Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 17

โฮเชยาครองราชย์ในอิสราเอล

17 ในปีที่สิบสองของอาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์ โฮเชยาบุตรเอลาห์เริ่มปกครองอิสราเอลในสะมาเรีย ท่านครองราชย์ 9 ปี ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่เหมือนกับบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลก่อนหน้าท่าน ชัลมันเอเสร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาโจมตี โฮเชยายอมอยู่ใต้บังคับและถวายเครื่องบรรณาการแก่ท่าน กษัตริย์แห่งอัสซีเรียพบว่าโฮเชยาเป็นปฏิปักษ์ เพราะท่านให้ผู้ส่งสาสน์ไปยังโสกษัตริย์แห่งอียิปต์ และไม่ยอมมอบเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียเหมือนที่เคยทำในแต่ละปี ดังนั้น กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงจับกุมและจำคุกท่าน และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียก็บุกรุกไปทั่วแผ่นดิน เมื่อมาถึงสะมาเรีย ก็ล้อมเมืองไว้ 3 ปี

อิสราเอลถล่ม

ในปีที่เก้าของโฮเชยา[a] กษัตริย์แห่งอัสซีเรียยึดสะมาเรีย และจับชาวอิสราเอลไปอยู่ที่อัสซีเรีย ให้อยู่ที่ฮาลาห์ ใกล้แม่น้ำฮาโบร์ในเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของชาวมีเดีย

ถูกเนรเทศเพราะรูปเคารพ

เหตุการณ์เกิดขึ้นก็เพราะว่า ประชาชนอิสราเอลได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ผู้ที่นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากเงื้อมมือของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ พวกเขาเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า และดำเนินรอยตามบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล และปฏิบัติตามที่บรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ปฏิบัติ และชาวอิสราเอลแอบทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องและขัดต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และได้สร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงในทุกๆ เมืองให้แก่ตนเอง ตั้งแต่หอคอยไปจนถึงเมืองที่ป้องกันไว้อย่างแข็งแกร่ง 10 พวกเขาตั้งเสาหิน และสร้างเทวรูปอาเชราห์ ไว้บนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้ทุกต้น 11 เขาเผาเครื่องหอมที่สถานบูชาบนภูเขาสูงทุกแห่ง ปฏิบัติตามอย่างบรรดาประชาชาติที่พระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าพวกเขา และเขากระทำสิ่งที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นการยั่วโทสะพระองค์ 12 พวกเขาบูชารูปเคารพที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่พวกเขาแล้วว่า “ห้ามทำเช่นนั้น” 13 พระผู้เป็นเจ้ายังเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ผ่านผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านและผู้รู้ทุกท่านว่า “จงหันไปจากความชั่วร้าย และปฏิบัติตามคำบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎบัญญัติของเรา ตามที่เราบัญชาบรรพบุรุษของเจ้า และส่งผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวผู้รับใช้ของเรามาให้แก่พวกเจ้า”

14 แต่พวกเขาไม่ฟัง และดื้อรั้น เหมือนที่บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นมาแล้ว คือไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา 15 เขาดูหมิ่นกฎเกณฑ์และพันธสัญญาที่พระองค์ทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา และสิ่งที่พระองค์ตักเตือนเขา พวกเขาติดตามรูปเคารพซึ่งไร้ค่า และทำให้ตนเองไร้ค่า พวกเขาประพฤติตามบรรดาประชาชาติที่อยู่รอบข้าง และไม่เชื่อฟังคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าที่สั่งห้ามไว้ 16 และละทิ้งพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเขา และก็หล่อรูปลูกโค 2 ตัวให้ตนเอง[b] และสร้างเทวรูปอาเชราห์รูปหนึ่ง และนมัสการสรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า และบูชาเทวรูปบาอัล[c] 17 เขาเผาบุตรของตนเป็นของถวาย ใช้การทำนายและเวทมนตร์ ปักใจกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นการยั่วโทสะของพระองค์ 18 ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงโกรธกริ้วอิสราเอล และไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพระองค์ ไม่มีใครเหลืออยู่ นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น

19 ส่วนยูดาห์เองก็ไม่รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา แต่ดำเนินรอยตามสิ่งชั่วที่อิสราเอลได้กระทำ 20 พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอล และให้พวกเขารับทุกข์ทรมาน และมอบไว้ในมือของเหล่านักปล้นระดม จนกระทั่งพระองค์ได้ขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพระองค์

21 เมื่อพระองค์ได้แยกอิสราเอลออกจากพงศ์พันธุ์ของดาวิดแล้ว พวกเขาก็ยกเยโรโบอัมบุตรเนบัทให้เป็นกษัตริย์ เยโรโบอัมทำให้อิสราเอลเลิกติดตามพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเหตุให้พวกเขาทำบาปร้ายแรง[d] 22 ชาวอิสราเอลกระทำบาปทำนองเดียวกับที่เยโรโบอัมทำ พวกเขาไม่ได้ละเว้นจากบาป 23 จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าขับไล่อิสราเอลไปให้พ้นหน้าพระองค์ อย่างที่พระองค์ได้กล่าวผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ ดังนั้นอิสราเอลถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินของพวกตน ไปอยู่ที่อัสซีเรียมาจนถึงทุกวันนี้

การตั้งรกรากที่สะมาเรีย

24 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียให้ประชาชนจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท และเสฟาร์วาอิม มาอยู่ในเมืองต่างๆ ที่แคว้นสะมาเรียแทนประชาชนอิสราเอล คนเหล่านั้นจึงถือสิทธิ์เป็นเจ้าของทุกสิ่งในแคว้นสะมาเรีย และตั้งรกรากอยู่ที่นั่น 25 ในระยะแรกที่อาศัยอยู่ที่นั่น พวกเขาไม่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าส่งสิงโตเข้าไปท่ามกลางพวกเขา และบางคนถูกสิงโตขย้ำตาย 26 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียรับทราบมาว่า “บรรดาประชาชาติที่ท่านเนรเทศให้ไปอยู่ในแคว้นสะมาเรียไม่รู้กฎของพระเจ้าของแผ่นดิน พระองค์จึงได้ให้สิงโตเข้าไปท่ามกลางพวกเขา ดูเถิด สิงโตขย้ำพวกเขาตายก็เพราะพวกเขาไม่รู้กฎของพระเจ้าของแผ่นดิน” 27 กษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงสั่งว่า “จงส่งปุโรหิตคนหนึ่งที่ถูกเนรเทศมา ให้เขาไปจากสะมาเรีย และกลับไปอาศัยอยู่ที่นั่น เพื่อสอนกฎของพระเจ้าของแผ่นดินแก่ประชาชน” 28 ดังนั้นปุโรหิตคนหนึ่งที่พวกเขาเนรเทศก็ไปจากสะมาเรีย และกลับมาอยู่ที่เบธเอล เพื่อสอนประชาชนว่าพวกเขาควรเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร

29 แต่ประชาชาติแต่ละชาติก็ยังสร้างรูปปั้นเทพเจ้าของตนเอง และตั้งไว้ในวิหารบนภูเขาสูงที่ชาวสะมาเรียได้สร้างไว้ก่อนแล้ว ประชาชาติแต่ละชาติสร้างรูปเคารพในเมืองที่ตนอาศัยอยู่ 30 ชาวบาบิโลนสร้างรูปเทพเจ้าสุคคทเบโนท ชาวคูธสร้างรูปเทพเจ้าเนอร์กัล ชาวฮามัทสร้างรูปเทพเจ้าอาชิมา 31 ชาวอัฟวาสร้างรูปเทพเจ้านิบหัสและทาร์ทัก และชาวเสฟาร์วาอิมเผาบุตรของตนเป็นของถวายแก่เทพเจ้าอัดรัมเมเลคและอานัมเมเลค ซึ่งเป็นเทพเจ้าของชาวเสฟาร์วาอิม 32 ประชาชนเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังเลือกบางคนในพวกเขาเองให้เป็นปุโรหิตประจำสถานบูชาบนภูเขาสูง ให้ถวายเครื่องสักการะเพื่อพวกเขาในวิหารบนภูเขาสูง 33 พวกเขาเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ยังนมัสการปวงเทพเจ้าของตน ทำตามแบบอย่างของบรรดาประชาชาติที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยก่อนหน้านี้

34 ทุกวันนี้ พวกเขาก็ปฏิบัติเช่นเคย คือไม่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าจริงๆ และไม่รักษากฎเกณฑ์ คำบัญชา กฎบัญญัติ หรือพระบัญญัติ ที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาบรรดาบุตรของยาโคบผู้ที่พระองค์ตั้งชื่อว่า อิสราเอล 35 พระผู้เป็นเจ้าทำพันธสัญญากับพวกเขา และบัญชาว่า “อย่าเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า หรือก้มกราบและบูชา หรือมอบเครื่องสักการะให้แก่สิ่งเหล่านั้น 36 แต่เจ้าจงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และพลานุภาพ เจ้าจงก้มกราบพระองค์ และจงมอบเครื่องสักการะแด่พระองค์ 37 กฎเกณฑ์ คำบัญชา กฎบัญญัติ และบัญญัติที่เราเขียนให้แก่พวกเจ้า เจ้าก็จงระมัดระวังปฏิบัติตามเสมอ อย่าเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า 38 อย่าลืมพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้า อย่าเกรงกลัวบรรดาเทพเจ้า 39 แต่เจ้าจงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และเราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากมือของศัตรูทั้งปวง”[e] 40 แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง และยังคงดื้อดึงปฏิบัติเหมือนเดิม

41 ประชาชาติเหล่านี้เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และบูชารูปเคารพสลัก ทั้งลูกและหลานของพวกเขาก็กระทำเช่นเดียวกัน เหมือนกับที่บรรพบุรุษปฏิบัติ พวกเขาปฏิบัติเช่นนั้นมาจนถึงทุกวันนี้

ทิตัส 3

การกระทำอันชอบธรรม

จงเตือนพวกเขาให้ยอมเชื่อฟังบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองและผู้มีสิทธิอำนาจ และพร้อมเสมอที่จะกระทำความดีทุกประการ อย่าพูดใส่ร้ายผู้ใด อย่าทะเลาะวิวาท จงอ่อนโยน แสดงความสุภาพต่อคนทั่วไป เมื่อก่อนเราก็เคยโง่เขลาเช่นกัน ไม่เชื่อฟัง ถูกหลอกลวง และเป็นทาสต่อกิเลสและความสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตในการปองร้าย อิจฉา เป็นที่เกลียดชัง และเกลียดชังผู้อื่น แต่เมื่อความกรุณาและความรักของพระเจ้าผู้ช่วยให้รอดพ้นของเราที่มีต่อมนุษย์ปรากฏขึ้น พระองค์ช่วยเราให้รอดพ้น มิใช่ด้วยการกระทำอันชอบธรรมของเราเอง แต่เป็นเพราะความเมตตาของพระองค์โดยการชำระล้างในการเกิดใหม่ และเป็นขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์หลั่งพระวิญญาณนี้ให้แก่พวกเราอย่างเต็มเปี่ยม โดยผ่านพระเยซูคริสต์ผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรา ในเมื่อเราพ้นผิดโดยพระคุณของพระองค์แล้ว เราจะได้เป็นผู้รับมรดกตามความหวัง ว่าจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ข้อความนี้เป็นที่ไว้ใจได้ ข้าพเจ้าอยากให้ท่านพูดถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยความมั่นใจ เพื่อว่าบรรดาคนที่ได้เชื่อในพระเจ้าแล้ว จะได้อุตสาหะในการกระทำดีด้วยความระมัดระวัง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งปวง จงเลี่ยงจากปัญหาโต้แย้งอันโง่เขลา และเรื่องการลำดับวงศ์ตระกูล เรื่องความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน และการวิวาทเกี่ยวกับกฎบัญญัติ เพราะเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์และไม่มีคุณค่าเลย 10 จงเตือนคนช่างยุที่ทำให้ผู้อื่นแตกแยกกันครั้งหนึ่งก่อน แล้วเตือนเขาอีกเป็นครั้งที่สอง หลังจากนั้นแล้วก็อย่าเกี่ยวข้องกับเขาอีก 11 ท่านทราบว่าคนเช่นนั้นหันจากทางที่ถูกต้อง และไปกระทำบาปซึ่งเป็นการกล่าวโทษตนเอง

คำลงท้าย

12 เมื่อข้าพเจ้าใช้อาร์เทมาสหรือทีคิกัสให้มาหาท่าน ท่านจงพยายามมาหาข้าพเจ้าที่นิโคบุรีให้ได้ เพราะข้าพเจ้าได้ตัดสินใจจะมาอยู่ที่นั่นตลอดช่วงฤดูหนาว 13 จงพยายามอย่างที่สุดในการช่วยเหลือเศนาสผู้เป็นทนายความ[a]กับอปอลโลเวลาที่เขาเดินทาง และจงแน่ใจว่าเขาไม่ขาดเหลือสิ่งใดเลย 14 คนของเราต้องมีความอุตสาหะในการกระทำดี เพื่อจะได้จัดหาสิ่งที่ขัดสนเมื่อคราวจำเป็น คือไม่เป็นคนที่ไร้ผล

15 ทุกคนที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากความคิดถึงมายังท่าน ช่วยฝากความคิดถึงมายังบรรดาผู้ที่รักเราซึ่งมีความเชื่อเดียวกัน

ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทุกคนเถิด

โฮเชยา 10

10 อิสราเอลเป็นเถาองุ่นงาม
    ที่แผ่ออกไปและออกผล
ยิ่งเกิดผลมากขึ้นเท่าใด
    อิสราเอลก็ยิ่งจะสร้างแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น
ในเวลาที่แผ่นดินอุดมสมบูรณ์
    อิสราเอลก็ตกแต่งเสาหินของเขา
จิตใจของพวกเขาลวงหลอก
    บัดนี้พวกเขาจะต้องรับความผิดของตน
พระผู้เป็นเจ้าจะพังทลายแท่นบูชาของพวกเขา
    และจะทำลายเสาหินของพวกเขา

แล้วพวกเขาจะพูดดังนี้ว่า
    “พวกเราไม่มีกษัตริย์
เพราะพวกเราไม่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า
    แต่ถึงแม้ว่า พวกเราจะมีกษัตริย์
    ท่านจะทำสิ่งใดให้พวกเราได้”
พวกเขาเพียงแต่พูดด้วยถ้อยคำ
    ทำพันธสัญญาด้วยคำสาบานลวง
ดังนั้น การตัดสินโทษปรากฏขึ้น
    เหมือนวัชพืชที่เป็นพิษในไร่นา
    ตามร่องที่ไถคราดไว้
บรรดาผู้อยู่อาศัยของสะมาเรียกลัวจนตัวสั่น
    เพราะรูปเคารพลูกโคของเบธอาเวน
ประชาชนของที่แห่งนั้นร้องรำพันถึงรูปเคารพนั้น
และบรรดาปุโรหิตที่บูชารูปเคารพ
    ก็จะร้องรำพันถึงความเรืองรองของมันเช่นกัน
    เพราะมันได้ไปจากพวกเขาแล้ว
สิ่งนั้นจะถูกแบกไปยังอัสซีเรีย
    เป็นเช่นของกำนัลแก่กษัตริย์ยาเรบ[a]
เอฟราอิมจะรับความอัปยศ
    และอิสราเอลจะละอายในรูปเคารพของเขา
กษัตริย์แห่งสะมาเรียจะเป็นอย่างกิ่งไม้
    ลอยไปบนผิวน้ำ
สถานบูชาบนภูเขาสูงของอาเวน[b]
    ซึ่งเป็นบาปของอิสราเอลจะถูกทำให้พินาศ
พุ่มไม้หนามและพืชพันธุ์ไม้มีหนาม
    จะงอกโตที่แท่นบูชาของพวกเขา
และพวกเขาจะพูดกับภูเขาดังนี้ว่า “กลบตัวเราเถิด”
    และพูดกับเนินเขาว่า “กลิ้งลงมาทับเราเถิด”

“โอ อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ทำบาปตั้งแต่สมัยกิเบอาห์[c]
    และพวกเขาก็ยังยืนหยัดต่อไป
สงครามไม่ได้กำจัดคนชั่ว
    ในกิเบอาห์หรอกหรือ
10 เราจะลงโทษพวกเขาตามที่เราต้องการ
    บรรดาชนชาติจะถูกรวบรวมไปต่อสู้กับพวกเขา
    เมื่อพวกเขาถูกมัดเพราะบาป 2 ประการของพวกเขา
11 เอฟราอิมเป็นลูกโคตัวเมียที่ได้รับการฝึกแล้ว
    นางชอบนวดข้าว
และเราจะวางแอก
    บนคออันงามของนาง
เราจะให้เอฟราอิมแบกแอกไป
    ยูดาห์จะต้องไถร่อง
    ยาโคบจะต้องไถคราดด้วยตนเอง
12 จงหว่านความชอบธรรมให้แก่พวกเจ้าเอง
    เก็บเกี่ยวผลแห่งความรักอันมั่นคง
จงพรวนที่ดินของเจ้าที่ยังไม่ได้ไถ
    เพราะถึงเวลาที่จะแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า
เพื่อพระองค์จะมา
    และหลั่งความชอบธรรมลงบนพวกเจ้า
13 พวกเจ้าปลูกความชั่ว
    พวกเจ้าเก็บเกี่ยวความไม่ยุติธรรม
    พวกเจ้ารับประทานผลแห่งความลวงหลอก
เพราะพวกเจ้าวางใจในวิถีทางของตนเอง
    และในนักรบจำนวนมากของเจ้า
14 ฉะนั้น เสียงชุลมุนของสงครามจะดังขึ้นในหมู่ประชาชนของเจ้า
    และป้อมปราการของเจ้าทุกแห่งจะถูกพังทลาย
อย่างที่ชัลมันได้พังเบธอาร์เบลในวันสงคราม
    แม่ทั้งหลายกับลูกๆ ของพวกนางถูกทำร้ายอย่างเหี้ยมโหด
15 โอ เบธเอลเอ๋ย พวกเจ้าจะถูกกระทำเหมือนอย่างนั้น
    เพราะความชั่วร้ายของเจ้ามากมายเหลือเกิน
เมื่ออรุณรุ่ง กษัตริย์แห่งอิสราเอล
    ก็จะถูกกำจัดโดยสิ้นเชิง

สดุดี 129-131

คำอธิษฐานต่อต้านศัตรูของอิสราเอล

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา

หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาทำให้ข้าพเจ้าต้องทุกข์ยากนับแต่ข้าพเจ้ายังเยาว์
    ให้คนของอิสราเอลพูดเถิด
หลายต่อหลายครั้งที่พวกเขาทำให้ข้าพเจ้าต้องทุกข์ยากนับแต่ข้าพเจ้ายังเยาว์
    แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็เอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้
คนไถนาไถบนหลังข้าพเจ้า
    จนเกิดเป็นร่องยาว
พระผู้เป็นเจ้ามีความชอบธรรม
    พระองค์ตัดสายรัดของคนชั่วออก

ขอให้ทุกคนที่เกลียดชังศิโยน
    จะต้องหันกลับไปด้วยความอับอาย
ขอให้พวกเขาเป็นดั่งต้นหญ้าบนหลังคา
    ซึ่งเหี่ยวแห้งไปก่อนที่จะแตกยอด
ซึ่งคนเกี่ยวเก็บรวบได้ไม่เต็มกำ
    และคนมัดฟ่อนหญ้าได้ไม่เต็มอ้อมแขน
ขออย่าให้คนที่ผ่านไปมาพูดว่า
    “พระพรของพระผู้เป็นเจ้าจงอยู่กับท่าน
    เราขออวยพรท่านในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า

คำอธิษฐานขอความช่วยเหลือ

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา

โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์จากห้วงเหวแห่งความสิ้นหวัง
โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดฟังเสียงข้าพเจ้า
    โปรดเงี่ยหูฟังเสียงร้องขอความเมตตาของข้าพเจ้าเถิด

โอ พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์บันทึกบาปที่เรากระทำแล้ว
    โอ พระผู้เป็นเจ้า ใครจะสามารถทนอยู่ได้เล่า
แต่พระองค์กลับให้อภัย
    ฉะนั้น พระองค์จึงเป็นที่ยำเกรง
ข้าพเจ้าคอยพระผู้เป็นเจ้า จิตวิญญาณของข้าพเจ้ารอคอย
    และจึงตั้งความหวังในคำกล่าวของพระองค์
จิตวิญญาณของข้าพเจ้ารอคอยพระผู้เป็นเจ้า
    ยิ่งกว่าคนเฝ้ายามรอคอยอรุณรุ่ง
    ยิ่งกว่าคนเฝ้ายามรอคอยอรุณรุ่ง

อิสราเอลเอ๋ย จงตั้งความหวังในพระผู้เป็นเจ้าเถิด
    เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้ามีความรักอันมั่นคง
    และพระองค์ทำการไถ่อย่างบริบูรณ์
และพระองค์จะไถ่อิสราเอลให้พ้น
    จากบาปทั้งปวงของเขา

อธิษฐานด้วยความมั่นใจ

บทเพลงบรรเลงในขบวนแห่ขณะเคลื่อนขึ้นสู่เนินเขา ของดาวิด

โอ พระผู้เป็นเจ้า ใจข้าพเจ้าไม่หยิ่งผยอง
    และดวงตาก็ไม่หยิ่งจองหองด้วยเช่นกัน
ข้าพเจ้าไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใหญ่โต
    หรือมหัศจรรย์เกินตัวข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าผ่อนคลายและใจสงบ
    เหมือนเด็กน้อยที่หย่านมแล้ว ซบไออุ่นอยู่ในอ้อมอกแม่
    จิตวิญญาณภายในตัวข้าพเจ้าเป็นเหมือนเด็กน้อยหย่านมแล้ว

อิสราเอลเอ๋ย จงตั้งความหวังในพระผู้เป็นเจ้า
    นับแต่บัดนี้ไปจนชั่วนิรันดร์กาล

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation