Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 5

เพลงของเดโบราห์และบาราค

เดโบราห์และบาราคบุตรอาบีโนอัมจึงร้องเพลงในวันนั้นว่า

“บรรดาผู้นำทำหน้าที่บัญชาการในอิสราเอล
    ประชาชนถวายตัวด้วยความสมัครใจ
    สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

ขอให้บรรดากษัตริย์ได้ยิน บรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองจงเงี่ยหูเถิด
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
    ข้าพเจ้าจะบรรเลงเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล

โอ พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระองค์ออกไปจากเสอีร์
    เมื่อพระองค์ก้าวไปจากเขตแดนเอโดม
แผ่นดินก็สั่นสะเทือน และท้องฟ้าหลั่งไหล
    หมู่เมฆเทฝน
ภูเขาไหวสะท้าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
    แม้ภูเขาซีนายก็สั่นสะท้าน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเช่นกัน

ในสมัยชัมการ์บุตรอานาท
    สมัยยาเอล ถนนหนทางถูกทิ้งร้าง
    พวกนักเดินทางใช้ทางเคี้ยวคด
วิถีชีวิตของชาวบ้านต่างก็หยุดชะงักในอิสราเอล
    มันหยุดชะงักจนกระทั่งข้าพเจ้าลุกขึ้น
    ข้าพเจ้าเดโบราห์ลุกขึ้นประหนึ่งมารดาผู้หนึ่งในอิสราเอล
เมื่อพวกเขาเลือกบรรดาเทพเจ้าใหม่
    สงครามก็เกิดขึ้นที่ประตูเมือง
ไม่มีโล่และหอกสักเล่มหนึ่งให้เห็น
    ในหมู่คนสี่หมื่นในอิสราเอล
จิตใจข้าพเจ้าโน้มเอียงให้กับบรรดาผู้นำของอิสราเอล
    ผู้ถวายตัวด้วยความสมัครใจท่ามกลางประชาชน
    สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

10 จงไตร่ตรองดูเถิด บรรดาท่านที่ขี่ลาขาว
    ท่านที่นั่งบนพรม
    และท่านที่เดินถนน
11 เป็นเสียงของบรรดานายขมังธนูท่ามกลางผู้ตักน้ำ
    ณ ที่นั้นพวกเขากล่าวสรรเสริญถึงการกระทำอันชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้า
    การกระทำอันชอบธรรมที่หมู่บ้านทั้งหลายของพระองค์ในอิสราเอล

ครั้นแล้ว ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า
    ก็พากันเดินไปยังประตูเมือง
12 ตื่นเถิด ตื่นเถิด เดโบราห์เอ๋ย
    ตื่นเถิด ตื่นเถิด แล้วจงบรรเลงเพลง
โอ บาราค บุตรอาบีโนอัมเอ๋ย จงตื่นเถิด
    นำพวกเชลยของท่านไป

13 แล้วบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่เหลือก็เดินทัพ
    ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้าไปกับผู้มีกำลังเพื่อข้าพเจ้า
14 บางคนที่มีเทือกเถาเหล่ากออยู่ในอามาเลขได้ลงมาจากเอฟราอิม
    เบนยามินอยู่กับประชาชนที่ติดตามท่าน
บรรดาผู้นำลงมาจากมาคีร์
    ส่วนพวกที่เดินทัพมาจากเศบูลุนถือไม้เท้าของแม่ทัพ
15 บรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของอิสสาคาร์มากับเดโบราห์
    ทั้งอิสสาคาร์และบาราคด้วย
    ต่างก็รีบตามไปอย่างกระชั้นชิดลงสู่หุบเขา
มีการทดสอบจิตใจอย่างจริงจัง
    ที่ธารน้ำของรูเบน
16 ทำไมท่านจึงนั่งนิ่งอยู่ที่คอกแกะเล่า
    เพื่อฟังเสียงปี่ที่เป่าให้ฝูงแกะฟังอย่างนั้นหรือ
มีการทดสอบจิตใจอย่างจริงจัง
    ที่ธารน้ำของรูเบน
17 กิเลอาดอยู่โพ้นแม่น้ำจอร์แดน
    แต่ทำไมดานจึงแค่เฝ้าคอยอยู่ใกล้เรือ
อาเชอร์นั่งเฉยอยู่ที่ฝั่งทะเลต่อไป
    และอยู่นิ่งใกล้กับอ่าวทะเล
18 เศบูลุนเป็นพวกที่เสี่ยงแม้ชีวิตของตนเอง
    นัฟทาลีก็กระทำเช่นนั้นบนที่ราบสูง

19 บรรดากษัตริย์พากันมา และได้สู้รบกัน
    บรรดากษัตริย์แห่งคานาอัน
สู้รบที่ทาอานาคใกล้น้ำพุเมกิดโด
    แต่ท่านเหล่านั้นไม่ได้ริบสิ่งใดที่ทำด้วยเงินเลย
20 ดวงดาวสู้รบจากฟ้าสวรรค์
    และสู้รบกับสิเส-ราจากวิถีโคจรของมัน
21 แม่น้ำคีโชนพัดชาวสิเส-ราไป
    แม่น้ำโบราณ แม่น้ำคีโชน
จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย
    เดินทัพต่อไปด้วยสุดกำลังเถิด
22 ครั้นแล้วก็มีเสียงกระทบของกีบม้าดังลั่น
    เหล่าม้าซึ่งมีพลังมากของเขาควบไป ควบไป
23 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘จงสาปแช่งเมโรสเถิด
    สาปแช่งผู้อยู่อาศัยที่นั่นให้หนัก
เพราะพวกเขาไม่ได้มาเพื่อช่วยพระผู้เป็นเจ้า
    เพื่อช่วยพระผู้เป็นเจ้าสู้กับผู้มีพลานุภาพ’

24 หญิงที่น่าสรรเสริญมากที่สุดก็คือ ยาเอล
    ภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคน
    เป็นหญิงที่น่าสรรเสริญมากที่สุดในบรรดาผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในกระโจม
25 เขาขอน้ำดื่ม เธอก็ให้น้ำนม
    เธอเอานมข้นเปรี้ยวใส่ชามของผู้สูงศักดิ์มาให้
26 เธอยื่นมือหยิบหมุดยึดกระโจม
    มือขวาเอื้อมเอาค้อนของคนงาน
แล้วเธอก็ทำร้ายสิเส-รา เธอทุบหัวเขา
    เธอตอกขมับของเขาจนแหลกเละ
27 เขาทรุด เขาล้มลง นอนแน่นิ่ง
    อยู่ที่เท้าของเธอ
เขาทรุด เขาล้ม
    ลงที่เท้าของเธอ
เขาทรุดลงที่ไหน
    เขาก็ล้มลงและตายอยู่ที่นั่น

28 มารดาของสิเส-รามองดูทางหน้าต่าง
    นางร้องตะโกนที่หลังบานเกล็ดว่า
‘ทำไมรถศึกของเขาจึงมาถึงช้านัก
    ทำไมเสียงกีบม้ากระทบของรถศึกจึงล่าช้า’
29 บรรดาหญิงมีสติปัญญาที่สุดตอบนาง
    แท้จริงแล้วนางบอกกับตัวเองว่า
30 ‘พวกเขายังไม่พบและแบ่งปันสิ่งของที่ยึดได้หรอกหรือ
    ชายแต่ละคนจะได้ผู้หญิงสักคนสองคน
ผ้าย้อมสีที่ยึดได้สำหรับสิเส-รา
    ผ้าย้อมสีมีปักลวดลาย
สิ่งที่ย้อมสีมีปักลวดลาย 2 ชิ้นสำหรับพันคอ
    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ยึดไว้ได้’

31 โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอให้พวกศัตรูของพระองค์พินาศ
    ส่วนบรรดาผู้ที่รักพระองค์
    ก็ขอให้เป็นดั่งดวงตะวันขึ้นอย่างสุดพลัง”

และแผ่นดินจึงได้อยู่ในความสันติเป็นเวลา 40 ปี

กิจการของอัครทูต 9

เซาโลกลับใจ

ในเวลานั้นเซาโลยังคงขู่ฆ่าพวกสาวกของพระผู้เป็นเจ้าต่อไป ทั้งยังไปหาหัวหน้ามหาปุโรหิต เพื่อทำหนังสือยื่นไปยังศาลาที่ประชุมต่างๆ ในเมืองดามัสกัสว่า หากมีผู้ใดไม่ว่าชายหรือหญิงที่ดำเนินตามใน “วิถีทางนั้น” ให้จับมัดพามายังเมืองเยรูซาเล็ม ขณะที่เซาโลเดินทางจวนจะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้น ก็มีแสงจากสวรรค์ส่องล้อมรอบตัวท่าน ท่านทรุดตัวลงบนพื้นและได้ยินเสียงพูดกับท่านว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกดขี่ข่มเหงเรา” เซาโลถามว่า “พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด” พระองค์ตอบว่า “เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง จงลุกขึ้นเถิด เข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกว่าเจ้าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง” ชายพวกที่เดินทางไปกับเซาโลได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง พูดไม่ออกเพราะได้ยินเสียงแต่ไม่เห็นตัวผู้พูด เมื่อเซาโลลุกขึ้นมา แม้จะเปิดตา แต่กลับมองอะไรไม่เห็น เขาเหล่านั้นจึงต้องช่วยจูงมือไปยังเมืองดามัสกัส เซาโลตาบอดอยู่ 3 วันและไม่ได้ดื่มกินสิ่งใดเลย

10 ในเมืองดามัสกัสมีสาวกคนหนึ่งชื่ออานาเนีย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาในภาพนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” เขาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” 11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่า ถนนตรง ไปยังบ้านของยูดาสและถามหาเซาโลที่มาจากเมืองทาร์ซัส เขากำลังอธิษฐานอยู่ 12 และเขาได้เห็นภาพนิมิตของชายผู้หนึ่งชื่ออานาเนีย ซึ่งมาและวางมือทั้งสองบนตัวเขาเพื่อจะได้มองเห็นอีก” 13 อานาเนียตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องของชายคนนี้จากคนจำนวนมาก เขาได้กระทำความชั่วมากมายต่อบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในเมืองเยรูซาเล็ม 14 และที่นี่เขาก็ยืมสิทธิอำนาจของพวกมหาปุโรหิต เพื่อจับกุมทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระองค์” 15 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอานาเนียว่า “จงไปเถิด ชายคนนี้เป็นเครื่องมือที่เราเลือกไว้ เพื่อจะนำชื่อของเราไปยังบรรดาคนนอก บรรดากษัตริย์ และไปยังชนชาติอิสราเอล 16 เราจะแสดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องรับความทุกข์ทรมานมากเพียงไรเพื่อนามของเรา” 17 แล้วอานาเนียก็ไปยังบ้านนั้น แล้ววางมือทั้งสองบนตัวเซาโลพลางพูดว่า “พี่เซาโลเอ๋ย พระเยซูเจ้าได้ส่งข้าพเจ้ามา พระองค์เป็นผู้ปรากฏแก่ท่านที่ถนนระหว่างทางที่จะมาที่นี่ พระองค์ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้ท่านมองเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะได้เปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” 18 ในทันใดนั้น มีสิ่งหนึ่งคล้ายเกล็ดหลุดจากตาของเซาโล จึงทำให้ท่านสามารถมองเห็นได้อีก เซาโลจึงลุกขึ้นและรับบัพติศมา 19 และหลังจากที่ได้รับประทานอาหารแล้วท่านก็มีกำลังขึ้น

เซาโลที่เมืองดามัสกัสและเยรูซาเล็ม

เซาโลอยู่กับพวกสาวกในเมืองดามัสกัสเป็นเวลาหลายวัน 20 ท่านประกาศที่ศาลาที่ประชุมต่างๆ ทันทีว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า 21 ทุกคนที่ได้ยินพากันประหลาดใจและถามว่า “ชายคนนี้พยายามทำลายคนที่ร้องเรียกนามนี้ในเมืองเยรูซาเล็มมิใช่หรือ และมาที่นี่เพื่อจับกุมคนไปให้พวกมหาปุโรหิตมิใช่หรือ” 22 อย่างไรก็ดี การประกาศของเซาโลเป็นที่น่าเชื่อยิ่งขึ้น จนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัสฉงนใจ ด้วยการพิสูจน์ที่ว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์

23 หลายวันต่อมา ชาวยิวจึงคบคิดกันจะฆ่าเซาโล 24 แต่ว่าเซาโลกลับทราบถึงแผนการนั้น ตลอดทั้งวันทั้งคืนที่คนเหล่านั้นคอยเฝ้าดูตามประตูเมืองเพื่อหาโอกาสฆ่าเซาโล 25 แต่เหล่าสาวกพาท่านไปนั่งลงในเข่ง แล้วหย่อนลงออกทางช่องกำแพงเมืองในเวลากลางคืน

26 เมื่อท่านมาถึงเมืองเยรูซาเล็มก็พยายามที่จะสมาคมกับพวกสาวก แต่พวกเขาหวาดกลัวและไม่เชื่อว่าท่านเป็นสาวกที่แท้จริง 27 บาร์นาบัสจึงพาเซาโลไปหาพวกอัครทูต แล้วเล่าเรื่องของท่านว่า ระหว่างทางที่เซาโลไปยังเมืองดามัสกัส ก็เห็นพระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ได้กล่าวกับท่าน และท่านได้ประกาศในพระนามของพระเยซูด้วยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส 28 ดังนั้นเซาโลจึงเข้านอกออกในอยู่กับพวกเขาในเมืองเยรูซาเล็ม ได้พูดด้วยใจกล้าหาญโดยอ้างพระนามของพระผู้เป็นเจ้า 29 ท่านสนทนาและโต้ตอบกับกลุ่มชาวยิวที่พูดภาษากรีก แม้กระนั้นพวกเขาก็พยายามจะฆ่าท่าน 30 เมื่อพวกพี่น้องทราบเรื่องนี้ก็ได้พาท่านลงไปยังเมืองซีซารียา เพื่อให้เดินทางต่อไปยังเมืองทาร์ซัส

31 จากนั้นคริสตจักรทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรียก็สงบสุขขึ้น เพราะได้รับกำลังใจและการปลอบประโลมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ที่เชื่อมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และคริสตจักรอยู่กันด้วยความเกรงกลัวในพระผู้เป็นเจ้า

ไอเนอัสและโดรคัส

32 ขณะที่เปโตรเดินทางไปทั่วแคว้นนั้น ก็ได้ไปเยี่ยมเยียนบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในเมืองลิดดาด้วย 33 และที่นั่นเองท่านได้พบไอเนอัสชายอัมพาตที่นอนอยู่เป็นเวลา 8 ปี 34 เปโตรพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่รักษาท่านให้หายขาด จงลุกขึ้นเก็บเสื่อของท่านเถิด” ทันใดนั้นไอเนอัสก็ลุกขึ้น 35 ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองลิดดาและที่ราบชาโรนเห็นเขาแล้ว ก็หันมาเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า

36 ในเมืองยัฟฟามีสาวกผู้หนึ่งชื่อทาบิธา ในภาษากรีกเรียกว่าโดรคัส เธอมักจะประกอบคุณงามความดีและช่วยเหลือคนจนเสมอ 37 ในเวลานั้นเธอล้มเจ็บและเสียชีวิตไป ร่างของเธอได้รับการชำระล้างและวางไว้ในห้องชั้นบน 38 เนื่องจากเมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา เมื่อพวกสาวกทราบว่าเปโตรอยู่ในเมืองลิดดาจึงส่งชาย 2 คนไปอ้อนวอนว่า “โปรดมาโดยเร็ว” 39 เปโตรจึงมากับชาย 2 คนนั้นซึ่งพาท่านขึ้นไปที่ห้องชั้นบน บรรดาหญิงม่ายได้มายืนร้องไห้อยู่ข้างๆ ท่าน ให้ท่านดูเสื้อคลุมและเสื้อผ้าที่โดรคัสได้ทำไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่ 40 เปโตรให้ทุกคนออกไปจากห้องแล้ว ท่านก็คุกเข่าลงอธิษฐาน ครั้นแล้วก็หันไปทางหญิงผู้ตายและพูดว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” เธอลืมตาขึ้นเห็นเปโตรแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง 41 ท่านช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น เรียกผู้ที่เชื่อและพวกหญิงม่ายมา เพื่อมอบทาบิธาที่ฟื้นขึ้นมาให้กับพวกเขา 42 เรื่องนี้ได้เป็นที่เล่าลือกันไปทั่วเมืองยัฟฟา ผู้คนจำนวนมากได้เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า 43 เปโตรได้พักอยู่กับซีโมนช่างฟอกหนังในเมืองยัฟฟาชั่วระยะหนึ่ง

เยเรมีย์ 18

ช่างปั้นหม้อและดินเผา

18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า “จงลุกขึ้น และลงไปยังบ้านของช่างปั้นหม้อ และเราจะพูดกับเจ้า” ข้าพเจ้าจึงลงไปยังบ้านของช่างปั้นหม้อ และเห็นเขากำลังใช้แป้นหมุน และภาชนะดินเผาอยู่ในมือช่างปั้นหม้อที่กำลังปั้นซึ่งไม่ได้รูปทรง เขาจึงปั้นให้เป็นภาชนะทรงใหม่ ตามที่ช่างปั้นหม้อเห็นสมควร

แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะทำกับพวกเจ้าอย่างที่ช่างปั้นหม้อผู้นี้ทำไม่ได้หรือ พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด ดินเหนียวอยู่ในมือช่างปั้นหม้อเช่นไร พวกเจ้าก็อยู่ในมือเราเช่นนั้น โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเวลาใดก็ตามที่เราประกาศถึงชาติหนึ่งหรืออาณาจักรหนึ่งว่า เราจะถอนและทำให้พังและพินาศ และถ้าประชาชาติที่เราได้พูดถึงนั้นหันไปจากความชั่ว เราก็จะเปลี่ยนความตั้งใจและไม่ให้ความวิบัติเกิดขึ้น และถ้าเวลาใดก็ตามที่เราประกาศถึงประชาชาติหนึ่งหรืออาณาจักรหนึ่งว่า เราจะสร้างและปลูกพวกเขาขึ้นมา 10 และถ้าพวกเขากระทำความชั่วในสายตาของเรา ไม่เชื่อฟังเรา เราก็จะเปลี่ยนความตั้งใจจากเดิมที่จะทำให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้น 11 ฉะนั้น บัดนี้จงพูดกับผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังเตรียมความวิบัติให้เกิดขึ้นแก่พวกเจ้า กำลังวางแผนขัดขวางพวกเจ้า ทุกคนจงหันไปจากวิถีทางชั่วของตน และเปลี่ยนวิถีทางและการกระทำของพวกเจ้า’

12 แต่พวกเขาพูดว่า ‘ไร้ประโยชน์ พวกเราจะทำตามแผนของเราเอง เราแต่ละคนจะกระทำตามใจดื้อรั้น ตามใจอันชั่วร้ายของตนต่อไป’”

13 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“จงถามบรรดาประชาชาติว่า
    ใครเคยได้ยินเช่นนี้บ้างว่า
อิสราเอลผู้บริสุทธิ์
    ได้กระทำสิ่งที่เลวร้ายมาก
14 หิมะของเลบานอน
    เคยละลายไปจากเนินหินหรือ
ธารน้ำเย็นๆ จากเทือกเขา
    จะเหือดแห้งหรือ
15 แต่ชนชาติของเราได้ลืมเราแล้ว
    พวกเขาเผาเครื่องหอมแก่สิ่งไร้ค่า
ซึ่งทำให้พวกเขาสะดุดในทางที่พวกเขาไป
    และในหนทางของโบราณกาล
และกลับไปเดินทางลัด
    แทนที่จะเป็นทางสายใหญ่
16 ทำให้แผ่นดินของพวกเขาเป็นที่น่าหวาดกลัว
    เป็นสิ่งที่ต้องถูกเหน็บแนมไปตลอดกาล
ทุกคนที่ผ่านไปก็จะหวาดผวา
    และสั่นศีรษะ
17 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายออกไป
    ต่อหน้าศัตรูอย่างลมตะวันออก
ในวันแห่งความวิบัติ
    เราจะหันหลังให้พวกเขา ไม่ใช่หันหน้า”

18 แล้วพวกเขาพูดว่า “มาเถิด เรามาวางแผนคัดค้านเยเรมีย์ เพราะยังจะมีปุโรหิตที่ใช้กฎบัญญัติสั่งสอน และมีการให้คำแนะนำจากผู้เรืองปัญญา และมีการเผยความจากผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า มาเถิด เรามาพูดโจมตีเขา และเราอย่าสนใจในสิ่งที่เขาพูดเลย”

19 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดฟังข้าพเจ้า
    และฟังว่าศัตรูของข้าพเจ้าพูดอะไรบ้าง
20 ความดีควรจะได้รับความชั่วเป็นการตอบแทนหรือ
    พวกเขาขุดหลุมพรางดักเพื่อเอาชีวิตข้าพเจ้า
พระองค์จำได้ไหมว่า ข้าพเจ้ายืน ณ เบื้องหน้าพระองค์
    และพูดแทนพวกเขา
    เพื่อไม่ให้พระองค์ลงโทษพวกเขา
21 ฉะนั้น ขอพระองค์ให้พวกลูกๆ ของพวกเขาอดอยาก
    ให้พวกเขาตายในการสู้รบ
ให้ภรรยาของพวกเขาเสียสามีและลูกๆ
    ขอให้พวกผู้ชายเป็นโรคตาย
    ชายหนุ่มถูกดาบฆ่าตายในการต่อสู้
22 เมื่อพระองค์ให้มีคนปล้นบ้านพวกเขาอย่างฉับพลัน
    ก็ขอให้เสียงร้องจากบ้านของพวกเขาเป็นที่ได้ยิน
เพราะพวกเขาได้ขุดหลุมพรางดักข้าพเจ้า
    และวางกับดักเท้าข้าพเจ้า
23 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบ
    แผนการทุกอย่างที่พวกเขาจะปลิดชีวิตข้าพเจ้า
ขอพระองค์อย่าลืมความชั่วของพวกเขา
    และอย่าลบล้างบาปของพวกเขาให้พ้นไปจากสายตาของพระองค์
ปล่อยให้พวกเขาถูกกำจัดต่อหน้าพระองค์
    โปรดจัดการพวกเขาเมื่อพระองค์กริ้วเถิด

มาระโก 4

อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด

พระเยซูเริ่มสั่งสอนที่ริมฝั่งทะเลสาบอีก ผู้คนล้นหลามมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงต้องลงในเรือที่จอดอยู่ในทะเลสาบแล้วก็นั่งลง ผู้คนทั้งหลายก็อยู่ที่ชายฝั่ง พระองค์สั่งสอนเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังหลายต่อหลายเรื่อง และพระองค์สอนพวกเขาโดยกล่าวว่า “จงฟังเถิด ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทาง พวกนกพากันจิกกินเสียหมด บางเมล็ดตกลงบนหินซึ่งมีผิวดินเพียงเล็กน้อย ไม่ช้าเมล็ดก็งอกขึ้น แต่เนื่องจากดินไม่ลึก ครั้นดวงอาทิตย์ขึ้นแดดส่อง เมล็ดก็ถูกแผดเผาเสีย และเป็นเพราะไม่มีรากจึงเหี่ยวแห้งไป บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย จึงไม่เกิดผล บางเมล็ดที่ตกบนดินดี เมื่อเติบโตขึ้นก็งอกงามและเกิดผลเป็น 30 60 และ 100 เท่า” พระองค์กล่าวว่า “ผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”

10 ครั้นพระเยซูอยู่ตามลำพัง บรรดาผู้ที่ติดตามพร้อมกับสาวกทั้งสิบสองก็ถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมา 11 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้าได้มอบให้แก่ท่านแล้ว แต่ฝ่ายคนนอกรับเอาทุกสิ่งเป็นคำอุปมา 12 เพื่อว่า

‘พวกเขาจะมองดูเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะมองเห็น
    และจะได้ยินเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเข้าใจ
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะหันกลับมา
    และได้รับการยกโทษ’”[a]

13 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ท่านไม่เข้าใจคำอุปมานี้หรือ แล้วท่านจะเข้าใจคำอุปมาทั้งปวงได้อย่างไร 14 ผู้หว่านนั้นหว่านคำกล่าว 15 และคนเหล่านี้อยู่ตามทางซึ่งมีคำกล่าวหว่านไว้ เมื่อพวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงคำกล่าวซึ่งได้หว่านไว้ไปทันที 16 บางคนที่เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้บนหินที่มีผิวดินเพียงเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำกล่าวก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 17 แต่พวกเขาไม่มีรากฐานอันมั่นคงในตัว จึงคงอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเกิดความลำบากหรือการข่มเหงอันเนื่องมาจากคำกล่าว พวกเขาก็ล้มเลิกความเชื่อเสียทันที 18 คนอื่นๆ เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้ท่ามกลางไม้หนาม พวกนี้เป็นคนที่ได้ยินคำกล่าว 19 แต่ความกังวลต่างๆ ในโลก แรงดึงดูดของความร่ำรวย และความต้องการในสิ่งทั้งปวงเข้าแทรกซ้อนคำกล่าว จึงทำให้ไม่บังเกิดผล 20 คนอื่นๆ เป็นเสมือนเมล็ดที่ถูกหว่านไว้บนดินดี เมื่อพวกเขาได้ยินคำกล่าวและรับไว้ จึงเกิดผลเป็น 30 60 และ 100 เท่า”

ตะเกียงใต้ภาชนะ

21 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ตะเกียงถูกนำมาเพื่อวางไว้ใต้ภาชนะหรือใต้เตียงอย่างนั้นหรือ ตะเกียงมีไว้เพื่อวางบนขาตั้งตะเกียงมิใช่หรือ 22 ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่เร้นลับแล้วจะไม่ถูกเปิดเผยในที่แจ้ง 23 ถ้าผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด” 24 และพระองค์กล่าวกับพวกเขาอีกว่า “จงเอาใจใส่ต่อสิ่งที่ท่านฟังให้ดี ท่านตวงให้ไปเท่าใด ท่านก็จะได้รับเท่านั้น แล้วพระเจ้าจะให้มากขึ้นไปอีก 25 ใครก็ตามที่มีอยู่แล้ว ก็จะได้รับมากขึ้น และใครที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่ ก็จะถูกริบไปจากเขา”

อุปมาเรื่องเมล็ดที่งอกและเติบโต

26 พระองค์กล่าวว่า “อาณาจักรของพระเจ้าอุปมาเหมือนคนหนึ่งที่หว่านเมล็ดลงบนดิน 27 กลางคืนเขาก็นอน กลางวันก็ตื่น เมล็ดนั้นก็งอกและเติบโตขึ้น เขาเองไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร 28 ดินทำให้เกิดพืชผล งอกขึ้นเป็นต้นกล้าก่อน แล้วจึงออกรวง ซึ่งต่อมาก็จะมีเมล็ดเต็มรวง 29 เมื่อเมล็ดสุกเต็มที่ เขาก็ใช้เคียวเกี่ยวทันทีเพราะถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว”

อุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์จิ๋ว

30 และพระองค์ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “พวกเราจะเปรียบเทียบอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใดดีหนอ หรือพวกเราจะอุปมาได้ในรูปไหน 31 อาณาจักรของพระเจ้าอุปมาเหมือนเมล็ดพันธุ์จิ๋วที่หว่านลงบนดิน ซึ่งเป็นขนาดเล็กที่สุดในจำนวนเมล็ดพืชอื่นๆ ที่อยู่บนดิน 32 ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อหว่านลงแล้ว ก็จะเติบโตขึ้นกลายเป็นต้นใหญ่ที่สุดในบรรดาพืชสวนทั้งปวง และออกกิ่งก้านใหญ่ ให้ฝูงนกสามารถพักพิงอาศัยใต้ร่มได้”

33 พระเยซูประกาศคำกล่าวเป็นอุปมาในทำนองนั้นหลายประการให้พวกเขาฟังเท่าที่เขาจะสามารถรับฟังได้ 34 พระองค์ไม่ได้กล่าวสิ่งใดโดยไม่ใช้คำอุปมาให้พวกเขาฟัง แต่ยังได้อธิบายทุกสิ่งเป็นการส่วนตัวให้แก่พวกสาวกของพระองค์เองด้วย

ห้ามคลื่นและลมให้หยุด

35 เมื่อถึงเวลาเย็นวันนั้น พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เราข้ามไปอีกฟากกันเถิด” 36 พวกสาวกจึงนำพระองค์ไปทันที พระองค์ก็อยู่ในเรือ และในขณะที่เรือลำอื่นๆ ก็แล่นออกไปด้วยกัน ทิ้งฝูงชนไว้เบื้องหลัง 37 พายุใหญ่เริ่มพัดมา คลื่นก็โถมซัดเข้าไปในเรือ จนน้ำปริ่มเรือ 38 พระเยซูหนุนหมอนนอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ พวกเขาปลุกพระองค์ให้ตื่นขึ้นและบอกว่า “อาจารย์ ท่านไม่ห่วงหรือว่าพวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว” 39 พระองค์ตื่นขึ้นห้ามลมและสั่งทะเลว่า “จงสงบนิ่งเสีย” ลมจึงหยุดพัดและทุกสิ่งก็สงบเงียบลง 40 พระองค์กล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงกลัวนัก เจ้ายังไม่มีความเชื่ออีกหรือ” 41 พวกสาวกเกรงกลัวนักจึงถามกันและกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครกันที่แม้แต่ลมและทะเลก็ยังเชื่อฟังท่าน”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation