M’Cheyne Bible Reading Plan
ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง
10 ทันทีที่อาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มทราบว่าโยชูวาได้ยึดเมืองอัย และทำลายให้พินาศ และได้กระทำต่อเมืองอัยและกษัตริย์ของเมือง ดังที่กระทำต่อเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมือง และทราบว่าบรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองกิเบโอนทำสัญญาสันติภาพกับอิสราเอลและอยู่ในหมู่พวกเขา 2 ท่านจึงกลัวมาก เพราะว่าเมืองกิเบโอนเป็นเมืองใหญ่เทียบเท่าเมืองหลวง และเป็นเพราะว่าใหญ่กว่าเมืองอัย อีกทั้งชายทุกคนเป็นนักรบ 3 ดังนั้นอาโดนีเซเดกกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มมีสาสน์ถึงโฮฮัมกษัตริย์แห่งเฮโบรน ถึงปิรามกษัตริย์แห่งยาร์มูท ถึงยาเฟียกษัตริย์แห่งลาคีช และเดบีร์กษัตริย์แห่งเอกโลนว่า 4 “ช่วยขึ้นมาหาเราและช่วยเรา เราไปโจมตีเมืองกิเบโอนกันเถิด เพราะเมืองนั้นมีสันติภาพกับโยชูวาและชาวอิสราเอลแล้ว” 5 ฉะนั้นกษัตริย์ทั้งห้าของชาวอาโมร์คือ กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยาร์มูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์เมืองเอกโลน จึงรวบรวมกำลังของตนขึ้นไปกับกองทัพ และตั้งค่ายทำสงครามต่อสู้กับเมืองกิเบโอน
6 ฝ่ายคนจากเมืองกิเบโอนก็ส่งข่าวไปให้โยชูวาทราบที่ค่ายในกิลกาลว่า “อย่าถอนกำลังไปจากผู้รับใช้ของท่าน ขึ้นมาช่วยชีวิตพวกเราโดยเร็ว เพราะว่ากษัตริย์ทั้งปวงของชาวอาโมร์ที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขารวมกำลังต่อสู้กับเรา” 7 โยชูวาจึงขึ้นไปจากกิลกาล พร้อมกับกองทัพทั้งหมดและนักรบผู้เก่งกล้าทุกคน 8 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “ไม่ต้องกลัวพวกเขา เพราะว่าเราทำให้พวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้า ไม่มีผู้ใดในพวกเขาที่จะยืนต่อต้านเจ้าได้” 9 หลังจากที่โยชูวาเดินทางตลอดทั้งคืนขึ้นไปจากกิลกาล ท่านก็เข้าโจมตีพวกนั้นทันที 10 พระผู้เป็นเจ้าทำให้เขาเหล่านั้นหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อหน้าคนอิสราเอล และอิสราเอลฆ่าคนจำนวนมากที่เมืองกิเบโอน คนอิสราเอลไล่ล่าพวกนั้นไปทางที่ขึ้นไปยังเบธโฮโรน และไล่ฆ่าพวกเขาจนถึงเมืองอาเซคาห์และมักเคดาห์ 11 และในขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังวิ่งหนีลงไปต่อหน้าคนอิสราเอลจากเมืองเบธโฮโรน พระผู้เป็นเจ้าก็ทำให้ลูกเห็บตกลงมาจากฟ้า จนพวกเขาไปถึงเมืองอาเซคาห์ แล้วก็ตาย คนตายเพราะลูกเห็บมีจำนวนมากกว่าคนตายเพราะคมดาบของชาวอิสราเอล
12 ในวันที่พระผู้เป็นเจ้ามอบชาวอาโมร์ให้แก่ชาวอิสราเอล โยชูวาพูดกับพระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าคนอิสราเอลในครั้งนั้นว่า
“ดวงอาทิตย์เอ๋ย จงหยุดนิ่งอยู่ที่กิเบโอน
และดวงจันทร์เอ๋ย หยุดอยู่ที่หุบเขาอัยยาโลน”
13 ดวงอาทิตย์หยุดนิ่ง
และดวงจันทร์ก็หยุดด้วย
จนกระทั่งประชาชาตินั้นได้แก้แค้นพวกศัตรูก่อน
เรื่องนี้ไม่มีบันทึกอยู่ในหนังสือของยาชาร์หรือ ดวงอาทิตย์หยุดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า และไม่ได้รีบตกดินจนกว่าเวลาจะล่วงไปประมาณ 1 วัน 14 ไม่เคยมีวันใดที่เป็นเหมือนวันนั้น ทั้งก่อนหน้านี้หรือหลังจากวันนั้นมา เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฟังเสียงมนุษย์ เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้าต่อสู้เพื่ออิสราเอล
15 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็กลับไปยังค่ายที่กิลกาล
กษัตริย์ทั้งห้าของชาวอาโมร์ถูกประหาร
16 กษัตริย์ทั้งห้าหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์ 17 โยชูวาได้ยินมาว่า “มีคนพบกษัตริย์ทั้งห้าที่หลบซ่อนอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์” 18 โยชูวาพูดว่า “จงกลิ้งหินก้อนใหญ่ๆ ปิดปากถ้ำไว้ และให้คนเฝ้าอยู่ใกล้ๆ 19 แต่ตัวท่านเองอย่าอยู่ที่นั่น จงไล่ตามศัตรูของท่านไป โจมตีจากด้านหลัง อย่าปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเมือง ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทำให้เขาเหล่านั้นตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านแล้ว” 20 เมื่อโยชูวาและชาวอิสราเอลฆ่าเขาเหล่านั้นตายหลายคนจนพินาศ ส่วนที่เหลืออยู่ไม่กี่คนก็หนีเข้าไปในเมืองซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง 21 แล้วประชาชนทั้งปวงกลับไปหาโยชูวาที่ค่ายที่มักเคดาห์โดยปลอดภัย ไม่มีผู้ใดปริปากต่อต้านชาวอิสราเอลอีก
22 โยชูวาพูดว่า “จงเปิดปากถ้ำ และพากษัตริย์ทั้งห้าออกมาหาเรา” 23 พวกเขาก็กระทำตาม โดยพากษัตริย์ทั้งห้านั้นออกจากถ้ำมาหาท่าน มีกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยาร์มูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน 24 เมื่อเขาพากษัตริย์เหล่านั้นออกมาหาโยชูวา โยชูวาจึงบัญชาชายชาวอิสราเอลทุกคน และพูดกับหัวหน้านักรบที่ออกไปต่อสู้ด้วยกันกับท่าน “เข้ามาใกล้ๆ เอาเท้าเหยียบคอกษัตริย์เหล่านี้” พวกเขาก็เข้าไปใกล้ๆ แล้วเอาเท้าเหยียบที่คอเหล่ากษัตริย์ 25 โยชูวาพูดกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวหรือท้อใจเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญ พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำเช่นนี้ต่อศัตรูทุกคนที่ท่านจะต้องต่อสู้ด้วย” 26 หลังจากนั้นโยชูวาก็ฆ่ากษัตริย์เหล่านั้น และแขวนคอท่านไว้บนต้นไม้ 5 ต้น แขวนค้างอยู่บนต้นไม้จนตกเย็น 27 แต่พอถึงเวลาตะวันตกดิน โยชูวาบัญชาให้เอาศพลงจากต้นไม้และโยนเข้าไปในถ้ำที่เคยซ่อนตัวกัน และพวกเขาก็วางหินก้อนใหญ่หลายก้อนปิดปากถ้ำไว้ ซึ่งยังอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้
28 โยชูวาได้ยึดเมืองมักเคดาห์ไว้ในวันนั้น และฆ่ากษัตริย์ของเมืองด้วยคมดาบ ท่านทำลายล้างทุกชีวิตในเมืองโดยไม่เว้นแม้แต่คนเดียว และท่านทำต่อกษัตริย์แห่งมักเคดาห์เหมือนกับที่ได้ทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค
ชัยชนะทางทิศใต้ของคานาอัน
29 ครั้นแล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็เดินทัพต่อไปจากเมืองมักเคดาห์จนถึงเมืองลิบนาห์ และโจมตีลิบนาห์ 30 และพระผู้เป็นเจ้าทำให้ทั้งเมืองและกษัตริย์ตกอยู่ในเงื้อมมือของอิสราเอล ท่านยึดเมืองและทุกคนในเมืองด้วยคมดาบโดยไม่ไว้ชีวิตใครสักคน และท่านกระทำต่อกษัตริย์เหมือนกับที่กระทำต่อกษัตริย์แห่งเยรีโค
31 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงเดินศึกต่อไปจากเมืองลิบนาห์จนถึงเมืองลาคีช ล้อมเมืองไว้และต่อสู้กับเมืองนั้น 32 และพระผู้เป็นเจ้าทำให้เมืองลาคีชตกอยู่ในเงื้อมมือของอิสราเอล ท่านยึดเมืองได้ในวันที่สอง ตีได้ทั้งเมืองและฆ่าทุกคนด้วยคมดาบ เหมือนกับที่กระทำต่อเมืองลิบนาห์
33 แล้วโฮรามกษัตริย์แห่งเกเซอร์ขึ้นมาช่วยเมืองลาคีช โยชูวาจึงฆ่าท่านและคนของท่านจนไม่มีใครเหลือ
34 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงเดินศึกต่อไปจากเมืองลาคีชจนถึงเมืองเอกโลน ล้อมเมืองไว้และต่อสู้กับเมืองนั้น 35 พวกเขายึดเมืองได้ในวันนั้น ฆ่าคนในเมืองด้วยคมดาบ และในวันนั้นท่านทำลายล้างทุกชีวิตในเมือง เหมือนกับที่กระทำต่อเมืองลาคีช
36 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลขึ้นไปจากเมืองเอกโลนจนถึงเมืองเฮโบรน และโจมตีเมืองนั้น 37 และยึดเมืองได้ รวมทั้งกษัตริย์และตำบลโดยรอบ และฆ่าทุกคนในเมืองด้วยคมดาบ ท่านไม่ไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว เหมือนกับที่ได้กระทำต่อเมืองเอกโลน ทำลายเมืองและทำลายล้างทุกชีวิตด้วย
38 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็กลับไปยังเมืองเดบีร์และต่อสู้กับเมืองนั้น 39 ท่านยึดเมืองกับกษัตริย์ และตำบลโดยรอบไว้ได้ทั้งหมด พวกเขาฆ่าคนในเมืองด้วยคมดาบ และทำลายล้างทุกชีวิตในเมือง ท่านไม่ไว้ชีวิตแม้แต่คนเดียว ท่านกระทำต่อเมืองเดบีร์และกษัตริย์ของเมืองนั้น เหมือนกับที่ได้กระทำต่อเมืองเฮโบรน และต่อลิบนาห์กับกษัตริย์ของเมือง
40 ฉะนั้น โยชูวาตีได้แผ่นดินทั้งหมดคือ รวมถึงแถบภูเขา ในเนเกบ ที่ลุ่ม และเนินสูง และกษัตริย์ทั้งปวง ท่านไม่ไว้ชีวิตสักคนเดียว คือทำลายล้างทุกชีวิต ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลบัญชาไว้ 41 และโยชูวาตีเมืองตั้งแต่คาเดชบาร์เนียไปจนถึงเมืองกาซา และดินแดนทั้งหมดของโกเชนจนถึงเมืองกิเบโอน 42 โยชูวาจับกุมกษัตริย์เหล่านี้พร้อมกับดินแดนของท่านไว้ได้ในคราวเดียวกัน เพราะว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้ต่อสู้เพื่ออิสราเอล 43 แล้วโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งปวงก็กลับไปยังค่ายที่กิลกาล
ร้องขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า
เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของดาวิด ยามที่ท่านอยู่ในถ้ำ[a] คำอธิษฐาน
1 ข้าพเจ้าร้องด้วยเสียงอันดังต่อพระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าใช้เสียงของข้าพเจ้าขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า
2 ข้าพเจ้าหลั่งคำรำพันของข้าพเจ้าออกมาต่อหน้าพระองค์
และบอกถึงความทุกข์ของข้าพเจ้าต่อหน้าพระองค์
3 เวลาจิตวิญญาณข้าพเจ้าอ่อนล้า
พระองค์เป็นผู้ที่ทราบทางของข้าพเจ้า
พวกเขาซ่อนบ่วงแร้วดักข้าพเจ้า
ในเส้นทางที่ข้าพเจ้าเดินไป
4 ข้าพเจ้าเหลือบมองทางขวา
แต่ไม่มีใครสังเกตดูข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่งพิงเหลืออยู่อีกแล้ว
ไม่มีใครสนใจข้าพเจ้า
5 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอให้พระองค์ช่วย
ข้าพเจ้าพูดว่า “พระองค์เป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของข้าพเจ้าในดินแดนของคนเป็น”
6 โปรดฟังเสียงร้องของข้าพเจ้า
เพราะข้าพเจ้าหมดกำลังใจแล้ว
ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากพวกที่ตามล่าข้าพเจ้าเถิด
เพราะพวกเขาแข็งแรงเกินกว่าข้าพเจ้า
7 โปรดพาข้าพเจ้าออกจากคุกใต้ดิน
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ขอบคุณพระนามของพระองค์
บรรดาผู้ชอบธรรมจะอยู่โดยรอบข้าพเจ้า
เพราะความกรุณาของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้า
คำอธิษฐานขอความช่วยเหลือ
เพลงสดุดีของดาวิด
1 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
เงี่ยหูฟังคำร้องขอความเมตตาของข้าพเจ้าเถิด
โปรดตอบข้าพเจ้าตามความสัตย์จริงและความชอบธรรมของพระองค์
2 และอย่าพิพากษาผู้รับใช้ของพระองค์เลย
เพราะไม่มีผู้มีชีวิตคนใดที่นับว่ามีความชอบธรรม ณ เบื้องหน้าพระองค์
3 ด้วยว่า ศัตรูได้ตามล่าข้าพเจ้า
เขาเหยียบย่ำชีวิตข้าพเจ้าให้จมธรณี
และทำให้ข้าพเจ้านั่งในที่มืดเหมือนพวกที่ได้ตายไปนานแสนนานแล้ว
4 ดังนั้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้าอ่อนล้า
ภายในจิตใจข้าพเจ้าหวั่นกลัว
5 ข้าพเจ้าจำวันเก่าๆ ได้
ข้าพเจ้าใคร่ครวญถึงงานทุกชิ้นของพระองค์
ข้าพเจ้าตริตรองถึงการงานของพระองค์
6 ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไปยังพระองค์
จิตวิญญาณกระหายหาพระองค์อย่างแผ่นดินที่แห้งแล้ง เซล่าห์
7 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดตอบข้าพเจ้าโดยเร็ว
วิญญาณข้าพเจ้าอ่อนล้า
อย่าซ่อนหน้าไปจากข้าพเจ้าเลย
เกรงว่าข้าพเจ้าจะเป็นเหมือนพวกที่ลงไปยังหลุมลึกแห่งแดนคนตาย
8 ให้ข้าพเจ้าได้ยินถึงความรักอันมั่นคงของพระองค์ในยามเช้าเถิด
เพราะข้าพเจ้าวางใจในพระองค์
โปรดสอนข้าพเจ้าให้ไปในหนทางที่ควรจะไป
เพราะจิตวิญญาณข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์
9 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากพวกศัตรูของข้าพเจ้าเถิด
ข้าพเจ้าเข้าหาพระองค์เพื่อพึ่งพิง
10 โปรดสอนข้าพเจ้าให้กระทำตามความประสงค์ของพระองค์
เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า
ให้พระวิญญาณอันประเสริฐของพระองค์
นำข้าพเจ้าไปบนที่ราบ
11 โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระนามของพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่
พาข้าพเจ้าให้พ้นจากความทุกข์ยากตามความชอบธรรมของพระองค์
12 และโปรดกำจัดพวกศัตรูของข้าพเจ้าด้วยความรักอันมั่นคงของพระองค์
และฆ่าเหล่าปรปักษ์ของข้าพเจ้าทั้งหมด
เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
4 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า
“โอ อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเจ้าจะกลับมา
เจ้าก็จงกลับมาหาเรา
ถ้าเจ้ากำจัดสิ่งที่น่าชังให้พ้นหน้าเรา
และไม่หลงผิดอีก
2 และถ้าเจ้าสาบานด้วยความจริง ความเป็นธรรม และความชอบธรรมว่า
‘ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด’
แล้วบรรดาประชาชาติจะได้รับพระพรในพระองค์
และพวกเขาจะยินดีในพระองค์”
3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับประชาชนชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มดังนี้ว่า
“จงพรวนผืนดินของเจ้าที่ถูกปล่อยทิ้งไว้
และอย่าหว่านในดงไม้หนาม
4 จงเข้าสุหนัตเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
จงตัดเนื้อปลายหัวใจของเจ้าออก
โอ ประชาชนชาวยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มเอ๋ย
มิฉะนั้น การลงโทษของเราจะเป็นเหมือนกับไฟ
ที่ลุกไหม้จนไม่มีผู้ใดดับได้
เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของเจ้า”
ความวิบัติจากทิศเหนือ
5 จงประกาศในยูดาห์ และให้เป็นที่รู้ในเยรูซาเล็มว่า
“จงเป่าแตรงอนทั่วแผ่นดิน
ส่งเสียงร้องดังและพูดว่า
‘จงมารวมกันให้พร้อมหน้า
และเข้าไปในเมืองต่างๆ ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง’
6 ยกธงขึ้นสู่ศิโยน
แล้วรีบหนีเพื่อความปลอดภัย อย่ารอช้า
เพราะเรานำความวิบัติจากทิศเหนือ
และความพินาศมา”
7 สิงโตตัวหนึ่งได้ขึ้นไปจากที่ซ่อนของมัน
ผู้ทำลายผู้หนึ่งของบรรดาประชาชาติได้เริ่มเดินออกไปแล้ว
เขาได้ออกไปจากที่ของเขาแล้ว
เพื่อทำให้แผ่นดินของท่านรกร้าง
เมืองต่างๆ ของท่านจะพังลง
และไม่มีผู้อยู่อาศัย
8 จงสวมผ้ากระสอบ
ร้องรำพัน และร้องไห้ฟูมฟาย
เพราะความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า
ที่มีต่อเรายังไม่ลดลง
9 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ในวันนั้น กษัตริย์และบรรดาผู้นำจะท้อถอย บรรดาปุโรหิตจะตื่นตระหนก และบรรดาผู้เผยคำกล่าวจะแปลกใจ” 10 แล้วข้าพเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทำให้ประชาชนเหล่านี้และเยรูซาเล็มหลงกลจริงๆ โดยกล่าวว่า ‘ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีกับเจ้า’ ในขณะที่ดาบจ่ออยู่ที่คอพวกเขา”
11 ในเวลานั้น ชนชาตินี้และเยรูซาเล็มจะได้ยินคำที่กล่าวกับพวกเขาว่า “ลมร้อนจากเนินเขาสูงในถิ่นทุรกันดารพัดไปทางประชาชนอันเป็นที่รักของเรา ไม่ใช่ลมแผ่วเบาที่ใช้ฝัดร่อนหรือชำระล้าง 12 ลมแรงกล้าขนาดนี้มาจากเรา เป็นเรานั่นแหละที่ประกาศโทษแก่พวกเขา”
13 ดูเถิด เขาปรากฏตัวขึ้นเหมือนเมฆ
รถศึกของเขาเหมือนพายุหมุน
ม้าของเขาว่องไวยิ่งกว่านกอินทรี
วิบัติเกิดแก่พวกเรา เพราะพวกเราย่อยยับแล้ว
14 “โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงชำระจิตใจของเจ้าให้พ้นจากความชั่ว
เพื่อเจ้าจะได้รอดพ้น
ความคิดชั่วร้ายของเจ้าจะฝังอยู่
กับเจ้านานแค่ไหน
15 ด้วยว่า มีเสียงประกาศจากดาน
และประกาศความวิบัติจากภูเขาเอฟราอิม
16 จงเตือนบรรดาประชาชาติว่า เขากำลังมา
จงประกาศแก่เยรูซาเล็มว่า
‘ผู้ล้อมเมืองมาจากแดนไกล
พวกเขาร้องตะโกนเสียงดังเพื่อโจมตีเมืองต่างๆ ของยูดาห์
17 พวกเขาตีวงล้อมอย่างผู้ดูแลรักษาไร่นา
เพราะเมืองนั้นได้ดื้อดึงต่อเรา’”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 “วิถีทางและการกระทำของเจ้า
เป็นเหตุให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเอง
เป็นความพินาศที่เกิดขึ้นกับเจ้า
และมันขมขื่น
ทิ่มแทงใจของเจ้า”
ความปวดร้าวมีต่อยูดาห์
19 ความปวดร้าวของข้าพเจ้า ความปวดร้าวของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าบิดตัวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ใจข้าพเจ้าทุกข์ระทมและสะอื้น
ข้าพเจ้านิ่งเงียบไม่ได้แล้ว
เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงแตรงอน
ซึ่งเป็นเสียงเตือนศึก
20 สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทั่วทั้งแผ่นดินพังพินาศ
ทันทีทันใดกระโจมของข้าพเจ้าถูกทำลาย
ม่านของข้าพเจ้าเสียหายในพริบตา
21 ข้าพเจ้าจะต้องเห็นธง
และได้ยินเสียงแตรงอนนานแค่ไหน
22 “ด้วยว่า ชนชาติของเราโง่เขลา
พวกเขาไม่รู้จักเรา
เขาเป็นเด็กโง่
ไม่มีความเข้าใจ
พวกเขาชำนาญในการกระทำความชั่ว
และไม่รู้ว่ากระทำความดีได้อย่างไร”
23 ข้าพเจ้ามองดูแผ่นดินโลก
ดูเถิด มันยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง อีกทั้งยังว่างเปล่า
และมองดูฟ้าสวรรค์
ซึ่งไม่มีแสงสว่าง
24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขา
ดูเถิด มันกำลังสั่นไหว
และเนินเขาทุกลูกขยับไปมา
25 ข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ไม่มีมนุษย์
และนกในอากาศทุกตัวบินหนีไปแล้ว
26 ข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด แผ่นดินอันอุดมกลายเป็นถิ่นทุรกันดาร
และเมืองทั้งหมดถูกพังทลายลง
ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เบื้องหน้าความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์
27 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “ทั่วทั้งแผ่นดินจะเป็นที่รกร้าง แต่เราจะไม่ทำลายจนหมดสิ้น
28 แผ่นดินโลกจะร้องคร่ำครวญให้กับสิ่งนี้
และฟ้าสวรรค์เบื้องบนมืดลง
เพราะเราได้กล่าวไว้ เราได้ตัดสินใจแล้ว
เราไม่ได้เปลี่ยนใจ และเราจะไม่หันกลับ”
29 ผู้คนของทุกเมืองเผ่นหนี
เมื่อได้ยินเสียงทหารม้าและนักธนู
พวกเขาเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ทึบ
ปีนขึ้นบนก้อนหิน
ทิ้งเมืองให้ร้างไว้
ไม่มีใครอยู่ในเมืองเลย
30 โอ ผู้ที่หายนะ
เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่เจ้าสวมเครื่องนุ่งห่มสีแดงสด
และประดับด้วยเครื่องประดับทองคำ
เจ้าใช้สีทาตาให้ดูโตขึ้น
เจ้าแต่งตัวให้สวยโดยไร้ประโยชน์
บรรดาคนรักของเจ้าดูหมิ่นเจ้า
พวกเขาต้องการเอาชีวิตเจ้า
31 ด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องราวกับหญิงที่เจ็บครรภ์
ปวดร้าวราวกับคนที่คลอดลูกคนแรก
เสียงร้องของธิดาแห่งศิโยนพยายามสูดลมหายใจเข้า
ยื่นมือออกพลางพูดว่า
“วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะเป็นลมต่อหน้าพวกฆาตกร”
ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์
18 ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าสาวกมาหาพระเยซูเพื่อถามว่า “ใครเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์” 2 พระองค์เรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนต่อหน้าพวกเขา 3 แล้วกล่าวว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าพวกเจ้าไม่เปลี่ยนมาเป็นเหมือนเด็กๆ พวกเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้ 4 ถ้าผู้ใดก็ตามที่ถ่อมตนดังเช่นเด็กคนนี้ เขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งสวรรค์
5 และใครก็ตามรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเราก็ถือได้ว่า รับเราด้วย 6 แต่หากเขาเป็นต้นเหตุให้คนหนึ่งในบรรดาเด็กเล็กๆ เหล่านี้ที่มีความเชื่อในเราพลั้งพลาดไป[a] ให้ถ่วงคอเขาด้วยหินโม่แป้งก้อนใหญ่ เพื่อจะได้จมลงไปใต้ทะเลลึกจะดีกว่า
7 วิบัติจงเกิดแก่โลก เพราะการล่อลวงให้คนทำบาป การล่อลวงเหล่านั้นมักจะมาถึงตัว แต่วิบัติจะเกิดแก่คนที่นำสิ่งล่อลวงมา 8 ถ้ามือหรือเท้าเป็นเหตุให้เจ้ากระทำบาป ก็จงตัดทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปเยี่ยงคนพิการและง่อยเปลี้ยก็ยังดีกว่ามีมือหรือเท้าทั้งสองข้างแล้วต้องถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชนชั่วนิรันดร์ 9 ถ้าตาของเจ้าเป็นเหตุให้เจ้าทำบาป ก็จงควักทิ้งเสีย เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปด้วยตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีตาสองข้างและต้องถูกโยนลงในไฟนรกด้วย
อุปมาเรื่องแกะที่หลงหาย
10 เจ้าจงระมัดระวัง อย่าดูหมิ่นคนหนึ่งคนใดในพวกเด็กๆ เหล่านี้ เราขอบอกเจ้าว่า เหล่าทูตสวรรค์ประจำตัวของเขาในสวรรค์เข้าเฝ้าพระบิดาของเราในสวรรค์เสมอ [11 ด้วยว่าบุตรมนุษย์มาเพื่อช่วยผู้หลงหายให้รอดพ้น][b]
12 เจ้าคิดเห็นอย่างไร ถ้าคนหนึ่งมีแกะ 100 ตัว ตัวหนึ่งหลงหายไป เขาจะไม่ปล่อย 99 ตัวไว้บนภูเขา แล้วตามหาตัวที่หายหรือ 13 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเขาพบแกะตัวนั้นแล้ว เขาจะชื่นชมยินดียิ่งกว่า 99 ตัวที่ไม่หลงหาย 14 ฉะนั้นพระบิดาในสวรรค์ไม่ประสงค์ให้เด็กน้อยอย่างเด็กเหล่านี้หลงหายไปแม้แต่คนเดียว
ตราบาปของพี่น้อง
15 ถ้าพี่หรือน้องของเจ้าทำผิดบาปต่อเจ้า ก็จงไปแจ้งความผิดแก่เขาสองต่อสอง ถ้าเขาฟังเจ้า เจ้าจะได้พี่น้องคืนมา 16 แต่ถ้าเขาจะไม่ฟังเจ้า จงพาอีกคนหรือสองคนไปด้วยกันกับเจ้า เพื่อว่า ‘ข้อกล่าวหาทุกข้อจะต้องมีพยานปาก 2 หรือ 3 คนจึงจะถือเป็นหลักฐานยืนยันได้’[c] 17 ถ้าเขาไม่ยอมฟังคนเหล่านั้น ก็จงไปแจ้งแก่คริสตจักร และถ้าเขาไม่ยอมฟังแม้แต่คริสตจักร จงคิดเสมือนว่าเขาเป็นคนนอกและคนเก็บภาษี 18 เราขอบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า อะไรก็ตามที่เจ้าห้ามในโลก ก็จะถูกห้ามในสวรรค์ และอะไรก็ตามที่เจ้าอนุญาตในโลก ก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์ 19 เราขอบอกเจ้าอีกว่า ถ้า 2 คนในพวกเจ้าเห็นพ้องต้องกันในเรื่องอะไรก็ตามที่เจ้าขอในโลก พระบิดาของเราในสวรรค์ก็จะกระทำสิ่งนั้นให้ 20 เพราะว่า 2 หรือ 3 คนประชุมกันอยู่ที่ไหนในนามของเรา เราก็อยู่ที่นั่นร่วมกับเขา”
อุปมาเรื่องทาสรับใช้ที่ชั่วร้าย
21 ครั้นแล้วเปโตรมาพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน เมื่อพี่น้องกระทำผิดบาปต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกโทษให้แก่เขากี่ครั้ง ถึง 7 ครั้งหรือ”
22 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราขอบอกเจ้าว่า ไม่ใช่ถึง 7 ครั้ง แต่ถึง 77 ครั้ง[d]
23 ด้วยเหตุนี้ อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนกษัตริย์ผู้หนึ่งที่ใคร่จะคิดบัญชีกับบรรดาทาสรับใช้ 24 เมื่อเริ่มคิดบัญชี คนที่เป็นหนี้ 10,000 ตะลันต์[e]ถูกนำตัวมา 25 ในเมื่อเขาไม่มีเงินพอที่จะจ่าย กษัตริย์จึงสั่งให้เขาขายตนเอง รวมทั้งภรรยา ลูกๆ และทุกสิ่งที่เขามีเพื่อจ่ายคืนให้ 26 ทาสรับใช้จึงก้มกราบตรงหน้ากษัตริย์พลางพูดว่า ‘ขอโปรดผลัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะจ่ายทุกสิ่งคืนให้’ 27 ครั้นแล้วกษัตริย์ของทาสรับใช้รู้สึกสงสาร จึงปล่อยเขาไปและยกหนี้ให้ 28 แต่แล้วทาสรับใช้คนนั้นไปเจอเพื่อนผู้รับใช้คนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้เขา 100 เดนาริอัน[f] เขาจับตัวมากระชากคอแล้วตะคอกใส่ว่า ‘จ่ายหนี้คืนมาให้หมด’ 29 ดังนั้นเพื่อนผู้รับใช้ก้มตัวลงอ้อนวอนเขาว่า ‘ขอโปรดผลัดไว้ก่อน แล้วเราจะจ่ายคืนให้’ 30 เขาไม่ยินยอม แต่โยนเขาเข้าคุกจนกว่าจะจ่ายคืนหมด 31 เมื่อบรรดาเพื่อนผู้รับใช้ของเขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เศร้าใจมาก จึงไปรายงานเรื่องแก่กษัตริย์ของเขาตามสิ่งที่เกิดขึ้น 32 กษัตริย์จึงเรียกตัวเขามาพูดว่า ‘เจ้าเป็นทาสรับใช้ที่ชั่วร้าย เรายกหนี้ทั้งหมดให้เจ้า เพราะเจ้าได้อ้อนวอนเรา 33 เจ้าไม่ควรมีเมตตาต่อเพื่อนผู้รับใช้ของเจ้า ตามที่เราได้มีเมตตาต่อเจ้าหรือ’ 34 กษัตริย์ผู้นั้นโกรธจึงมอบตัวเขาให้กับเจ้าหน้าที่ให้ทรมานจนกว่าเขาจะจ่ายหนี้คืนหมด 35 พระบิดาของเราในสวรรค์จะกระทำเช่นนั้นต่อเจ้าด้วย หากว่าทุกคนในพวกเจ้าไม่ยกโทษให้แก่พี่น้องของเจ้าด้วยใจจริง”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation