M’Cheyne Bible Reading Plan
พันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อดาวิด
17 เมื่อดาวิดอยู่ในวังของท่าน ท่านกล่าวกับนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ดูสิ เราอาศัยอยู่ในวังไม้ซีดาร์ แต่หีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ากลับอยู่ในกระโจม” 2 นาธานพูดกับดาวิดว่า “เชิญท่านกระทำตามสิ่งที่อยู่ในใจท่านเถิด เพราะว่าพระเจ้าสถิตกับท่าน”
3 แต่ในคืนเดียวกันนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนาธานว่า 4 “จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าไม่ใช่คนที่จะสร้างตำหนักให้เราอยู่ 5 เราไม่ได้อยู่ในตำหนักนับตั้งแต่วันที่เรานำชาวอิสราเอลขึ้นมา จนถึงวันนี้ แต่เราได้ย้ายจากกระโจมหนึ่งไปอีกกระโจมหนึ่ง และจากที่พักอาศัยแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง 6 ทุกแห่งหนที่เราย้ายไปกับชาวอิสราเอลทั้งปวง เราเคยพูดสักคำกับบรรดาผู้วินิจฉัยของอิสราเอล ที่เราสั่งให้เลี้ยงดูอิสราเอลชนชาติของเราหรือว่า “ทำไมเจ้าจึงยังไม่สร้างตำหนักด้วยไม้ซีดาร์ให้เรา”’ 7 ฉะนั้น บัดนี้เจ้าจงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราตามนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า ‘เราเอาตัวเจ้าออกมาจากทุ่งหญ้า จากการเดินตามฝูงแกะ เพื่อให้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา 8 เราได้อยู่กับเจ้าตลอดมาไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด และได้กำจัดศัตรูของเจ้าทุกคนให้พ้นหน้าเจ้า และเราจะทำให้ชื่อของเจ้าเป็นดั่งชื่อของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในโลก 9 และเราจะกำหนดที่แห่งหนึ่งให้อิสราเอลชนชาติของเรา และเราจะให้เขาตั้งหลักแหล่ง เพื่อเขาจะมีที่ของเขาเองอาศัยอยู่โดยไม่มีใครรบกวนอีก และคนชั่วจะไม่ทำให้เขารับทุกข์ทรมานอีกต่อไป เหมือนที่เป็นมาแต่แรก 10 และเป็นมาโดยตลอดนับจากเวลาที่เราได้กำหนดบรรดาผู้วินิจฉัยให้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา เราจะปราบศัตรูของเจ้าทั้งสิ้น และยิ่งกว่านั้นอีก เราประกาศกับเจ้าว่าพระผู้เป็นเจ้าจะให้เจ้ามีผู้สืบพงศ์พันธุ์ 11 เมื่อเจ้าสิ้นชีวิตและไปอยู่เคียงกับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว เราจะกำหนดผู้สืบเชื้อสายต่อจากเจ้า เขาเป็นบุตรคนหนึ่งของเจ้าเอง และเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 12 เขาจะสร้างตำหนักให้เรา และเราจะสถาปนาบัลลังก์ของเขาชั่วนิรันดร์กาล 13 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา เราจะไม่พรากความรักอันมั่นคงไปจากเขา อย่างที่เราพรากไปจากคนที่มาก่อนหน้าเจ้า 14 เราจะทำให้เขามั่นคงทั้งในพงศ์พันธุ์และอาณาจักรของเราชั่วนิรันดร์กาล และบัลลังก์ของเขาจะได้รับการสถาปนาชั่วนิรันดร์กาล’”
15 นาธานแจ้งให้ดาวิดทราบตามคำกล่าวและทุกสิ่งที่พระเจ้าเผยให้ทราบ[a]
คำอธิษฐานของดาวิด
16 จากนั้น กษัตริย์ดาวิดเข้าไปนั่ง ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่า และพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าเป็นผู้ใด ที่พระองค์จึงได้กรุณาข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ 17 แต่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของพระองค์ โอ พระเจ้า พระองค์ยังได้กล่าวถึงอนาคตอันไกลของพงศ์พันธุ์ของผู้รับใช้พระองค์ และพระองค์มองข้าพเจ้าดั่งว่า ข้าพเจ้าสูงส่งนัก[b] โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า 18 มีอะไรอีกบ้างที่ดาวิดจะกล่าวกับพระองค์ได้ ที่พระองค์ให้เกียรติผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะพระองค์รู้จักผู้รับใช้ของพระองค์ 19 โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ และตามใจปรารถนาของพระองค์ พระองค์ได้กระทำสิ่งอันยิ่งใหญ่ เพื่อให้สิ่งอันยิ่งใหญ่เหล่านี้เป็นที่ทราบกันทั่วไป 20 โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีใครเป็นอย่างพระองค์ และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ตามที่พวกเราเคยได้ยินทุกสิ่งมาด้วยหูของเรา 21 และใครเป็นเหมือนอิสราเอลชนชาติของพระองค์ ประชาชาติเดียวในแผ่นดินที่พระเจ้าไปไถ่มาเพื่อให้เป็นชนชาติของพระองค์ ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เลื่องลือเพื่อสิ่งอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม ด้วยการขับไล่บรรดาประชาชาติไปให้พ้นหน้าชนชาติของพระองค์ซึ่งพระองค์ไถ่จากประเทศอียิปต์ 22 และพระองค์ทำอิสราเอลชนชาติของพระองค์ให้เป็นชนชาติของพระองค์ชั่วนิรันดร์กาล และพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้าของพวกเขา 23 มาบัดนี้ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ยืนยันสิ่งที่พระองค์กล่าวถึงผู้รับใช้ของพระองค์และพงศ์พันธุ์ของเขาเถิดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง และขอพระองค์กระทำตามที่พระองค์กล่าวไว้ 24 และพระนามของพระองค์จะได้รับสถาปนาและยิ่งใหญ่ชั่วนิรันดร์กาลว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล เป็นพระเจ้าของอิสราเอล’ และพงศ์พันธุ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะได้รับสถาปนา ณ เบื้องหน้าพระองค์ 25 โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ได้เผยให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบ พระองค์จะสร้างผู้สืบพงศ์พันธุ์ให้แก่เขา ฉะนั้นผู้รับใช้ของพระองค์จึงใจกล้ากล่าวคำอธิษฐานนี้ต่อพระองค์ 26 และบัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นพระเจ้า และพระองค์ได้สัญญาสิ่งดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ 27 ฉะนั้นบัดนี้ ขอพระองค์โปรดอวยพรพงศ์พันธุ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้ยั่งยืนชั่วนิรันดร์กาล ณ เบื้องหน้าพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ที่ได้อวยพร และพงศ์พันธุ์ของผู้รับใช้ของพระองค์จะได้รับพรชั่วนิรันดร์กาล”[c]
เชื่อฟังพระเจ้า
4 อะไรเป็นเหตุให้พวกท่านสู้รบและทะเลาะวิวาทกัน เหตุนั้นไม่ได้มาจากความต้องการอันเร่าร้อนในตัวท่านหรือ 2 ท่านอยากได้เหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้ ท่านจึงฆ่า ท่านโลภอยากได้ แต่ก็ไม่ได้มาเป็นของตน ท่านจึงทะเลาะวิวาทและสู้รบกัน ท่านไม่มี เพราะท่านไม่ได้อธิษฐานขอ 3 ท่านขอ และไม่ได้รับ เพราะท่านขอด้วยแรงจูงใจที่ผิด ท่านหวังจะได้ใช้เพื่อความสำราญของตน 4 พวกท่านที่ไม่ภักดี ท่านไม่รู้หรือว่าการเป็นมิตรกับโลกเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้นผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นเพื่อนกับโลก ก็ทำตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า 5 ท่านคิดว่าพระคัมภีร์ระบุอย่างไม่มีเหตุผลหรือ ที่ว่า “พระเจ้าหวงแหนวิญญาณที่พระองค์มอบให้อยู่ในตัวเรามาก” 6 แต่พระองค์มอบพระคุณให้เรามากยิ่งขึ้น พระคัมภีร์จึงระบุว่า “พระเจ้าต่อต้านผู้หยิ่งยโส แต่แสดงพระคุณแก่คนที่ถ่อมตน”[a] 7 ฉะนั้นจงเชื่อฟังพระเจ้า และต่อต้านพญามาร แล้วมันจะหนีจากท่านไป 8 จงโน้มใจเข้าหาพระเจ้า และพระองค์ก็จะโน้มใจเข้าหาท่าน ท่านที่เป็นคนบาป จงชำระมือของท่านเถิด และท่านที่เป็นคนสองใจก็จงทำใจให้บริสุทธิ์เถิด 9 จงเป็นทุกข์ คร่ำครวญ และร้องไห้ ให้การหัวเราะกลับกลายเป็นการร้องคร่ำครวญ และความยินดีของท่านกลายเป็นความโศกสลด 10 จงถ่อมตัว ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะยกย่องท่าน
11 พี่น้องเอ๋ย อย่าพูดว่าร้ายต่อกันเลย คนที่พูดว่าร้ายหรือตำหนิพี่น้องของตน ผู้นั้นก็คัดค้านกฎบัญญัติและตำหนิกฎบัญญัติ แต่ถ้าท่านกล่าวโทษกฎบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แต่กลับเป็นผู้กล่าวโทษ 12 มีผู้ตั้งกฎและผู้กล่าวโทษอยู่เพียงผู้เดียว คือผู้ที่สามารถช่วยให้รอดพ้นและทำลายได้ แต่ท่านเป็นใครที่กล่าวโทษเพื่อนบ้านของท่าน
โอ้อวดถึงอนาคต
13 จงฟังให้ดี ท่านที่พูดว่า “วันนี้ หรือพรุ่งนี้ เราจะไปยังเมืองนั้นเมืองนี้ เพื่อจะไปอยู่ที่นั่น 1 ปีทำธุรกิจและหากำไร” 14 แต่ท่านยังไม่ทราบว่าชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไรในวันพรุ่งนี้ ท่านเป็นเหมือนไอน้ำที่ปรากฏขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งแล้วจางหายไป 15 ท่านควรจะพูดเช่นนี้ต่างหาก “ถ้าเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่อีกเพื่อทำสิ่งนี้สิ่งนั้น” 16 แต่เท่าที่เป็นอยู่ ท่านโอ้อวดตามความยโส การโอ้อวดทุกอย่างเช่นนี้เป็นสิ่งชั่วร้าย 17 ฉะนั้นผู้ที่ทราบว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรกระทำแต่ไม่กระทำ ก็นับว่าเป็นผู้ทำบาป
โยนาห์หลบหนีพระผู้เป็นเจ้า
1 คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงโยนาห์บุตรของอามิททัยดังนี้ว่า 2 “จงลุกขึ้นเถิด ไปยังนีนะเวห์เมืองอันยิ่งใหญ่ และประกาศต่อต้านเมืองนั้น เพราะความชั่วร้ายของพวกเขาได้ขึ้นมาปรากฏต่อหน้าเรา” 3 แต่โยนาห์ลุกขึ้นเพื่อหลบหนีไปยังเมืองทาร์ชิช เพื่อจะไปให้พ้นจากพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นเขาจึงลงไปยังเมืองยัฟฟา และพบเรือที่กำลังจะไปยังเมืองทาร์ชิช เขาจ่ายค่าโดยสาร และลงเรือไปกับเขาทั้งหลายเพื่อไปยังเมืองทาร์ชิช เพื่อไปให้พ้นจากพระผู้เป็นเจ้า
4 แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็บันดาลให้เกิดกระแสลมแรงขึ้นที่ท้องทะเล พายุกล้าจึงเกิดขึ้นที่ทะเลจนเรือใกล้จะแตก 5 บรรดาลูกเรือเกิดความกลัว ต่างก็ตะโกนร้องเรียกถึงเทพเจ้าของตนเอง และเหวี่ยงสัมภาระในเรือทิ้งทะเลเพื่อให้เรือเบาขึ้น แต่โยนาห์กลับลงไปที่ท้องเรือ และเอนกายลงนอนจนหลับสนิท 6 นายเรือลงไปหาโยนาห์และพูดกับเขาดังนี้ว่า “ท่านเป็นอะไรไปจึงนอนหลับได้ ลุกขึ้นเถิด ร้องเรียกถึงเทพเจ้าของท่าน เผื่อเทพเจ้าจะคิดถึงพวกเรา เราจะได้ไม่วอดวายกัน”
7 เขาทั้งหลายพูดกันว่า “พวกเรามาจับฉลากกันเถิด จะได้รู้ว่าเหตุร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกเราเพราะใคร” ดังนั้นพวกเขาก็จับฉลาก และฉลากชี้ชัดว่าเป็นเพราะโยนาห์ 8 พวกเขาจึงไปพูดกับโยนาห์ดังนี้ว่า “บอกเราเถิดว่า ใครจะรับผิดชอบกับเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับพวกเราเช่นนี้ ท่านมีอาชีพอะไร มาจากไหน ดินแดนไหน ท่านเป็นชนชาติอะไร” 9 เขาตอบว่า “เราเป็นคนฮีบรู เราเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้สร้างทะเลและแผ่นดิน” 10 ชายเหล่านั้นตกใจกลัวยิ่งนัก จึงพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้” พวกเขาทราบว่าโยนาห์กำลังหลบหนีให้พ้นจากพระผู้เป็นเจ้า เพราะโยนาห์ได้บอกพวกเขา
11 พายุในท้องทะเลกำลังโหมหนักมากยิ่งขึ้น พวกเขาจึงถามโยนาห์ว่า “เราควรจะทำอย่างไรกับท่าน ทะเลจึงจะสงบลงให้พวกเรา” 12 เขาตอบว่า “จับตัวเราโยนลงทะเล แล้วมันก็จะสงบลงให้พวกท่าน เราทราบว่าเป็นเพราะเรา พายุแรงกล้าเช่นนี้จึงเกิดขึ้นกับพวกท่าน” 13 ถึงกระนั้น พวกลูกเรือก็ยังพยายามพายเรือเพื่อนำเรือกลับเข้าฝั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะพายุพัดต้านพวกเขาแรงยิ่งขึ้น 14 ดังนั้นพวกเขาจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้าดังนี้ว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดเถิด อย่าให้พวกข้าพเจ้าตายเพราะชีวิตของชายผู้นี้เลย และอย่าให้พวกข้าพเจ้ารับผิดชอบกับการตายของชายคนนี้ เพราะไม่ใช่ความผิดของพวกข้าพเจ้า โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้กระทำสิ่งที่พระองค์พอใจแล้ว” 15 ครั้นแล้วพวกลูกเรือก็โยนโยนาห์ลงทะเล และทะเลก็สงบลง 16 ชายเหล่านั้นจึงเกิดความเกรงกลัวในพระผู้เป็นเจ้ายิ่งนัก และถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า และให้คำสัญญาต่อพระองค์
17 แล้วพระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งกลืนโยนาห์ ฉะนั้นโยนาห์อยู่ในท้องปลา 3 วัน 3 คืน[a]
บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต
6 ครั้งหนึ่งในวันสะบาโต พระเยซูเดินผ่านไปในทุ่งนา พวกสาวกของพระองค์เริ่มเด็ดรวงข้าวมาขยี้ในมือกิน 2 ฟาริสีบางคนถามว่า “ทำไมท่านจึงทำสิ่งต้องห้ามในวันสะบาโต” 3 พระเยซูตอบว่า “ท่านไม่เคยอ่านเลยหรือว่า ครั้งที่ดาวิดกับพรรคพวกที่ไปด้วยได้ทำอะไรบ้างเมื่อรู้สึกหิว 4 คราวที่ดาวิดได้เข้าไปในพระตำหนักของพระเจ้า และเอาขนมปังอันบริสุทธิ์ซึ่งไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์รับประทานยกเว้นบรรดาปุโรหิตเท่านั้นมากัดกินและให้แก่พรรคพวกของเขาด้วย”[a] 5 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”
6 ในวันสะบาโตอีกวันหนึ่งพระองค์เข้าไปในศาลาที่ประชุมและสั่งสอน มีชายผู้หนึ่งซึ่งมือขวาลีบอยู่ที่นั่นด้วย 7 ส่วนพวกฟาริสีและพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติต่างหาเหตุผลเพื่อใช้เป็นข้อกล่าวหาพระเยซู เขาคอยจับตาดูว่า พระองค์จะรักษาคนในวันสะบาโตหรือไม่ 8 พระเยซูทราบความคิดของคนเหล่านั้นจึงกล่าวกับคนมือลีบว่า “จงลุกขึ้น และยืนต่อหน้าทุกๆ คนเถิด” เขาก็ลุกขึ้นยืน 9 แล้วพระเยซูกล่าวกับคนทั้งหลายว่า “เราขอถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงถูกกฎบัญญัติในวันสะบาโต การทำดีหรือการทำชั่ว การช่วยชีวิตหรือการทำลายชีวิต” 10 พระองค์มองดูทุกคนที่อยู่รอบข้าง แล้วกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “จงยื่นมือออกมาเถิด” เมื่อเขาทำตาม มือของเขาก็หายเป็นปกติ 11 คนเหล่านั้นก็โกรธมากและถกเถียงกันเองว่าจะทำอย่างไรกับพระเยซูดี
อัครทูตทั้งสิบสอง
12 วันหนึ่งพระเยซูออกไปยังแถบภูเขาและอธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน 13 เมื่อถึงเวลาเช้าพระองค์ก็เรียกสาวกทั้งหลายของพระองค์มา และเลือกสาวก 12 คนซึ่งพระองค์ตั้งให้เป็นอัครทูต 14 ซีโมนซึ่งพระองค์ตั้งชื่อว่า เปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว 15 มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ซีโมนที่เรียกว่าเป็นพรรคชาตินิยม 16 ยูดาสบุตรของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอทซึ่งเป็นผู้ทรยศ
ความสุขและความวิบัติ
17 พระเยซูลงมาจากภูเขาพร้อมด้วยอัครทูต มายังที่ราบแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยสาวกกลุ่มใหญ่ของพระองค์ ผู้คนจำนวนมากมาจากทั่วแคว้นยูเดีย เมืองเยรูซาเล็ม และจากชายฝั่งทะเลของเมืองไทระและไซดอน 18 ต่างก็มาเพื่อฟังพระองค์ และมาขอรับการรักษาให้หายจากโรคต่างๆ รวมทั้งพวกที่ถูกวิญญาณร้ายทั้งหลายรังควานก็ได้รับการรักษาหาย 19 ฝูงชนทั้งปวงก็พยายามจะแตะต้องพระเยซู เพราะฤทธานุภาพที่ออกมาจากกายของพระองค์ ทำให้คนทั้งปวงหายจากโรคภัยต่างๆ ได้
20 พระองค์มองดูพวกสาวกของพระองค์แล้วกล่าวว่า
“ท่านผู้ยากไร้จะเป็นสุข
เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของท่าน
21 ท่านผู้ที่หิวกระหายเวลานี้ก็เป็นสุข
เพราะว่าท่านจะได้อิ่มหนำ
ท่านผู้ร่ำไห้เวลานี้ก็เป็นสุข
เพราะว่าท่านจะได้หัวเราะ
22 ท่านจะเป็นสุขเมื่อถูกคนทั้งหลายเกลียดชัง
เมื่อเขาตัดขาด ดูถูก
และประณามชื่อของท่านว่าชั่ว
เหตุเพราะบุตรมนุษย์
23 วาระนั้นจงชื่นชมยินดีและโลดเต้นด้วยความยินดี เพราะรางวัลอันเลิศของท่านอยู่ในสวรรค์ เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาทั้งปวงได้กระทำต่อผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยวิธีเดียวกัน
24 แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้มั่งมี
เพราะว่าท่านได้รับความสบายแล้ว
25 วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่อิ่มหนำเวลานี้
เพราะว่าท่านจะมีความอดอยาก
วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่หัวเราะเวลานี้
เพราะว่าท่านจะมีความเศร้าโศกและร้องไห้
26 วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่เวลาคนทั่วไปพูดยกยอท่าน
เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาทั้งหลายได้กระทำเช่นเดียวกัน ต่อบรรดาผู้เผยคำกล่าวจอมปลอม
รักศัตรู
27 เราขอบอกท่านที่ฟังเราว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน 28 จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานให้แก่คนที่กระทำผิดต่อท่าน 29 ถ้าใครตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย ถ้าใครเอาเสื้อตัวนอกของท่านไป และจะเอาเสื้อตัวในไปด้วยก็อย่าห้ามเขา 30 จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าผู้ใดเอาสิ่งของที่เป็นของท่านไปก็อย่าทวงกลับคืน 31 จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน
32 ถ้าท่านรักบรรดาผู้ที่รักท่าน แล้วท่านจะได้คุณประโยชน์อะไร เพราะแม้แต่คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขา 33 ถ้าท่านทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่ท่าน แล้วท่านจะได้คุณประโยชน์อะไร เพราะคนบาปก็ทำเช่นนั้น 34 ถ้าท่านให้ยืมแก่ผู้ที่ท่านหวังว่าจะได้รับคืน แล้วท่านจะได้คุณประโยชน์อะไร เพราะคนบาปก็ให้ยืมแก่คนบาป ด้วยหวังว่าจะได้รับคืนทั้งหมด 35 แต่จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีต่อเขาเหล่านั้น และให้ยืมโดยไม่หวังเลยว่าจะได้รับสิ่งใดคืน แล้วท่านจะได้รับรางวัลอันเลิศ ท่านทั้งหลายก็จะได้เป็นบุตรของผู้สูงสุด ด้วยว่าพระองค์มีความกรุณาต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว 36 จงมีความเมตตา เหมือนกับพระบิดาของท่านผู้มีความเมตตา
การตำหนิผู้อื่น
37 อย่าตำหนิติเตียนผู้อื่น แล้วท่านจะไม่ถูกตำหนิ อย่ากล่าวโทษ แล้วท่านจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้ผู้อื่น แล้วท่านจะได้รับการยกโทษ 38 จงให้แก่ผู้อื่น และท่านจะได้รับในจำนวนที่อัดเขย่าให้แน่นจนล้นบนตัก ด้วยว่าท่านตวงให้ไปเท่าใด ท่านก็จะได้รับกลับในจำนวนเท่านั้น”
39 พระองค์กล่าวเป็นอุปมาแก่เขาว่า “คนตาบอดสามารถนำทางให้คนตาบอดได้หรือไม่ ทั้งสองจะไม่พากันตกลงในบ่อหรือ 40 ศิษย์จะไม่เหนือไปกว่าอาจารย์ แต่ทุกคนที่ได้รับการอบรมฝึกฝนครบถ้วนจะเป็นดังเช่นอาจารย์ของเขา 41 เหตุใดท่านจึงมองเห็นผงในดวงตาของพี่น้องของท่าน แต่ไม่สังเกตเห็นไม้ท่อนใหญ่ในดวงตาของท่านเอง 42 ท่านพูดกับพี่น้องของท่านได้อย่างไรว่า ‘พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ทั้งๆ ที่ตัวท่านไม่สามารถเห็นไม้ท่อนใหญ่ในดวงตาของท่านเอง คนหน้าไหว้หลังหลอกเอ๋ย ท่านต้องเอาไม้ท่อนใหญ่ออกจากดวงตาของท่านเสียก่อน จึงจะเห็นอย่างชัดเจน แล้วจะได้เขี่ยผงออกจากดวงตาของพี่น้องของท่านได้
ผลที่ได้จากต้นไม้
43 ไม้ดีย่อมไม่ให้ผลเลว ไม้เลวจะให้ผลดีก็ไม่ได้เช่นกัน 44 ด้วยว่า เราดูชนิดของต้นไม้ได้จากผลของมัน เราไม่สามารถเก็บผลมะเดื่อจากพืชพันธุ์ไม้มีหนาม หรือองุ่นจากพุ่มไม้ประเภทหนามได้ 45 คนดีย่อมแสดงสิ่งดีที่สะสมอยู่ในใจของเขาออกมา และคนชั่วย่อมแสดงสิ่งชั่วที่สะสมอยู่ในใจของเขาออกมาเช่นกัน เพราะว่าปากย่อมพูดแต่สิ่งที่อยู่ในใจ
ฐานรากอันมั่นคง
46 ทำไมท่านจึงเรียกเราว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์ท่าน’ แต่ไม่ทำตามที่เราพูด 47 เราจะชี้แจงให้ท่านเข้าใจว่า ทุกคนที่มาหาเรา ได้ยินคำของเราและปฏิบัติตาม เขาจะเป็นเช่นไร 48 เขาเหมือนกับคนที่กำลังสร้างบ้านหลังหนึ่ง และขุดลึกลงไปเพื่อวางฐานรากบนหิน เมื่อน้ำท่วม กระแสน้ำก็ซัดสาดขึ้นมา แต่ก็มิอาจขยับบ้านได้ เพราะว่าเป็นบ้านที่สร้างไว้อย่างดี 49 แต่ผู้ที่ได้ยินคำของเราและไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่สร้างบ้านบนพื้นซึ่งไม่มีฐานราก เมื่อกระแสน้ำซัดมาบ้านก็พังทลายลงได้ และความเสียหายนั้นยิ่งใหญ่นัก”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation