Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 12

เยฟธาห์ขัดแย้งกับชาวเอฟราอิม

12 ชายชาวเอฟราอิมรวมกำลังศึก แล้วข้ามไปยังศาโฟน พวกเขาพูดกับเยฟธาห์ว่า “ทำไมท่านจึงข้ามไปต่อสู้กับชาวอัมโมนโดยไม่เรียกพวกเราให้ไปด้วย พวกเราจะเผาบ้านของท่านพร้อมกับตัวท่านด้วย” เยฟธาห์พูดตอบว่า “เรากับพรรคพวกโต้แย้งกับชาวอัมโมนอย่างหนัก เมื่อเราเรียกพวกท่าน ท่านก็ไม่ได้ช่วยเราให้พ้นจากมือพวกเขาเลย ครั้นเราเห็นว่าพวกท่านจะไม่ช่วยเราให้รอดปลอดภัย เราจึงเสี่ยงชีวิตเราเอง และข้ามไปสู้รบกับชาวอัมโมน และพระผู้เป็นเจ้ามอบพวกเขาไว้ในมือเรา แล้วทำไมพวกท่านจึงขึ้นมาสู้รบกับเราถึงนี่ในวันนี้เล่า” เยฟธาห์ได้รวบรวมพวกผู้ชายชาวกิเลอาด และช่วยกันต่อสู้กับชาวเอฟราอิม ชายชาวกิเลอาดฆ่าชาวเอฟราอิมเพราะพวกเขาพูดว่า “พวกชาวกิเลอาด เจ้าเป็นพวกลี้ภัยของเอฟราอิม เจ้าอยู่ท่ามกลางชาวเอฟราอิมและมนัสเสห์” ชาวกิเลอาดยึดเขตลำน้ำจอร์แดนที่ลุยข้ามได้ เข้าไปถึงตัวชาวเอฟราอิมได้ และเมื่อใดที่พวกลี้ภัยของเอฟราอิมพูดว่า “ให้เราข้ามไปเถิด” พวกผู้ชายชาวกิเลอาดก็ถามเขาว่า “เจ้าเป็นชาวเอฟราอิมหรือ” เมื่อเขาตอบว่า “ไม่ใช่” พวกเขาก็บอกเขาว่า “จงพูดคำว่า ชิบโบเลท” เขาก็พูดคำว่า “สิบโบเลท” เพราะเขาออกเสียงไม่ชัด ดังนั้นพวกเขาจึงจับตัวและฆ่าชายคนนั้นที่เขตลำน้ำจอร์แดนที่ลุยข้ามได้ ในเวลานั้นชาวเอฟราอิมล้มตาย 42,000 คน

เยฟธาห์วินิจฉัยอิสราเอลได้ 6 ปี เยฟธาห์ชาวกิเลอาดเสียชีวิตและถูกฝังในเมืองที่กิเลอาด

อิบซาน เอโลน และอับโดน

ต่อจากเยฟธาห์ อิบซานแห่งเบธเลเฮมก็ได้วินิจฉัยอิสราเอล เขามีบุตรชาย 30 คนและบุตรหญิง 30 คน เขาให้บุตรหญิงแต่งงานกับคนนอกตระกูล และให้หญิงนอกตระกูลแต่งงานกับบุตรชายของเขา เขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 7 ปี 10 อิบซานเสียชีวิตและถูกฝังไว้ที่เบธเลเฮม

11 ต่อจากเขาก็เป็นเอโลนชาวเศบูลุน เขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 10 ปี 12 เอโลนชาวเศบูลุนเสียชีวิตและถูกฝังไว้ที่อัยยาโลนในดินแดนของเศบูลุน

13 ต่อจากเขาก็เป็นอับโดนบุตรของฮิลเลลชาวปิราโธน เขาวินิจฉัยอิสราเอล 14 เขามีบุตรชาย 40 คน และหลานชาย 30 คน พวกเขาขี่ลา 70 ตัว และเขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 8 ปี 15 แล้วอับโดนบุตรของฮิลเลลชาวปิราโธนก็เสียชีวิต และถูกฝังไว้ที่ปิราโธนในดินแดนของเอฟราอิม แถบภูเขาแห่งชาวอามาเลข

กิจการของอัครทูต 16

ทิโมธีร่วมทางไปกับเปาโลและสิลาส

16 เปาโลเดินทางต่อไปยังเมืองเดอร์บีและลิสตรา ซึ่งเป็นเมืองที่ทิโมธีสาวกอาศัยอยู่ มารดาของเขาเป็นชาวยิวและเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู แต่บิดาเป็นชาวกรีก ในสายตาของหมู่พี่น้องที่เมืองลิสตราและเมืองอิโคนียูมแล้ว ทิโมธีเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย เปาโลอยากจะพาทิโมธีเดินทางไปด้วย จึงให้เขาเข้าสุหนัต เพราะว่าพวกชาวยิวที่อยู่ในเขตนั้นทราบว่าบิดาเขาเป็นชาวกรีก ขณะที่เขาเหล่านั้นไปตามเมืองต่างๆ ก็ได้ให้ผู้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ซึ่งเหล่าอัครทูตและพวกผู้ปกครองในเมืองเยรูซาเล็มได้ออกคำสั่งไว้ คริสตจักรจึงมีความมั่นคงยิ่งขึ้นในด้านความเชื่อ และจำนวนผู้ที่เชื่อก็เพิ่มขึ้นทุกวัน

เปาโลเห็นภาพนิมิต

เปาโลและผู้ร่วมทางจึงได้เดินทางไปทั่วแว่นแคว้นฟรีเจียและกาลาเทีย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ห้ามการประกาศคำกล่าวในเขตเอเชีย เมื่อคนเหล่านั้นมาถึงเขตแดนแคว้นมิเซียแล้ว ก็ได้พยายามเข้าไปยังแคว้นบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่อนุญาตให้เข้าไป ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงเดินทางผ่านแคว้นมิเซียและลงไปยังเมืองโตรอัส ในเวลากลางคืน ภาพนิมิตของชายชาวมาซิโดเนียมาปรากฏให้เปาโลเห็น และยืนอ้อนวอนท่านว่า “โปรดมาช่วยพวกเราที่แคว้นมาซิโดเนียเถิด” 10 หลังจากเปาโลได้เห็นภาพนิมิตแล้ว พวกเราก็เตรียมพร้อมทันทีที่จะไปยังแคว้นมาซิโดเนีย โดยสรุปได้ว่า พระเจ้าได้เรียกให้พวกเราประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้น

ลิเดียเปิดใจเชื่อ

11 จากเมืองโตรอัสพวกเราจึงลงเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะซาโมธรัส และวันรุ่งขึ้นก็ถึงเมืองเนอาบุรี 12 จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองฟีลิปปี ซึ่งเป็นเมืองเอกในแคว้นมาซิโดเนียและเป็นอาณานิคมของโรมัน ทั้งได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายวัน

13 ในวันสะบาโตพวกเราได้ออกไปจากประตูเมือง ไปยังแม่น้ำโดยคาดว่าจะมีที่สำหรับอธิษฐาน จึงได้นั่งลงพูดกับเหล่าผู้หญิงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น 14 มีหญิงคนหนึ่งที่ร่วมฟังอยู่ด้วยชื่อลิเดีย เธอมาจากเมืองธิยาทิรา เป็นคนขายผ้าสีม่วง และเป็นผู้นมัสการพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงเปิดใจของเธอให้สนใจในเรื่องที่เปาโลพูด 15 เมื่อเธอและทุกคนในบ้านได้รับบัพติศมาแล้ว เธอก็ได้เชิญพวกเราไปที่บ้านโดยกล่าวว่า “ถ้าท่านนับว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ก็เชิญมาพักที่บ้านของข้าพเจ้า” แล้วเธอก็ชักชวนให้พวกเราไป

เปาโลและสิลาสถูกจำคุก

16 ครั้งหนึ่งขณะที่พวกเราออกไปยังที่อธิษฐาน มีทาสสาวคนหนึ่งซึ่งถูกวิญญาณหมอดูสิงสามารถทำนายได้มาพบเรา เธอหาเงินให้พวกเจ้านายได้มากจากการทำนาย 17 หญิงคนนี้ตามเปาโลกับพวกเราไป พลางร้องตะโกนว่า “ชายเหล่านี้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้สูงสุด และเป็นผู้มาบอกท่านถึงทางที่จะรอดพ้นได้” 18 เธอทำเช่นนั้นอยู่หลายวัน จนในที่สุด เปาโลก็เกิดความรำคาญมากจึงหันไปพูดกับวิญญาณนั้นว่า “ในพระนามของพระเยซูคริสต์ จงออกมาจากตัวเธอ” ในทันใดนั้นมันก็ออกไปจากตัวเธอ

19 บรรดานายของทาสหญิงแน่ใจ ว่าไม่มีโอกาสที่จะหาเงินจากการทำนายได้อีกต่อไปแล้ว จึงจับเปาโลและสิลาสลากไปที่ย่านตลาดให้พบกับพวกที่อยู่ในระดับปกครอง 20 คนเหล่านั้นก็นำท่านทั้งสองมาพบกับพวกเจ้าหน้าที่บังคับคดี และกล่าวหาว่า “พวกนี้เป็นชาวยิวและก่อความวุ่นวายในเมืองของเรา 21 เขาสนับสนุนพวกเราชาวโรมันให้ถือและรับขนบธรรมเนียมที่ผิดกฎ” 22 ฝูงชนพากันสมทบเข้าทำร้ายเปาโลและสิลาส พวกเจ้าหน้าที่บังคับคดีได้ออกคำสั่งให้ถอดเสื้อของท่านทั้งสองออก แล้วเฆี่ยนเสีย 23 หลังจากที่ถูกเฆี่ยนอย่างทารุณแล้วก็ถูกสั่งจำคุก โดยมีผู้คุมดูแลอย่างระมัดระวัง 24 เมื่อผู้คุมได้รับคำสั่งเช่นนั้นก็จำขังท่านไว้ในห้องชั้นใน และเอาเท้าใส่ขื่อไว้อย่างแน่นหนา

25 ประมาณเที่ยงคืน เปาโลและสิลาสกำลังอธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอยู่โดยมีนักโทษอื่นๆ ก็ฟังอยู่ด้วย 26 ในทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนฐานคุกสั่นสะเทือน ประตูคุกเปิดออกพร้อมกันหมดทุกบาน และเครื่องที่ล่ามทุกคนอยู่ก็คลายออก 27 เมื่อผู้คุมตื่นขึ้นจึงเห็นว่าประตูคุกเปิดหมด ก็ชักดาบออกเพื่อจะฆ่าตัวตาย เพราะเขาคิดว่าพวกนักโทษได้พากันหนีไปแล้ว 28 แต่เปาโลตะโกนร้องว่า “อย่าทำร้ายตัวเองเลย พวกเรายังอยู่กันที่นี่ทุกคน” 29 ผู้คุมคุกคนนั้นให้คนจุดไฟมา และถลันเข้าไป พลางทรุดลงกับพื้น ตัวสั่นสะท้านอยู่ตรงหน้าเปาโลและสิลาส 30 แล้วพาท่านทั้งสองออกไปโดยถามว่า “นายท่าน ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรอดพ้นได้” 31 ท่านทั้งสองตอบว่า “จงเชื่อในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านก็จะรอดพ้น ทั้งตัวท่านและครอบครัวของท่าน” 32 แล้วท่านทั้งสองพูดถึงคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าให้เขาและทุกๆ คนที่อยู่ในบ้านของเขาฟัง 33 ในชั่วโมงเดียวกันของคืนนั้นเอง ผู้คุมพาท่านไปล้างบาดแผล แล้วทั้งตัวเขาและทุกคนในบ้านก็รับบัพติศมาทันที 34 จากนั้นผู้คุมได้นำท่านไปยังบ้านของเขา และจัดอาหารมาให้ เพราะเขาชื่นชมยินดีที่ตนและทุกคนในบ้านได้เชื่อในพระเจ้า

35 ในตอนเช้าบรรดาเจ้าหน้าที่บังคับคดีส่งพวกเจ้าหน้าที่ไปหาผู้คุมพร้อมกับสั่งว่า “จงปล่อยชาย 2 คนนั้นไป” 36 ผู้คุมบอกเปาโลว่า “พวกเจ้าหน้าที่บังคับคดีได้มีคำสั่งให้ปล่อยท่านและสิลาสไป ท่านออกมาเถิด และไปได้อย่างสันติสุข” 37 แต่เปาโลพูดกับบรรดาเจ้าหน้าที่ว่า “เขาเฆี่ยนพวกเราต่อหน้าผู้คนโดยไม่มีการขึ้นคดี พวกเราเองก็เป็นคนสัญชาติโรมันด้วย เขาโยนพวกเราเข้าคุก มาคราวนี้จะกำจัดพวกเราอย่างลับๆ เช่นนี้หรือ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ให้พวกเขามาคุ้มกันพาเราออกไปเอง” 38 พวกเจ้าหน้าที่จึงได้รายงานเรื่องต่อพวกเจ้าหน้าที่บังคับคดี และเมื่อพวกเขาทราบว่าเปาโลและสิลาสเป็นคนสัญชาติโรมันก็ตกใจ 39 พวกเขาจึงมาขอไกล่เกลี่ยกับท่านทั้งสองแล้วคุ้มกันตัวออกไปจากคุก พลางขอร้องให้ออกจากเมืองไป 40 หลังจากที่เปาโลและสิลาสออกจากคุกแล้วก็ไปยังบ้านของลิเดีย เมื่อพบกับพวกพี่น้องก็ให้กำลังใจพวกเขา แล้วลาจากไป

เยเรมีย์ 25

70 ปีแห่งการเป็นเชลย

25 ในปีที่สี่ของเยโฮยาคิมบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ (คือปีแรกของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน) พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ถึงเรื่องประชาชนทั้งปวงของยูดาห์ ซึ่งเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า กล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงของยูดาห์และผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของเยรูซาเล็มว่า เป็นเวลา 23 ปี นับจากปีที่สิบสามของโยสิยาห์บุตรอาโมนกษัตริย์แห่งยูดาห์ จนถึงวันนี้พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้บอกพวกท่านเสมอมา แต่ท่านก็ไม่ฟัง ท่านไม่ได้ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง และแม้ว่าพระผู้เป็นเจ้าส่งบรรดาผู้รับใช้ผู้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามายังพวกท่าน ด้วยการบอกท่านว่า “บัดนี้ พวกเจ้าทุกคนจงกลับใจจากวิถีทางอันชั่วร้าย จากการกระทำความชั่ว และอาศัยอยู่บนแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้แก่พวกเจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าตั้งแต่โบราณกาล ไปจนชั่วนิรันดร์ อย่าไปติดตามปวงเทพเจ้าเพื่อบูชาหรือนมัสการ หรือยั่วโทสะเราด้วยสิ่งที่พวกเจ้าทำขึ้น แล้วเราจะไม่ทำอันตรายแก่พวกเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “แต่พวกเจ้าก็ยังไม่ฟังเรา เจ้าก็ยังจะยั่วโทสะเราด้วยสิ่งที่พวกเจ้าทำขึ้นซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเจ้าเอง”

ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “เป็นเพราะพวกเจ้าไม่ฟังคำของเรา ดูเถิด เราจะเรียกทุกเผ่าจากทิศเหนือและเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรามา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “แล้วเราจะนำพวกเขามาโจมตีแผ่นดินนี้และบรรดาผู้อยู่อาศัย และโจมตีประชาชาติรอบข้างเหล่านี้ เราจะปล่อยให้พวกเขาถูกทำลาย และเราจะทำให้พวกเขาพินาศ และทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่หวาดหวั่น เป็นที่ถูกเหน็บแนม และเป็นที่รกร้างไปตลอดกาล 10 ยิ่งกว่านั้น เราจะทำให้เสียงยินดีและเบิกบานใจ เสียงของเจ้าบ่าวและเจ้าสาว การโม่แป้ง และแสงจากตะเกียงยุติลง 11 ทั่วทั้งแผ่นดินนี้จะพังลงและกลายเป็นที่รกร้าง และประชาชาติเหล่านี้จะรับใช้กษัตริย์แห่งบาบิโลนเป็นเวลา 70 ปี 12 หลังจากครบ 70 ปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์แห่งบาบิโลนและประชาชาตินั้น เพราะความชั่วของพวกเขา” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “และเราจะทำให้แผ่นดินของชาวเคลเดียเป็นที่รกร้างไปตลอดกาล 13 เราจะให้แผ่นดินนั้นเป็นไปตามทุกคำที่เราได้กล่าวคัดค้านไว้ และตามทุกสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือฉบับนี้ ซึ่งเยเรมีย์เผยความกล่าวโทษประชาชาติทั้งปวง 14 ด้วยว่า ประชาชาติจำนวนมากและบรรดากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จะได้พวกเขาไปเป็นทาสรับใช้ และเราจะสนองตอบพวกเขาให้สาสมกับทุกสิ่งที่พวกเขากระทำไป”

การลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า

15 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “จงเอาเหล้าองุ่นแห่งการลงโทษถ้วยนี้ไปจากมือของเรา และทำให้ประชาชาติทั้งปวงที่เราส่งให้เจ้าไปดื่มเสีย 16 พวกเขาจะดื่ม โซซัดโซเซ และบ้าคลั่ง เพราะการฆ่าฟันที่เรากำลังทำให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเขา”

17 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงรับถ้วยนั้นจากมือของพระผู้เป็นเจ้า และทำให้ประชาชาติทั้งปวงที่พระผู้เป็นเจ้าส่งให้ข้าพเจ้าไป ต้องดื่มจากถ้วยนั้น 18 เยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ แห่งยูดาห์ พร้อมทั้งบรรดากษัตริย์และผู้นำ ทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่รกร้างและพินาศ ถูกเหน็บแนมและสาปแช่งอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 19 ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ รวมทั้งผู้รับใช้ของท่าน บรรดาผู้นำ และชนชาติทั้งปวงของท่าน 20 และชาวต่างชาติในหมู่พวกเขา กษัตริย์ทั้งปวงแห่งดินแดนอูส กษัตริย์ทั้งปวงของชาวฟีลิสเตีย (อัชเคโลน กาซา เอโครน และชาวอัชโดดที่ยังเหลืออยู่) 21 เอโดม โมอับ และบรรดาบุตรของอัมโมน 22 กษัตริย์ทั้งปวงของไทระ กษัตริย์ทั้งปวงของไซดอน และบรรดากษัตริย์ของฝั่งทะเลที่อยู่แดนไกล 23 เดดาน เท-มา บูซ และทุกคนที่ตัดผมที่จอนหู 24 กษัตริย์ทั้งปวงแห่งอาระเบีย และกษัตริย์ทั้งปวงของเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร 25 กษัตริย์ทั้งปวงของศิมรี กษัตริย์ทั้งปวงของเอลาม และกษัตริย์ทั้งปวงของมีเดีย 26 กษัตริย์ทั้งปวงของทิศเหนือ ทั้งใกล้และไกลทีละคน และอาณาจักรทั้งปวงของโลก ที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน และคนล่าสุดคือ กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะเป็นผู้ดื่ม

27 “แล้วเจ้าจะพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ จงดื่ม จงเมาและอาเจียน ล้มลงและลุกไม่ขึ้นอีก เพราะการฆ่าฟันที่เรากำลังทำให้เกิดขึ้นในหมู่พวกเขา’

28 และถ้าพวกเขาไม่ยอมรับถ้วยจากมือของเจ้า และไม่ดื่ม เจ้าก็จงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าต้องดื่ม 29 ดูเถิด เรากำลังเริ่มทำให้เกิดความวิบัติในเมืองซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และเจ้าจะพ้นจากการลงโทษโดยสิ้นเชิงหรือ เจ้าจะไม่พ้นจากการลงโทษเลย เพราะเรากำลังก่อให้เกิดการฆ่าฟันในบรรดาผู้อยู่อาศัยบนแผ่นดินโลก’” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น

30 “ฉะนั้น เจ้าจงเผยความกล่าวโทษเขาเหล่านั้นด้วยทุกถ้อยคำ ไปพูดกับพวกเขาว่า

พระผู้เป็นเจ้าจะเปล่งเสียงดั่งสิงห์คำรามจากเบื้องสูง
    และส่งเสียงจากที่พำนักอันบริสุทธิ์
พระองค์จะเปล่งเสียงคำรามด้วยอานุภาพ
    กล่าวโทษชนชาติของพระองค์
และตะโกนอย่างบรรดาผู้ที่ย่ำองุ่น
    กล่าวโทษผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดินโลก
31 เสียงนั้นจะดังกึกก้องไปสุดมุมโลก
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะนำข้อกล่าวหาบรรดาประชาชาติ
พระองค์กำลังเข้าสู่การตัดสินมนุษย์ทั้งปวง
    และพระองค์จะประหารคนชั่ว
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’”

32 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า

“ดูเถิด ความวิบัติกำลังเกิดขึ้น
    กับแต่ละประชาชาติต่อๆ กันไป
และพายุอันแรงกล้ากำลังพัดไปจาก
    ที่ไกลสุดของแผ่นดินโลก”

33 ในวันนั้น บรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าสังหารจะนอนแผ่ออกไปจากสุดแผ่นดินโลกด้านหนึ่งจนถึงอีกด้านหนึ่ง จะไม่มีใครร้องรำพันถึง หรือเก็บร่างเหล่านั้น หรือนำไปฝัง แต่จะเป็นอย่างมูลสัตว์บนผิวดิน

34 พวกท่านที่เป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะเอ๋ย ร้องรำพันและร้องเรียกเถิด
    และกลิ้งเกลือกในกองขี้เถ้า พวกท่านผู้เป็นนายของฝูงแกะ
ด้วยว่า วันแห่งการประหารและการกระจัดกระจายได้มาถึงแล้ว
    และพวกท่านที่เป็นอย่างภาชนะอันมีค่าก็จะล้มลง
35 บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะจะไม่มีที่พึ่งพิง
    และบรรดาผู้เป็นนายของฝูงแกะจะไม่มีทางหนีรอดได้
36 มีเสียงร้องของบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
    และเสียงร้องรำพันของบรรดาผู้เป็นนายของฝูงแกะ
ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้ากำลังทำทุ่งหญ้าของพวกเขาให้เป็นที่รกร้าง
37     และทุ่งหญ้าอันสงบจะพังพินาศ
    เพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า
38 พระองค์ทอดทิ้งพวกเขาไปอย่างสิงห์ที่ไปจากถ้ำ
    เนื่องจากแผ่นดินของพวกเขาได้กลายเป็นที่รกร้าง
เพราะถูกผู้กดขี่ข่มเหงฆ่าตาย
    และเป็นเพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์

มาระโก 11

พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม

11 ครั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกเดินทางเข้าใกล้เมืองเยรูซาเล็ม คือที่หมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานีที่อยู่บนภูเขามะกอก พระองค์ส่งสาวก 2 คนไป และกล่าวกับพวกเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าเจ้า และในทันทีเจ้าก็จะได้พบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ที่นั่น เป็นลาที่ยังไม่เคยมีผู้ใดขึ้นขี่เลย จงแก้เชือกและจูงตัวมันมา ถ้าใครพูดกับเจ้าว่า ‘ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้’ เจ้าจงพูดว่า ‘พระองค์ท่านจำเป็นต้องใช้มัน และท่านจะส่งกลับมาให้ที่นี่ทันที’” เขาทั้งสองก็ไปและพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่นอกประตูที่ถนน และเขาก็แก้เชือกมันออก บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นพูดกับเขาว่า “ท่านแก้เชือกลูกลาทำไม” พวกเขาตอบไปตามที่พระเยซูได้บอกไว้ แล้วเขาเหล่านั้นก็ปล่อยให้ไป ทั้งสองก็นำลูกลามาให้พระเยซู และปูเสื้อตัวนอกของเขาบนหลังลูกลาให้พระองค์นั่ง คนจำนวนมากปูเสื้อตัวนอกของตนลงบนถนน บ้างก็ปูด้วยใบไม้ที่ตัดมาจากทุ่งนา บรรดาคนที่เดินไปข้างหน้า และคนที่ตามไปข้างหลังก็โห่ร้องกันว่า

“โฮซันนา[a] ขอพระองค์ผู้มาใน
    พระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด[b]

10 ขอให้อาณาจักรของดาวิดผู้เป็นบรรพบุรุษของเราที่กำลังจะปรากฏได้รับพระพรเถิด โฮซันนาในที่สูงสุด”

11 พระเยซูเดินทางเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็มแล้วก็เข้าไปที่พระวิหาร พระองค์มองดูรอบๆ แล้วก็เดินทางต่อไปยังหมู่บ้านเบธานีกับเหล่าสาวกทั้งสิบสองเนื่องจากเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว

12 วันรุ่งขึ้นพระเยซูกับเหล่าสาวกก็ออกไปจากหมู่บ้านเบธานี พระองค์รู้สึกหิว 13 ครั้นแลเห็นแต่ไกลว่าต้นมะเดื่อต้นหนึ่งผลิใบ พระองค์จึงไปดูว่าจะมีผลหรือไม่ และก็พบว่ามีแต่ใบไม่มีผลเลย เพราะว่าไม่ใช่ฤดูออกผล 14 พระองค์จึงพูดกับต้นนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปอย่าได้มีใครกินผลจากเจ้าอีกเลย” เหล่าสาวกของพระองค์ก็ฟังกันอยู่

พระเยซูขับไล่คนซื้อขายที่พระวิหาร

15 เมื่อมาถึงเมืองเยรูซาเล็ม พระองค์ก็เข้าไปในบริเวณพระวิหาร แล้วเริ่มขับไล่พวกที่เข้ามาซื้อขายให้ออกไปจากพระวิหาร พระองค์คว่ำโต๊ะของพวกคนแลกเปลี่ยนเงินตราและที่นั่งของคนขายนกพิราบ 16 พระองค์ไม่ยอมให้ใครถือสินค้าผ่านเข้าบริเวณพระวิหาร 17 และเริ่มสั่งสอนพวกเขาว่า “มีบันทึกไว้มิใช่หรือว่า ‘ตำหนักของเราจะได้ชื่อว่า ตำหนักอธิษฐาน สำหรับประชาชาติทั้งปวง’[c] แต่พวกท่านได้ทำให้กลายเป็น ‘ถ้ำโจร’”[d]

18 บรรดามหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติได้ยินดังนั้น ก็เริ่มพยายามคิดหาทางที่จะฆ่าพระองค์ พวกเขาเกรงกลัวพระองค์เพราะฝูงชนพากันอัศจรรย์ใจในการสั่งสอนของพระองค์ 19 เมื่อถึงเวลาเย็นพระเยซูและสาวกก็ออกไปจากตัวเมือง

ต้นมะเดื่อที่ถูกสาป

20 ครั้นถึงเวลาเช้าพระองค์กับสาวกก็เดินผ่านต้นมะเดื่อต้นนั้น เห็นว่าเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก 21 เปโตรระลึกขึ้นได้จึงพูดกับพระเยซูว่า “รับบี ดูเถิด ต้นมะเดื่อที่พระองค์สาปไว้เหี่ยวแห้งแล้ว” 22 พระเยซูกล่าวตอบว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้า 23 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ใครก็ตามที่พูดกับภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนลงไปในทะเล’ และไม่มีความสงสัยในใจเลย แต่เชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดจะเกิดขึ้น เขาก็จะได้รับตามนั้น 24 ฉะนั้นเราขอบอกเจ้าว่า ทุกสิ่งที่เจ้าขอเวลาอธิษฐาน จงเชื่อว่าได้รับตามคำขอแล้ว และพระเจ้าก็จะให้สิ่งนั้นแก่เจ้า 25 เมื่อใดก็ตามที่เจ้ายืนอธิษฐาน ถ้าเจ้าถือโทษต่อผู้ใดก็จงยกโทษให้แก่เขา เพื่อว่าพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์จะได้ยกโทษบาปของเจ้าด้วย [26 แต่ถ้าเจ้าไม่ยกโทษ พระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์ก็จะไม่ยกโทษบาปของเจ้าเช่นกัน]”[e]

คำถามระหว่างพวกผู้นำกับพระเยซู

27 พระองค์กับเหล่าสาวกเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็มอีก และขณะที่พระองค์กำลังเดินอยู่ในบริเวณพระวิหาร พวกมหาปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ และพวกผู้ใหญ่มาหาพระองค์ 28 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “ท่านกระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด หรือใครให้สิทธิอำนาจนี้แก่ท่านในการกระทำสิ่งเหล่านี้” 29 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เราจะถามพวกท่านสิ่งหนึ่ง ท่านก็ตอบเราด้วย และเราจะบอกท่านว่าเรากระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด 30 ตอบเราสิว่า บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์ หรือมาจากมนุษย์” 31 พวกเขาจึงเริ่มหาเหตุผลกันเองว่า “ถ้าพวกเราพูดว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านจึงไม่เชื่อเขา’ 32 แต่เราควรจะพูดหรือว่า ‘มาจากมนุษย์’” พวกเขากลัวฝูงชน เพราะว่าทุกคนนับว่ายอห์นเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่แท้จริง 33 พวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า “พวกเราไม่ทราบ” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราก็จะไม่บอกท่านเช่นกันว่า เรากระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation