Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 10:1-11:11

โทลาและยาอีร์

10 หลังจากที่อาบีเมเลคสิ้นชีวิตแล้ว มีชายผู้หนึ่งจากเผ่าอิสสาคาร์ลุกขึ้นมาช่วยอิสราเอลให้รอดปลอดภัย ชื่อโทลาบุตรของปูอาห์ผู้เป็นบุตรของโดโด อาศัยอยู่ที่เมืองชามีร์ในแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม เขาวินิจฉัยอิสราเอลได้ 23 ปี สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เมืองชามีร์

ต่อจากนั้นยาอีร์ชาวกิเลอาด ได้วินิจฉัยอิสราเอล 22 ปี เขามีบุตรชาย 30 คน ขี่ลา 30 ตัว มีเมือง 30 เมืองซึ่งอยู่ในดินแดนของกิเลอาด เรียกว่าฮาวโวทยาอีร์มาจนถึงทุกวันนี้ ยาอีร์สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เมืองคาโมน

การไม่เชื่อฟังและการถูกบีบบังคับ

ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และบูชาพวกเทวรูปบาอัลและอัชโทเรท เทพเจ้าของอารัม เทพเจ้าของไซดอน เทพเจ้าของโมอับ เทพเจ้าของชาวอัมโมน และเทพเจ้าของชาวฟีลิสเตีย พวกเขาทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า และไม่นมัสการพระองค์ ดังนั้นความโกรธของพระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นตรงสู่อิสราเอล และพระองค์ให้พวกเขาตกอยู่ในมือของชาวฟีลิสเตียและชาวอัมโมน พวกเขาบีบคั้นและบีบบังคับชาวอิสราเอลในปีนั้น นับเวลาได้ 18 ปีที่พวกเขาได้บีบบังคับชาวอิสราเอลทุกคนที่อยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนบนแผ่นดินของชาวอาโมร์ในกิเลอาด ชาวอาโมร์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อสู้กับยูดาห์ เบนยามิน และพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม จนทำให้อิสราเอลเป็นทุกข์ยิ่งนัก

10 ชาวอิสราเอลจึงร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า พลางร้องว่า “พวกเรากระทำบาปต่อพระองค์ เพราะเราได้ทอดทิ้งพระเจ้าของเรา และบูชาพวกเทวรูปบาอัล” 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับชาวอิสราเอลว่า “เราไม่ได้ช่วยให้เจ้ารอดจากชาวอียิปต์และชาวอาโมร์ ชาวอัมโมน และจากชาวฟีลิสเตียหรอกหรือ 12 ชาวไซดอน ชาวอามาเลข และชาวมาโอนก็ได้บีบบังคับพวกเจ้า เจ้าได้ร้องเรียกถึงเรา และเราก็ได้ช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขา 13 เจ้าก็ยังทอดทิ้งเรา ไปบูชาบรรดาเทพเจ้า ฉะนั้นเราจะไม่ช่วยเจ้าให้รอดอีก 14 ไปร้องเรียกถึงบรรดาเทพเจ้าที่เจ้าเลือก ให้พวกเขาช่วยเจ้าให้รอดในยามทุกข์เถิด” 15 ชาวอิสราเอลพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “พวกเราได้กระทำบาป พระองค์โปรดกระทำต่อเราตามที่เห็นว่าดี ขอเพียงพระองค์ช่วยพวกเราให้พ้นในวันนี้เถิด” 16 แล้วพวกเขาก็กำจัดบรรดาเทพเจ้าต่างชาติไปเสีย และนมัสการพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทนต่อความทุกข์ของอิสราเอลไม่ได้อีกแล้ว

17 ชาวอัมโมนถูกเรียกให้เตรียมทัพ และตั้งค่ายที่กิเลอาด ชาวอิสราเอลก็มารวมตัวกัน และตั้งค่ายที่มิสปาห์ 18 บรรดาผู้นำของชาวกิเลอาดพูดต่อกันและกันว่า “ใครก็ตามที่เป็นคนแรกที่ต่อสู้กับชาวอัมโมน ก็ให้คนนั้นเป็นหัวหน้าของทุกคนในกิเลอาด”

เยฟธาห์ช่วยอิสราเอล

11 เยฟธาห์ชาวกิเลอาดเป็นนักรบผู้เก่งกล้าผู้หนึ่ง แต่เป็นบุตรของหญิงแพศยา กิเลอาดเป็นบิดาของเยฟธาห์ ภรรยาของกิเลอาดได้ให้กำเนิดบุตรชายหลายคนด้วย เมื่อบุตรเหล่านั้นเติบโตขึ้น ก็ได้ขับไล่เยฟธาห์ไปและบอกเขาว่า “เจ้าจะไม่มีส่วนรับมรดกจากพงศ์พันธุ์ของบิดาของเรา เพราะเจ้าเป็นบุตรของหญิงคนอื่น” เยฟธาห์จึงหลบหนีไปจากพี่น้องและอาศัยอยู่ในดินแดนโทบ ซึ่งมีพวกนักเลงรวมกลุ่มกับเยฟธาห์และคอยติดตามเขาไป

จากนั้นต่อมาชาวอัมโมนทำสงครามกับอิสราเอล เมื่อชาวอัมโมนสู้รบกับอิสราเอล บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดก็ไปพาเยฟธาห์มาจากดินแดนโทบ พูดกับเยฟธาห์ว่า “มาเป็นหัวหน้านำพวกเราเถิด เราจะได้สู้รบกับชาวอัมโมน” แต่เยฟธาห์พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “พวกท่านไม่ได้เกลียดชังเราและขับไล่เราออกมาจากพงศ์พันธุ์ของบิดาของเราหรอกหรือ ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมาหาเรายามมีทุกข์เล่า” บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “นั่นแหละ เราจึงหันมาหาท่านในเวลานี้ ท่านจะได้ไปกับเราเพื่อต่อสู้กับชาวอัมโมน และเป็นหัวหน้าของทุกคนในกิเลอาด” เยฟธาห์พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า “ถ้าพวกท่านพาเรากลับบ้านอีกเพื่อต่อสู้กับชาวอัมโมน และพระผู้เป็นเจ้ามอบพวกเขาให้แก่เรา เราจะเป็นหัวหน้าพวกท่าน” 10 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาดพูดกับเยฟธาห์ว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นพยานระหว่างเรา หากว่าพวกเราไม่ทำตามที่ท่านกล่าว” 11 ดังนั้นเยฟธาห์จึงไปกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของกิเลอาด ประชาชนตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าและผู้นำของพวกเขา และเยฟธาห์ก็พูดกับพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์เหมือนที่ได้พูดกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่

กิจการของอัครทูต 14

ที่เมืองอิโคนียูม

14 เปาโลและบาร์นาบัสเข้าไปในศาลาที่ประชุมของชาวยิวที่เมืองอิโคนียูมตามปกติ วิธีการพูดของท่านทั้งสองทำให้ชาวยิวและชาวกรีก[a]จำนวนมากเกิดความเชื่อ แต่พวกชาวยิวที่ไม่ยอมเชื่อ ก็ก่อกวนให้บรรดาคนนอกไม่พอใจพวกพี่น้อง เปาโลและบาร์นาบัสจึงพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน และพูดถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยใจกล้าหาญ พระองค์แสดงให้เห็นชัดถึงพระคุณของพระองค์ โดยให้ท่านทั้งสองกระทำสิ่งอัศจรรย์ ด้วยปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ผู้คนในเมืองเกิดการแตกแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่า บ้างก็เข้าข้างชาวยิว บ้างก็เข้าข้างอัครทูตทั้งสอง บรรดาคนนอกและชาวยิวร่วมกับผู้นำของเขาเตรียมที่จะทำร้าย โดยจะเอาก้อนหินขว้างปาอัครทูต แต่ท่านทั้งสองทราบเสียก่อน จึงหนีไปที่เมืองลิสตราและเมืองเดอร์บีในแคว้นลิคาโอเนียและแถบใกล้เคียง และท่านทั้งสองก็ได้ประกาศข่าวประเสริฐที่นั่นต่อไปอีก

ที่เมืองลิสตราและเดอร์บี

ที่เมืองลิสตรามีชายเท้าลีบเป็นง่อยเดินไม่ได้มาแต่เกิด เขาได้มานั่งฟังเปาโลพูดอยู่ เมื่อจ้องดูชายผู้นั้น เปาโลเห็นว่าเขามีความเชื่อเพียงพอที่จะรับการรักษาให้หายได้ 10 จึงร้องขึ้นว่า “จงลุกขึ้นยืน” ชายง่อยก็กระโดดขึ้นแล้วก็เริ่มเดิน 11 เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งที่เปาโลกระทำจึงพากันร้องตะโกนเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “บรรดาเทพเจ้าได้แปลงเป็นคนลงมาหาพวกเราแล้ว” 12 เขาทั้งหลายเรียกบาร์นาบัสว่า เทพเจ้าซุส และเรียกเปาโลว่า เทพเจ้าเฮอร์เมส เพราะว่าท่านเป็นผู้นำในการพูด 13 ปุโรหิตประจำวิหารเทพเจ้าซุสที่ตั้งอยู่นอกเมือง ได้นำโคตัวผู้และพวงมาลัยมาที่ประตูเมืองร่วมกับฝูงชน เพื่อมอบสิ่งนั้นเป็นของสักการะแก่เปาโลและบาร์นาบัส 14 แต่เมื่ออัครทูตคือบาร์นาบัสกับเปาโลทราบเรื่อง จึงฉีกเสื้อผ้าของตนแล้ววิ่งออกไปยังฝูงชนตะโกนว่า 15 “ทำไมท่านจึงทำเช่นนี้ พวกเราเป็นเพียงมนุษย์เหมือนกับท่าน พวกเรานำข่าวประเสริฐมายังท่าน เพื่อให้ท่านหันจากสิ่งที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ เพื่อเข้าหาพระเจ้าผู้ดำรงอยู่ พระองค์ได้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และทุกสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น 16 ในอดีตพระองค์ปล่อยให้ชนทุกชาติดำเนินไปตามที่ตนเห็นชอบ 17 แต่พระองค์ยังได้มอบหลักฐานซึ่งเป็นพยานให้เห็นว่า พระองค์มีเมตตาโดยโปรดให้มีฝนจากสวรรค์แก่พวกท่าน และให้พืชผลตามฤดูกาล พระองค์มอบอาหารให้อย่างสมบูรณ์ และให้ใจของพวกท่านมีความชื่นชมยินดี” 18 แม้ท่านจะกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็ยังมิอาจห้ามฝูงชนที่เข้ามาสักการะพวกท่านได้

19 แล้วก็มีชาวยิวบางคนที่มาจากเมืองอันทิโอกและเมืองอิโคนียูม พวกเขาสามารถชักจูงให้ผู้คนเอาก้อนหินขว้างเปาโล และลากท่านออกไปนอกเมือง เพราะคิดว่าท่านตายแล้ว 20 แต่หลังจากที่พวกสาวกได้มาห้อมล้อมท่าน ท่านจึงลุกขึ้นกลับเข้าไปในเมืองได้ และวันรุ่งขึ้นจึงไปยังเมืองเดอร์บีกับบาร์นาบัส

กลับไปยังเมืองอันทิโอกในแคว้นซีเรีย

21 เปาโลและบาร์นาบัสประกาศข่าวประเสริฐในเมืองนั้น และมีคนจำนวนมากมาเป็นสาวก แล้วท่านทั้งสองก็กลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก 22 เพื่อเสริมกำลังด้านความคิดและให้กำลังใจพวกสาวก ให้คงอยู่ในความเชื่อต่อไป ท่านทั้งสองพูดว่า “พวกเราต้องผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย เพื่อจะได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 23 เปาโลและบาร์นาบัสแต่งตั้งบรรดาผู้ปกครองให้พวกเขาในแต่ละคริสตจักร ท่านได้อธิษฐานและอดอาหาร ฝากชีวิตเขาเหล่านั้นไว้กับพระผู้เป็นเจ้าที่เขาเชื่อมั่น 24 หลังจากนั้นจึงเดินทางผ่านแคว้นปิสิเดียมายังแคว้นปัมฟีเลีย 25 เมื่อได้ประกาศคำกล่าวในเมืองเปอร์กาแล้ว จึงได้ลงไปยังเมืองอัททาลิยา

26 อัครทูตทั้งสองแล่นเรือจากเมืองอัททาลิยากลับไปยังเมืองอันทิโอก ซึ่งเป็นเมืองที่ท่านได้รับการฝากฝังไว้ในพระคุณของพระเจ้าให้ทำงาน ซึ่งเวลานั้น ท่านก็ได้กระทำสำเร็จแล้ว 27 เมื่อท่านทั้งสองมาถึงก็ได้เรียกประชุมคริสตจักร และรายงานถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าได้กระทำผ่านท่าน และพระองค์เปิดโอกาสให้บรรดาคนนอกมีความเชื่อ 28 และท่านทั้งสองพักอยู่ที่นั่นกับพวกสาวกเป็นเวลานาน

เยเรมีย์ 23

อังกูรผู้มีความชอบธรรม

23 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “วิบัติจงเกิดแก่บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ทำลายและทำให้แกะที่อยู่ในทุ่งหญ้าของเรากระจัดกระจายไป” ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงเรื่องบรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ดูแลชนชาติของเราดังนี้ “พวกเจ้าได้ทำให้ฝูงแกะของเรากระจัดกระจายไป และได้ขับไล่ให้พวกเขาออกไป และพวกเจ้าไม่ได้เอาใจใส่ต่อเขาเหล่านั้น ดูเถิด เราจะเอาใจใส่ต่อพวกเจ้ากับการกระทำชั่วของเจ้า พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น แล้วเราจะรวบรวมแกะของเราที่เหลืออยู่ในฝูง ให้ออกจากทุกประเทศที่เราได้ขับไล่ให้พวกเขาออกไป และเราจะนำพวกเขากลับมาสู่ทุ่งหญ้าเดิม พวกเขาจะเกิดผลและทวีจำนวนขึ้น เราจะแต่งตั้งผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่จะเอาใจใส่ต่อพวกเขา และพวกเขาจะไม่กลัวอีกต่อไป จะไม่ตกใจ และจะไม่มีใครขาดหายไปไหน” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด จะถึงวันที่เราจะกำหนดอังกูร[a]ผู้หนึ่งซึ่งกอปรด้วยความชอบธรรมให้แก่ดาวิด และท่านจะครองราชย์อย่างกษัตริย์และดำเนินการด้วยการไตร่ตรองจากสติปัญญา และจะปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดิน เมื่อท่านมา ยูดาห์จะปลอดภัย และอิสราเอลจะอยู่อย่างมั่นคง ผู้คนจะเรียกชื่อท่านว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าเป็นความชอบธรรมของพวกเรา’”

พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด จะถึงเวลาที่จะไม่มีใครพูดว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินอียิปต์มีชีวิตอยู่ฉันใด’ แต่จะเป็นที่พูดกันว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าผู้นำเชื้อสายของพงศ์พันธุ์อิสราเอลออกจากดินแดนทางเหนือ และจากดินแดนทั้งปวงที่พระองค์เคยขับไล่ออกไป มีชีวิตอยู่ฉันใด’ พวกเขาจึงจะกลับมาอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาเอง”

คำเท็จของบรรดาผู้เผยคำกล่าว

เรื่องเกี่ยวกับบรรดาผู้เผยคำกล่าว

ใจข้าพเจ้าแตกสลาย
    กระดูกของข้าพเจ้าทุกชิ้นสั่นสะท้าน
ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนเมา
    เหมือนคนถูกควบคุมด้วยเหล้าองุ่น
เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้า
    และเพราะคำกล่าวอันบริสุทธิ์ของพระองค์
10 “แผ่นดินเต็มไปด้วยคนผิดประเวณี
    แผ่นดินร้องคร่ำครวญเพราะคำสาปแช่ง
    และทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดารแห้งเหือด
ทางดำเนินชีวิตของพวกเขาชั่วร้าย
    และใช้อำนาจอย่างไม่ยุติธรรม
11 ทั้งผู้เผยคำกล่าวและปุโรหิตไร้คุณธรรม
    เราเห็นสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำแม้แต่ในตำหนักของเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
12 “ฉะนั้น วิถีทางของพวกเขาจะเป็น
    ทางเดินที่ลื่นในความมืด
    ซึ่งพวกเขาจะถูกขับไล่ลงไปและล้มลง
เพราะเราจะทำให้พวกเขาประสบกับความวิบัติ
    ในปีแห่งการลงโทษ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
13 “เราเห็นสิ่งที่บรรดาผู้เผยคำกล่าว
    ที่อยู่ในสะมาเรียกระทำผิด
พวกเขาเผยความด้วยเทพเจ้าบาอัล
    และนำอิสราเอลชนชาติของเราให้หลงผิด
14 เราได้เห็นสิ่งที่บรรดาผู้เผยคำกล่าว
    ที่อยู่ในเยรูซาเล็มกระทำสิ่งเลวร้ายมาก
พวกเขาประพฤติผิดประเวณีและพูดเท็จ
    พวกเขาสนับสนุนคนทำความชั่ว
    ซึ่งทำให้ไม่มีผู้ใดหันไปจากความชั่ว
ในสายตาของเรา พวกเขาทุกคนกลายเป็นเหมือนโสโดม
    และบรรดาผู้อยู่อาศัยเป็นเหมือนโกโมราห์”

15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวถึงบรรดาผู้เผยคำกล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะให้อาหารขมพวกเขากิน
    และให้น้ำมีพิษแก่พวกเขาดื่ม
เพราะการกระทำที่ไร้คุณธรรมได้แพร่ไปทั่วแผ่นดิน
    เป็นเพราะบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่อยู่ในเยรูซาเล็ม”

16 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “อย่าฟังคำของบรรดาผู้เผยคำกล่าวที่เผยความแก่พวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าฟังแต่เรื่องความหวังลมๆ แล้งๆ พวกเขาพูดถึงภาพนิมิตอันเกิดจากความคิดของเขาเอง ไม่ใช่จากปากของพระผู้เป็นเจ้า 17 พวกเขาพูดอยู่เสมอกับพวกที่ดูหมิ่นคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าว่า ‘ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีกับพวกท่าน’ และพูดกับทุกคนที่ดื้อรั้นตามใจตนเองว่า ‘ท่านจะไม่ประสบกับความพินาศ’”

18 มีใครในหมู่พวกเขาที่เข้าพบพระผู้เป็นเจ้า
    เพื่อจะทราบและได้ยินคำกล่าวของพระองค์
    หรือใครบ้างที่ตั้งใจฟังคำกล่าวของพระองค์ และได้ยินพระองค์
19 ดูเถิด ความกริ้วดั่งพายุของพระผู้เป็นเจ้า
    การลงโทษได้ก้าวออกไปแล้ว
พายุอันแรงกล้า
    จะกระหน่ำลงบนหัวของคนชั่ว
20 ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าจะไม่หวนกลับ
    จนกว่าพระองค์จะได้กระทำตามความตั้งใจให้สำเร็จ
ในวันข้างหน้า พวกท่านจะเข้าใจอย่างชัดเจน

21 “เราไม่ได้ใช้บรรดาผู้เผยคำกล่าวไป
    แต่พวกเขาก็ยังรีบไป
เราไม่ได้พูดกับพวกเขา
    แต่พวกเขาก็ยังเผยความ
22 แต่ถ้าพวกเขาได้ฟังเรา
    พวกเขาก็จะประกาศคำกล่าวของเราให้แก่ชนชาติของเรา
และพวกเขาก็จะทำให้ประชาชนหันไปจากวิถีทางแห่งความชั่ว
    และจากการกระทำความชั่วของพวกเขา”

23 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เราเป็นพระเจ้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมเพียงเท่านั้นหรือ ไม่ใช่พระเจ้าที่อยู่ในทุกแห่งหนหรือ 24 มีผู้ใดซ่อนตัวในที่ลี้ลับเพื่อไม่ให้เรามองเห็นได้หรือ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น “เราอยู่ทุกแห่งหนทั้งในฟ้าสวรรค์และโลก” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น 25 “เราเคยได้ยินคำเท็จของบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาเผยความในนามของเราว่า ‘เราฝัน เราฝัน’ 26 อีกนานแค่ไหนที่จะมีความเท็จอยู่ในจิตใจของบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาเผยความเท็จ และเผยความลวงหลอกที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา 27 พวกเขาคิดว่าความฝันที่บอกเล่าต่อกันและกันจะทำให้ชนชาติของเราลืมชื่อของเรา เหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของพวกเขาลืมชื่อของเรา และหันเข้าหาเทพเจ้าบาอัล 28 ให้ผู้เผยคำกล่าวพูดถึงความฝันที่เขาฝันเห็น แต่จงให้ผู้ที่มีคำกล่าวของเราพูดคำของเราด้วยความภักดี ฟางกับข้าวสาลีมีอะไรที่เทียบเท่ากันได้หรือ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น 29 “คำของเราเป็นเหมือนไฟมิใช่หรือ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “และเหมือนค้อนที่ทุบก้อนหินแตกเป็นเสี่ยงๆ” 30 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ฉะนั้น ดูเถิด เรากล่าวโทษบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาฉวยเอาว่า คำพูดของพวกเขาเป็นคำพูดของเรา” 31 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด เรากล่าวโทษบรรดาผู้เผยคำกล่าว พวกเขาใช้ลิ้นอ้างว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า’” 32 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เรากล่าวโทษบรรดาผู้ที่เผยความเท็จที่มาจากความฝัน พวกเขาบอกเรื่องที่เขาฝัน และนำชนชาติของเราให้หลงผิดด้วยความเท็จและคำที่เกินความจริง ทั้งที่เราไม่ได้ใช้พวกเขาหรือสั่งให้ไป ฉะนั้นพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดให้เกิดประโยชน์แก่ชนชาตินี้เลย” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

33 “เวลาที่คนใดคนหนึ่งในชนชาตินี้ หรือผู้เผยคำกล่าว หรือปุโรหิต ถามเจ้าว่า ‘อะไรเป็นคำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ เจ้าจงตอบพวกเขาว่า ‘คำพยากรณ์อะไรน่ะหรือ พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เราจะทอดทิ้งพวกเจ้า”’ 34 และสำหรับผู้เผยคำกล่าว ปุโรหิต หรือหนึ่งในชนชาติที่พูดว่า ‘นี่คือคำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ เราจะลงโทษผู้นั้นและครัวเรือนของเขา 35 เจ้าควรจะพูดเช่นนี้ ให้ทุกคนพูดกับเพื่อนบ้านและพี่น้องของตนว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าตอบอย่างไรบ้าง’ หรือ ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอย่างไรบ้าง’ 36 แต่เจ้าจงอย่าพูดคำว่า ‘คำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ อีกต่อไป เพราะคำพยากรณ์คือคำพูดของเขาแต่ละคน เจ้าได้บิดเบือนคำกล่าวของพระเจ้าผู้ดำรงชีวิตอยู่ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของเรา 37 เจ้าจงพูดกับผู้เผยคำกล่าวดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้าตอบท่านอย่างไรบ้าง’ หรือ ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอย่างไรบ้าง’ 38 แต่ถ้าเจ้าพูดว่า ‘คำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า’ เป็นเพราะเจ้าพูดคำนั้น ทั้งๆ ที่เราให้คนไปบอกเจ้าว่าอย่าพูดว่า ‘คำพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า 39 ฉะนั้น ดูเถิด เราจะยกตัวเจ้าขึ้นมาอย่างแน่นอน และเหวี่ยงเจ้าไปให้ไกลจากเรา ทั้งตัวเจ้าและเมืองที่เรามอบให้แก่เจ้า และบรรพบุรุษของพวกเจ้า 40 และเราจะทำให้พวกเจ้าถูกดูหมิ่นและรับความอับอายไปตลอดกาล ซึ่งจะไม่มีวันลืมได้”

มาระโก 9

พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตายก่อนที่จะเห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ”

พระเยซู โมเสส และเอลียาห์

หกวันต่อมา พระเยซูพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปยังภูเขาสูงกับพระองค์แต่เพียงลำพัง และร่างกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขา เสื้อผ้าของพระองค์ก็ทอแสงสกาว ขาวบริสุทธิ์ชนิดที่ไม่มีช่างฟอกคนใดในโลกสามารถฟอกให้ขาวได้ แล้วเอลียาห์และโมเสสได้ปรากฏแก่พวกเขา ทั้ง 2 ท่านกำลังสนทนาอยู่กับพระเยซู เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “รับบี[a]ดีเหลือเกินที่พวกเราได้มาอยู่กันที่นี่ ให้พวกเราสร้างกระโจม 3 หลังเถิด กระโจมหนึ่งสำหรับพระองค์ กระโจมหนึ่งสำหรับโมเสสและกระโจมหนึ่งสำหรับเอลียาห์” เปโตรไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรเนื่องจากพวกเขาตกใจกลัวกัน เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมผู้คน และมีเสียงจากเมฆกล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” แล้วพวกสาวกแลดูรอบตัวทันที ก็ไม่เห็นใครอยู่ด้วยเลย เว้นแต่พระเยซูเท่านั้น

ขณะที่ลงมาจากภูเขา พระองค์สั่งพวกเขาไม่ให้เล่าสิ่งที่ได้เห็นแก่ผู้ใด จนกว่าบุตรมนุษย์จะฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 10 พวกสาวกเก็บเรื่องนั้นเงียบไว้ ต่างก็ถกเถียงกันว่า การฟื้นคืนชีวิตจากความตายหมายความว่าอย่างไร

11 พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจึงพูดกันว่า เอลียาห์ต้องมาก่อน” 12 พระองค์กล่าวว่า “จริงทีเดียวที่เอลียาห์มาก่อน และจะทำให้ทุกสิ่งคืนสู่สภาพเดิม แล้วทำไมจึงมีบันทึกไว้ว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานมากและผู้คนไม่ยอมรับ 13 แต่เราขอบอกเจ้าว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว พวกเขาได้กระทำต่อเขาตามใจชอบ ตามที่มีเรื่องบันทึกของเขาไว้”

พระเยซูขับไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวเด็ก

14 เมื่อพระเยซูและสาวกทั้งสามกลับมาหาสาวกอื่น ก็เห็นว่ามหาชนอยู่ล้อมรอบเหล่าสาวก อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนก็กำลังโต้เถียงอยู่กับพวกเขา 15 ทันทีที่ฝูงชนทั้งกลุ่มเห็นพระองค์ ก็ประหลาดใจยิ่งนักและวิ่งกรูกันเข้ามาทักทายพระองค์ 16 พระองค์ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าถกเถียงอะไรกันกับเขาเหล่านั้น” 17 คนหนึ่งในกลุ่มตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าพาบุตรชายของข้าพเจ้ามา เขาถูกวิญญาณร้ายสิงจึงทำให้เขาเป็นใบ้ 18 เมื่อใดก็ตามที่มันเข้าสิงเขา มันก็ทำให้เขาล้มลงฟาดพื้น มีน้ำลายฟูมปาก ฟันขบกัน และตัวแข็งเกร็ง ข้าพเจ้าให้เหล่าสาวกของพระองค์ขับไล่มันออก พวกเขาก็ทำไม่ได้” 19 พระองค์กล่าวตอบว่า “คนในช่วงกาลเวลานี้ช่างไร้ความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้านานสักเท่าไร เราจะต้องทนต่อพวกเจ้าไปนานสักเท่าไร พาตัวเขามาหาเราเถิด” 20 พวกเขาก็นำเด็กคนนั้นมาหาพระเยซู ทันทีที่เขาเห็นพระองค์ วิญญาณร้ายก็ทำให้เขาชัก ล้มลงบนพื้นแล้วก็กลิ้งไปมาน้ำลายฟูมปาก 21 พระองค์ถามบิดาของเด็กว่า “เป็นมานานเท่าไรแล้ว” เขาตอบว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ แล้ว 22 มารทำให้เขาตกลงในกองไฟ และตกน้ำบ่อยครั้งเพื่อทำลายเขา แต่ถ้าพระองค์ช่วยได้ ก็โปรดสงสารช่วยพวกเราด้วย” 23 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “‘ถ้าพระองค์ช่วยได้’ อย่างนั้นหรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ” 24 ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยเพิ่มความเชื่อของข้าพเจ้าด้วย” 25 เมื่อพระเยซูเห็นว่าฝูงชนวิ่งกันเข้ามา พระองค์กล่าวห้ามวิญญาณร้ายว่า “เจ้าวิญญาณหนวกใบ้ เราสั่งให้เจ้าออกมาจากตัวเขา และอย่าเข้าสิงเขาอีก” 26 หลังจากวิญญาณร้ายร้องและทำให้เขาชักก่อนที่มันจะออกมา เด็กก็แน่นิ่งไปเหมือนไร้ชีวิตจนคนส่วนใหญ่พูดกันว่า “เขาตายแล้ว” 27 แต่พระเยซูจับมือเขาพยุงขึ้น แล้วเขาก็ลุกขึ้น 28 เมื่อพระองค์มาถึงบ้านแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์ก็เริ่มซักถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับมันออกมาไม่ได้” 29 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “วิญญาณร้ายประเภทนี้จะถูกขับออกมาด้วยสิ่งใดไม่ได้ จนกว่าจะมีการอธิษฐานเท่านั้น”[b]

30 หลังจากนั้นพระเยซูและเหล่าสาวกก็เดินทางกันไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ได้ตั้งใจให้ใครทราบ 31 พระองค์กำลังสั่งสอนเหล่าสาวกและบอกว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของมนุษย์และพวกเขาจะฆ่าท่านเสีย เมื่อท่านถูกฆ่าแล้ว 3 วันต่อมาท่านจะฟื้นคืนชีวิตอีก” 32 แต่พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กล่าว แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามพระองค์

ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

33 พระเยซูกับเหล่าสาวกมายังเมืองคาเปอร์นาอุม เมื่อพระองค์อยู่ในบ้านก็ได้เริ่มซักถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางมานั้นพวกเจ้าถกเถียงอะไรกัน” 34 แต่พวกเขานิ่งเงียบกัน เพราะระหว่างทางมานั้นได้ถกเถียงกันว่า คนไหนในพวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด 35 พระองค์นั่งลงแล้วก็เรียกสาวกทั้งสิบสองมากล่าวให้ฟังว่า “ถ้าใครต้องการจะเป็นคนแรกสุด เขาต้องเป็นคนท้ายสุด และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง”

36 พระองค์เอาเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนต่อหน้าพวกเขาและโอบตัวเด็กไว้ กล่าวว่า 37 “ใครก็ตามที่รับเด็กเล็กๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเราก็ถือได้ว่า รับเราด้วย และใครก็ตามที่รับเราก็ไม่ได้รับเรา แต่รับพระองค์ผู้ส่งเรามา”

ผู้ขับไล่พวกมารในพระนามของพระเยซู

38 ยอห์นพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกเราเห็นชายคนหนึ่งขับไล่พวกมารในพระนามของพระองค์ และพวกเราพยายามที่จะห้ามเขา เพราะว่าเขาไม่ใช่คนของเรา” 39 แต่พระเยซูกล่าวว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าไม่มีใครที่จะแสดงสิ่งอัศจรรย์ในนามของเรา และทันทีหลังจากนั้นจะพูดว่าร้ายเราได้ 40 เพราะว่าคนที่ไม่เป็นฝ่ายค้านพวกเราก็เป็นฝ่ายเรา 41 ใครก็ตามที่ให้น้ำเจ้าดื่มถ้วยหนึ่ง เพราะเจ้าเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์ เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ผู้นั้นจะไม่สูญเสียรางวัลของเขา

เตือนไม่ให้ทำบาป

42 แต่หากเขาเป็นต้นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาเด็กเล็กๆ เหล่านี้ที่มีความเชื่อในเราพลั้งพลาดไป[c] ให้ถ่วงคอเขาด้วยหินโม่แป้งก้อนใหญ่ และโยนลงทะเลจะดีกว่า 43 และถ้ามือของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนพิการก็ยังดีกว่ามีมือทั้งสอง แต่ต้องลงนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ [44 ในที่ซึ่ง ‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตายและไฟก็ไม่มีวันดับ’][d] 45 และถ้าเท้าของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนง่อยเปลี้ยก็ยังจะดีกว่ามีเท้าทั้ง 2 ข้าง แต่ก็ถูกโยนลงนรก [46 ในที่ซึ่ง ‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่มีวันดับ’][e] 47 และถ้าตาของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้าทำบาป ก็จงควักทิ้งเสีย เจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีตาทั้ง 2 ข้างแต่ก็ถูกโยนลงนรก 48 ในที่ซึ่ง

‘ตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย
    และไฟก็ไม่มีวันดับ’[f]

49 เพราะทุกคนจะถูกชำระด้วยไฟเสมือนการชำระด้วยเกลือ

50 เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าสิ้นความเค็มแล้วจะกลับเค็มอีกได้อย่างไร พวกเจ้าจงมีเกลือในตัว และมีความสงบสุขต่อกันและกันเถิด”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation