M’Cheyne Bible Reading Plan
เดโบราห์และบาราค
4 หลังจากเอฮูดสิ้นชีวิต ชาวอิสราเอลก็กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าอีก 2 พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบพวกเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันผู้ครองราชย์ที่ฮาโซร์ ผู้บังคับกองพันทหารของท่านคือสิเส-ราอาศัยอยู่ที่ฮาโรเชทฮาโกยิม 3 เขามีรถศึกทำด้วยเหล็กจำนวน 900 คัน และบีบบังคับชาวอิสราเอลอย่างโหดร้ายเป็นเวลา 20 ปี ชาวอิสราเอลจึงได้ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า
4 เดโบราห์เป็นสตรีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้เป็นภรรยาของลัปปีโดท และเป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอลในเวลานั้น 5 นางมักจะนั่งอยู่ใต้ต้นอินทผลัมของเดโบราห์ที่อยู่ระหว่างรามาห์และเบธเอลในแถบภูเขาเอฟราอิม และชาวอิสราเอลมาหานางเพื่อขอให้พิพากษาคดีความ 6 นางให้คนไปเรียกบาราคบุตรของอาบีโนอัมจากเคเดช-นัฟทาลี และกล่าวกับเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไม่ได้บัญชาท่านอย่างนี้หรือว่า ‘จงไปรวบรวมพวกผู้ชายที่ภูเขาทาโบร์ แล้วเกณฑ์ชาวนัฟทาลีและชาวเศบูลุน 10,000 คน 7 เราจะทำให้สิเส-ราผู้บังคับกองพันทหารของยาบินออกมาพบกับท่านที่ใกล้แม่น้ำคีโชนพร้อมกับรถศึกและกองทัพของเขา แล้วเราจะมอบเขาไว้ในมือท่าน’” 8 บาราคตอบนางว่า “ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป แต่ถ้าท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ไป” 9 นางตอบว่า “เราจะไปกับท่านแน่ แต่หนทางที่ท่านเลือกจะไม่นำเกียรติมาให้ท่าน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าจะมอบสิเส-ราไว้ในมือของผู้หญิง” ครั้นแล้วเดโบราห์ก็ลุกขึ้น นางไปยังเคเดชกับบาราค 10 บาราคเรียกเศบูลุนกับนัฟทาลีให้ไปที่เคเดช มีชายจำนวน 10,000 คนตามเขาขึ้นไปอย่างใกล้ชิด เดโบราห์ก็ไปกับเขาด้วย
11 มีชาวเคนผู้หนึ่งชื่อเฮเบอร์ เขาแยกไปอยู่ต่างหากจากกลุ่มชาวเคนที่สืบเชื้อสายมาจากโฮบับพ่อตาของโมเสส เฮเบอร์ไปตั้งกระโจมอยู่ไกลจนถึงต้นโอ๊กในศานันนิมใกล้เคเดช
12 เมื่อมีคนไปบอกสิเส-ราว่าบาราคบุตรของอาบีโนอัมได้ขึ้นไปยังภูเขาทาโบร์แล้ว 13 สิเส-ราจึงให้คนเตรียมรถศึกทำด้วยเหล็ก 900 คันรวมกับชายทั้งหมดที่มี ออกไปจากฮาโรเชทฮาโกยิมไปถึงแม่น้ำคีโชน 14 เดโบราห์กล่าวกับบาราคว่า “ไปเถิด วันนี้เป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าได้มอบสิเส-ราไว้ในมือของท่าน พระผู้เป็นเจ้าไม่นำหน้าท่านไปหรอกหรือ” ดังนั้นบาราคจึงลงไปจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับชาย 10,000 คนตามไปด้วย 15 แล้วพระผู้เป็นเจ้าทำให้สิเส-รากับรถศึกและกองทัพทั้งหมดเตลิดเปิดเปิงไปต่อหน้าบาราคด้วยคมดาบ สิเส-ราจึงลงจากรถศึกวิ่งหนีไป 16 บาราคตามรถศึกและกองทัพได้ทันจนถึงฮาโรเชทฮาโกยิม และกองทัพทั้งหมดของสิเส-ราล้มตายด้วยคมดาบ ไม่มีใครรอดมาได้สักคนเดียว
17 ฝ่ายสิเส-ราก็วิ่งหนีไปยังกระโจมของยาเอลภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคน ด้วยว่า ยาบินกษัตริย์แห่งฮาโซร์กับพงศ์พันธุ์ของเฮเบอร์ชาวเคนมีไมตรีต่อกัน 18 ยาเอลออกมาพบกับสิเส-ราและพูดกับเขาว่า “เข้ามาเถิด นายท่าน เข้ามาได้ ไม่ต้องกลัว” ดังนั้นเขาจึงเข้าไปในกระโจมของนาง และใช้พรมคลุมตัวเขา 19 เขาพูดกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยเถิด เพราะเราหิวน้ำ” นางจึงเปิดถุงน้ำนมให้เขาดื่มและคลุมตัวเขาอีก 20 เขาพูดกับนางว่า “ไปยืนที่ทางเข้ากระโจม และถ้ามีใครมาถามเธอว่า ‘มีใครอยู่ที่นี่ไหม’ ก็จงบอกว่า ‘ไม่มี’” 21 แต่ยาเอลภรรยาของเฮเบอร์หยิบหมุดยึดกระโจมและมือถือค้อน นางย่องเข้าไปหาเขา แล้วตอกหมุดลงที่ขมับของเขาจนทะลุลงไปถึงพื้นขณะที่เขานอนหลับสนิทอยู่เนื่องจากอ่อนแรง เขาจึงสิ้นชีวิต 22 ดูเถิด ขณะที่บาราคกำลังไล่ตามล่าสิเส-ราอยู่ ยาเอลออกไปพบกับเขาและพูดว่า “มาเถิด และเราจะให้ท่านดูชายที่ท่านกำลังตามหา” ท่านจึงเข้าไปในกระโจมของนาง พบว่าสิเส-รานอนตายอยู่ มีหมุดกระโจมฝังอยู่ในขมับ
23 ในวันนั้น พระเจ้าทำให้ยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันพ่ายแพ้ต่อหน้าชาวอิสราเอล 24 และชาวอิสราเอลมีกำลังเข้มแข็งมากขึ้น และต่อต้านยาบินกษัตริย์แห่งคานาอัน จนกำจัดยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันได้
8 เซาโลซึ่งอยู่ที่นั่นก็เห็นชอบด้วยกับการตายของสเทเฟน
ชาวยิวกดขี่ข่มเหงคริสตจักร
ในวันนั้นได้มีการกดขี่ข่มเหงคริสตจักรในเมืองเยรูซาเล็มครั้งใหญ่ ผู้ที่เชื่อทุกคนจึงกระจัดกระจายไปทั่วแคว้นยูเดียและแคว้นสะมาเรีย เว้นแต่พวกอัครทูตเท่านั้น 2 ผู้ที่เชื่ออย่างมั่นคงในพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟน และร้องคร่ำครวญถึงท่านอย่างมาก 3 แต่ว่าเซาโลกลับเข้าไปฉุดกระชากทั้งชายและหญิงออกจากบ้านเอาไปจำคุกเพื่อทำลายคริสตจักร
ฟีลิปประกาศคำกล่าวในแคว้นสะมาเรีย
4 ผู้ที่ได้กระจัดกระจายกันออกไปก็ประกาศคำกล่าวทุกแห่งหน 5 ฟีลิปได้ไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรียเพื่อประกาศเรื่องพระคริสต์ที่นั่น 6 เมื่อฝูงชนได้ยินฟีลิปพูด และเห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่ท่านได้กระทำแล้วก็ตั้งใจฟัง 7 พวกวิญญาณร้ายพากันร้องเสียงดังและออกมาจากร่างของผู้ป่วยหลายคน ผู้ป่วยเป็นอัมพาตและคนง่อยจำนวนมากได้รับการรักษาให้หาย 8 ผู้คนในเมืองนั้นพากันยินดีอย่างยิ่ง
9 มีชายคนหนึ่งในเมืองนั้นชื่อซีโมน เขาอวดอ้างตัวว่าเป็นผู้วิเศษ เคยใช้เวทมนตร์คาถาซึ่งทำให้พวกชนชาติสะมาเรียพากันพิศวง 10 คนทั่วไปทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยพากันสนใจฟังและอุทานว่า “ชายคนนี้เป็นที่รู้จักกันว่า เป็นอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” 11 จึงได้ติดตามเขาไปด้วยอำนาจคาถาอาคมที่น่าพิศวงมานาน 12 แต่เมื่อพวกเขาเชื่อในข่าวประเสริฐ ขณะที่ฟีลิปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าและพระนามของพระเยซูคริสต์แล้ว ทั้งชายและหญิงต่างก็รับบัพติศมากัน 13 ซีโมนเองก็เป็นอีกคนที่เชื่อและรับบัพติศมา เขาได้ติดตามฟีลิปไปทุกแห่งหน เพราะแปลกใจกับปรากฏการณ์อัศจรรย์และฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
14 เมื่อพวกอัครทูตในเมืองเยรูซาเล็มทราบว่า แคว้นสะมาเรียยอมรับคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว จึงส่งเปโตรและยอห์นไป 15 เมื่อทั้งสองไปถึงก็ได้อธิษฐาน เพื่อว่าคนเหล่านั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 16 เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังมิได้ลงมาสถิตกับพวกเขา เพียงแต่ได้รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า 17 เมื่อเปโตรและยอห์นได้วางมือบนตัวคนเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ 18 เมื่อซีโมนเห็นว่าผู้คนได้รับพระวิญญาณจากการที่อัครทูตวางมือบนตัว เขาจึงนำเงินมาให้อัครทูต 19 และพูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้รับฤทธิ์นี้ด้วย เพื่อว่าเวลาข้าพเจ้าวางมือบนตัวผู้ใด ผู้นั้นก็จะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” 20 เปโตรตอบว่า “ขอให้เงินของเจ้าจงสูญสิ้นไปพร้อมกับเจ้า เพราะถ้าเจ้าคิดว่าจะสามารถซื้อของประทานจากพระเจ้าได้ด้วยเงิน 21 เจ้าก็ไม่มีส่วนร่วมใดๆ เกี่ยวข้องกับงานนี้ เพราะว่าใจของเจ้าไม่ซื่อต่อพระเจ้า 22 จงกลับใจจากความชั่วร้ายของเจ้าในเรื่องนี้ และถ้าเป็นไปได้ ก็จงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความคิดในใจของเจ้าจะได้รับการยกโทษ 23 เราเห็นว่าเจ้ามีความขมขื่นมากและเป็นทาสของบาป” 24 แล้วซีโมนตอบว่า “โปรดอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้า เพื่อสิ่งที่ท่านกล่าวจะได้ไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า”
25 เมื่อเขาทั้งสองให้คำยืนยันและประกาศคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เปโตรและยอห์นก็ประกาศข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านหลายแห่งในแคว้นสะมาเรีย ก่อนจะกลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม
ฟีลิปและขันทีชาวเอธิโอเปีย
26 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ ไปตามถนนที่เป็นถิ่นทุรกันดาร ซึ่งลงจากเมืองเยรูซาเล็มไปยังเมืองกาซา” 27 ฟีลิปจึงออกเดินทางไปตามทางนั้น และได้พบขันทีชาวเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นผู้ดูแลการคลังทั้งหมดของราชินีคานดาสีของชาวเอธิโอเปีย ในขณะที่ขันทีเดินทางกลับจากนมัสการที่เมืองเยรูซาเล็ม 28 ระหว่างทางที่เขานั่งในรถม้าเพื่อกลับบ้าน ก็ได้อ่านหนังสือฉบับที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเขียนไว้ 29 พระวิญญาณกล่าวกับฟีลิปว่า “จงไปอยู่ใกล้ๆ รถม้านั้น” 30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้รถม้านั้น จนได้ยินเสียงอ่านข้อความที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเขียนไว้ ฟีลิปจึงถามว่า “ท่านเข้าใจสิ่งที่ท่านอ่านหรือไม่” 31 เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้อย่างไรถ้าไม่มีคนอธิบายให้ข้าพเจ้าฟัง” และขันทีได้เชิญฟีลิปขึ้นมานั่งด้วยกัน 32 พระคัมภีร์ตอนที่ขันทีกำลังอ่านอยู่ก็คือ
“พระองค์ถูกนำไปดั่งแกะที่รอการประหาร
ลูกแกะนิ่งอยู่ที่ตรงหน้าคนตัดขนของมันฉันใด
พระองค์ก็ไม่ปริปากของพระองค์ฉันนั้น
33 เมื่อพระองค์ถูกเหยียดหยาม พระองค์ไม่ได้รับความยุติธรรม
ใครเล่าจะพูดถึงเชื้อสายของพระองค์
เพราะชีวิตของพระองค์ถูกชิงไปเสียจากโลกแล้ว”[a]
34 ขันทีถามฟีลิปว่า “โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดถึงผู้ใด พูดถึงตนเองหรือคนอื่น” 35 ฟีลิปจึงบอกข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูเริ่มจากพระคัมภีร์ตอนนั้น 36 ขณะที่ทั้งสองเดินทางไปตามถนน จนมาถึงที่ซึ่งมีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงพูดขึ้นว่า “ดูน้ำนั่นสิ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมาไหม” [37 ฟีลิปตอบว่า “ถ้าท่านเชื่ออย่างสุดใจ ก็เชิญท่าน” ขันทีตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า”][b] 38 แล้วเขาก็ได้สั่งให้รถม้าหยุด ฟีลิปและขันทีจึงลงไปในน้ำ ฟีลิปก็ให้บัพติศมาแก่เขา 39 หลังจากขึ้นจากน้ำแล้วพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าก็รับฟีลิปไป ขันทีก็ไม่อาจเห็นฟีลิปได้อีก จึงออกเดินทางต่อไปด้วยความชื่นชมยินดี 40 ฟีลิปไปปรากฏตัวที่เมืองอาโซทัส แล้วเดินทางเรื่อยไปเพื่อประกาศข่าวประเสริฐทั่วทุกเมืองจนถึงเมืองซีซารียา
บาปของยูดาห์
17 บาปของยูดาห์ถูกบันทึกด้วยปากกาเหล็ก ถูกจารึกบนหัวใจของพวกเขาด้วยเพชรที่ปลายปากกา และสลักที่เขาสัตว์บนแท่นบูชา 2 แม้แต่ลูกๆ ของพวกเขาก็ยังจำแท่นบูชาและเทวรูปอาเชราห์[a]ของพวกเขาได้ ที่ข้างต้นไม้อันเขียวชอุ่มทุกต้นและบนเนินเขาสูง 3 บนเทือกเขาในที่โล่ง เราจะให้ศัตรูริบความมั่งคั่งและสมบัติของเจ้าไปทั้งหมด เพราะบาปที่สถานบูชาบนภูเขาสูงทั่วอาณาเขตของเจ้า 4 แผ่นดินที่เรามอบให้แก่เจ้าเป็นมรดกจะหลุดไปจากมือของเจ้า และเราจะทำให้เจ้าไปรับใช้พวกศัตรูของเจ้าในแผ่นดินที่เจ้าไม่รู้จัก เนื่องจากการที่เราถูกยั่วโทสะ ไฟจะลุกไปตลอดกาล”
5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ผู้ที่ถูกสาปแช่งคือผู้ที่ไว้วางใจในมนุษย์
และในพละกำลังของสิ่งที่เป็นเพียงเนื้อหนัง
จิตใจของเขาหันเหไปจากพระผู้เป็นเจ้า
6 เขาเป็นอย่างพุ่มไม้ในทะเลทราย
และจะไม่เห็นสิ่งดีอันใดเกิดขึ้น
เขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ในแผ่นดินเค็มซึ่งไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
7 ผู้ที่เป็นสุขคือผู้ที่ไว้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าคือผู้ที่เขาไว้วางใจ
8 เขาเป็นอย่างต้นไม้ที่ปลูกไว้ข้างริมน้ำ
ที่แผ่รากไปถึงแหล่งน้ำ
และไม่กลัวเมื่ออากาศร้อน
เพราะใบยังเขียวชอุ่ม
และไม่กังวลเมื่อแล้งฝน
เพราะออกผลได้เสมอ”
9 จิตใจลวงหลอกยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
และบิดเบือนยิ่งนัก
ใครจะเข้าใจได้
10 “เราคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้สำรวจจิตใจ
และทดสอบความคิด
เพื่อตอบแทนทุกคนตามวิถีทางที่เขาดำเนิน
ตามผลของการกระทำของเขา”
11 นกกระทากกไข่ที่ไม่ได้ออกมาเองเป็นเช่นไร
คนที่ร่ำรวยโดยไร้ความเป็นธรรมก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อถึงวัยกลางคนความมั่งมีก็จะจากเขาไป
และบั้นปลายก็จะปรากฏว่าเขาเป็นคนโง่เขลา
12 สถานที่บริสุทธิ์ของพวกเราเป็นดั่งบัลลังก์อันสง่างาม
ที่ตั้งอยู่ในที่สูงตั้งแต่แรกเริ่ม
13 โอ พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นความหวังของอิสราเอล
ทุกคนที่ไปจากพระองค์จะได้รับความอับอาย
ชื่อของบรรดาผู้ที่หันไปจากพระองค์จะถูกบันทึกในแดนของคนตาย
เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า
ผู้เป็นน้ำพุแห่งชีวิต[b]
เยเรมีย์อธิษฐานขอความรอด
14 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดรักษาข้าพเจ้าให้หายขาด และข้าพเจ้าจะได้รับการรักษา
ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น และข้าพเจ้าจะรอดพ้น
เพราะพระองค์คือผู้ที่ข้าพเจ้าสรรเสริญ
15 ดูเถิด พวกเขาพูดกับข้าพเจ้าว่า
“ไหนล่ะที่เป็นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
ก็จงให้เป็นไปตามนั้นสิ”
16 ข้าพเจ้าไม่ได้หลบเลี่ยงจากการเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะให้แก่พระองค์
และข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้พวกเขารับความทุกข์
พระองค์ทราบดีว่าข้าพเจ้าพูดอะไร
ต่อหน้าพระองค์บ้าง
17 ขอพระองค์อย่าทำให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่น
พระองค์เป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้าในยามวิบัติ
18 ขอให้บรรดาผู้ที่กดขี่ข่มเหงข้าพเจ้าอับอาย
แต่อย่าให้ข้าพเจ้าอับอาย
ให้พวกเขาหวาดหวั่นพรั่นพรึง
แต่อย่าให้ข้าพเจ้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ขอพระองค์ให้พวกเขาได้รับความวิบัติ
ทำลายพวกเขาให้พินาศ
ถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์
19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงไปยืนที่ประตูหลักของเมือง ซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ผ่านเข้าออก และที่ประตูทุกประตูของเยรูซาเล็ม 20 และจงพูดว่า ‘บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ชาวยูดาห์ทั้งปวง และผู้อยู่อาศัยทั้งหลายของเยรูซาเล็ม ซึ่งผ่านเข้ามาทางประตูดังกล่าว จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ถ้าเจ้าเห็นว่าชีวิตตนมีค่า เจ้าก็อย่าแบกหามสิ่งใดในวันสะบาโต หรือนำมันเข้ามาทางประตูของเยรูซาเล็ม 22 และอย่าแบกหามสิ่งใดออกจากบ้านของพวกเจ้าในวันสะบาโต และอย่าทำงานใดๆ แต่จงถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ ตามที่เราบัญชาบรรพบุรุษของพวกเจ้า[c] 23 แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟัง แต่กลับหัวแข็งไม่ฟังหรือรับคำสั่งสอน
24 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ถ้าพวกเจ้าฟังเรา และไม่แบกหามสิ่งใดเข้าทางประตูของเมืองนี้ในวันสะบาโต แต่ถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ ไม่ทำงานในวันนั้น 25 แล้วจะมีบรรดากษัตริย์จากเชื้อสายของดาวิด และบรรดาผู้นำ ที่ผ่านทางประตูเมืองแห่งนี้ พวกเขาจะขี่รถศึกและม้า รวมทั้งผู้คนของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะมาด้วย จะมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล 26 พวกเขาจะมาจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์และจากที่ต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม จากอาณาเขตของเบนยามินและที่ลุ่ม จากแถบภูเขาและเนเกบ ต่างก็นำสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายและเครื่องสักการะ เครื่องธัญญบูชา และกำยาน และนำเครื่องสักการะแห่งการขอบคุณมายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 27 แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ฟังเราที่จะถือกฎวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ แบกหามสิ่งใดและเข้าผ่านมาทางประตูของเยรูซาเล็มในวันสะบาโต เราก็จะจุดไฟให้ลุกที่ประตูของเยรูซาเล็มซึ่งจะเผาไหม้ป้อมปราการ และจะไม่มีใครดับไฟนั้นได้’”
3 พระองค์เดินเข้าไปในศาลาที่ประชุมอีก มีคนมือลีบข้างหนึ่งอยู่ที่นั่น 2 ผู้คนคอยจับตาดูว่า พระองค์จะรักษาเขาในวันสะบาโตหรือไม่ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ใช้เป็นข้อกล่าวหาพระองค์ 3 พระองค์กล่าวกับชายมือลีบผู้นั้นว่า “จงลุกขึ้นมาข้างหน้าเถิด”
4 และพระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “การทำดีหรือการทำชั่ว การช่วยชีวิตหรือการเข่นฆ่าจึงถูกกฎบัญญัติในวันสะบาโต” แต่พวกเขานิ่งเงียบ 5 พระองค์มองดูพวกเขาโดยรอบ ทั้งโกรธและเศร้าใจที่จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พระองค์กล่าวกับชายนั้นว่า “จงยื่นมือออกมาเถิด” เขาก็ยื่นมือออกและมือของเขาก็หายเป็นปกติ 6 พวกฟาริสีจึงออกไป และในทันใดนั้นก็ได้ปรึกษากับพรรคของเฮโรดเพื่อจะต่อต้านพระองค์ และดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรจึงฆ่าพระองค์ได้
มหาชนที่ทะเลสาบ
7 ส่วนพระเยซูและพวกสาวกก็ปลีกตัวออกไปยังทะเลสาบ และผู้คนจำนวนมากจากแคว้นกาลิลีและแคว้นยูเดียตามไปด้วย 8 และจากเมืองเยรูซาเล็ม ย่านอิดูเม-อา อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน และจากบริเวณรอบเมืองไทระและไซดอน ผู้คนจำนวนมากได้ยินถึงทุกสิ่งที่พระเยซูกระทำก็มาหาพระองค์ 9 พระองค์บอกบรรดาสาวกให้เตรียมเรือให้พร้อมสำหรับพระองค์ เพื่อไม่ให้คนเบียดเสียดเพราะผู้คนหนาแน่น 10 พระเยซูได้รักษาคนจำนวนมากให้หายจากโรค ฉะนั้นทุกคนที่ป่วยด้วยโรคต่างๆ จึงเบียดเข้ามาใกล้เพื่อจะสัมผัสพระองค์ 11 เมื่อใดก็ตามที่วิญญาณร้ายเห็นพระองค์ พวกมันก็ล้มลงไปตรงหน้าและร้องขึ้นว่า “ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า” 12 พระเยซูสั่งห้ามไม่ให้มันบอกให้คนรู้ว่าพระองค์คือใคร
พระเยซูแต่งตั้งอัครทูต 12 คน
13 พระเยซูขึ้นไปบนภูเขาและเรียกคนที่พระองค์ประสงค์ให้มาหา และเขาเหล่านั้นก็มา 14 พระองค์แต่งตั้ง 12 คนให้อยู่กับพระองค์เพื่อจะได้ส่งพวกเขาออกไปประกาศ 15 และมีสิทธิอำนาจขับไล่พวกมารออกได้ 16 สิบสองคนที่พระองค์แต่งตั้งคือ ซีโมนซึ่งพระองค์ให้ชื่อว่า เปโตร 17 ยากอบบุตรของเศเบดี ยอห์นน้องของยากอบ ทั้ง 2 คนนี้พระองค์ให้ชื่อว่า โบอาเนรเกซซึ่งมีความหมายว่า “ลูกๆ แห่งฟ้าร้อง” 18 อันดรูว์ ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนผู้เป็นพรรคชาตินิยม 19 และยูดาสอิสคาริโอทผู้ทรยศพระองค์
พระเยซูและเบเอลเซบูล
20 พระเยซูกลับบ้านไป และฝูงชนก็มาประชุมกันอีก จนพระองค์และบรรดาสาวกไม่สามารถรับประทานอาหารได้ 21 เมื่อญาติพี่น้องของพระองค์ได้ยินเรื่องจึงออกไปเพื่อจะรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวกเขาพูดกันว่า “เขาได้เสียสติไปแล้ว”
22 บรรดาอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติที่เดินทางลงมาจากเมืองเยรูซาเล็มพูดกันว่า “เขามีมารเบเอลเซบูลสิงอยู่ เขาขับไล่พวกมารออกได้โดยใช้หัวหน้าของพวกมาร”
23 พระองค์เรียกพวกเขามาหาและกล่าวเป็นอุปมาว่า “ซาตานจะขับซาตานออกเองได้อย่างไร 24 และถ้าอาณาจักรแบ่งแยกกันเองแล้ว อาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้ 25 ถ้าครัวเรือนใดเกิดแบ่งแยกกันเองแล้ว ครัวเรือนนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ 26 ถ้าซาตานลุกขึ้นต่อต้านตัวมันเองและแบ่งแยกกัน มันก็จะอยู่ไม่ได้และสูญสิ้นไป 27 แต่ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าไปในบ้านของคนที่มีกำลังมากและยึดทรัพย์สมบัติของเขาไป เว้นแต่ว่าเขาจะมัดตัวผู้ที่มีกำลังมากไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นเอาทรัพย์ไปจากบ้านได้ 28 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า มนุษย์จะได้รับการยกโทษบาปและคำหมิ่นประมาททุกประเภท 29 แต่ใครก็ตามที่พูดหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่มีวันได้รับการยกโทษ และจะนับว่าเป็นบาปไปชั่วนิรันดร์” 30 พระเยซูกล่าวเช่นนี้เพราะพวกเขาพูดกันว่าพระองค์มีวิญญาณร้ายสิงอยู่
มารดาและพวกน้องชายของพระเยซู
31 มารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาถึงก็ยืนอยู่ข้างนอกและให้คนไปเรียกพระองค์ 32 ฝูงชนนั่งล้อมรอบพระองค์ และพูดว่า “ดูเถิด มารดาและพวกน้องชายของท่านตามหาท่านอยู่ข้างนอก” 33 พระองค์กล่าวตอบพวกเขาว่า “ใครคือมารดาและพี่น้องของเรา”
34 พระองค์มองดูผู้คนที่นั่งล้อมรอบอยู่ และกล่าวว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา 35 ใครก็ตามที่กระทำตามความประสงค์ของพระเจ้า คนนั้นก็คือพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation