Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 25

เยรูซาเล็มแตก

25 ในปีที่เก้าที่เศเดคียาห์ครองราชย์ วันที่สิบของเดือนสิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพของท่านทั้งหมดมาโจมตีเยรูซาเล็ม[a] พวกเขาตั้งค่าย และก่อเชิงเทินรอบเมือง ดังนั้น เมืองถูกล้อมจนถึงปีที่สิบเอ็ดของกษัตริย์เศเดคียาห์ วันที่เก้าของเดือนสี่ ทุพภิกขภัยรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในเมือง จนไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน ครั้นแล้วกำแพงเมืองก็พังทลายลง พวกนักรบทั้งหมดพากันหนีเมื่อถึงเวลากลางคืน โดยออกไปทางประตูเมืองระหว่างกำแพง 2 กำแพงที่ข้างสวนของกษัตริย์แม้ว่าชาวเคลเดียกำลังล้อมเมืองอยู่ และพวกเขาหนีไปทางที่จะไปอาราบาห์ แต่กองทัพของชาวเคลเดียไล่ตามกษัตริย์ และจับกุมท่านได้ในที่ราบเยรีโค ฝ่ายกองทัพของท่านก็เตลิดหนีทิ้งท่านไป แล้วพวกเขาจับกษัตริย์ขึ้นไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ และพวกเขาประกาศโทษแก่ท่าน เขาประหารบรรดาบุตรชายของเศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาท่าน แล้วควักลูกตาของเศเดคียาห์และล่ามโซ่ และนำตัวท่านไปยังบาบิโลน[b]

ในวันที่เจ็ดของเดือนห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกัน ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของกษัตริย์แห่งบาบิโลนมายังเยรูซาเล็ม และเขาเผาพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เผาวังของกษัตริย์และบ้านทุกหลังในเยรูซาเล็ม และสถานที่สำคัญทุกแห่ง 10 กองทัพของชาวเคลเดียทั้งกองทัพที่อยู่กับผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็ได้พังทลายกำแพงรอบเมืองเยรูซาเล็ม 11 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจับตัวประชาชนที่เหลืออยู่ในเมือง พวกที่ทิ้งบ้านทิ้งเมืองและหนีไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน อีกทั้งผู้คนจำนวนมากไปเป็นเชลย 12 แต่ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันปล่อยคนที่ยากไร้ที่สุดในแผ่นดินบางคนให้เป็นคนทำสวนองุ่นและทำไร่ไถนา

13 ชาวเคลเดียทุบเสาหลักทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ฐานรองรับและถังเก็บน้ำทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ให้หักเป็นชิ้นๆ และขนทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน 14 สิ่งอื่นๆ ที่พวกเขาได้ขนไปมี หม้อรองรับขี้เถ้า ทัพพี กรรไกรตัดไส้ดวงประทีป ภาชนะเครื่องหอม และภาชนะทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้นที่ใช้ในงานของพระตำหนัก 15 ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็ขนถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อน อีกทั้งถ้วยที่เป็นทองคำและเงิน 16 ส่วนเสาหลัก 2 ต้น ถังเก็บน้ำ 1 ใบ และฐานรองรับที่ซาโลมอนได้หล่อไว้สำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ภาชนะเหล่านี้ทุกชิ้นที่เป็นทองสัมฤทธิ์ก็หนักเกินที่จะชั่งได้ 17 เสาหลักต้นหนึ่งสูง 18 ศอก และบนยอดเสาเป็นทองสัมฤทธิ์ ยอดเสาสูง 3 ศอก งานโซ่ถักเป็นตาข่าย และลูกทับทิม เป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่รอบยอดเสา และเสาหลักต้นที่สองก็เป็นงานโซ่ถักที่เป็นตาข่ายเหมือนกัน

18 ผู้บัญชาการทหารคุ้มกันก็จับเสไรยาห์หัวหน้ามหาปุโรหิต เศฟันยาห์ปุโรหิตรอง และผู้เฝ้าประตู 3 คน 19 เขาจับข้าราชสำนักซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ และที่ปรึกษาของกษัตริย์อีก 5 คนที่พบในเมือง เลขาของผู้บัญชาการทหารที่เกณฑ์ราษฎรของแผ่นดิน และประชาชน 60 คนของแผ่นดินที่พบในเมือง 20 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันจับคนเหล่านี้ไปให้กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ 21 กษัตริย์แห่งบาบิโลนก็ให้สังหารพวกเขาที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ฉะนั้นยูดาห์จึงถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินของตน

เก-ดาลิยาห์ผู้ว่าราชการของยูดาห์

22 เนบูคัดเนสซาร์แต่งตั้งเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคาม ผู้เป็นบุตรของชาฟานให้เป็นผู้ว่าราชการปกครองประชาชนที่ถูกปล่อยให้อยู่ในแผ่นดินยูดาห์ 23 เมื่อบรรดาผู้บัญชาการและเหล่าทหารทราบว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเก-ดาลิยาห์ให้เป็นผู้ว่าราชการ พวกเขาจึงไปหาเก-ดาลิยาห์ที่มิสปาห์ บรรดาผู้ที่ไปมี อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ โยฮานานบุตรคาเรอัค เสไรยาห์บุตรทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรตระกูลมาอาคาห์ 24 เก-ดาลิยาห์สาบานต่อบรรดาผู้บัญชาการและเหล่าทหารว่า “อย่ากลัวเจ้าหน้าที่ชั้นสูงชาวเคลเดีย พวกท่านจงตั้งรกรากอยู่ในแผ่นดิน และรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปด้วยดีกับท่าน” 25 ในเดือนที่เจ็ด อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ผู้เป็นบุตรของเอลีชามา ซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขกษัตริย์ของชาวยูดาห์ มากับชาย 10 คน และได้ฆ่าเก-ดาลิยาห์ เขาสิ้นชีวิตพร้อมกับชาวยิวและชาวเคลเดียที่อยู่กับท่านที่มิสปาห์ 26 ครั้นแล้ว ประชาชนใหญ่น้อยทั้งปวงและบรรดาผู้บัญชาการกองทัพจึงรีบไปยังอียิปต์ เพราะพวกเขากลัวชาวเคลเดีย

เยโฮยาคีนออกจากคุก

27 หลังจากที่เยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ถูกเนรเทศเป็นเวลานานถึง 37 ปี ในปีที่เอวิลเมโรดัคเริ่มเป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลน ท่านได้กรุณาปลดปล่อยเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ออกจากที่คุมขังในวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนสิบสอง 28 ท่านแสดงความเมตตาต่อเยโฮยาคีน และให้ตำแหน่งสูงกว่ากษัตริย์อื่นๆ ที่ถูกเนรเทศไปยังบาบิโลนพร้อมๆ กัน 29 ดังนั้น เยโฮยาคีนจึงไม่สวมเสื้อนักโทษอีก และได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับกษัตริย์เป็นประจำทุกวัน 30 กษัตริย์กำหนดเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายแก่ท่าน ตามความจำเป็นในแต่ละวันไปจนตลอดชีวิตของท่าน

ฮีบรู 7

เมลคีเซเดคกษัตริย์และปุโรหิตแห่งเมืองซาเล็ม

เมลคีเซเดคผู้นี้คือกษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ท่านได้พบและอวยพรอับราฮัมซึ่งกำลังกลับมาจากการรบกับกษัตริย์ทั้งปวงที่พ่ายแพ้ไป อับราฮัมได้ถวายหนึ่งในสิบของจำนวนทั้งหมดที่ได้มาแก่เมลคีเซเดค สิ่งแรกที่จะพูดถึงเมลคีเซเดคคือ ชื่อนี้มีความหมายว่า กษัตริย์แห่งความชอบธรรม อีกทั้งเป็นกษัตริย์แห่งเมืองซาเล็ม ซึ่งมีความหมายว่ากษัตริย์แห่งสันติสุข โดยที่ไม่มีบิดาและมารดา ปราศจากลำดับวงศ์ตระกูล ไม่มีทั้งวันแรกเริ่ม หรือวันสิ้นของชีวิต แต่เป็นเช่นเดียวกับพระบุตรของพระเจ้า คือดำรงความเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์

จงคิดดูเถิดว่าเมลคีเซเดคยิ่งใหญ่เพียงไร แม้แต่อับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลยังได้ถวายหนึ่งในสิบของจำนวนที่ได้มาจากการสู้รบนั้นให้ และบรรดาผู้สืบเชื้อสายจากเผ่าเลวีที่ได้รับตำแหน่งปุโรหิต ก็ได้รับคำสั่งตามกฎบัญญัติ ให้เก็บหนึ่งในสิบจากประชาชน คือจากบรรดาพี่น้องของตน แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมก็ตาม อย่างไรก็ดี เมลคีเซเดคไม่มีลำดับวงศ์ตระกูลจากเผ่าเลวี แต่ท่านเก็บหนึ่งในสิบจากอับราฮัม และได้อวยพรอับราฮัมผู้ได้รับพระสัญญา และไม่เป็นที่สงสัยเลย ว่าผู้ต่ำต้อยได้รับพรจากผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า ในกรณีหนึ่ง บรรดาผู้ที่ตายได้เป็นผู้รับหนึ่งในสิบ แต่ในอีกกรณี ผู้ที่รับคือ ผู้ดำรงชีวิตอยู่ตามที่มีบันทึกไว้ จะพูดอีกอย่างก็ได้ว่า เลวีผู้เก็บหนึ่งในสิบ ได้จ่ายหนึ่งในสิบผ่านอับราฮัมแล้ว 10 เพราะเมื่อเมลคีเซเดคพบอับราฮัม เลวียังอยู่ในเชื้อสายของบรรพบุรุษ

เปรียบเทียบระหว่างพระเยซูและเมลคีเซเดค

11 บรรดาปุโรหิตที่สืบเชื้อสายจากเผ่าเลวี เป็นรากฐานอันสำคัญส่วนหนึ่งของกฎบัญญัติ ที่ให้ไว้แก่ชาวอิสราเอล แต่ถ้าความเป็นปุโรหิตสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเพียบพร้อมทุกประการแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีปุโรหิตอีกท่านมาปรากฏ เป็นปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค ซึ่งไม่เหมือนกับปุโรหิตที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลอาโรน 12 เพราะเมื่อระบบปุโรหิตเปลี่ยนแปลง กฎบัญญัติก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย 13 เพราะสิ่งเหล่านี้กล่าวถึงผู้ที่มาจากเผ่าอื่น ซึ่งไม่มีผู้ใดเคยปฏิบัติหน้าที่ ณ แท่นบูชามาก่อน 14 เป็นที่ทราบดีแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าของเราสืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ และโมเสสไม่เคยพูดถึงเรื่องปุโรหิตว่าจะมาจากเผ่านั้น

15 เรื่องที่เรากล่าวถึงนี้ยิ่งจะชัดเจนมากขึ้นอีก ถ้าปุโรหิตอีกท่านที่เป็นเหมือนกับเมลคีเซเดคปรากฏขึ้น 16 คือเป็นปุโรหิตที่ไม่ได้เกิดจากกฎเกณฑ์ตามเชื้อสายของบรรพบุรุษ แต่เกิดจากอานุภาพแห่งชีวิตที่ไม่สามารถจะทำลายได้ 17 มีคำประกาศยืนยันไว้ว่า

“เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์
    ตามแบบอย่างเมลคีเซเดค”[a]

18 กฎเกณฑ์ดั้งเดิมก็ได้ยกเลิกไป เพราะอ่อนแอและไร้ประโยชน์ 19 ด้วยเหตุว่ากฎบัญญัติไม่อาจทำให้สิ่งใดดีเพียบพร้อมทุกประการได้ ความหวังที่ดีกว่าก็ได้ปรากฏแก่เรา ซึ่งทำให้เราเข้าใกล้พระเจ้าได้

20 นอกจากนั้น ยังมีคำปฏิญาณของพระเจ้าอีกด้วย ส่วนคนอื่นๆ ได้รับตำแหน่งเป็นปุโรหิตโดยปราศจากคำปฏิญาณใดๆ 21 แต่ท่านผู้นี้เป็นปุโรหิตด้วยคำปฏิญาณ เมื่อพระเจ้ากล่าวกับท่านว่า

“พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณ
    และจะไม่เปลี่ยนใจว่า
‘เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์’”

22 เป็นเพราะคำปฏิญาณนี้ พระเยซูจึงได้มาเป็นผู้รับประกันของพันธสัญญาที่ดีกว่าเดิม

23 เคยมีบรรดาปุโรหิตมากมายแล้วที่สืบทอดตำแหน่งต่อกันไป เพราะความตายเป็นอุปสรรคไม่ให้พวกเขาปฏิบัติงานได้ตลอดกาล 24 แต่เป็นเพราะพระเยซูมีชีวิตอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จึงคงความเป็นปุโรหิตอย่างถาวร 25 ฉะนั้น พระองค์สามารถช่วยบรรดาผู้ที่มาหาพระเจ้าทางพระองค์ให้รอดพ้นได้อย่างสมบูรณ์ เพราะพระองค์มีชีวิตอยู่เสมอ เพื่ออธิษฐานขอสำหรับคนเหล่านั้น

26 หัวหน้ามหาปุโรหิตเช่นนี้ช่วยเราได้ทุกประการ คือเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ปราศจากมลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง พระเจ้ายกให้พระองค์อยู่เหนือฟ้าสวรรค์ 27 พระองค์ไม่จำเป็นต้องนำของมาถวายวันแล้ววันเล่า ซึ่งต่างจากบรรดาหัวหน้ามหาปุโรหิตอื่นๆ ที่ต้องถวายเพื่อบาปของตนเองเป็นประการแรก แล้วก็เพื่อบาปของมวลชนด้วย ในเมื่อพระองค์ได้ถวายพระองค์เอง ก็นับว่าพระองค์ถวายเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 28 กฎบัญญัติแต่งตั้งมนุษย์ให้เป็นบรรดาหัวหน้ามหาปุโรหิตซึ่งเป็นผู้อ่อนแอ แต่คำปฏิญาณที่มาภายหลังกฎบัญญัติได้แต่งตั้งพระบุตรผู้มีความเพียบพร้อมทุกประการเป็นนิตย์

อาโมส 1

ข้อความบันทึกของอาโมส ผู้เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะจากเมืองเทโคอา[a] ท่านเห็นภาพนิมิตเกี่ยวกับอิสราเอล 2 ปีก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหว ในสมัยของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และในสมัยของเยโรโบอัมบุตรเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอล[b]

กล่าวโทษเพื่อนบ้านของอิสราเอล

ท่านพูดดังนี้ว่า

พระผู้เป็นเจ้าเปล่งเสียงดั่งสิงห์คำรามจากศิโยน
    เปล่งเสียงของพระองค์จากเยรูซาเล็ม
ทุ่งหญ้าของบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะเหี่ยวแห้ง
    และยอดภูเขาคาร์เมลแห้งผาก”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ชาวดามัสกัสกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาเหยียบย่ำชาวกิเลอาด
    ด้วยคราดหนามเหล็ก
ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้วังของฮาซาเอล
    ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการของเบนฮาดัด[c]
เราจะพังดาลประตูของดามัสกัส
    เราจะกำจัดผู้ครองราชย์ไปจากหุบเขาอาเวน
และผู้ถือคทาจากเบธเอเดน
    แล้วประชาชนของอารัม[d]จะลี้ภัยไปที่ดินแดนคีร์”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าว

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“กาซากระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะเมืองนั้นจับคนหลายกลุ่มไปเป็นเชลย
    และมอบให้แก่เอโดม
ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้กำแพงเมืองกาซา
    ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการเมือง
เราจะกำจัดผู้ครองราชย์ไปจากอัชโดด
    และผู้ถือคทาจากอัชเคโลน
เราจะปะทะกับเอโครน
    จนชาวฟีลิสเตียที่ยังมีชีวิตอยู่จะพินาศ”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าว

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ไทระกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะเมืองนั้นจับคนหลายกลุ่มไปเป็นเชลยและมอบให้แก่เอโดม
    โดยไม่นึกถึงสัญญาพันธมิตรฉันพี่น้องที่มีต่อกัน
10 ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้กำแพงเมืองไทระ
    ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการเมือง”

11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“เอโดมกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาใช้ดาบไล่ล่าพี่น้องของเขา
    และไร้ความเมตตา
ความโกรธของเขาพลุ่งพล่านอย่างไม่จบสิ้น
    และฉุนเฉียวไม่หยุดหย่อน
12 ฉะนั้น เราจะให้ไฟไหม้เมืองเทมาน
    ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการของโบสราห์”

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ชาวอัมโมนกระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    เราจะไม่เปลี่ยนใจในการลงโทษ
เพราะพวกเขาฟันท้องบรรดาหญิงมีครรภ์ของเมืองกิเลอาด
    ในเวลาที่เขาขยายเขตแดน
14 ฉะนั้น เราจะจุดไฟให้ลุกกำแพงเมืองรับบาห์
    ไฟจะเผาไหม้ป้อมปราการเมืองรับบาห์
เสียงตะโกนในวันออกศึก
    พร้อมทั้งพายุกล้าในวันที่มีพายุหมุน
15 กษัตริย์ของพวกเขาจะถูกเนรเทศ
    พร้อมกับบรรดาผู้นำของเขา”
    พระผู้เป็นเจ้ากล่าว

สดุดี 144

คำอธิษฐานอันเปี่ยมด้วยความหวัง

ของดาวิด

ให้พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นศิลาของข้าพเจ้าได้รับพระพรเถิด
    พระองค์ฝึกมือข้าพเจ้าไว้เพื่อการสงคราม
    และฝึกนิ้วข้าพเจ้าไว้เพื่อการสู้รบ
พระองค์เป็นความรักอันมั่นคงและป้อมปราการ
    เป็นหลักยึดอันมั่นคงและผู้ช่วยให้พ้นภัย
เป็นโล่ป้องกันภัย และเป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
    พระองค์ทำให้ชนชาติของข้าพเจ้าสยบต่อข้าพเจ้า

โอ พระผู้เป็นเจ้า มนุษย์คือใครที่พระองค์จะสนใจ
    หรือบุตรมนุษย์คือใครที่พระองค์จะต้องนึกถึง
มนุษย์เป็นเสมือนแค่ลมหายใจ
    วันเวลาของเขาเป็นเสมือนเงาที่ผ่านไป

โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดเปิดสวรรค์ และเชิญลงมา
    โปรดสัมผัสภูเขา และให้มันปล่อยควันออกมา
โปรดปลดปล่อยประกายเจิดจ้าของสายฟ้า และทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไป
    ยิงลูกธนูของพระองค์ และพวกเขาก็เตลิดเปิดเปิงไป
เอื้อมมือของพระองค์ลงมาจากเบื้องบนเพื่อช่วยชีวิตข้าพเจ้า
    ให้ข้าพเจ้าพ้นจากห้วงน้ำลึก
    พ้นจากอุ้งมือของชนต่างชาติ
ที่มีปากกล่าวเท็จ
    และโป้ปดทั้งๆ ที่กำลังยกมือขวาสาบานตน

โอ พระเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระองค์
    ข้าพเจ้าจะดีดพิณสิบสายถวายแด่พระองค์
10 พระองค์ให้บรรดากษัตริย์มีชัยชนะ
    และช่วยชีวิตดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
11 โปรดช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้พ้นจากดาบที่โหดเหี้ยม
    และช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากอุ้งมือของชนต่างชาติที่ใช้ปากกล่าวเท็จ
    และโป้ปดทั้งๆ ที่กำลังยกมือขวาสาบานตน

12 ขอให้บรรดาบุตรชายวัยหนุ่มของเรา
    เป็นดั่งต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่
บรรดาบุตรหญิงของเรา
    เป็นดั่งเสาหลักในมุมที่ถูกสลัก เพื่อตกแต่งวังให้งดงาม
13 ขอให้ยุ้งฉางของเราเต็มปรี่
    มีอาหารทุกชนิดเตรียมไว้อย่างพร้อมพรั่ง
ฝูงแกะของพวกเราตกลูกเป็นพันเป็นหมื่นตัว
    ภายในเขตทุ่งของเรา
14 ขอให้โคของเรามีลูกดก
    ไม่ตายเสียแต่ครั้งครรภ์ยังอ่อนหรือสูญหายไป
ไม่มีใครร้องไห้เพราะความทุกข์ยากที่ถนนของเรา
15 ชนชาติใดได้รับพระพรเช่นนี้ก็เป็นสุข
    ชนชาติใดที่พระเจ้าของเขาคือพระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นสุข

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation