M’Cheyne Bible Reading Plan
กษัตริย์ที่พ่ายแพ้
12 บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินที่ชาวอิสราเอลตีพ่ายและยึดเป็นเจ้าของดินแดนโพ้นแม่น้ำจอร์แดนไปทางทิศที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ตั้งแต่ลุ่มน้ำอาร์โนนถึงภูเขาเฮอร์โมน รวมทั้งหมดที่ด้านตะวันออกของอาราบาห์ 2 สิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ผู้อาศัยอยู่ที่เฮชโบนและปกครองจากอาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และจากกลางหุบเขาจนถึงแม่น้ำยับบอกซึ่งเป็นชายแดนของชาวอัมโมน คือครึ่งหนึ่งของกิเลอาด 3 และแถบตะวันออกของอาราบาห์ จากทะเลสาบคินเนโรทจรดทะเลในแถบอาราบาห์คือทะเลเกลือ และทางไปยังเบธเยชิโมท ลงไปทางใต้จนถึงเชิงเนินเขาปิสกาห์ 4 และโอกกษัตริย์แห่งบาชานผู้เป็นคนหนึ่งของชาวเรฟา[a]ที่เหลืออยู่ และอาศัยอยู่ที่อัชทาโรทและที่เอเดรอี 5 และปกครองภูเขาเฮอร์โมนและสาเลคาห์ และทั่วบาชาน ไปจนถึงชายแดนของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ และมากกว่าครึ่งหนึ่งของกิเลอาด จนถึงชายแดนของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน 6 โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า และชาวอิสราเอลตีเขาเหล่านั้นพ่ายไป โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามอบดินแดนให้แก่ชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์เป็นมรดก
7 บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินที่โยชูวาและชาวอิสราเอลตีพ่ายทางทิศตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาเลบานอนจนถึงภูเขาฮาลักขึ้นไปจนถึงเสอีร์ (และโยชูวามอบดินแดนของท่านเหล่านั้นให้แก่บรรดาเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลเป็นมรดกตามส่วนแบ่งของพวกเขา 8 ในแถบภูเขา ในที่ลุ่ม ในอาราบาห์ ที่เนินสูง ในถิ่นทุรกันดาร และในเนเกบซึ่งเป็นดินแดนของชาวฮิต ชาวอาโมร์ ชาวคานาอัน ชาวเปริส ชาวฮีว และชาวเยบุส) 9 กษัตริย์ประจำเมืองต่างๆ มีดังต่อไปนี้ กษัตริย์แห่งเยรีโค กษัตริย์แห่งอัยใกล้เบธเอล 10 กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน 11 กษัตริย์แห่งยาร์มูท กษัตริย์แห่งลาคีช 12 กษัตริย์แห่งเอกโลน กษัตริย์แห่งเกเซอร์ 13 กษัตริย์แห่งเดบีร์ กษัตริย์แห่งเกเดอร์ 14 กษัตริย์แห่งโฮร์มาห์ กษัตริย์แห่งอาราด 15 กษัตริย์แห่งลิบนาห์ กษัตริย์แห่งอดุลลาม 16 กษัตริย์แห่งมักเคดาห์ กษัตริย์แห่งเบธเอล 17 กษัตริย์แห่งทัปปูวาห์ กษัตริย์แห่งเฮเฟอร์ 18 กษัตริย์แห่งอาเฟก กษัตริย์แห่งลาชาโรน 19 กษัตริย์แห่งมาโดน กษัตริย์แห่งฮาโซร์ 20 กษัตริย์แห่งชิมโรนเมโรน กษัตริย์แห่งอัคชาฟ 21 กษัตริย์แห่งทาอานาค กษัตริย์แห่งเมกิดโด 22 กษัตริย์แห่งเคเดช กษัตริย์แห่งโยกเนอัมในคาร์เมล 23 กษัตริย์แห่งโดร์ที่อยู่ในนาฟาทโดร์ กษัตริย์แห่งโกยิมในกิลกาล 24 กษัตริย์แห่งทีรซาห์ รวมกษัตริย์ทั้งหมด 31 ท่าน
ดินแดนอื่นที่ต้องยึดครอง
13 เมื่อโยชูวาชราลง ท่านมีอายุยืนทีเดียว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “เจ้าชราและอายุยืน แต่ก็ยังมีดินแดนมากมายที่จะต้องยึดเป็นเจ้าของ 2 ดินแดนที่เหลืออยู่คือ อาณาเขตทั้งหมดของฟีลิสเตียและทั้งหมดของชาวเกชูร์ 3 (ตั้งแต่ชิโหร์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของอียิปต์ ทิศเหนือไกลจนถึงเขตพรมแดนเอโครนซึ่งนับว่าเป็นของคานาอัน ผู้ปกครอง 5 คนของฟีลิสเตียที่เมืองกาซา เมืองอัชโดด เมืองอัชเคโลน เมืองกัท และเมืองเอโครน) อีกทั้งเมืองต่างๆ ของชาวอัฟวาด้วย 4 จากทิศใต้ ดินแดนทั้งหมดของชาวคานาอัน และเมอาราห์ซึ่งเป็นของชาวไซดอน ถึงเมืองอาเฟก ถึงอาณาเขตของชาวอาโมร์ 5 และดินแดนของชาวเกบาลและเลบานอนทั้งหมด ไปทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จากบาอัลกาดที่อยู่เบื้องล่างภูเขาเฮอร์โมนจนถึงเลโบฮามัท 6 ผู้อยู่อาศัยทั้งหมดในแถบภูเขาตั้งแต่เลบานอนจนถึงมิสเรโฟทมาอิมคือชาวไซดอนทั้งหมด เราเองที่จะขับไล่คนเหล่านี้ไปต่อหน้าชาวอิสราเอล เจ้าเพียงแบ่งดินแดนให้แก่อิสราเอลเป็นมรดก ตามที่เราบัญชาเจ้าแล้ว 7 บัดนี้จงแบ่งดินแดนนี้ให้เป็นมรดกแก่ 9 เผ่ากับอีกครึ่งเผ่าของมนัสเสห์”
ส่วนแบ่งทางทิศตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
8 ส่วนอีกครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ ชาวรูเบน และชาวกาดได้รับมรดกของพวกเขาที่โมเสสมอบให้แล้วที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางด้านตะวันออก ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามอบให้พวกเขา 9 ตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และเมืองที่อยู่กลางลุ่มน้ำ และที่ราบสูงทั้งหมดของเมเดบาไปไกลถึงดีโบน 10 และเมืองทั้งหมดของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ ผู้ปกครองในเฮชโบน ไกลไปจนถึงชายแดนของชาวอัมโมน 11 กิเลอาดและอาณาเขตของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ และภูเขาเฮอร์โมนทั้งหมด บาชานทั้งหมดจนถึงสาเลคาห์ 12 อาณาจักรทั้งหมดของโอกในบาชานผู้ปกครองในอัชทาโรทและในเอเดรอี (ท่านเป็นผู้เดียวจากเผ่าพันธุ์เรฟาที่ยังมีชีวิตอยู่) โมเสสต่อสู้ชนะคนเหล่านี้และขับไล่พวกเขาออกไป 13 อย่างไรก็ตามชาวอิสราเอลไม่ได้ขับไล่ชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ออกไป แต่เกชูร์และมาอาคาห์อาศัยอยู่ท่ามกลางอิสราเอลมาจนถึงทุกวันนี้
14 เผ่าเลวีเท่านั้นที่โมเสสไม่ได้มอบมรดกให้ มีแต่ของถวายด้วยไฟที่ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของพวกเขา ตามที่พระองค์กล่าวกับท่าน
15 และโมเสสมอบมรดกแก่เผ่าชาวรูเบนตามแต่ละตระกูลของพวกเขา 16 ดังนั้น อาณาเขตของพวกเขาเริ่มจากอาโรเออร์ซึ่งอยู่ที่ริมลุ่มน้ำอาร์โนน และเมืองที่อยู่กลางหุบเขา และที่ราบสูงทั้งหมดรวมถึงเมเดบา 17 กับเมืองเฮชโบน และเมืองทุกเมืองที่อยู่บนที่ราบสูง ได้แก่ดีโบน บาโมทบาอัล และเบธบาอัลเมโอน 18 และยาฮาส เคเดโมท และเมฟาอาท 19 คีริยาทาอิม สิบมาห์ และเศเรทซาหาร์ซึ่งอยู่บนเนินเขาในหุบเขา 20 และเบธเปโอร์ เชิงเนินเขาปิสกาห์ และเบธเยชิโมท 21 นี่แหละเมืองทั้งหมดของที่ราบสูง และอาณาจักรทั้งหมดของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ ผู้ปกครองในเฮชโบน ที่โมเสสต่อสู้ชนะสิโหนและบรรดาผู้นำของมีเดียนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นคือ เอวี เรเคม ศูร์ ฮูร์ และเรบา 22 บาลาอัมบุตรของเบโอร์เป็นนักทำนาย[b] และถูกฆ่าด้วยดาบของชาวอิสราเอลพร้อมกับคนอื่นๆ ที่ถูกฆ่าตาย 23 เขตแดนของชาวรูเบนคือที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน ทั้งตัวเมืองและหมู่บ้านเป็นมรดกของชาวรูเบน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
24 โมเสสได้มอบแก่เผ่ากาด แก่ชาวกาดตามแต่ละครอบครัวของพวกเขาคือ 25 อาณาเขตยาเซอร์และทุกเมืองของกิเลอาด และครึ่งหนึ่งของดินแดนของชาวอัมโมนจนถึงอาโรเออร์ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองรับบาห์ 26 และตั้งแต่เฮชโบนจนถึงเมืองรามัทมิสเปห์และเบโทนิม และตั้งแต่มาหะนาอิมจนถึงเขตแดนเดบีร์ 27 และในหุบเขาเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคท และศาโฟน อาณาจักรที่เหลือของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน มีแม่น้ำจอร์แดนเป็นเขตแดน ไปจนถึงปลายล่างสุดของทะเลสาบคินเนเรท ทางทิศตะวันออกโพ้นแม่น้ำจอร์แดน 28 ทั้งตัวเมืองและหมู่บ้านเป็นมรดกของชาวกาด ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
29 โมเสสมอบมรดกให้แก่ครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ เป็นส่วนแบ่งที่ยกให้แก่ครึ่งเผ่าของชาวมนัสเสห์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 30 อาณาเขตของพวกเขาขยายออกไปตั้งแต่มาหะนาอิม ไปทั่วบาชาน อาณาจักรทั้งหมดของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน และทุกเมืองของยาอีร์ซึ่งอยู่ในบาชานมี 60 เมือง 31 และครึ่งกิเลอาด เมืองอัชทาโรทและเอเดรอี (สองเมืองนี้เป็นเมืองหลวงในอาณาจักรของโอกที่บาชาน) เมืองเหล่านี้เป็นส่วนแบ่งสำหรับชาวมาคีร์บุตรมนัสเสห์ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของชาวมาคีร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา
32 ที่กล่าวมานี้เป็นมรดกที่โมเสสได้แบ่งให้ในที่ราบโมอับโพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางทิศตะวันออกของเยรีโค 33 แต่โมเสสไม่ได้มอบมรดกให้แก่เผ่าเลวี พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลเป็นมรดกของพวกเขา ตามที่พระองค์กล่าวกับพวกเขา
พระเจ้าตอบรับทุกคนที่รักและเกรงกลัวพระองค์
เพลงสรรเสริญ ของดาวิด
1 ข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์ กษัตริย์และพระเจ้าของข้าพเจ้า
และนมัสการพระนามของพระองค์ไปชั่วนิรันดร์กาล
2 ข้าพเจ้าจะนมัสการพระองค์ทุกวัน
และสรรเสริญพระนามของพระองค์ไปชั่วนิรันดร์กาล
3 พระผู้เป็นเจ้าใหญ่ยิ่ง สมแล้วกับการสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง
และความยิ่งใหญ่ของพระองค์ก็ไร้ขอบเขต
4 คนของแต่ละยุคจะสรรเสริญการงานของพระองค์ให้ยุคต่อๆ ไปฟัง
และเขาจะประกาศถึงการกระทำอันกอปรด้วยอานุภาพของพระองค์
5 ข้าพเจ้าจะใคร่ครวญถึงพระสง่าราศีอันเรืองรองและงามตระการ
และสิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์
6 พวกเขาจะกล่าวขวัญถึงการกระทำอันเต็มด้วยอานุภาพของพระองค์
และข้าพเจ้าจะประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์
7 พวกเขาจะป่าวประกาศถึงคุณความดีอเนกอนันต์ของพระองค์
และร้องสรรเสริญความชอบธรรมของพระองค์
8 พระผู้เป็นเจ้ามีพระคุณและเมตตา
ไม่โกรธง่าย และบริบูรณ์ด้วยความรักอันมั่นคง
9 พระผู้เป็นเจ้าดีต่อทุกคน
และพระองค์เมตตาสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น
10 โอ พระผู้เป็นเจ้า งานทุกชิ้นของพระองค์ต่างจะพากันขอบคุณพระองค์
และบรรดาผู้ภักดีของพระองค์ก็จะนมัสการพระองค์
11 พวกเขาจะกล่าวถึงพระสง่าราศีแห่งอาณาจักรของพระองค์
และบอกเล่าถึงอานุภาพของพระองค์
12 เพื่อให้อานุภาพของพระองค์และพระสง่าราศีอันยิ่งยวดของอาณาจักรของพระองค์
เป็นที่ทราบแก่บรรดาบุตรของมนุษย์
13 อาณาจักรของพระองค์เป็นอาณาจักรอันเป็นนิรันดร์
และพระองค์ครองตลอดทุกชั่วอายุคน
พระผู้เป็นเจ้ารักษาคำมั่นสัญญาทั้งปวงของพระองค์
และแสดงพระคุณในทุกสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ
14 พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองทุกคนที่กำลังจะล้มลง
และพยุงทุกคนขึ้นจากความสิ้นหวัง
15 นัยน์ตาที่เปี่ยมความหวังของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงจับจ้องอยู่ที่พระองค์
และพระองค์ก็ได้ให้อาหารตามเวลา
16 พระองค์ยื่นมือออก
และพระองค์ได้โปรดให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงได้รับจนเป็นที่พอใจ
17 พระผู้เป็นเจ้ายุติธรรมในทุกสิ่ง
และแสดงความรักอันมั่นคงของพระองค์ในทุกเรื่อง
18 พระผู้เป็นเจ้าจะอยู่ใกล้ๆ ทุกคนที่ร้องเรียกถึงพระองค์
เฉพาะคนที่ร้องเรียกถึงพระองค์อย่างจริงใจ
19 พระองค์ให้แก่ทุกคนที่เกรงกลัวพระองค์ ตามความต้องการของเขา
พระองค์ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ และช่วยพวกเขาให้ปลอดภัย
20 พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองทุกคนที่รักพระองค์
แต่ใครก็ตามที่ชั่วร้าย พระองค์จะทำให้เขาพินาศ
21 ปากของข้าพเจ้ากล่าวสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
และให้ทุกๆ ชีวิตนมัสการพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ตราบชั่วนิรันดร์กาล
ศัตรูล้อมรอบเยรูซาเล็ม
6 โอ ชาวเบนยามินเอ๋ย เพื่อความปลอดภัยของเจ้า
จงหนีไปจากเยรูซาเล็ม
จงเป่าแตรงอนในเทโคอา
และยกสัญญาณที่เบธฮัคเคเรม
เพราะความเลวร้าย และความวิบัติปรากฏ
ให้เห็นว่ามาจากทิศเหนือ
2 เราจะทำลายธิดาแห่งศิโยน
ผู้น่ารักและบอบบาง
3 บรรดาผู้นำกับพรรคพวกจะมาโจมตีเมือง
พวกเขาจะตั้งกระโจมรอบเมือง
และแต่ละคนจะตั้งค่ายของตนเอง
4 พวกเขาจะพูดว่า ‘เตรียมอาวุธโจมตีเมือง
ลุกขึ้นเถิด เราไปโจมตีในเวลาที่ไม่คาดคิดกันเถิด
พวกเราโชคร้ายจริง เพราะชักจะสายแล้ว
เพราะตะวันจะตกแล้ว
5 ลุกขึ้นเถิด เราไปโจมตีตอนกลางคืนกันเถิด
ไปพังวังที่เมืองนั้นกันเถิด’”
6 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า
“จงโค่นต้นไม้ในเมืองลง
ก่อเชิงเทินขึ้นเพื่อโจมตีเมืองเยรูซาเล็ม
นี่คือเมืองที่ต้องถูกลงโทษ
ภายในเมืองนั้นไม่มีอะไรนอกจากการกดขี่ข่มเหง
7 บ่อน้ำมีน้ำไหลซึมออกมาเช่นไร
เมืองนั้นก็มีความชั่วร้ายซึมออกมาเช่นนั้น
เป็นที่ได้ยินว่า ภายในเมืองมีความรุนแรงและการทำลาย
เราเห็นผู้คนรับทุกข์ทรมานและบาดเจ็บ
8 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย จงรับคำเตือน
มิฉะนั้นเราจะสะบัดหลังใส่เจ้า
เราจะทำให้เจ้ากลายเป็นที่รกร้าง
เป็นแผ่นดินที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่”
9 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้
“ให้พวกเขารวบรวมชาวอิสราเอลที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่
อย่าให้ขาดแม้คนเดียว
เหมือนการเก็บผลจากเถาองุ่น จงตรวจดูทุกกิ่งก้านซ้ำอีก
เหมือนผู้ที่กำลังเก็บผลองุ่น”
10 ข้าพเจ้าควรจะพูดและเตือนใครล่วงหน้า
เพื่อให้เขาได้ยินบ้าง
ดูเถิด หูของพวกเขาปิด
พวกเขาไม่ได้ยิน
ดูเถิด คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่น่าดูหมิ่นของพวกเขา
และพวกเขาไม่ยินดีกับคำกล่าวด้วยเลย
11 ฉะนั้น ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าที่มีต่อพวกเขาอยู่เต็มอกข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเก็บไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว
พระองค์กล่าวว่า “จงปล่อยออกมาบนเด็กๆ ตามถนน
และบนชายหนุ่มที่ชุมนุมกันอยู่
ทั้งสามีและภรรยาจะเผชิญกับการลงโทษนี้
ทั้งผู้สูงวัยและคนชรา
12 บ้านของพวกเขาจะตกเป็นของผู้อื่น
ไร่นาและภรรยาก็เช่นกัน
เพราะเราจะยื่นมือของเราออก
เพื่อลงโทษบรรดาผู้อยู่อาศัยของแผ่นดิน”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
13 “นับตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด
ทุกคนโลภเพราะหวังผลประโยชน์ของตนเอง
และนับตั้งแต่ผู้เผยคำกล่าวจนถึงปุโรหิต
ทุกคนไม่ซื่อสัตย์
14 พวกเขาทำราวกับว่า ปัญหาของชนชาติของเราไม่ร้ายแรง
จึงได้พูดว่า ‘มีสันติสุข มีสันติสุข’
ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
15 พวกเขารู้สึกอับอายเมื่อเขาประพฤติสิ่งที่น่าชังหรือ
ไม่เลย พวกเขาไม่รู้สึกอับอาย
แม้แต่สีหน้าก็ยังไม่แสดงความอับอาย
ฉะนั้น พวกเขาจะพินาศร่วมกับคนเหล่านั้นที่พินาศ
เมื่อเราทำโทษพวกเขา พวกเขาก็จะถึงจุดจบ”
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น
16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
“จงยืนที่ข้างถนนและมองดู
และถามหาทางโบราณ
ซึ่งเป็นหนทางที่ดี เจ้าจงเดินในทางนั้น
และเจ้าจะพบที่พักพิงของจิตวิญญาณ
แต่พวกเขากลับพูดว่า ‘พวกเราจะไม่เดินในทางนั้น’
17 เราจัดให้มีบรรดาผู้เฝ้ายามให้แก่เจ้าด้วยการพูดว่า
‘จงเอาใจใส่ต่อเสียงแตรงอน’
แต่พวกเขากลับพูดว่า ‘พวกเราจะไม่สนใจ’
18 ฉะนั้น โอ บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังเถิด
และปวงชนเอ๋ย จงเอาใจใส่ให้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา
19 แผ่นดินโลกเอ๋ย จงฟัง
ดูเถิด เรากำลังทำให้ชนชาตินี้วิบัติ
จากผลของความชั่วร้ายของพวกเขา
เพราะเขาไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดของเรา
และพวกเขาไม่ยอมรับกฎบัญญัติของเรา
20 กำยานที่มาจากเช-บา
หรืออ้อหอมที่มาจากแดนไกล จะเป็นประโยชน์อะไรสำหรับเรา
เราไม่รับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
เครื่องสักการะไม่เป็นที่พอใจเรา”
21 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ดูเถิด เราจะทำให้พวกเขามีอุปสรรค
ทั้งพ่อและลูกๆ จะอ่อนล้าและสิ้นกำลัง
บรรดาเพื่อนบ้านและเพื่อนๆ จะสิ้นชีวิต”
22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
“ดูเถิด ชนชาติหนึ่งกำลังมา
จากดินแดนทางเหนือ
ประชาชาติที่มีอำนาจชาติหนึ่งกำลังเตรียมศึก
จากที่ไกลสุดของแผ่นดินโลก
23 พวกเขาหยิบคันธนูและหอก
เป็นพวกที่โหดร้ายปราศจากความเมตตา
เสียงของพวกเขาเป็นเหมือนเสียงทะเลครืนครั่น
ขี่ม้าราวกับคนที่พร้อมจะโจมตีเจ้า
โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย”
24 พวกเราได้ยินถึงเรื่องนั้น
มือของเราอ่อนปวกเปียก
ความหวาดหวั่นครอบงำพวกเรา
และเจ็บปวดราวกับหญิงเจ็บครรภ์
25 อย่าออกไปในไร่นา
หรือเดินบนถนน
เพราะศัตรูถือดาบ
มีความน่ากลัวอยู่รอบด้าน
26 โอ บุตรหญิงของชนชาติของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสวมผ้ากระสอบ
และกลิ้งในกองขี้เถ้า
ร้องคร่ำครวญเหมือนร้องให้กับบุตรชายที่มีเพียงคนเดียว
ร้องรำพันด้วยความขมขื่น
เพราะผู้ทำลาย
จะโจมตีพวกเราในทันที
27 “เราได้ทำให้เจ้าเป็นผู้ทดสอบในหมู่ชนชาติของเราเหมือนทดสอบโลหะ
เพื่อให้เจ้ารู้และทดสอบว่าพวกเขาเป็นอย่างไร
28 พวกเขาทุกคนขัดขืนด้วยความดื้อรั้น
ช่างนินทาว่าร้ายไปทั่ว
พวกเขาแข็งเหมือนทองสัมฤทธิ์และเหล็กกล้า
ทุกคนคดโกง
29 เตาหลอมโลหะลุกโพลง
แต่สารตะกั่วถูกไฟเผาจนมอดไหม้
การหลอมจึงไร้ประโยชน์
เพราะคนชั่วไม่ถูกแยกออก
30 พวกเขาได้ชื่อว่า ขี้เงินที่ไร้ค่า
เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา”
อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น
20 อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนเจ้าของที่ดินคนหนึ่งที่ออกไปจ้างคนมาทำงานในสวนองุ่นของเขาแต่เช้าตรู่ 2 เมื่อเขาได้ตกลงจ่ายคนงาน 1 เหรียญเดนาริอันสำหรับวันนั้นแล้ว ก็ให้พวกคนงานไปในสวนองุ่นของเขา 3 ประมาณ 9 โมงเช้า เขาก็ออกไปอีก เห็นคนยืนออกันในย่านตลาดโดยไม่ทำอะไรเลย 4 เขาพูดกับคนเหล่านั้นว่า ‘ท่านไปทำงานในสวนองุ่นได้เช่นกัน เราจะจ่ายท่านอย่างยุติธรรม’ ดังนั้นพวกเขาก็ไป 5 เวลาเที่ยงวันและบ่าย 3 โมงเขาก็ออกไปอีก ทำเหมือนเดิม 6 ประมาณ 5 โมงเย็น เขาออกไปพบคนอื่นยืนอยู่ จึงถามว่า ‘ทำไมท่านยืนกันอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยไม่ทำอะไรเลย’ 7 พวกเขาพูดว่า ‘เพราะไม่มีใครจ้างเรา’ เจ้าของสวนพูดว่า ‘ท่านไปทำงานในสวนองุ่นได้เช่นกัน’ 8 พอตกเย็น เจ้าของสวนองุ่นพูดกับหัวหน้าคนงานว่า ‘จงเรียกพวกคนงานมา และจ่ายค่าจ้างแก่เขา ให้คนกลุ่มหลังสุดมาก่อน ไล่ไปจนถึงคนแรกสุด’ 9 เมื่อพวกคนที่รับจ้างตอน 5 โมงเย็นมา เขาทุกคนได้รับ 1 เหรียญเดนาริอัน 10 พอถึงพวกคนที่รับจ้างตอนแรกสุดมา พวกเขาคิดว่าจะได้รับมากกว่า แต่ทุกคนได้รับ 1 เหรียญเดนาริอันเช่นกัน 11 เมื่อพวกเขาได้รับแล้วก็บ่นพึมพำกับเจ้าของสวนว่า 12 ‘คนพวกสุดท้ายนี้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียว แล้วท่านจ่ายให้เท่ากับเราขณะที่เราต้องตรากตรำทนแดดมาทั้งวัน’ 13 เจ้าของสวนพูดตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้กระทำผิดต่อท่านเลย ท่านไม่ได้ตกลงรับ 1 เหรียญเดนาริอันจากเราหรือ 14 จงรับส่วนที่เป็นของท่านไปเถิด เราต้องการให้แก่คนพวกสุดท้ายนี้เท่าๆ กับที่เราให้แก่ท่าน 15 เราไม่มีสิทธิ์ทำตามที่เราต้องการกับสิ่งที่เป็นของเราหรือ หรือว่าท่านอิจฉาเพราะเราเอื้อเฟื้อ’ 16 ฉะนั้นคนสุดท้ายจะเป็นคนแรก และคนแรกเป็นคนสุดท้าย”
พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ไว้ล่วงหน้า
17 ขณะที่พระเยซูกำลังขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พระองค์พาเพียงสาวกทั้งสิบสองไปพูดตามลำพังว่า 18 “ดูเถิด พวกเรากำลังจะขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม บุตรมนุษย์จะถูกมอบตัวให้แก่พวกมหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ และพวกเขาจะกล่าวโทษให้ท่านถึงแก่ความตาย 19 และจะมอบตัวท่านให้บรรดาคนนอกล้อเลียน โบยและตรึงบนไม้กางเขน[a] แล้วในวันที่สามจะฟื้นคืนชีวิต”
มารดาของยากอบและยอห์นขอร้องสิ่งหนึ่งจากพระเยซู
20 ขณะนั้นภรรยาและบุตรทั้งสองของเศเบดีมาหาพระองค์ นางก้มกราบขอร้องสิ่งหนึ่งจากพระองค์ 21 พระองค์กล่าวกับนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางพูดว่า “โปรดรับสั่งว่าบุตรทั้งสองของข้าพเจ้าจะได้นั่งในอาณาจักรของพระองค์ คนหนึ่งทางด้านขวาและอีกคนหนึ่งทางด้านซ้ายของพระองค์” 22 แต่พระเยซูกล่าวตอบว่า “พวกเจ้าไม่รู้ว่ากำลังขออะไรกันอยู่ เจ้าสามารถดื่มจากถ้วยที่เราจะดื่มได้หรือ” พวกเขาตอบว่า “เราทำได้” 23 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “ถ้วยของเรานั้นเจ้าจะดื่ม แต่จะนั่งทางขวามือและทางซ้ายมือของเรา ไม่ใช่สิทธิ์ของเราที่จะให้ แต่เป็นที่สำหรับบรรดาผู้ซึ่งพระบิดาของเราได้เตรียมให้ไว้” 24 เมื่อสาวก 10 คนได้ยินดังนั้นก็โกรธพี่น้องสองคนนั้น 25 พระเยซูจึงเรียกพวกเขามาหาและกล่าวว่า “เจ้าก็รู้อยู่ว่า พวกที่อยู่ในระดับปกครองของบรรดาคนนอกย่อมมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา และคนใหญ่คนโตของเขาใช้อำนาจกับพวกเขา 26 มิใช่เช่นนั้นในพวกเจ้า ใครก็ตามที่อยากจะเป็นใหญ่ในพวกเจ้าต้องเป็นผู้รับใช้ของเจ้า 27 และใครก็ตามที่อยากเป็นคนแรกในพวกเจ้า ต้องเป็นทาสรับใช้เจ้า 28 แม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาเพื่อให้ผู้ใดรับใช้ แต่มาเพื่อจะรับใช้ และเพื่อมอบชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่แก่คนจำนวนมาก”
ดวงตาที่ได้คืนของชายตาบอด 2 คน
29 ขณะที่พระองค์และเหล่าสาวกกำลังออกไปจากเมืองเยรีโค มหาชนก็ติดตามพระองค์ไป 30 ชายตาบอด 2 คนนั่งอยู่ข้างถนนได้ยินว่าพระเยซูกำลังเดินผ่านมาจึงร้องตะโกนขึ้นว่า “พระองค์ท่าน บุตรของดาวิด โปรดเมตตาพวกเราด้วย” 31 ฝูงชนห้ามพวกเขาและบอกให้เงียบเสีย แต่เขายิ่งตะโกนดังมากขึ้นว่า “พระองค์ท่าน บุตรของดาวิด โปรดเมตตาพวกเราด้วย” 32 พระเยซูหยุดเดินและเรียกเขามาพูดว่า “เจ้าต้องการจะให้เราทำอะไรให้เล่า” 33 พวกเขาพูดว่า “พระองค์ท่าน ช่วยให้ตาของเรามองเห็นเถิด” 34 พระเยซูมีความสงสารจึงแตะที่ตาของเขา ในทันใดนั้นทั้งสองคนก็มองเห็นได้และตามพระองค์ไป
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation