M’Cheyne Bible Reading Plan
ชัยชนะทางทิศเหนือของคานาอัน
11 เมื่อยาบินกษัตริย์แห่งฮาโซร์ได้ยินเรื่องนี้ จึงให้คนไปหาโยบับกษัตริย์แห่งมาโดน กษัตริย์แห่งชิมโรน และกษัตริย์แห่งอัคชาฟ 2 และไปหาบรรดากษัตริย์ที่อยู่ในแถบภูเขาทางทิศเหนือ และในอาราบาห์ที่ใต้คินเนโรท ในที่ลุ่ม และนาฟาทโดร์ทางด้านตะวันตก 3 ไปหาชาวคานาอันทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ชาวอาโมร์ ชาวฮิต ชาวเปริส ชาวเยบุสที่แถบภูเขา และชาวฮีวที่อยู่ด้านล่างลงมาจากภูเขาเฮอร์โมนในดินแดนมิสปาห์ 4 และท่านเหล่านั้นออกมาพร้อมกับกองทหาร มีกองทัพมากมายราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล มีม้าและรถศึกจำนวนมาก 5 กษัตริย์เหล่านั้นรวมกำลังเข้าด้วยกัน และไปตั้งค่ายกันที่ธารน้ำเมโรม เพื่อต่อสู้กับอิสราเอล
6 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวพวกนั้นเลย เพราะว่าในวันพรุ่งนี้เวลาประมาณนี้ เราจะมอบพวกเขาทุกคนไว้ในมือของอิสราเอล เจ้าจะทำให้ม้าของพวกเขาพิการ และเผารถศึกของเขา” 7 ดังนั้น โยชูวากับกองทหารทั้งหมดก็เข้าโจมตีทันทีที่ใกล้ธารน้ำเมโรม 8 และพระผู้เป็นเจ้ามอบเขาเหล่านั้นไว้ในมือของอิสราเอล พวกเขาตีได้และไล่ล่าไปจนถึงมหาไซดอนและมิสเรโฟทมาอิม และทางทิศตะวันออกก็ไปจนถึงหุบเขามิสเปห์ ฆ่าเขาเหล่านั้นจนกระทั่งไม่มีใครเหลือ 9 และโยชูวากระทำต่อพวกเขาอย่างที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านไว้ ท่านทำให้ม้าของพวกเขาพิการและเผารถศึกของเขา
10 ในเวลานั้น โยชูวากลับไปยึดเมืองฮาโซร์ และฆ่ากษัตริย์ด้วยคมดาบ เพราะว่าก่อนหน้านี้ฮาโซร์เป็นหัวหน้าของอาณาจักรเหล่านั้น 11 พวกเขาใช้ดาบทำลายล้างทุกชีวิตในเมือง ไม่มีใครที่หายใจได้หลงเหลืออยู่ และท่านเผาเมืองฮาโซร์ 12 โยชูวายึดทุกเมืองที่เป็นของกษัตริย์เหล่านั้นอีกทั้งกษัตริย์ทั้งหมด และทำลายล้างชีวิตของพวกเขาทุกคนด้วยคมดาบ ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าบัญชาไว้ 13 แต่เมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่ถูกอิสราเอลเผา ยกเว้นฮาโซร์เท่านั้นที่โยชูวาเผา 14 ชาวอิสราเอลเอาของที่ริบได้จากเมืองเหล่านั้นกับสัตว์เลี้ยงไปใช้ แต่คนทุกคนถูกฆ่าตายด้วยคมดาบจนกระทั่งไม่มีใครที่หายใจได้หลงเหลืออยู่ 15 พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์อย่างไร โมเสสก็บัญชาโยชูวาอย่างนั้น และโยชูวาก็กระทำไปตามนั้น ท่านไม่ได้กระทำสิ่งใดอันขาดตกบกพร่องในเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส
16 ฉะนั้น โยชูวาเอาแผ่นดินทั้งหมดไป คือในแถบภูเขา เนเกบทั้งหมด แผ่นดินโกเชนทั้งหมด ที่ลุ่ม และอาราบาห์ แถบภูเขาและที่ลุ่มของอิสราเอล 17 ตั้งแต่ภูเขาฮาลักขึ้นไปจนถึงเสอีร์ ไกลไปจนถึงบาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนที่อยู่ถัดลงมาจากภูเขาเฮอร์โมน และท่านจับกุมกษัตริย์ทั้งหมดของพวกเขาและปลิดชีวิตเสียสิ้น 18 โยชูวาทำสงครามอยู่กับกษัตริย์เหล่านั้นเป็นเวลานาน 19 ไม่มีเมืองใดที่มีสันติภาพกับชาวอิสราเอล ยกเว้นชาวฮีวผู้อยู่อาศัยของเมืองกิเบโอน เมืองอื่นๆ ถูกปราบในสงคราม 20 พระผู้เป็นเจ้าทำให้พวกเขาใจแข็งกระด้าง และทำให้พวกเขาเข้าโจมตีอิสราเอลในสงคราม เพื่อทำลายล้างชีวิตของพวกเขาทุกคน และไม่สมควรได้รับความเมตตา แต่เป็นความพินาศ ตามที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาโมเสส
21 ในเวลานั้นโยชูวาไปทำให้ชาวอานาคที่อยู่แถบภูเขา ที่เฮโบรน ที่เดบีร์ ที่อานาบ และที่แถบภูเขาทั้งหมดของอิสราเอลพินาศด้วย โยชูวาทำลายล้างทุกชีวิตของเขาเหล่านั้นพร้อมกับเมืองของเขาทุกเมือง 22 ไม่มีชาวอานาคเหลืออยู่ในแผ่นดินของชาวอิสราเอล จะมีเหลืออยู่บ้างก็ที่กาซา กัท และที่อัชโดด 23 ฉะนั้นโยชูวายึดเอาแผ่นดินไปทั้งหมด ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสส และโยชูวาได้มอบให้แก่อิสราเอลเป็นมรดกตามส่วนแบ่งของแต่ละเผ่า และแผ่นดินก็สงบจากศึกสงคราม
คำอธิษฐานอันเปี่ยมด้วยความหวัง
ของดาวิด
1 ให้พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นศิลาของข้าพเจ้าได้รับพระพรเถิด
พระองค์ฝึกมือข้าพเจ้าไว้เพื่อการสงคราม
และฝึกนิ้วข้าพเจ้าไว้เพื่อการสู้รบ
2 พระองค์เป็นความรักอันมั่นคงและป้อมปราการ
เป็นหลักยึดอันมั่นคงและผู้ช่วยให้พ้นภัย
เป็นโล่ป้องกันภัย และเป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
พระองค์ทำให้ชนชาติของข้าพเจ้าสยบต่อข้าพเจ้า
3 โอ พระผู้เป็นเจ้า มนุษย์คือใครที่พระองค์จะสนใจ
หรือบุตรมนุษย์คือใครที่พระองค์จะต้องนึกถึง
4 มนุษย์เป็นเสมือนแค่ลมหายใจ
วันเวลาของเขาเป็นเสมือนเงาที่ผ่านไป
5 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดเปิดสวรรค์ และเชิญลงมา
โปรดสัมผัสภูเขา และให้มันปล่อยควันออกมา
6 โปรดปลดปล่อยประกายเจิดจ้าของสายฟ้า และทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไป
ยิงลูกธนูของพระองค์ และพวกเขาก็เตลิดเปิดเปิงไป
7 เอื้อมมือของพระองค์ลงมาจากเบื้องบนเพื่อช่วยชีวิตข้าพเจ้า
ให้ข้าพเจ้าพ้นจากห้วงน้ำลึก
พ้นจากอุ้งมือของชนต่างชาติ
8 ที่มีปากกล่าวเท็จ
และโป้ปดทั้งๆ ที่กำลังยกมือขวาสาบานตน
9 โอ พระเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระองค์
ข้าพเจ้าจะดีดพิณสิบสายถวายแด่พระองค์
10 พระองค์ให้บรรดากษัตริย์มีชัยชนะ
และช่วยชีวิตดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
11 โปรดช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้พ้นจากดาบที่โหดเหี้ยม
และช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากอุ้งมือของชนต่างชาติที่ใช้ปากกล่าวเท็จ
และโป้ปดทั้งๆ ที่กำลังยกมือขวาสาบานตน
12 ขอให้บรรดาบุตรชายวัยหนุ่มของเรา
เป็นดั่งต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่
บรรดาบุตรหญิงของเรา
เป็นดั่งเสาหลักในมุมที่ถูกสลัก เพื่อตกแต่งวังให้งดงาม
13 ขอให้ยุ้งฉางของเราเต็มปรี่
มีอาหารทุกชนิดเตรียมไว้อย่างพร้อมพรั่ง
ฝูงแกะของพวกเราตกลูกเป็นพันเป็นหมื่นตัว
ภายในเขตทุ่งของเรา
14 ขอให้โคของเรามีลูกดก
ไม่ตายเสียแต่ครั้งครรภ์ยังอ่อนหรือสูญหายไป
ไม่มีใครร้องไห้เพราะความทุกข์ยากที่ถนนของเรา
15 ชนชาติใดได้รับพระพรเช่นนี้ก็เป็นสุข
ชนชาติใดที่พระเจ้าของเขาคือพระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นสุข
เยรูซาเล็มปฏิเสธที่จะกลับใจ
5 “จงวิ่งไปให้ทั่วทุกถนนของเยรูซาเล็ม
จงสังเกตดู
ค้นหาที่ลานชุมนุมในเมือง
และดูซิว่าเจ้าจะพบใครสักคน
ที่มีความเที่ยงธรรม
และแสวงหาความจริง
เพื่อเราจะให้อภัยทั้งเมืองได้
2 ถึงแม้พวกเขาจะพูดว่า ‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’
พวกเขาก็สาบานไม่จริง”
3 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มองหาผู้ยึดมั่นในความจริงแน่ทีเดียว
พระองค์ได้ฟาดฟันพวกเขา
แต่เขากลับไม่รู้สึกปวดร้าวเลย
พระองค์ทำให้พวกเขาเกือบพินาศ
แต่พวกเขาก็ยังเพิกเฉยต่อบทเรียนที่ได้รับ
พวกเขาทำให้หน้าแข็งกระด้างยิ่งกว่าหิน
และปฏิเสธที่จะกลับใจ
4 ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ยากไร้
พวกเขาไร้ความคิดอ่าน
เพราะพวกเขาไม่รู้จักวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
ความเที่ยงธรรมของพระเจ้าของเขา
5 ข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้ที่มีอิทธิพล
และจะพูดกับเขา
เพราะพวกเขารู้จักวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
ความเที่ยงธรรมของพระเจ้าของเขา”
แต่พวกเขาทุกคนเป็นเหมือนกัน คือได้หักแอก
และตัดสิ่งที่ผูกไว้ให้หลุดออกไป
6 ฉะนั้น สิงโตจากป่าตัวหนึ่งจะฆ่าพวกเขา
สุนัขป่าจากทะเลทรายตัวหนึ่งจะฉีกร่างของพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ
เสือดาวตัวหนึ่งคอยจับจ้องเมืองของพวกเขา
ทุกคนที่ฝ่าออกไปจะถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ
เพราะพวกเขาล่วงละเมิดหลายประการ
และหันเหไปจากพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
7 “เราจะให้อภัยเจ้าได้อย่างไร
ลูกๆ ของเจ้าได้ทอดทิ้งเราแล้ว
และยังได้สาบานต่อรูปเคารพซึ่งไม่ใช่เทพเจ้า
เราจัดหาทุกสิ่งให้แก่พวกเขา
แต่พวกเขาก็ยังไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา
และกรูกันไปยังบ้านหญิงแพศยา
8 พวกเขาเป็นเหมือนม้าตัวผู้สำหรับทำพันธุ์ที่ถูกเลี้ยงไว้อย่างดีและมีกำลังมาก
แต่ละตัวมีความใคร่ต่อภรรยาเพื่อนบ้านของตน
9 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เราควรจะลงโทษพวกเขา
เพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติ
ที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ
10 จงเดินไปให้ทั่วแนวไร่องุ่นและทำลายเสีย
แต่อย่าทำลายจนหมดสิ้น
ตัดกิ่งก้านองุ่นลงให้หมด
เพราะไม่ใช่กิ่งก้านของพระผู้เป็นเจ้า
11 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เพราะพงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์
ร้ายกาจต่อเราเหลือเกิน
12 พวกเขาไม่ได้พูดความจริงในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้า
และได้พูดว่า ‘พระองค์จะไม่ทำอะไรหรอก
ความวิบัติจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเรา
เราจะไม่เผชิญกับการสู้รบหรือการอดอยาก
13 บรรดาผู้เผยคำกล่าวจะเป็นดั่งลม
พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กล่าวสิ่งใดผ่านพวกเขา
ขอให้สิ่งที่พวกเขาพูดเกิดขึ้นกับพวกเขา’”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศคำตัดสิน
14 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้
“เพราะพวกเขาได้พูดเช่นนี้
ดูเถิด เราทำให้คำกล่าวของเราเป็นดั่งไฟในปากของเจ้า
ประชาชนเหล่านี้จะเป็นดั่งไม้ และไฟจะเผาไหม้พวกเขา”
15 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า
“ดูเถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
เรากำลังนำประชาชาติหนึ่งจากแดนไกลมาโจมตีเจ้า
เป็นประชาชาติที่ทรหดอดทน
เป็นประชาชาติมาแต่โบราณ
เป็นประชาชาติที่มีภาษาที่เจ้าไม่รู้จัก
และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเขาพูดอะไร
16 แล่งธนูของพวกเขาเปรียบได้กับถ้ำเก็บศพที่เปิดไว้
ทุกคนเป็นนักรบผู้กล้าหาญ
17 พวกเขาจะกินอาหารและสิ่งที่เจ้าเก็บเกี่ยวจนหมดสิ้น
เขาจะฆ่าบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าเสียสิ้น
เขาจะฆ่าแพะแกะและโคของเจ้าให้หมด
เขาจะกินจากเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของเจ้าจนหมดสิ้น
พวกเขาจะโจมตีเมืองต่างๆ ของเจ้า
ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งด้วยคมดาบ”
18 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “แต่ถึงแม้ในเวลานั้น เราก็จะไม่กำจัดพวกเจ้าจนหมดสิ้น 19 และเมื่อประชาชนของเจ้าพูดว่า ‘ทำไมพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราจึงได้กระทำสิ่งเหล่านี้ต่อพวกเรา’ เจ้าจงพูดกับพวกเขาว่า ‘เพราะพวกเจ้าได้ทอดทิ้งเรา และไปนมัสการบรรดาเทพเจ้าต่างชาติในแผ่นดินของเจ้า เจ้าก็จะไปรับใช้พวกชาวต่างชาติในแผ่นดินที่ไม่ได้เป็นของเจ้า’
20 จงประกาศแก่พงศ์พันธุ์ยาโคบ
ให้เป็นที่รู้ในยูดาห์ว่า
21 โอ จงฟังให้ดี ประชาชนผู้โง่เขลาและไร้สติเอ๋ย
เจ้ามีตาแต่มองไม่เห็น
มีหูแต่ไม่ได้ยิน”
22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า
“พวกเจ้าไม่เกรงกลัวเราหรือ
เจ้าไม่สะทกสะท้าน ณ เบื้องหน้าเราหรือ
เราใช้ทรายเป็นเขตกั้นสำหรับทะเล
เป็นที่กั้นอันถาวรที่จะข้ามไปไม่ได้
แม้ว่าคลื่นซัดแต่ไม่สามารถข้ามไปได้
แม้ว่าคลื่นคำรามแต่ก็พังทลายผ่านไปไม่ได้
23 แต่ประชาชนเหล่านี้มีใจดื้อดึงและขัดขืน
พวกเขาออกนอกลู่นอกทางและจากเราไป
24 พวกเขาไม่แม้แต่จะคิดในใจว่า
‘พวกเราควรจะเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา
พระองค์ให้ฝนตกตามฤดูกาล
คือฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู
และให้พวกเราได้เก็บเกี่ยวตามกำหนด’
25 ความชั่วของพวกเจ้าทำให้สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น
และบาปของพวกเจ้าทำให้ไม่ได้รับสิ่งดีๆ
26 เพราะพวกคนชั่วอยู่ในหมู่ชนชาติของเรา
พวกเขาซุ่มรออย่างคนคอยดักนก
พวกเขาวางกับดักเพื่อจับมนุษย์
27 บ้านของพวกเขามีแต่ความลวงหลอก
เหมือนกับกรงที่เต็มไปด้วยนก
ฉะนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคนใหญ่โตและมั่งมี
28 พวกเขาอ้วนพี พวกเขาอ้วนท้วน
และกระทำความชั่วอย่างไม่มีขอบเขต
และตัดสินคนด้วยความไม่เป็นธรรม
เขาเอาเปรียบเด็กกำพร้าเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
และไม่ปกป้องให้ผู้ยากไร้ใช้สิทธิของเขา
29 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เราควรจะลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติ
ที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ
30 สิ่งที่เลวร้ายและน่ากลัว
ได้เกิดขึ้นในแผ่นดิน
31 บรรดาผู้เผยคำกล่าวเผยความอย่างผิดๆ
ส่วนบรรดาปุโรหิตก็ปกครองไปตามคำบัญชาของพวกเขา
ชนชาติของเราก็ยินดีทำตาม
แต่ในที่สุดพวกเจ้าจะทำอย่างไร
การหย่าร้าง
19 เมื่อพระเยซูกล่าวสิ่งเหล่านั้นจบแล้ว ก็ไปจากแคว้นกาลิลีจนถึงแคว้นยูเดีย คืออีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน 2 มหาชนยังคงติดตามพระองค์ไป และพระองค์รักษาโรคของพวกเขาให้หายขาดที่นั่น
3 พวกฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์โดยถามว่า “ถูกต้องตามกฎหรือไม่ ถ้าผู้ชายจะหย่าร้างภรรยาด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม” 4 พระองค์กล่าวตอบว่า “ท่านไม่เคยอ่านหรือว่า พระองค์ผู้ได้สร้างมนุษย์ตั้งแต่ครั้งปฐมกาล ได้สร้างทั้งชายและหญิง 5 และกล่าวว่า ‘ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไป และผูกพันอยู่กับภรรยาของตน และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน’[a] 6 ดังนั้นเขาไม่ใช่คนสองคนอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเดียวกัน ฉะนั้นอะไรก็ตามที่พระเจ้าได้เชื่อมสัมพันธ์กันแล้ว ก็อย่าให้ผู้ใดแยกจากกันเลย” 7 พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “แล้วทำไมโมเสสจึงออกคำสั่งให้ยื่นใบหย่าร้าง แล้วสามารถหย่าร้างภรรยาได้” 8 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เป็นเพราะความแข็งกระด้างในจิตใจของท่าน โมเสสจึงได้อนุญาตให้ท่านหย่าร้างจากภรรยา แต่มิได้เป็นเช่นนั้นในปฐมกาล 9 เราขอบอกท่านว่า ใครก็ตามที่หย่าร้างจากภรรยาของตนและไปสมรสกับหญิงอื่นนับว่าผิดประเวณี ยกเว้นกรณีที่ภรรยาประพฤติผิดทางเพศ”
10 เหล่าสาวกพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับภรรยาเป็นเช่นนี้ การที่ไม่สมรสก็จะดีกว่า”
11 พระองค์กล่าวว่า “มิใช่ทุกคนที่สามารถรับข้อนี้ได้ มีเพียงบางคนที่พระเจ้าจะให้รับได้เท่านั้น 12 เพราะมีพวกขันทีที่เป็นแต่กำเนิด บ้างก็เป็นพวกที่มนุษย์กระทำให้เป็น และบ้างก็ไม่สมรสเพื่ออาณาจักรแห่งสวรรค์ ใครที่สามารถรับข้อนี้ได้ก็ให้เขารับไป”
เด็กๆ มาหาพระเยซู
13 ครั้นแล้วมีคนนำเด็กๆ มาหาพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้วางมือทั้งสองบนตัวพวกเขาและอธิษฐานให้ แต่บรรดาสาวกห้ามไว้ 14 พระเยซูกล่าวว่า “ปล่อยให้เด็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของคนอย่างเด็กเหล่านี้” 15 หลังจากพระองค์ได้วางมือทั้งสองบนตัวพวกเขา และอธิษฐานให้ แล้วพระองค์ก็จากที่นั่นไป
เศรษฐีหนุ่ม
16 ครั้งหนึ่งมีคนหนึ่งมาถามพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าควรจะทำอะไรที่ประเสริฐ เพื่อได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 17 พระองค์กล่าวว่า “ทำไมท่านจึงถามเราว่าอะไรประเสริฐ มีเพียงผู้เดียวที่ประเสริฐ แต่ถ้าท่านปรารถนาจะได้ชีวิต ก็จงปฏิบัติตามพระบัญญัติ” 18 เขาพูดว่า “ข้อไหนบ้าง” พระเยซูกล่าวว่า “อย่าฆ่าคน อย่าผิดประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ 19 จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง”[b] 20 ชายหนุ่มพูดกับพระองค์ว่า “สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีก” 21 พระเยซูกล่าวว่า “ถ้าท่านอยากเป็นผู้ที่ดีเพียบพร้อมทุกประการ ก็จงไปขายสิ่งของที่ท่านมีเพื่อแจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ แล้วท่านจะมีสมบัติในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” 22 เมื่อชายหนุ่มคนนั้นได้ยินคำที่กล่าวแล้ว ก็เดินจากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย
23 พระเยซูกล่าวกับพวกสาวกว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ยากที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ 24 เราขอบอกเจ้าอีกว่า ตัวอูฐจะผ่านเข้ารูเข็มก็ยังจะง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 25 เมื่อพวกสาวกได้ยินดังนั้นก็อัศจรรย์ใจยิ่งนักและพูดว่า “แล้วใครเล่าที่จะมีชีวิตรอดพ้นได้” 26 พระเยซูมองดูพวกเขาแล้วกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะช่วยตนเองให้รอดพ้น แต่ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะทำได้” 27 เปโตรพูดตอบพระองค์ว่า “ดูเถิด พวกเราได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์มา แล้วพวกเราจะได้รับอะไร” 28 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์นั่งบนบัลลังก์อันสง่างามของท่าน พวกเจ้าที่ติดตามเราก็จะนั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองและตัดสินความ 12 เผ่าของอิสราเอลด้วย 29 ทุกคนที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆ หรือไร่นาเพื่อนามของเรา เขาจะได้รับจากพระเจ้ามากเป็น 100 เท่า และจะได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 30 แต่มีคนจำนวนมากที่เป็นคนแรกก็จะเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายก็จะเป็นคนแรก
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation