้มอบทรัพย์สินส่วนตัวของพวกนางเองเพื่อช่วยเหลือพระเยซูและเหล่าอัครทูต

ขณะที่มหาชนจากเมืองต่างๆ มาชุมนุมกัน พระเยซูกล่าวเป็นอุปมาว่า “ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืชของเขา ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทางแล้วก็ถูกเหยียบ พวกนกพากันจิกกินเสียหมด บางเมล็ดตกลงบนหิน พองอกขึ้นแล้วต้นก็เหี่ยวแห้งไปเพราะขาดความชื้น บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย บางเมล็ดที่ตกบนดินดี ก็ได้งอกขึ้นและเกิดผลเป็น 100 เท่าเพิ่มขึ้นจากที่ได้หว่านไว้” เมื่อพระองค์กล่าวจบแล้วก็ประกาศขึ้นว่า “ผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”

พวกสาวกของพระองค์ถามว่า คำอุปมานี้หมายความว่าอย่างไร 10 พระองค์กล่าวว่า “เราทำให้เจ้าเข้าใจถึงความลับของอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว แต่สำหรับผู้อื่น เรากล่าวเป็นอุปมาเพื่อว่า ‘แม้ว่าขณะที่กำลังดู พวกเขาก็มองไม่เห็น แม้ว่าขณะที่กำลังได้ยิน พวกเขาก็ไม่เข้าใจ’[a] 11 นี่คือความหมายของคำอุปมาที่ว่า เมล็ดพืชนั้นเป็นเสมือนคำกล่าวของพระเจ้า 12 พวกที่อยู่ตามทางคือผู้ที่ได้ยินแล้ว และพญามารก็มาปล้นคำกล่าวออกจากจิตใจของเขา เพื่อไม่ให้เชื่อและรอดพ้นได้ 13 พวกที่อยู่บนหิน คือผู้ที่เมื่อได้ยินคำกล่าวก็รับไว้ด้วยความยินดี แต่เนื่องจากเขาไม่มีรากฐานอันมั่นคง จึงเชื่อสักพักหนึ่ง พอถึงเวลาทดสอบใจก็ล้มเลิกจากความเชื่อ 14 เมล็ดที่ตกท่ามกลางไม้หนามเปรียบได้กับผู้ที่ได้ยิน แต่ขณะที่เขาดำรงชีวิตต่อไป ก็ถูกขัดขวางโดยความกังวลต่างๆ ความร่ำรวยและความสำราญ ซึ่งทำให้ไม่อาจเติบโตได้ 15 แต่เมล็ดบนดินดีเปรียบเสมือนผู้ที่บากบั่น ด้วยจิตใจอันซื่อสัตย์และดีงามเมื่อได้ยินคำกล่าว และด้วยความพากเพียรจึงบังเกิดผล

แสงสว่างจากตะเกียง

16 ไม่มีผู้ใดที่จุดตะเกียงแล้วซ่อนไว้ในโถหรือใต้เตียง แต่จะตั้งไว้บนขาตั้งตะเกียงเพื่อให้ผู้ที่เข้ามาได้เห็นแสงสว่าง 17 ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่เร้นลับแล้วจะไม่ถูกเปิดเผยในที่แจ้ง 18 ฉะนั้นเจ้าจงฟังให้ดี ผู้ใดก็ตามที่มีอยู่แล้วจะได้รับมากขึ้น และผู้ใดที่ไม่มี แม้ว่าสิ่งซึ่งเขาคิดว่าเขามีอยู่ก็จะถูกยึดไปจากเขาเสีย”

มารดาและน้องชายของพระเยซู

19 ขณะนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่อาจฝ่าฝูงชนเข้ามาได้เพราะคนแน่น 20 มีคนมาบอกพระเยซูว่า “มารดาและพวกน้องชายของท่านกำลังยืนอยู่ข้างนอกและต้องการจะมาหาท่าน”

21 พระองค์ตอบว่า “มารดาและพี่น้องของเรา คือพวกที่ฟังคำกล่าวของพระเจ้าและปฏิบัติตาม”

ห้ามคลื่นและลมให้หยุด

22 วันหนึ่ง พระเยซูกล่าวกับกลุ่มสาวกว่า “เราข้ามทะเลสาบไปอีกฟากกันเถิด” ฉะนั้นสาวกทั้งหลายก็ออกเรือไป 23 ขณะที่แล่นใบออกไป พระองค์นอนหลับอยู่ และเกิดพายุกระหน่ำในทะเลสาบ น้ำก็ท่วมลำเรือจนเข้าขั้นอันตราย 24 บรรดาสาวกจึงไปปลุกพระองค์ให้ตื่นพลางพูดว่า “นายท่าน นายท่าน พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว” พระองค์ตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น พายุจึงหยุดและสงบเงียบลง 25 พระองค์จึงถามพวกเขาว่า “ความเชื่อของเจ้าอยู่ที่ไหน” พวกเขาถามกันและกันด้วยความตกใจและอัศจรรย์ใจว่า “แล้วท่านผู้นี้เป็นใคร จึงสั่งลมและน้ำให้เชื่อฟังได้”

ขับไล่มารพ้นจากชายผู้หนึ่ง

26 พระเยซูกับเหล่าสาวกแล่นใบไปถึงดินแดนเก-ราซา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับแคว้นกาลิลี 27 เมื่อพระเยซูขึ้นฝั่ง ก็มีชายชาวเมืองเก-ราซาคนหนึ่งซึ่งมีมารสิงอยู่มาหาพระองค์ ชายคนนี้ไม่ได้สวมเสื้อตัวนอกและไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่อยู่ตามถ้ำเก็บศพ 28 เมื่อเขาเห็นพระเยซู เขาก็ล้มตัวลงแทบเท้าของพระองค์ และร้องตะโกนเสียงดังว่า “พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านมายุ่งเกี่ยวอะไรกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอร้องท่านว่าอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” 29 เป็นเพราะพระเยซูได้บัญชาให้วิญญาณร้ายออกมาจากตัวของชายคนนั้น เพราะหลายต่อหลายครั้งที่มันเข้ามาสิงเขา แม้มีคนคุมตัวเขา ถูกตรวนทั้งที่ข้อมือและข้อเท้า เขาก็ยังหักโซ่ตรวนได้ และมารผลักดันเขาออกไปยังที่ไม่มีผู้คน 30 พระเยซูถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร” เขาตอบว่า “เลเกโอน”[b] ด้วยว่ามีมารหลายตนสิงเขาอยู่ 31 พวกมันอ้อนวอนพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีกมิให้ส่งมันลงขุมนรก 32 ขณะนั้นมีหมูฝูงใหญ่ที่กำลังหากินอยู่บนเชิงเขาในบริเวณใกล้ๆ นั้น พวกมารอ้อนวอนให้พระเยซูปล่อยมันไปสิงในฝูงหมู พระองค์ก็อนุญาต 33 พวกมารจึงออกมาจากร่างของชายคนนั้น แล้วเข้าสิงในตัวหมู และทั้งฝูงเตลิดลงจากหน้าผาชันสู่ทะเลสาบและจมน้ำตาย

34 พวกคนเลี้ยงหมูที่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็วิ่งหนีออกไปบอกเรื่องนั้นทั้งในเมืองและชนบท 35 ผู้คนจึงพากันมาดูว่าได้เกิดอะไรขึ้น เมื่อคนเหล่านั้นมาหาพระเยซู ก็พบว่า ชายผู้พ้นอำนาจมารกำลังนั่งแทบเท้าพระเยซู โดยนุ่งห่มเสื้อผ้าและมีสติดี คนเหล่านั้นจึงพากันกลัว 36 พวกที่ได้เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้คนอื่นๆ ฟังว่าชายที่ถูกมารสิงนั้นหายได้อย่างไร 37 ผู้คนทั้งปวงในดินแดนเก-ราซาจึงขอให้พระเยซูไปเสียให้พ้น เพราะพวกเขาหวาดกลัวยิ่งนัก พระองค์จึงลงเรือจากไป 38 ส่วนชายที่มารออกจากตัวไปแล้ว ก็ได้อ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไปด้วย แต่พระเยซูไม่อนุญาต และกล่าวว่า 39 “จงกลับไปบ้าน และบอกผู้อื่นว่าพระเจ้าได้ช่วยเจ้ามากเพียงไร” ดังนั้นชายคนนั้นจึงจากไปเพื่อเล่าเรื่องให้คนทั่วเมืองทราบว่า พระเยซูได้ช่วยเขามากมายเพียงไร

พระเยซูผู้รักษาโรคนานาชนิด และผู้พลิกฟื้นความตาย

40 ครั้นพระเยซูกลับไป ประชาชนก็รอคอยต้อนรับพระองค์อยู่ 41 ไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมมาซบลงที่แทบเท้าของพระเยซู และอ้อนวอนให้พระองค์มายังบ้านของเขา 42 เพราะว่าลูกสาวคนเดียวของเขาซึ่งอายุประมาณ 12 ปีกำลังจะตาย

ครั้นพระเยซูไปกับเขา ผู้คนก็มาเบียดเสียดรายล้อมพระองค์มากมาย 43 และมีหญิงคนหนึ่งซึ่งตกโลหิตนานถึง 12 ปีโดยไม่มีใครรักษาได้ 44 เธอเข้ามาใกล้ทางเบื้องหลัง แล้วแตะที่ชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ โลหิตที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที 45 พระเยซูถามว่า “ใครแตะต้องตัวเรา” เมื่อไม่มีผู้ใดรับ เปโตรจึงพูดว่า “นายท่าน ผู้คนหนาแน่นเบียดเสียดท่านอยู่” 46 แต่พระเยซูกล่าวว่า “มีคนที่ได้แตะตัวเรา เพราะฤทธานุภาพได้แผ่ซ่านออกจากกายของเราไป” 47 หญิงคนนั้นเกรงว่าจะมีคนสังเกตเห็นการกระทำของเธอ จึงได้ทรุดตัวอันสั่นเทาลงแทบเท้าพระองค์ และพูดต่อหน้าผู้คนว่า เหตุใดเธอจึงแตะตัวพระองค์ และหายจากโรคทันทีได้อย่างไร 48 พระองค์จึงกล่าวกับเธอว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรค จงไปอย่างสันติสุขเถิด”

49 ขณะที่พระเยซูกำลังกล่าวอยู่ ก็มีคนมาจากบ้านของไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุม มาบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว อย่าได้รบกวนอาจารย์ท่านอีกเลย” 50 พระเยซูได้ยินดังนั้นจึงกล่าวกับไยรัสว่า “อย่ากลัวเลย เพียงแต่เชื่อ และเธอก็จะหายดี” 51 เมื่อพระองค์ไปถึงบ้านไยรัส ก็ไม่อนุญาตให้ใครล่วงเข้าไปด้านใน เว้นแต่เปโตร ยอห์น ยากอบ และบิดามารดาของเด็ก 52 ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังร้องไห้ฟูมฟายและร้องคร่ำครวญถึงเด็กน้อย พระเยซูกล่าวว่า “จงหยุดร้องไห้ฟูมฟายเถิด เธอไม่ตาย เพียงแค่หลับเท่านั้น” 53 ผู้คนพากันหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ว่าเธอตายแล้ว 54 แต่พระองค์จับมือเธอและกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” 55 วิญญาณของเธอก็กลับคืนสู่ร่าง แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนทันที และพระเยซูบอกให้คนเหล่านั้นนำอาหารมาให้เธอ 56 บิดามารดาของเธอก็ประหลาดใจ และพระองค์สั่งไม่ให้เขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ใด

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation