Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 18

เฮเซคียาห์ครองราชย์ในยูดาห์

18 ในปีที่สามของโฮเชยาบุตรของเอลาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล เฮเซคียาห์บุตรของอาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์เริ่มครองราชย์ ท่านมีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 29 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่ออาบียาห์บุตรหญิงของเศคาริยาห์ ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับทุกสิ่งที่ดาวิดบรรพบุรุษของท่านได้กระทำ ท่านรื้อสถานบูชาบนภูเขาสูง ท่านพังเสาหินและเทวรูปอาเชราห์ และทุบงูทองสัมฤทธิ์ที่โมเสสทำจนหักเป็นชิ้นๆ ประชาชนอิสราเอลได้เผาเครื่องหอมแก่งูนั้นเรื่อยมาจนถึงเวลานั้น[a] ท่านเรียกงูนั้นว่า เนหุชทาน ท่านวางใจในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีผู้ใดในบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ต่อจากท่าน หรือก่อนหน้าท่าน ที่เป็นเหมือนท่าน เพราะว่าท่านอยู่ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า ท่านไม่ห่างเหินไปจากพระองค์ แต่รักษาพระบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส และพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับท่าน ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ท่านก็ประสบความสำเร็จ ท่านแข็งข้อต่อกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และไม่ยอมรับใช้ท่าน ท่านโจมตีฟีลิสเตียจนพ่ายไป จนถึงกาซาและอาณาบริเวณ ตั้งแต่หอคอยไปจนถึงเมืองที่ป้องกันไว้อย่างแข็งแกร่ง

ในปีที่สี่ของกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดของโฮเชยาบุตรเอลาห์กษัตริย์แห่งอิสราเอล ชัลมันเอเสร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตีสะมาเรีย และล้อมเมืองไว้ 10 และท่านก็ยึดเมืองได้ในเวลาเกือบ 3 ปี สะมาเรียถูกยึดไปในปีที่หกของเฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เก้าของโฮเชยากษัตริย์แห่งอิสราเอล 11 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจับชาวอิสราเอลไปอยู่ที่อัสซีเรีย ให้อยู่ที่ฮาลาห์ ใกล้แม่น้ำฮาโบร์ในเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของชาวมีเดีย 12 เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา และละเมิดพันธสัญญาที่พระองค์บัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาไม่ฟังและไม่ปฏิบัติตามพระองค์เลย

เซนนาเคอริบโจมตียูดาห์

13 ในปีที่สิบสี่ของกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตีเมืองทั้งหลายของยูดาห์ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง และยึดไปได้ 14 เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์มีสาสน์ถึงกษัตริย์แห่งอัสซีเรียที่เมืองลาคีชว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำผิด ขอท่านถอนทัพไปจากข้าพเจ้า ไม่ว่าท่านจะเรียกร้องจากข้าพเจ้าเท่าไหร่ก็ยอม” กษัตริย์แห่งอัสซีเรียขอเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เป็นเงินจำนวน 300 ตะลันต์[b] และทองคำ 30 ตะลันต์ 15 เฮเซคียาห์จึงมอบเงินทั้งหมดที่หาได้ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และในคลังของกษัตริย์ 16 ในเวลานั้นเฮเซคียาห์เลาะทองคำออกจากประตูพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และจากกรอบประตูที่เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กรุไว้ แล้วก็มอบให้แก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย 17 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียใช้แม่ทัพใหญ่ ผู้บัญชาการ ผู้บังคับกองพัน พร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมืองลาคีช ให้ไปยังกษัตริย์เฮเซคียาห์ที่เยรูซาเล็ม พวกเขาก็ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม ครั้นไปถึง พวกเขาก็ไปยืนอยู่ที่ถนนหลวงข้างร่องน้ำที่สระบน ซึ่งอยู่ใกล้แหล่งซักผ้า 18 เมื่อพวกเขาเรียกหากษัตริย์ ผู้ที่ออกมาพบคือ เอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ผู้บริหารวัง เชบนาห์เลขาของกษัตริย์ และโยอาห์บุตรอาสาฟผู้บันทึกสาสน์

19 ผู้บังคับกองพันพูดกับพวกเขาว่า “จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า ‘กษัตริย์แห่งอัสซีเรียกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า ท่านวางใจในสิ่งใด จึงมีความมั่นใจเช่นนี้ 20 ท่านคิดหรือว่า คำพูดเท่านั้นจะเป็นวิธีการและกำลังที่ใช้ในศึกสงครามได้ ท่านไว้วางใจใคร ท่านจึงไม่ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา 21 ดูเถิด ท่านกำลังพึ่งพาอียิปต์ ซึ่งเป็นประหนึ่งไม้เท้าหักที่ทำจากไม้อ้อ และจะทิ่มแทงมือของคนที่ยันมันไว้ ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ก็เป็นอย่างนั้นต่อทุกคนที่พึ่งพาเขา 22 แต่ถ้าท่านบอกเราว่า “เราไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา” เฮเซคียาห์เป็นผู้ที่กำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงและแท่นบูชามิใช่หรือ และยังบอกประชาชนชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า “เจ้าจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้ในเยรูซาเล็ม” 23 มาเถิด มาต่อรองกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียนายข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะให้ม้า 2,000 ตัวแก่ท่าน ถ้าท่านสามารถหาคนขี่ได้ 24 ท่านจะปฏิเสธทหารรับใช้คนหนึ่งในหมู่ผู้รับใช้ผู้น้อยสุดของเจ้านายข้าพเจ้าได้อย่างไร ในขณะที่ท่านพึ่งพาอียิปต์ในเรื่องรถศึกและทหารม้า 25 ยิ่งกว่านั้น ด้วยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้ามิใช่หรอกหรือ ข้าพเจ้าจึงได้ขึ้นมาโจมตีสถานที่นี้ให้พินาศ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า จงขึ้นไปโจมตีแผ่นดินนี้ให้พินาศ’”

26 เอลียาคิม (บุตรฮิลคียาห์) เชบนาห์ และโยอาห์ พูดกับผู้บังคับกองพันว่า “กรุณาพูดกับบรรดาผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอาราเมคเถิด เพราะพวกเราเข้าใจ อย่าพูดกับพวกเราเป็นภาษาของชาวยูดาห์ เพราะว่าประชาชนที่อยู่บนกำแพงเมืองกำลังฟังเราพูดกัน” 27 แต่ผู้บังคับกองพันตอบว่า “เจ้านายของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้ามาพูดกับเจ้านายของท่านและกับท่านเท่านั้นหรือ ไม่ให้พูดกับพวกที่นั่งอยู่บนกำแพงเมืองหรือ พวกเขาต้องรับโทษให้กินอุจจาระและปัสสาวะของพวกเขาเองร่วมกับท่านด้วย”

28 แล้วผู้บังคับกองพันก็ยืนขึ้น และร้องเสียงดังเป็นภาษาของชาวยูดาห์ว่า “จงฟังคำของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ 29 กษัตริย์กล่าวดังนี้ว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงพวกเจ้า เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยพวกเจ้าให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของเราได้ 30 อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้พวกเจ้าวางใจในพระผู้เป็นเจ้าด้วย คำพูดที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยพวกเราให้รอด และเมืองนี้จะไม่ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย’ 31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์แห่งอัสซีเรียกล่าวดังนี้ว่า ‘จงยอมสงบศึกกับเรา และออกมาหาเรา แล้วพวกเจ้าแต่ละคนจะกินจากเถาองุ่นของตนเอง และจากต้นมะเดื่อของตนเอง และพวกเจ้าแต่ละคนจะดื่มน้ำจากบ่อของตนเอง 32 จนกว่าเราจะมานำพวกเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนของพวกเจ้าเอง แผ่นดินแห่งเมล็ดข้าวและเหล้าองุ่น แผ่นดินแห่งขนมปังและไร่องุ่น แผ่นดินแห่งต้นมะกอกและน้ำผึ้ง เพื่อพวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่ และไม่ตาย และอย่าฟังเฮเซคียาห์เวลาเขาทำให้พวกเจ้าเข้าใจผิด ด้วยการพูดที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยพวกเราให้รอด 33 มีเทพเจ้าของประชาชาติใดบ้าง ที่เคยช่วยแผ่นดินของเขาให้รอดจากเงื้อมมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ 34 ปวงเทพเจ้าของเมืองฮามัทและอาร์ปัดอยู่ไหนล่ะ ปวงเทพเจ้าของเสฟาร์วาอิม เฮนา และอิฟวาห์อยู่ไหนล่ะ เทพเจ้าเหล่านั้นได้ช่วยสะมาเรียให้รอดจากเงื้อมมือของเราหรือ 35 มีเทพเจ้าใดของแผ่นดินเหล่านี้บ้าง ที่ได้ช่วยแผ่นดินของพวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของเราได้ อย่างนี้แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเยรูซาเล็มให้รอดจากเงื้อมมือของเราได้หรือ’”

36 แต่พวกเขาก็เงียบและไม่ตอบเขาสักคำเดียว เพราะกษัตริย์สั่งไว้ว่า “อย่าตอบเขา” 37 เอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ผู้บริหารวัง เชบนาเลขาของกษัตริย์ และโยอาห์บุตรอาสาฟผู้บันทึกสาสน์ จึงฉีกเสื้อผ้าของตน ไปหาเฮเซคียาห์และบอกท่านว่าผู้บังคับกองพันพูดอะไรบ้าง

ฟีเลโมน

การทักทายของเปาโล

ข้าพเจ้าเปาโลถูกจำคุกเนื่องจากการรับใช้พระเยซูคริสต์ กับทิโมธีน้องชายของเรา

ถึง ฟีเลโมนเพื่อนร่วมงานที่รักของเรา ถึง อัปเฟียน้องสาวของเรา และอาร์คิปปัสผู้เป็นเพื่อนทหารด้วยกันกับเรา และถึงคริสตจักรที่พบกันในบ้านของท่าน

ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า จงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด

คำอธิษฐานขอบพระคุณ

เวลาอธิษฐาน ข้าพเจ้าระลึกถึงท่าน และขอบคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าเสมอ เพราะได้ยินเรื่องความรักของท่านที่มีต่อบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน และความเชื่อซึ่งท่านมีต่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ท่านจะแสดงความเชื่อของท่านให้เป็นที่ประจักษ์เสมอ ท่านจะได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่ดีงามทุกประการ ซึ่งเราสามารถกระทำเพื่อพระคริสต์ได้[a] น้องเอ๋ย ความรักของท่านได้ทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดีและมีกำลังใจอย่างยิ่ง เพราะท่านได้ทำให้บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าชื่นใจ

เปาโลขอร้องเรื่องโอเนสิมัส

ฉะนั้น แม้ว่าข้าพเจ้ามีความมั่นใจในพระคริสต์มากพอที่จะสั่งให้ท่านทำสิ่งที่ควรกระทำ แต่เป็นเพราะความรัก ข้าพเจ้าจึงอยากจะขอร้องท่านมากกว่า ข้าพเจ้าเปาโลชราลงแล้ว และบัดนี้ถูกจำคุกอยู่เนื่องจากการรับใช้พระเยซูคริสต์ 10 ข้าพเจ้าขอร้องท่านเรื่องลูกของข้าพเจ้า คือโอเนสิมัส[b]เขาได้มาเป็นลูกของข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่อยู่ 11 เมื่อก่อนเขาไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน แต่มาบัดนี้เขาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งแก่ท่านและแก่ข้าพเจ้า 12 ข้าพเจ้าส่งเขากลับมาหาท่าน ซึ่งเท่ากับส่งดวงใจของข้าพเจ้ามา 13 และอยากจะให้เขาอยู่กับข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้ปฏิบัติหน้าที่แทนท่านได้ในการช่วยเหลือข้าพเจ้าขณะที่ข้าพเจ้าถูกจำคุกอยู่เพื่อข่าวประเสริฐ 14 แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการกระทำสิ่งใดลงไปนอกจากท่านจะเห็นด้วย เพื่อว่าคุณความดีที่ท่านกระทำจะไม่เป็นการฝืนใจ แต่จะเป็นความประสงค์ของท่าน 15 อาจจะเป็นไปได้ว่า เหตุที่เขาห่างไกลไปจากท่านชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็เพื่อท่านจะได้เขากลับคืนตลอดไป 16 ไม่ใช่เป็นทาสอีกต่อไป แต่ดียิ่งกว่าทาส คือเป็นพี่น้องที่รัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่รักของข้าพเจ้าอย่างมาก และจะเป็นที่รักของท่านมากยิ่งกว่าเพียงไร ทั้งในฐานะที่เป็นมนุษย์และเป็นพี่น้องในพระผู้เป็นเจ้า

17 ดังนั้น ถ้าท่านนับว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ร่วมงาน ก็โปรดต้อนรับเขาไว้เหมือนท่านต้อนรับข้าพเจ้าเอง 18 แต่ถ้าเขากระทำผิดต่อท่านประการใด หรือเป็นหนี้ท่านในสิ่งใด ท่านจงคิดเอาคืนจากข้าพเจ้า 19 ข้าพเจ้าเปาโลเขียนข้อความนี้ด้วยมือของตนเองว่า ข้าพเจ้าจะใช้คืนให้ ไม่จำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องทวงถึงชีวิตของท่านว่าท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า 20 น้องเอ๋ย จงให้ข้าพเจ้าได้รับผลประโยชน์จากท่านในพระผู้เป็นเจ้าเถิด ขอให้ข้าพเจ้าได้ชื่นใจในพระคริสต์เถิด

21 ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านด้วยความมั่นใจว่าท่านจะเชื่อฟังเป็นอย่างดี เพราะข้าพเจ้าทราบว่าท่านจะปฏิบัติมากยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าขอ 22 และอีกอย่างหนึ่งคือ ขอให้ท่านทั้งหลายช่วยจัดเตรียมห้องพักไว้สำหรับข้าพเจ้าด้วย เพราะหวังว่าจะได้กลับมาหาท่านอีกตามคำอธิษฐานของท่าน

คำลงท้าย

23 เอปาฟรัสเพื่อนร่วมคุกของข้าพเจ้าในพระเยซูคริสต์ฝากความคิดถึงมายังท่าน 24 มาระโก อาริสทาร์คัส เดมาส และลูกาผู้เป็นเพื่อนร่วมงานกับข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย

25 ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่กับวิญญาณของท่านทั้งหลายเถิด

โฮเชยา 11

ความรักของพระผู้เป็นเจ้ามีต่ออิสราเอล

11 เมื่ออิสราเอลยังเป็นเด็ก เรารักเขามาก
    และเราเรียกบุตรของเราออกมาจากประเทศอียิปต์[a]
ยิ่งเขาถูกเรียกให้มา
    พวกเขายิ่งหนีห่างออกไป
พวกเขามอบเครื่องสักการะให้แก่บาอัล
    และเผาเครื่องบูชาให้แก่รูปเคารพทั้งหลาย
แต่ก็เป็นเรานั่นแหละที่สั่งสอนเอฟราอิมให้เดิน
    เราจูงมือจูงแขนของพวกเขา
แต่พวกเขาไม่ตระหนักใจเลยว่า
    เราได้รักษาพวกเขาให้หายขาด
เรานำพวกเขาไปด้วยสายใยของความเป็นมนุษย์
    ด้วยความผูกพันแห่งความรัก
และเราคลายแอกจากคอของพวกเขา
    และเราก้มลงให้อาหารแก่พวกเขา

พวกเขาจะไม่กลับไปยังแผ่นดินอียิปต์
    แต่อัสซีเรียจะเป็นกษัตริย์ของพวกเขา
    เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะกลับมาหาเรา
ดาบจะห้ำหั่นเมืองต่างๆ
    และจะพังดาลประตูของพวกเขา
    และทำให้แผนการของพวกเขาพินาศ
ชนชาติของเราได้ตัดสินใจหันเหไปจากเรา
    และถ้าแม้ว่าพวกเขาจะร้องเรียกถึงองค์ผู้สูงสุด
    พระองค์ก็จะไม่ช่วยพวกเขาให้ลุกขึ้นมาได้อีก

โอ เอฟราอิมเอ๋ย เราจะไม่แยแสเจ้าได้อย่างไร
    โอ อิสราเอลเอ๋ย เราจะยกเจ้าให้ผู้อื่นได้อย่างไร
เราจะทำให้เจ้าเป็นอย่างอัดมาห์ได้อย่างไร
    เราจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเศโบยิมได้อย่างไร[b]
ส่วนลึกในใจของเราเปลี่ยนไป
    พร้อมกับความเมตตาของเราที่ถูกกระตุ้นขึ้น
เราจะไม่ปฏิบัติตามความกริ้วของเราที่คุขึ้น
    เราจะไม่ทำลายเอฟราอิมอีก
เพราะเราเป็นพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์
    เราเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางเจ้า
    และเราจะไม่มาพร้อมกับการลงโทษ[c]

10 พวกเขาจะตามพระผู้เป็นเจ้าไป
    พระองค์จะคำรามเหมือนสิงห์
เมื่อพระองค์คำราม
    บรรดาลูกๆ ของพระองค์จะมาด้วยตัวสั่นเทาจากทิศตะวันตก
11 พวกเขาจะมาด้วยตัวสั่นเทาเหมือนนกจากอียิปต์
    และเหมือนนกพิราบจากแผ่นดินของอัสซีเรีย
และเราจะให้พวกเขากลับไปยังบ้านของพวกเขา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 เอฟราอิมเต็มด้วยความเท็จ
    และพงศ์พันธุ์อิสราเอลมีแต่ความหลอกลวง
ยูดาห์ไม่ดำเนินในทางของพระเจ้า
    และไม่ภักดีต่อองค์ผู้บริสุทธิ์

สดุดี 132-134

พระผู้เป็นเจ้าได้เลือกศิโยน

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา

โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดระลึกถึงดาวิดว่า
    ท่านต้องทนต่อความยากลำบากทั้งปวงขนาดไหน
ท่านสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า
    และสัญญาต่อองค์ผู้มีอานุภาพของยาโคบอย่างไรบ้าง
“ข้าพเจ้าจะไม่ไปในกระโจมที่พักของข้าพเจ้า
    หรือเข้านอน
ข้าพเจ้าจะไม่หลับตานอน
    หรือแม้แต่พักตาสักงีบ
จนกว่าข้าพเจ้าจะพบที่อยู่สำหรับพระผู้เป็นเจ้า
    คือกระโจมที่พำนักสำหรับองค์ผู้มีอานุภาพของยาโคบ”

ดูเถิด พวกเราเคยได้ยินเรื่องนี้ในเมืองเอฟราธาห์
    และก็พบแล้วในนาของยาอาร์[a]
“ให้เราไปยังกระโจมที่พำนักของพระองค์
    กราบ ณ ที่วางเท้าของพระองค์เถิด”

ได้โปรดลุกขึ้นเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า และไปยังที่พักของพระองค์
    ทั้งพระองค์และหีบพันธสัญญาอันมีอานุภาพของพระองค์
ขอให้บรรดาปุโรหิตของพระองค์สวมคลุมด้วยความชอบธรรม
    และให้บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เปล่งเสียงร้องด้วยความยินดี
10 เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
    ขออย่าเมินหน้าไปจากผู้ได้รับการเจิมของพระองค์

11 พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณกับดาวิดอย่างแม่นมั่นแล้วว่า
    พระองค์จะไม่คืนคำ
“เราจะให้ผู้หนึ่งในบรรดาผู้สืบวงศ์ตระกูลของเจ้า
    ครองบนบัลลังก์ของเจ้า
12 ถ้าบรรดาบุตรของเจ้ารักษาพันธสัญญา
    และคำสั่งที่เราจะสอนพวกเขา
รวมไปถึงบุตรของเขาก็จะได้นั่งบนบัลลังก์ของเจ้า
    ไปตลอดกาลนาน”

13 เพราะพระผู้เป็นเจ้าเลือกศิโยน
    พระองค์ประสงค์ให้เป็นที่พำนักของพระองค์
14 “นี่เป็นที่พำนักของเราไปชั่วกาลนาน
    เราจะอยู่ที่นี่ เพราะเราต้องการเช่นนั้น
15 เราจะอวยพรให้ศิโยนได้รับอย่างท่วมท้น
    คนยากไร้ของศิโยนจะมีอาหารจนเป็นที่พอใจ
16 เราจะให้บรรดาปุโรหิตของศิโยนถึงซึ่งความรอดพ้น
    และบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในศิโยนสามารถเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดี
17 เราจะทำให้เกิดพละกำลังขึ้น ณ ที่นั้นเพื่อดาวิด
    เราได้เตรียมตะเกียงไว้ให้แก่คนที่เราเจิม
18 เราจะให้พวกศัตรูของเขาอับอายเป็นที่สุด
    แต่มงกุฎของเขาจะเปล่งประกายบนตัวเขา”

ความรักกันฉันพี่น้อง

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา ของดาวิด

ดูเถิด เป็นสิ่งดีและน่าเบิกบานใจอะไรเช่นนี้
    เวลาพี่น้องได้มาอยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เสมือนน้ำมันอันประเสริฐชโลมไว้บนศีรษะ
    ที่ไหลลงอาบบนเครา
บนเคราของอาโรน
    ไหลรินลงสู่คอเสื้อของท่าน
เสมือนน้ำค้าง ณ ภูเขาเฮอร์โมน
    ที่พร่างพรมสู่เทือกเขาของศิโยน
นั่นคือสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้มอบพระพร
    คือการมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์

มาสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเถิด

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา

ดูเถิด บรรดาผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าทุกคน จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
    ทุกคนที่ยืนอยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในยามค่ำ
จงยกมือของท่านขึ้นสู่สถานที่บริสุทธิ์
    และสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรท่านจากศิโยน
    พระองค์เป็นผู้สร้างสวรรค์และแผ่นดินโลก

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation