M’Cheyne Bible Reading Plan
การสมรสของแซมสัน
14 แซมสันได้ลงไปยังเมืองทิมนาห์ และเขาเห็นผู้หญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่ง 2 เขาจึงขึ้นไปบอกบิดามารดาของเขาว่า “ลูกเห็นผู้หญิงชาวฟีลิสเตียคนหนึ่งที่ทิมนาห์ ช่วยไปขอเธอมาเป็นภรรยาให้ลูกในเวลานี้เถิด” 3 แต่บิดามารดาพูดกับเขาว่า “ไม่มีหญิงใดในกลุ่มญาติของเจ้า หรือในหมู่คนของพวกเราเองหรืออย่างไร เจ้าถึงต้องไปหาภรรยาจากชาวฟีลิสเตียที่ไม่เข้าสุหนัต” แต่แซมสันพูดกับบิดาของตนว่า “ไปขอเธอมาให้ลูกเถิด เพราะเธอต้องตาต้องใจลูก”
4 บิดามารดาของเขาไม่ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้เกิดเรื่องนี้ เพราะพระองค์ใช้โอกาสที่จะให้เขาต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย ในเวลานั้นชาวฟีลิสเตียเป็นใหญ่เหนืออิสราเอล
5 จากนั้นแซมสันก็ลงไปยังทิมนาห์กับบิดามารดาของเขา เมื่อมาถึงสวนองุ่นในทิมนาห์ ดูเถิดสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งเดินคำรามตรงมายังแซมสัน 6 และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับแซมสัน และแม้ว่าเขาไม่มีอะไรในมือ เขาก็ยังฉีกตัวสิงโตออกเป็นชิ้นๆ ได้ราวกับฉีกเนื้อแพะหนุ่ม แต่เขาไม่ได้บอกให้บิดามารดาฟังว่าเขาได้ทำอะไรไป 7 แล้วเขาลงไปพูดกับหญิงคนนั้น และเธอก็ต้องตาต้องใจเขา
8 อยู่มาวันหนึ่งแซมสันกลับไปรับตัวเธอ ขณะที่ไป เขาหันไปดูซากสิงโต ดูเถิด มีฝูงผึ้งอยู่ในตัวสิงโต และมีน้ำผึ้งด้วย 9 เขาใช้มือทั้งสองควักน้ำผึ้งกิน และเดินต่อไป ซ้ำยังเอาไปให้บิดามารดากินด้วย แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาควักน้ำผึ้งได้จากซากสิงโต
10 บิดาของเขาลงไปหาหญิงคนนั้น และแซมสันก็เตรียมงานเลี้ยงที่นั่นตามที่บรรดาเจ้าบ่าวนิยมทำกัน 11 ทันทีที่ประชาชนเห็นแซมสัน พวกเขาก็ให้คนมาเป็นเพื่อนด้วย 30 คน 12 แซมสันพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ให้เราทายปริศนากับท่านข้อหนึ่งเถิด ถ้าท่านไขได้ว่าคืออะไร ภายใน 7 วันที่มีงานเลี้ยง เราจะให้เสื้อป่าน 30 ตัวกับเสื้อใหม่อีก 30 ตัว 13 แต่ถ้าหากว่าท่านไขปริศนาไม่ได้ว่าคืออะไร ท่านก็จะต้องให้เสื้อป่าน 30 ตัวกับเสื้อใหม่ 30 ตัวแก่เรา” พวกเขาจึงตอบว่า “เปิดปริศนาเถิด พวกเราจะได้ฟังกัน”
14 เขาจึงกล่าวว่า
“มีของที่กินได้ที่ออกมาจากตัวที่กิน
สิ่งที่หวานออกมาจากตัวที่แข็งแรง”
สามวันผ่านไป พวกเขายังไม่สามารถไขปริศนาได้
15 ในวันที่สี่ พวกเขาพูดกับภรรยาของแซมสันว่า “จงหว่านล้อมสามีของเจ้าเพื่อพวกเราจะได้รู้ว่าคำตอบของปริศนาคืออะไร มิฉะนั้นแล้ว พวกเราจะเผาตัวเจ้าและคนในครอบครัวของบิดาของเจ้าให้ตายหมด เจ้าเชิญเรามาเพื่อทำให้พวกเราหมดตัวหรือ” 16 ภรรยาของแซมสันจึงไปร้องไห้ใส่แซมสันว่า “ท่านเกลียดชังเรา ท่านไม่รักเรา ท่านตั้งปริศนาให้คนของเราทาย และท่านยังไม่ได้บอกเราเลยว่า คำตอบคืออะไร” เขาตอบนางว่า “ดูเถิด เราไม่ได้บอกพ่อแม่ของเราเอง จะให้เราบอกเจ้าหรือ” 17 นางร้องไห้ต่อหน้าแซมสันทั้ง 7 วันที่มีงานเลี้ยง และในวันที่เจ็ดเขาก็บอกนาง เพราะนางรบเร้าเขามาก แล้วนางก็ไปบอกคำตอบให้คนของนางทราบ
18 พวกผู้ชายของเมืองนั้นจึงบอกแซมสันในวันที่เจ็ดก่อนดวงอาทิตย์ตกว่า
“อะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง
อะไรแข็งแรงกว่าสิงโต”
เขาพูดกับคนพวกนั้นว่า
“ถ้าท่านไม่ได้ไถนากับโคสาวของเรา
ท่านก็จะไขปริศนาของเราไม่ได้”
19 และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็สถิตกับแซมสันด้วยอานุภาพ เขาก็ลงไปที่อัชเคโลน และฆ่าชาย 30 คน ยึดของที่ริบมาได้ และให้เสื้อใหม่แก่พวกที่ไขปริศนา เขากลับไปบ้านของบิดาด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก 20 และภรรยาของแซมสันถูกยกให้เป็นของเพื่อนแซมสัน คือคนที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว
ที่เมืองโครินธ์
18 หลังจากนั้นเปาโลก็ออกจากเมืองเอเธนส์ แล้วไปยังเมืองโครินธ์ 2 ท่านพบชาวยิวชื่ออาควิลลาซึ่งมีพื้นเพดั้งเดิมมาจากแคว้นปอนทัส เขาเพิ่งมาจากประเทศอิตาลีกับภรรยาชื่อปริสสิลลา เพราะจักรพรรดิคลาวดิอัสได้ออกคำสั่งให้ชาวยิวทุกคนออกจากเมืองโรม เปาโลจึงไปหาเขาทั้งสอง 3 และด้วยเหตุที่ท่านมีอาชีพสร้างกระโจมเหมือนกัน ท่านจึงพักและทำงานอยู่ด้วยกับเขา 4 ทุกวันสะบาโตท่านจะอภิปรายในศาลาที่ประชุมเพื่อชักชวนกลุ่มชาวยิวและกรีก
5 เมื่อสิลาสและทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลอุทิศตนอย่างเต็มที่ในการประกาศคำกล่าว และยืนยันแก่ชาวยิวว่าพระเยซูคือพระคริสต์ 6 แต่เมื่อชาวยิวต่อต้านเปาโลจนกลายเป็นการว่าร้าย ท่านก็สลัดเสื้อออกเพื่อแสดงความผิดของพวกเขา และกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าพวกท่านตัดสินใจรับผิดชอบกับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ก็เป็นการเลือกของท่านเอง ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบด้วย ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปประกาศแก่บรรดาคนนอก” 7 ครั้นแล้วเปาโลก็ออกจากศาลาที่ประชุมไปยังบ้านที่อยู่ถัดไป ซึ่งเป็นของทิทิอัสยุสทัสผู้นมัสการพระเจ้า 8 และคริสปัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมกับทุกคนในบ้านก็เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งชาวโครินธ์จำนวนมากที่ได้ยินท่านพูดก็เชื่อและได้รับบัพติศมา 9 คืนหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าปรากฏในภาพนิมิตและกล่าวกับเปาโลว่า “อย่ากลัวเลย จงพูดต่อไปเถิด และอย่านิ่งเงียบเสีย 10 เราอยู่กับเจ้า จะไม่มีผู้ใดโจมตีและทำร้ายเจ้าได้ เพราะว่าเรามีคนของเราจำนวนมากที่อยู่ในเมืองนี้” 11 ดังนั้นเปาโลจึงพักอยู่เป็นเวลาปีครึ่ง เพื่อสั่งสอนคำกล่าวของพระเจ้าแก่คนเหล่านั้น
12 ขณะที่กัลลิโอเป็นผู้ว่าราชการแคว้นอาคายา ชาวยิวร่วมกันระดมจับเปาโลและนำท่านไปขึ้นศาล 13 โดยกล่าวหาว่า “ชายผู้นี้ชักจูงให้ผู้คนนมัสการพระเจ้าในทางที่ขัดแย้งกับกฎบัญญัติ” 14 เมื่อเปาโลจะเปิดปากขึ้นโต้แย้ง กัลลิโอก็พูดกับชาวยิวว่า “ถ้าพวกท่านที่เป็นชาวยิวกล่าวว่าเป็นการทำผิดหรือเป็นอาชญากรรมแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดว่ามีเหตุผลดีพอที่จะฟังท่าน 15 แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่โต้แย้งเกี่ยวกับคำพูด เกี่ยวกับชื่อและกฎของพวกท่านเอง ก็จงตกลงกันเองเถิด เราจะไม่เป็นผู้ตัดสินความในเรื่องเหล่านั้น” 16 แล้วก็ไล่พวกเขาออกไปจากศาล 17 เขาทั้งหลายจึงจับตัวโสสเธเนสผู้ปกครองศาลาที่ประชุมไป แล้วทุบตีเขาที่หน้าศาล แต่กัลลิโอกลับไม่เอาธุระ
ปริสสิลลา อาควิลลา และอปอลโล
18 เปาโลอยู่ต่อที่เมืองโครินธ์สักพักนึ่ง แล้วจึงจากพวกพี่น้องไป โดยแล่นเรือไปยังแคว้นซีเรีย ปริสสิลลาและอาควิลลาก็ไปด้วย ก่อนที่ท่านจะไป ก็ได้ตัดผมที่เมืองเคนเครียตามที่ท่านได้สาบานไว้ 19 เมื่อไปถึงเมืองเอเฟซัส เปาโลได้เข้าไปในศาลาที่ประชุมเพื่ออภิปรายกับชาวยิว และที่เมืองนั้นเองเปาโลได้แยกทางกับปริสสิลลาและอาควิลลา 20 และปฏิเสธที่จะอยู่ต่อเมื่อชาวยิวพากันขอร้อง 21 แต่ก่อนจะจากไปก็ได้สัญญาว่า “ข้าพเจ้าจะกลับมาอีกหากเป็นความประสงค์ของพระเจ้า” แล้วท่านก็แล่นเรือออกไปจากเมืองเอเฟซัส
22 เมื่อท่านมาถึงเมืองซีซารียา ก็ได้ขึ้นไป[a]ทักทายบรรดาพี่น้องในคริสตจักร แล้วจึงลงไปยังเมืองอันทิโอก 23 หลังจากที่ได้อยู่ที่เมืองอันทิโอกชั่วระยะหนึ่ง เปาโลก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนทั่วแว่นแคว้นกาลาเทียและฟรีเจียเพื่อให้กำลังใจสาวกทุกคน
24 ในเวลานั้นมีชาวยิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล บ้านเกิดอยู่ที่เมืองอเล็กซานเดรีย ท่านได้มาที่เมืองเอเฟซัส นอกจากจะมีโวหารดีแล้วก็ยังรอบรู้ในพระคัมภีร์ด้วย 25 ท่านได้เรียนรู้วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้กล่าวด้วยจิตวิญญาณที่กระตือรือร้น และสั่งสอนในเรื่องของพระเยซูอย่างถูกต้อง แม้ว่าท่านทราบแต่เพียงบัพติศมาของยอห์นก็ตาม 26 ท่านเริ่มพูดในศาลาที่ประชุมด้วยใจกล้าหาญ เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ยินท่านพูดแล้วก็ได้เชิญท่านไปที่บ้าน เพื่ออธิบายวิถีทางของพระเจ้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
27 เมื่ออปอลโลต้องการที่จะไปยังแคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็สนับสนุนและเขียนถึงพวกสาวกที่นั่นให้ต้อนรับท่าน เมื่อไปถึงก็ได้ช่วยพวกที่เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมาย 28 ท่านโต้แย้งอย่างรุนแรงกับชาวยิวต่อหน้าคนทั้งปวง เพื่อชี้แจงให้เห็นจริงจากพระคัมภีร์ว่า พระเยซูคือพระคริสต์
แอกของเนบูคัดเนสซาร์
27 ในเริ่มรัชสมัยของเศเดคียาห์บุตรของโยสิยาห์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงทำแอกด้วยสายรัดและคานไม้ และสวมไว้ที่คอของเจ้า 3 มีบรรดาผู้ถือสาสน์ที่ไปพบเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ที่เยรูซาเล็ม ให้พวกเขาไปแจ้งกษัตริย์แห่งเอโดม กษัตริย์แห่งโมอับ กษัตริย์ของบรรดาบุตรของอัมโมน กษัตริย์แห่งไทระ และกษัตริย์แห่งไซดอน 4 ให้พวกเขานำเรื่องไปบอกนายของพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า เจ้าจงบอกบรรดาเจ้านายของพวกเจ้าดังนี้ว่า 5 ‘เราสร้างแผ่นดินโลก อีกทั้งมนุษย์และสัตว์ที่อยู่บนโลก ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเราและพลานุภาพของเรา และเรามอบให้แก่ผู้ใดก็ได้ที่เราเห็นสมควร 6 บัดนี้เราได้มอบแผ่นดินเหล่านี้ไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้เป็นผู้รับใช้ของเรา และเราได้มอบบรรดาสัตว์ป่าในไร่นาให้แก่เขาด้วย เพื่อรับใช้เขา 7 ประชาชาติทั้งปวงจะรับใช้เขาและลูกหลานของเขาจนถึงเวลาที่แผ่นดินของเขาเองจะล้มลง หลังจากนั้นเขาก็จะตกเป็นทาสรับใช้ประชาชาติจำนวนมากและบรรดากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่
8 แต่ถ้าประชาชาติใดหรืออาณาจักรใดไม่ยอมรับใช้เนบูคัดเนสซาร์ผู้เป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้นี้ และก้มคอลงหามแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน เราจะลงโทษประชาชาตินั้นด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด จนกระทั่งเราจะทำให้พวกเขาพินาศด้วยมือของเขา’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 9 ‘ฉะนั้นอย่าฟังบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเจ้า บรรดาผู้ทำนาย ผู้แก้ฝัน คนทรง และพวกที่ใช้วิทยาคมของพวกเจ้า ซึ่งพูดกับพวกเจ้าว่า “ท่านจะไม่รับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน” 10 เพราะพวกเขาเผยความเท็จแก่เจ้า เพื่อผลักไสพวกเจ้าออกไปให้ไกลจากแผ่นดินของเจ้า เราจะขับไล่เจ้าออกไป และพวกเจ้าจะสิ้นชีวิต 11 แต่ถ้าประชาชาติใดที่จะก้มคอลงหามแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนและรับใช้เขา เราก็จะปล่อยให้ประชาชาตินั้นคงอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง ให้พรวนดินและอาศัยอยู่ต่อไป’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 ข้าพเจ้าพูดไปตามนั้นกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “ก้มคอของท่านลงหามแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลน รับใช้ท่านและประชาชนของท่าน และมีชีวิตอยู่ต่อไป 13 ทำไมท่านและชนชาติของท่านจึงจะยอมตายด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงประชาชาติที่จะไม่รับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลนเล่า 14 อย่าฟังคำของบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่พูดกับท่านว่า ‘ท่านจะไม่รับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน’ เพราะพวกเขาเผยความเท็จแก่ท่าน 15 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ ‘เราไม่ได้ใช้พวกเขามา แต่พวกเขากำลังเผยความเท็จในนามของเรา และเป็นเหตุทำให้เราขับไล่เจ้าออกไป และพวกเจ้าจะสิ้นชีวิต ทั้งตัวเจ้าและบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่กำลังเผยความแก่เจ้า’”
16 แล้วข้าพเจ้าก็พูดกับบรรดาปุโรหิตและประชาชนทั้งปวงว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “อย่าฟังคำของบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเจ้า ที่กำลังเผยความแก่เจ้าว่า ‘ดูเถิด ภาชนะทั้งหลายของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจะถูกนำกลับมาจากบาบิโลนในไม่ช้า’ เพราะพวกเขากำลังเผยความเท็จแก่เจ้า 17 อย่าฟังพวกเขา จงรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลน และมีชีวิตอยู่ต่อไป ทำไมเมืองนี้จึงจะต้องกลายเป็นที่รกร้าง 18 ถ้าพวกเขาเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และถ้าคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าอยู่กับพวกเขา พวกเขาก็ควรอธิษฐานขอพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาว่า ภาชนะทั้งหลายที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในเยรูซาเล็มจะไม่ถูกขนไปยังบาบิโลน 19 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ถึงเรื่องเสาหลัก ถังเก็บน้ำ แท่นเข็น และภาชนะต่างๆ ที่ยังอยู่ในเมืองนี้ 20 ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนไม่ได้ขนเอาไปในครั้งที่ท่านจับเยโคนิยาห์บุตรของเยโฮยาคิม ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ และบรรดาผู้นำของยูดาห์และเยรูซาเล็มไปเป็นเชลย 21 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ถึงเรื่องภาชนะทั้งหลาย ที่ยังอยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ และในเยรูซาเล็ม 22 ‘ภาชนะเหล่านั้นจะถูกขนไปยังบาบิโลนและอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่เรามาเอาคืน เราจะนำมันกลับมาเก็บไว้ในที่นี่อีก’” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
พระวิหารถูกทำลาย และการสิ้นยุคนี้
13 ขณะที่พระเยซูกำลังออกไปจากพระวิหาร สาวกของพระองค์คนหนึ่งพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ ดูเถิดว่าหินและตึกช่างใหญ่มหึมาอะไรเช่นนี้” 2 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เจ้าเห็นตึกใหญ่เหล่านี้ใช่ไหม ไม่มีหินก้อนใดซึ่งวางทับซ้อนกันอยู่ที่นี่จะรอดจากการทำลายไปได้”
3 ขณะที่พระองค์นั่งอยู่บนภูเขามะกอกตรงข้ามกับพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์ก็ไต่ถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า 4 “โปรดบอกพวกเราเถิดว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด และปรากฏการณ์สำคัญอันใดที่จะบ่งบอกให้รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ทุกประการใกล้จะบรรลุผล” 5 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ผู้ใดชักจูงเจ้าไปในทางที่ผิด 6 จะมีคนจำนวนมากมากล่าวอ้างนามของเราโดยว่า ‘เราเป็นพระองค์’ และจะชักจูงคนจำนวนมากไปในทางที่ผิด 7 เมื่อเจ้าได้ยินเรื่องการสงครามต่างๆ และข่าวลือเรื่องสงคราม ก็อย่าตกใจกลัว สิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นก่อน แต่การสิ้นสุดจะยังไม่เกิดขึ้นในทันที 8 ด้วยว่าประเทศชาติต่างๆ จะต่อสู้กัน และอาณาจักรต่างๆ จะต่อสู้กัน จะเกิดแผ่นดินไหวตามที่ต่างๆ จะมีการอดอยากด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการเริ่มของความเจ็บปวดเหมือนก่อนคลอดลูก
9 แต่จงระวังให้ดี เพราะว่าพวกเขาจะมอบตัวเจ้าไปให้ตามศาลต่างๆ แล้วเจ้าจะถูกโบยตีตามศาลาที่ประชุม และเจ้าจะยืนต่อหน้าเหล่าผู้ว่าราชการและบรรดากษัตริย์ก็เพราะเรา ครั้นแล้วเจ้าจะได้เป็นพยานแก่พวกเขา 10 และข่าวประเสริฐจะถูกประกาศแก่ชนทุกชาติก่อน 11 เมื่อพวกเขาจับกุมเจ้าและมอบตัวเจ้าไป ก็อย่ากังวลล่วงหน้าว่าเจ้าจะต้องพูดอะไร จงพูดตามคำที่เจ้าจะได้รับให้พูดในเวลานั้น เพราะว่าไม่ใช่ตัวเจ้าเองที่พูด แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ 12 บรรดาพี่น้องต่างคนก็ต่างจะส่งตัวกันและกันไปประหาร พ่อมอบลูก และบรรดาลูกๆ จะต่อต้านพ่อแม่ และเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย 13 และคนทั้งปวงจะเกลียดชังเจ้าเหตุเพราะชื่อของเรา แต่คนที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะได้ชีวิตรอดพ้น
14 แต่เมื่อเจ้าเห็นสิ่งที่น่าชังซึ่งทำให้เกิดความวิบัติยืนอยู่ในที่ซึ่งไม่ควรจะอยู่ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเถิด)[a] เวลานั้นจงปล่อยให้ผู้คนในแคว้นยูเดียหนีไปยังแถบภูเขา 15 และอย่าให้คนที่อยู่บนหลังคาบ้านลงหรือเข้าไปในบ้านของเขาเพื่อขนสิ่งใดออกมา 16 และอย่าให้คนที่อยู่ในทุ่งนาหันกลับไปหยิบเสื้อตัวนอกของเขา 17 วิบัติจะเกิดแก่หญิงมีครรภ์และมารดาผู้ให้นมลูกในวันนั้น 18 แต่จงอธิษฐานเพื่อว่าจะได้ไม่เกิดขึ้นในฤดูหนาว 19 เพราะในเวลานั้นจะเป็นเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกจนถึงเวลานี้และจะไม่เป็นเช่นนั้นอีก 20 หากว่าพระผู้เป็นเจ้าไม่ลดจำนวนวันให้น้อยลงแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดรอดชีวิตได้เลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้ที่พระเจ้าได้เลือกไว้ พระองค์จึงลดจำนวนวันลง 21 และในเวลานั้นถ้าใครพูดกับเจ้าว่า ‘ดูเถิด พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘ดูเถิด พระองค์อยู่ที่นั่น’ ก็อย่าเชื่อเขา 22 บรรดาพระคริสต์จอมปลอมและผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมจะแสดงตน พวกเขาจะแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ เพื่อหากว่าเป็นไปได้ ก็จะชักจูงให้แม้ผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ให้หลงไปในทางที่ผิด 23 แต่จงระวังไว้ เราได้บอกทุกสิ่งล่วงหน้าไว้กับเจ้าแล้ว
24 แต่ในระยะเวลาหลังจากที่คราวทุกข์ยากลำบากผ่านพ้นไปแล้ว
‘ดวงอาทิตย์จะมืดลง
และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
25 บรรดาดวงดาวจะร่วงหล่นจากฟ้า
และบรรดาสิ่งที่ทรงพลังในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน’[b]
26 ในเวลานั้นพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์มาในเมฆด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และสง่าราศี 27 แล้วท่านจะส่งเหล่าทูตสวรรค์ไปเพื่อรวบรวมบรรดาผู้ที่ท่านเลือกไว้จากลมทั้งสี่ คือจากสุดปลายของแผ่นดินโลกจนถึงสุดปลายฟ้าสวรรค์
28 จงเรียนเรื่องอุปมาจากต้นมะเดื่อ เมื่อกิ่งก้านเขียวสดแตกใบอ่อน เจ้าก็รู้ว่าฤดูฝนใกล้จะถึงแล้ว 29 ในทำนองเดียวกัน เมื่อเจ้าเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น จงรู้เถิดว่าท่านอยู่ใกล้ประตูมากแล้ว 30 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า คนในช่วงกาลเวลานี้จะไม่อาจล่วงลับไป จนกว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก่อน 31 สวรรค์และโลกจะดับสูญไป แต่คำของเราจะไม่มีวันสูญหายไป
ใครจะหยั่งรู้อนาคต
32 แต่ไม่มีใครทราบถึงวันและเวลานั้น บรรดาทูตสวรรค์แห่งสวรรค์ หรือแม้แต่พระบุตรก็ไม่ทราบเช่นกัน ยกเว้นพระบิดาเท่านั้น 33 จงระวังและตื่นตัวไว้ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเวลาจะมาถึงเมื่อใด 34 เหมือนกับชายคนหนึ่งที่ออกเดินทางไป เมื่อถึงเวลาที่เขาจะจากบ้านไป เขาให้พวกทาสรับใช้ดูแล มอบหมายงานให้แต่ละคนและสั่งให้นายประตูเฝ้าไว้ 35 ฉะนั้น จงคอยระวังไว้ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าบ้านจะมา จะมาในเวลาเย็น ตอนเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือในตอนเช้าตรู่ 36 ถ้าเขาเข้ามาอย่างฉับพลัน ก็อย่าให้เขาพบว่าเจ้านอนหลับอยู่ 37 สิ่งที่เรากล่าวกับเจ้า เราได้กล่าวกับทุกคนไว้ว่า ‘จงคอยระวังไว้’”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation