M’Cheyne Bible Reading Plan
22 แล้วดาวิดกล่าวว่า “นี่แหละเป็นที่สำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า และนี่ก็เป็นแท่นบูชาที่ใช้เผาสัตว์เพื่อเป็นของถวายสำหรับอิสราเอล”
ดาวิดเตรียมสร้างพระตำหนัก
2 ดาวิดสั่งให้รวบรวมประชากรต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอิสราเอลมา และท่านเลือกสรรช่างสกัดหินให้แต่งหิน เพื่อสร้างพระตำหนักของพระเจ้า 3 ดาวิดจัดหาเหล็กเป็นจำนวนมาก เพื่อตีคีมและตะปูใช้ประกอบบานประตูเมือง และท่านจัดหาทองสัมฤทธิ์เป็นจำนวนมากเกินที่จะชั่งได้ 4 และไม้ซีดาร์มากมายเกินที่จะนับได้ เพราะว่าชาวไซดอนและชาวไทระนำไม้ซีดาร์มามอบแก่ดาวิดจำนวนมาก 5 ดาวิดกล่าวว่า “ซาโลมอนบุตรของเราเป็นคนหนุ่มและยังอ่อนหัด พระตำหนักที่จะสร้างถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าต้องงามตระการที่สุด มีชื่อเสียง และความรุ่งโรจน์ ให้ดินแดนทั้งหลายได้เห็น ฉะนั้นเราจะเป็นผู้ตระเตรียมสิ่งต่างๆ ให้” ดังนั้นดาวิดจึงจัดหาวัสดุจำนวนมากก่อนท่านสิ้นชีวิต
ซาโลมอนสร้างพระตำหนัก
6 ครั้นแล้ว ท่านก็เรียกซาโลมอนบุตรชาย และกำหนดให้สร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 7 ดาวิดกล่าวกับซาโลมอนว่า “ลูกเอ๋ย เราตั้งใจจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา 8 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเราว่า ‘เจ้าได้ทำให้คนจำนวนมากหลั่งเลือด และได้ทำสงครามใหญ่มากมาย เจ้าจะไม่สร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา เพราะเจ้าได้ทำให้คนจำนวนมากหลั่งเลือดบนแผ่นดินโลกต่อหน้าเรา 9 ดูเถิด บุตรคนหนึ่งจะเกิดแก่เจ้า เขาจะเป็นผู้ที่ได้หยุดพัก เราจะให้เขาได้หยุดพักจากศัตรูที่อยู่รอบข้าง ชื่อของเขาคือซาโลมอน และเราจะให้ความสันติสุขและความสงบแก่อิสราเอลในสมัยของเขา 10 เขาจะสร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา เขาจะเป็นบุตรของเรา และเราจะเป็นบิดาของเขา และเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเขาในอิสราเอลตลอดกาล’[a]
11 ลูกเอ๋ย ขอพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า เพื่อเจ้าจะสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า อย่างที่พระองค์ได้กล่าวถึงเรื่องเจ้าไว้ 12 ขอพระผู้เป็นเจ้ามอบปฏิภาณและการหยั่งรู้ให้แก่เจ้า เพื่อเวลาที่พระองค์ให้เจ้าปกครองอิสราเอล เจ้าจะปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า 13 แล้วเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองถ้าเจ้าระมัดระวังปฏิบัติตามคำบัญชาและกฎเกณฑ์ที่พระองค์บัญชาโมเสสเพื่ออิสราเอล จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าหวาดหวั่นและอย่าท้อใจ 14 เราได้จัดหาทองคำ 100,000 ตะลันต์ เงิน 1,000,000 ตะลันต์ ทองสัมฤทธิ์และเหล็กมากเกินที่จะนับได้ เพราะมีมากเหลือเกิน ไม้และหินด้วย เราได้จัดหาให้ด้วยความลำบากยากยิ่งเพื่อพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เจ้าอาจจะต้องเพิ่มเติมอีกก็ได้ 15 เจ้ามีช่างมากมายเช่น ช่างสกัดหิน ช่างก่ออิฐ ช่างไม้ และช่างฝีมือทุกแขนงที่ชำนาญงานจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน 16 มีทั้งทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก จงเริ่มทำงานได้ ขอพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้า”
17 ดาวิดสั่งบรรดาผู้นำของอิสราเอลทั้งปวงให้ช่วยซาโลมอนบุตรของท่านด้วยว่า 18 “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกท่านสถิตกับท่านมิใช่หรือ พระองค์ได้ให้ท่านได้หยุดพักจากประเทศที่อยู่ข้างเคียงมิใช่หรือ เพราะว่าพระองค์ได้มอบบรรดาผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินให้แก่เรา และแผ่นดินก็สยบอยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าและชนชาติของพระองค์ 19 บัดนี้พวกท่านจงรวบรวมความคิดและจิตใจ กระทำตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน จงเริ่มสร้างที่พำนักของพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า เพื่อหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และภาชนะบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะได้นำเข้ามาในพระตำหนักที่สร้างเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า”
ภรรยาและสามี
3 ภรรยาทั้งหลายก็เช่นกัน จงยอมเชื่อฟังสามี หากสามีบางคนไม่เชื่อฟังคำกล่าวของพระเจ้า แต่ความประพฤติของภรรยาอาจจะจูงใจพวกเขาได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดเลย 2 เขาจะได้เห็นความบริสุทธิ์และความยำเกรงในชีวิตของท่าน 3 ความงามของท่านไม่ควรเกิดจากการประดับกายภายนอก เช่น การถักผม สวมเครื่องประดับทองและเสื้อผ้าสวยงาม 4 แต่ควรเป็นความงามภายในที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย คือความอ่อนโยนและความสงบของวิญญาณ ซึ่งมีคุณค่ายิ่งในสายตาของพระเจ้า 5 เพราะในวิธีนี้ที่บรรดาหญิงบริสุทธิ์ในอดีตมีความหวังในพระเจ้า และเคยแต่งกายให้งามโดยการยอมเชื่อฟังสามีของตน 6 ดังเช่นนางซาราห์ที่ได้เชื่อฟังอับราฮัม และเรียกท่านว่า นายท่าน ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติถูกต้องและไม่หวาดกลัวสิ่งใด ท่านก็เป็นลูกสาวของนาง
7 สามีทั้งหลายก็เช่นกัน จงเข้าใจภรรยาที่อยู่ร่วมกัน ให้เกียรติว่านางเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับท่าน คือชีวิตแห่งพระคุณ เพื่อว่าจะได้ไม่มีสิ่งใดขัดขวางคำอธิษฐานของท่านได้
รับทุกข์ทรมานจากการทำดี
8 สุดท้ายนี้ท่านทั้งหลาย จงดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกัน มีความเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง จงมีใจสงสารและถ่อมตน 9 อย่าสนองตอบความเลวร้ายด้วยความเลวร้าย หรือสบประมาทด้วยการสบประมาท แต่จงตอบด้วยการอวยพรเขา พระองค์เรียกท่านมาด้วยจุดประสงค์นี้ เพื่อท่านจะได้รับพระพร 10 ด้วยว่า
“ใครก็ตามที่ยินดีกับชีวิต
และประสบกับสิ่งดีงาม
ต้องบังคับลิ้นไม่ให้พูดสิ่งที่ชั่ว
และไม่ให้ปากพูดล่อลวง
11 เขาต้องหลีกเลี่ยงการทำความชั่วเพื่อทำความดี
เขาต้องใฝ่หาสันติสุขและมุ่งมั่นเพื่อจะได้มาซึ่งสันติสุขนั้น
12 เพราะว่าตาของพระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนที่มีความชอบธรรม
และพระองค์ฟังคำอธิษฐานของเขา
แต่พระผู้เป็นเจ้าขัดขวางบรรดาผู้กระทำความชั่ว”[a]
13 ถ้าท่านมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทำความดีแล้ว ใครจะปองร้ายท่านได้ 14 แต่ถ้าหากว่าท่านต้องรับทุกข์ทรมานจากการประพฤติที่ถูกต้อง ท่านก็จะเป็นสุข “อย่ากลัวสิ่งที่เขากลัว และอย่าตระหนกตกใจ”[b] 15 จงยกย่องนับถือในใจท่าน ว่าพระคริสต์เป็นพระผู้เป็นเจ้า และพร้อมเสมอที่จะตอบทุกคนที่ถามท่าน ว่าเหตุใดท่านจึงมีความหวัง แต่จงกระทำด้วยความอ่อนโยนและความเคารพ 16 จงมีมโนธรรมที่ดี เพื่อว่าเวลามีคนพูดคัดค้านต่อความประพฤติดีของท่านที่มีในพระคริสต์ เขาจะรู้สึกละอายใจกับการว่าร้ายของเขา 17 หากว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ให้เรารับทุกข์ทรมานจากการทำดี ก็ยังจะดีกว่ารับทุกข์ทรมานจากการทำชั่ว
18 เพราะว่าพระคริสต์สิ้นชีวิตเพื่อบาปเพียงครั้งเดียวเป็นพอ องค์ผู้มีความชอบธรรมกระทำให้สำหรับคนที่ไม่มีความชอบธรรม เพื่อพาท่านเข้าถึงพระเจ้า คือพระองค์สิ้นชีวิตฝ่ายกาย แต่พระองค์มีชีวิตฝ่ายวิญญาณ 19 และโดยทางวิญญาณ พระองค์ไปประกาศแก่เหล่าวิญญาณที่ถูกจำคุกอยู่ 20 คือนานมาแล้วพวกเขาไม่เชื่อฟัง เมื่อครั้งที่พระเจ้ารอด้วยความอดทน ในสมัยของโนอาห์ขณะที่มีการสร้างเรือใหญ่อยู่ มีเพียงไม่กี่คน คือรวมทั้งหมดได้ 8 คนที่อยู่ในเรือใหญ่เท่านั้นที่รอดชีวิตจากน้ำ 21 และน้ำนี้เป็นสัญลักษณ์ของบัพติศมาซึ่งขณะนี้ช่วยท่านให้รอดพ้นเช่นกัน ไม่ใช่เป็นการล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย แต่เป็นการขอร้องพระเจ้าเพื่อช่วยให้เรามีมโนธรรมที่ดี โดยการฟื้นคืนชีวิตจากความตายของพระเยซูคริสต์ 22 พระองค์ได้ไปสวรรค์และสถิต ณ เบื้องขวาของพระเจ้า มีบรรดาทูตสวรรค์ บรรดาผู้มีสิทธิอำนาจ และผู้มีอานุภาพฝ่ายวิญญาณอยู่ใต้บัญชาของพระองค์ด้วย
1 คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงมีคาห์แห่งโมเรเชท ในรัชสมัยโยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์ บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์[a] ท่านเห็นภาพนิมิตเกี่ยวกับสะมาเรียและเยรูซาเล็ม
ความพินาศใกล้เข้ามา
2 โอ บรรดาชนชาติเอ๋ย พวกท่านทุกคนจงฟัง
โอ แผ่นดินโลกเอ๋ย ทุกคนที่อยู่ในนั้น จงตั้งใจฟัง
และให้พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นพยานถึงสิ่งที่พวกท่านกระทำ
พระผู้เป็นเจ้าจะมาจากพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
3 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้ากำลังออกมาจากที่ของพระองค์
พระองค์จะลงมาและเดินย่ำสถานบูชาบนภูเขาสูงของแผ่นดินโลก
4 และภูเขาจะละลายอยู่ภายใต้พระองค์
หุบเขาจะแยกออก
เหมือนขี้ผึ้งที่อยู่หน้าไฟ
เหมือนน้ำที่ไหลลงจากที่สูงชัน
5 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นก็เพราะการล่วงละเมิดของยาโคบ
เพราะบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
การล่วงละเมิดของยาโคบคืออะไร
ไม่ใช่สะมาเรียหรือ
และอะไรคือสถานบูชาบนภูเขาสูงของยูดาห์
ไม่ใช่เยรูซาเล็มหรือ
6 “ฉะนั้น เราจะทำให้สะมาเรียเป็นกองหินปรักหักพังในทุ่งโล่ง
เป็นที่สำหรับปลูกสวนองุ่น
และเราจะเทหินของเมืองนั้นลงสู่หุบเขา
และจะไม่มีอะไรเหลือจนถึงฐานราก
7 รูปเคารพทั้งสิ้นของเมืองจะถูกทุบจนแหลก
ค่าจ้างทั้งสิ้นของเมืองนั้นจะถูกเผาไฟ
และเราจะทำลายรูปบูชาทั้งสิ้นให้พินาศ
ด้วยว่า เมืองนั้นสะสมมันมาได้จากค่าจ้างของหญิงแพศยา
และสิ่งเหล่านั้นจะกลับไปเป็นค่าจ้างของหญิงแพศยาอีก”
8 ข้าพเจ้าจะร้องรำพันและร้องฟูมฟาย
ข้าพเจ้าจะเดินเท้าเปล่าและไม่สวมเสื้อ
ข้าพเจ้าจะหอนดั่งหมาใน
และโอดครวญดั่งนกกระจอกเทศ
9 เพราะบาดแผลของเมืองนั้นรักษาไม่หาย
และได้เกิดขึ้นกับยูดาห์
มันถึงประตูเมืองของชนชาติของข้าพเจ้าแล้ว
มาจนถึงเยรูซาเล็ม
10 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท
อย่าร้องไห้เลย
พวกท่านจงเกลือกกลิ้งตัวในฝุ่น
ที่เมืองเบธเลอัฟราห์
11 ชาวเมืองชาฟีร์เอ๋ย
จงไปตามทางของพวกท่าน
ด้วยความเปลือยเปล่าและความอับอาย
ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองศาอานันเอ๋ย
จงอย่าออกมา
เบธเอเซลร้องรำพัน
ที่ยืนอันมั่นคงจะถูกเอาไปจากพวกท่าน
12 ด้วยว่า บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในมาโรทเจ็บปวดแสนสาหัส
รอด้วยความหวังว่าจะดีขึ้น
เพราะความเลวร้ายได้ลงมาจากพระผู้เป็นเจ้า
และถึงประตูเมืองเยรูซาเล็ม
13 บรรดาผู้อาศัยอยู่ในลาคีชเอ๋ย
จงผูกอานม้าเข้ากับรถศึก
ท่านเป็นจุดเริ่มต้น
ที่ทำให้ธิดาแห่งศิโยนทำบาป
ด้วยว่า ท่านกระทำตาม
การล่วงละเมิดของอิสราเอล
14 ฉะนั้นท่านจงมอบสินสอด
ให้แก่โมเรเชทกัท
พงศ์พันธุ์ของอัคซีบจะกลายเป็นผู้หลอกลวง
สำหรับบรรดากษัตริย์ของอิสราเอล
15 “ผู้อยู่อาศัยของมาเรชาห์เอ๋ย
เราจะนำผู้ยึดครองมายังเจ้า
ความสูงส่งของอิสราเอล
จะมายังอดุลลาม
16 จงโกนศีรษะให้ล้านเป็นการไว้อาลัย
เพื่อลูกหลานที่เจ้าชื่นชอบ
โกนศีรษะให้ล้านอย่างนกแร้ง
เพราะพวกเขาจะลี้ภัยไปจากเจ้า”
พระเยซูให้โอวาทแก่สาวก 72 คนก่อนออกไปประกาศ
10 หลังจากนั้นพระเยซูเจ้าแต่งตั้งสาวกอื่นอีก 72 คน[a] โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 2 คน เดินทางล่วงหน้าไปยังทุกๆ เมืองและทุกที่ที่พระองค์จะผ่านไป 2 พระองค์บอกพวกเขาว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีอยู่มากมายแต่คนงานมีจำนวนน้อย ฉะนั้นจงขอให้พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าของนาส่งพวกคนงานออกไปเก็บเกี่ยวในนา 3 จงไปเถิด เราส่งพวกเจ้าออกไปเช่นพวกลูกแกะท่ามกลางเหล่าสุนัขป่า 4 อย่านำถุงเงิน ย่าม หรือรองเท้าไป และก็อย่าทักทายผู้ใดตามถนนหนทาง 5 เมื่อเจ้าเข้าไปในบ้านใด ก่อนอื่นจงกล่าวคำทักทายว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้’ 6 ถ้าผู้มีสันติสุขอยู่ที่นั่น คำทักทายแห่งสันติสุขของเจ้าจะอยู่กับเขา มิฉะนั้นแล้วคำทักทายแห่งสันติสุขจะย้อนกลับมาสู่เจ้า 7 จงพักอยู่ที่บ้านหลังนั้น ดื่มกินสิ่งที่เขาให้ เพราะคนงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน อย่าได้โยกย้ายจากบ้านนี้ไปบ้านโน้น 8 เมื่อเจ้าเข้าไปในเมืองและชาวเมืองต้อนรับก็จงกินสิ่งที่เขาจัดหาให้ 9 จงรักษาผู้ป่วยที่นั่นและบอกเขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่าน’ 10 หากเจ้าเข้าไปในเมือง และเขาไม่ยอมรับก็จงไปตามถนนและประกาศว่า 11 ‘แม้ฝุ่นผงในเมืองของท่านที่ติดเท้าเรา เราปัดออกเพื่อแสดงถึงความผิดของท่าน จงแน่ใจได้ว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว’ 12 เราขอบอกเจ้าว่า ในวันนั้นเมืองโสโดม[b]จะทนได้มากกว่าเมืองนั้น
13 วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติจงเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา หากสิ่งอัศจรรย์ทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าเจ้า มาปรากฏในเมืองไทระและไซดอน พวกเขาจะต้องกลับใจไปนานแล้ว ทั้งนุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ และนั่งปาขี้เถ้าใส่หัวตัวเอง 14 แต่ในวันพิพากษา เมืองไทระและไซดอนจะทนได้มากกว่าเจ้า 15 ฝ่ายเจ้าเอง เมืองคาเปอร์นาอุม เจ้าจะได้รับการยกขึ้นสู่ฟ้าหรือ เปล่าเลย เจ้าจะดิ่งลงไปถึงแดนคนตาย
16 ผู้ที่ฟังเจ้าก็ฟังเรา ผู้ไม่ยอมรับเจ้าก็จะไม่ยอมรับเรา และผู้ไม่ยอมรับเราก็จะไม่ยอมรับพระองค์ผู้ส่งเรามา”
17 สาวก 72 คน[c]กลับมาด้วยความยินดีและพูดว่า “พระองค์ท่าน แม้แต่พวกมารก็ยังยอมเชื่อฟังพวกเราเมื่อเราใช้พระนามของพระองค์” 18 พระองค์ตอบว่า “เราเห็นซาตาน[d]ตกลงจากสวรรค์ราวฟ้าแลบ 19 เรามอบสิทธิอำนาจให้แก่เจ้าเพื่อเหยียบขยี้พวกงู แมงป่อง[e] และเอาชนะอำนาจทั้งปวงของศัตรู ไม่มีสิ่งใดที่จะทำร้ายเจ้าได้เลย 20 อย่างไรก็ดี อย่าชื่นชมยินดีที่เหล่าวิญญาณยอมเชื่อฟังเจ้า แต่จงชื่นชมยินดีที่นามของเจ้าได้มีบันทึกไว้แล้วในสวรรค์”
21 ในขณะนั้นพระเยซูชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ผู้เป็นพระบิดา พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์และโลก เพราะพระองค์ได้ซ่อนสิ่งเหล่านี้จากผู้เรืองปัญญา คนฉลาด แล้วเปิดเผยให้แก่พวกเด็กเล็กๆ ใช่แล้ว พระบิดา เพราะว่านี่คือความพึงพอใจของพระองค์ 22 พระบิดาของเราได้มอบสิ่งทั้งปวงให้แก่เรา ไม่มีใครทราบว่าพระบุตรคือใคร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครทราบว่าพระบิดาคือใคร นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเลือกที่จะเปิดเผยให้รู้ถึงพระองค์”
23 แล้วพระองค์หันไปยังเหล่าสาวก กล่าวกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่า “นัยน์ตาทั้งหลายที่เห็นสิ่งที่เจ้าเห็นก็เป็นสุข 24 เราขอบอกเจ้าว่า มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหลายท่าน และกษัตริย์จำนวนมากใคร่จะเห็นเช่นเจ้าเห็น แต่ไม่อาจเห็น และใคร่ได้ยินเช่นเจ้าได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน”
อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้มีเมตตา
25 ครั้งหนึ่งผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติลุกขึ้นถามเป็นการทดสอบพระเยซูว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 26 พระองค์ตอบว่า “ในหมวดกฎบัญญัติเขียนไว้อย่างไร แล้วท่านอ่านได้ความว่าอย่างไร” 27 เขาตอบว่า “‘จงรักพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างสุดดวงใจ สุดดวงจิต สุดกำลัง และสุดความคิดของท่าน’[f] และ ‘จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง’”[g] 28 พระเยซูตอบว่า “ท่านตอบได้ถูกต้องแล้ว จงทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต”
29 แต่เขาต้องการจะแก้ตัว ฉะนั้นเขาถามต่อไปว่า “แล้วใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” 30 พระเยซูตอบว่า “มีชายคนหนึ่งกำลังจากเมืองเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค ระหว่างทางโจรได้ปล้นเขาโดยเปลื้องเอาเสื้อผ้าของเขา ทั้งยังทุบตีก่อนจะหนีหายไป ทิ้งชายผู้บาดเจ็บเจียนตายไว้ 31 เผอิญมีปุโรหิตคนหนึ่งเดินไปตามถนนนั้น เมื่อเห็นผู้บาดเจ็บกลับเดินเลยไปอีกฟากถนน 32 ชาวเลวี[h]คนหนึ่งซึ่งผ่านมาถึงที่นั่นเหมือนกันและเห็นชายคนนั้นก็เดินเลยไปอีกฟากถนน 33 ส่วนชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางผ่านมาจนมาใกล้ชายคนนั้น เมื่อเห็นเขาแล้วก็เกิดความสงสาร 34 จึงเข้าไปช่วยพันบาดแผล เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงที่บาดแผลให้ แล้วพาดชายคนนั้นบนลาของเขาเอง พาเขาไปที่โรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อช่วยรักษา 35 วันรุ่งขึ้นชายเดินทางผู้นั้นหยิบ 2 เหรียญเดนาริอันออกมาให้เจ้าของโรงแรม และพูดว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เวลาเรากลับมาเราจะชดใช้ส่วนที่ขาดให้’ 36 ท่านคิดว่า 3 คนที่ว่ามานี้ คนไหนเป็นเพื่อนบ้านของชายที่ตกอยู่ในมือของโจร” 37 ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติตอบว่า “คนที่มีเมตตาต่อเขา” พระเยซูกล่าวว่า “จงไปปฏิบัติเช่นนั้นเถิด”
มาร์ธาและมารีย์
38 ขณะที่พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์เดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มาร์ธาหญิงในหมู่บ้านนั้นได้ต้อนรับพระองค์ที่บ้านของเธอเอง 39 มารีย์ผู้เป็นน้องสาวนั่งชิดแทบเท้าของพระเยซูเจ้า เพื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ 40 แต่มาร์ธากลับหมกมุ่นอยู่กับการเตรียมต้อนรับ เธอมาถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์ไม่ห่วงหรอกหรือว่าน้องสาวทิ้งงานให้ข้าพเจ้าทำแต่ผู้เดียว ขอพระองค์ได้โปรดเตือนให้เธอมาช่วยข้าพเจ้าด้วย” 41 พระเยซูเจ้าตอบว่า “มาร์ธา มาร์ธา เจ้าเอาแต่กังวลและอารมณ์เสียกับหลายเรื่อง 42 มีสิ่งเดียวที่จำเป็น มารีย์ได้เลือกกระทำสิ่งที่ดีกว่าซึ่งไม่มีใครจะเอาไปจากเธอได้”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation