Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 6

ชาวมีเดียนบีบบังคับอิสราเอล

ชาวอิสราเอลกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจึงมอบพวกเขาไว้ในมือของชาวมีเดียนเป็นเวลา 7 ปี ชาวมีเดียนมีอำนาจเหนือชาวอิสราเอล แล้วด้วยเหตุนี้ ชาวอิสราเอลจึงทำที่ซ่อนตัวไว้ตามภูเขา ถ้ำ และที่หลบภัย เมื่อใดก็ตามที่ชาวอิสราเอลเพาะปลูก ชาวมีเดียน ชาวอามาเลข และชาวตะวันออกจะเข้ามาบุกรุกพวกเขา เขาเหล่านั้นจะเข้ามาตั้งค่ายเพื่อรุกรานและกวาดเอาพืชผลของแผ่นดินไป ไปไกลจนถึงกาซา และจะไม่มีเครื่องยังชีพเหลือทิ้งไว้ในอิสราเอลแม้แต่แกะ โค หรือลา พวกเขาพากันขึ้นมาพร้อมทั้งฝูงปศุสัตว์และกระโจม มีจำนวนมากราวกับฝูงตั๊กแตน ไม่สามารถนับจำนวนคนและอูฐได้ ฉะนั้นเมื่อบุกรุกดินแดนแล้วก็ทำให้เกิดความเสียหายมาก ชาวอิสราเอลสิ้นเนื้อประดาตัวก็เพราะชาวมีเดียน ดังนั้นชาวอิสราเอลจึงร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้า

เมื่อชาวอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระผู้เป็นเจ้าเพราะชาวมีเดียน พระผู้เป็นเจ้าจึงให้ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าท่านหนึ่งไปยังชาวอิสราเอล และท่านกล่าวแก่พวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านกล่าวว่า ‘เรานำพวกเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์ และนำเจ้าออกมาจากเรือนทาส และเราให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และจากเงื้อมมือของทุกคนที่บีบบังคับเจ้า เราได้ขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า และได้มอบแผ่นดินของพวกเขาแก่เจ้า 10 เราได้บอกพวกเจ้าแล้วว่า “เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า เจ้าจงอย่ากลัวบรรดาเทพเจ้าของชาวอาโมร์ซึ่งอยู่ในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่” แต่เจ้าก็ไม่ได้เชื่อฟังเรา’”

เรียกกิเดโอน

11 ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้ามานั่งอยู่ที่ใต้ต้นโอ๊กที่เมืองโอฟราห์ ซึ่งเป็นของโยอาชชาวอาบีเอเซอร์ ฝ่ายกิเดโอนบุตรของเขาก็กำลังนวดข้าวสาลีอยู่ที่เครื่องสกัดเหล้าองุ่นเพื่อซ่อนให้พ้นสายตาชาวมีเดียน 12 เมื่อทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่กิเดโอนแล้วก็กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน โอ นักรบผู้เก่งกล้าเอ๋ย” 13 กิเดโอนจึงพูดกับท่านว่า “ได้โปรดเถิด นายท่าน ถ้าพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเรา แล้วทำไมเหตุการณ์เหล่านี้จึงได้เกิดขึ้นกับเรา สิ่งมหัศจรรย์ของพระองค์ที่เหล่าบรรพบุรุษของเราเล่าให้พวกเราฟังนั้นอยู่ที่ไหน ที่เล่าๆ กันว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้นำพวกเราขึ้นมาจากประเทศอียิปต์หรอกหรือ’ แต่เวลานี้พระผู้เป็นเจ้าทอดทิ้งเราเสียแล้ว และได้มอบพวกเราไว้ในมือของชาวมีเดียน” 14 แล้วพระผู้เป็นเจ้าหันไปหาเขาและกล่าวว่า “เจ้าจงไปช่วยอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวมีเดียนด้วยพละกำลังของเจ้า เราใช้เจ้าไปมิใช่หรือ” 15 เขาตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดเถิด ข้าพเจ้าจะช่วยอิสราเอลได้อย่างไร ดูเถิด ตระกูลข้าพเจ้าอ่อนแอที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และข้าพเจ้าก็ด้อยที่สุดในครอบครัว” 16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “แต่เราจะอยู่กับเจ้า เจ้าจะสู้รบกับชาวมีเดียนประหนึ่งว่าเจ้ารบกับคนเพียงคนเดียว” 17 เขาตอบว่า “บัดนี้ ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ โปรดแสดงหมายสำคัญแก่ข้าพเจ้าว่า เป็นพระองค์ที่กล่าวกับข้าพเจ้า 18 โปรดอย่าไปจากที่นี่ จนกว่าข้าพเจ้าจะกลับมาหาพระองค์พร้อมกับนำของถวายมาและมอบไว้ ณ เบื้องหน้าพระองค์” พระองค์กล่าวว่า “เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะกลับมา”

19 ดังนั้น กิเดโอนจึงเข้าไปในบ้านของตนเพื่อตระเตรียมแพะหนุ่ม 1 ตัวกับขนมปังไร้เชื้อทำจากแป้ง 1 เอฟาห์[a] เขาวางเนื้อแพะลงในตะกร้า ใส่น้ำแกงในหม้อ แล้วนำมาให้พระองค์ที่ใต้ต้นโอ๊ก และมอบให้แด่พระองค์ 20 ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากล่าวกับเขาว่า “จงเอาเนื้อและขนมปังไร้เชื้อมาวางไว้บนหินก้อนนี้ แล้วก็ราดด้วยน้ำแกง” เขาก็กระทำตามนั้น 21 แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ใช้ปลายไม้ที่อยู่ในมือแตะเนื้อและขนมปังไร้เชื้อ ไฟจึงลุกโชนขึ้นจากก้อนหิน ทำให้เนื้อและขนมปังไร้เชื้อไหม้หมด แล้วทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็หายร่างไปจากสายตาของเขา 22 กิเดโอนจึงเข้าใจว่า ผู้นั้นเป็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า เขาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้ข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ต่อหน้า” 23 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “สันติสุขจงอยู่กับเจ้า อย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ตายหรอก” 24 ครั้นแล้วกิเดโอนก็สร้างแท่นบูชาสำหรับพระผู้เป็นเจ้าไว้ที่นั่น และตั้งชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้าเป็นสันติสุข ทุกวันนี้แท่นนั้นยังอยู่ที่โอฟราห์ที่เป็นของชาวอาบีเอเซอร์

25 ในคืนนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเขาว่า “จงเอาโคหนุ่มของบิดาเจ้า กับโคตัวที่สองเป็นโคตัวผู้อายุ 7 ปีไป จงทำลายแท่นบูชาเทวรูปบาอัลที่เป็นของบิดาของเจ้า และโค่นเทวรูปอาเชราห์[b]ที่อยู่ข้างๆ แท่นลง 26 แล้วเจ้าจงสร้างแท่นบูชาแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าไว้บนที่สูงแห่งนี้อย่างเป็นระเบียบ แล้วจงถวายโคตัวที่สองเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับเทวรูปไม้อาเชราห์ที่เจ้าโค่นลง” 27 ดังนั้นกิเดโอนจึงให้ผู้รับใช้ชาย 10 คนไป เพื่อปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชา แต่เนื่องจากเขากลัวคนในครอบครัวและพวกผู้ชายในเมือง เขาจึงทำในเวลากลางคืนแทนกลางวัน

กิเดโอนทำลายแท่นบูชาเทวรูปบาอัล

28 เมื่อพวกผู้ชายในเมืองลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ดูเถิด แท่นบูชาเทวรูปบาอัลถูกโค่นลง และเทวรูปอาเชราห์ที่อยู่ข้างๆ ก็ถูกโค่นลง และโคตัวที่สองถูกถวายบนแท่นบูชาที่สร้างไว้ 29 เขาจึงพูดต่อกันและกันว่า “ใครเป็นคนกระทำ” หลังจากที่ได้ถามไถ่ได้ความแล้วก็กล่าวว่า “กิเดโอนบุตรของโยอาชเป็นผู้กระทำ” 30 พวกผู้ชายในเมืองจึงพูดกับโยอาชว่า “พาตัวบุตรชายของท่านออกมาเถิด จะได้ให้เขาตายไป เพราะเขาได้ทำลายแท่นบูชาเทวรูปบาอัลและโค่นเทวรูปอาเชราห์ที่อยู่ข้างๆ” 31 โยอาชพูดกับทุกคนที่ค้านเขาว่า “พวกท่านจะโต้แย้งแทนเทพเจ้าบาอัลหรือ หรือท่านจะช่วยให้รอดได้ ใครก็ตามที่โต้แย้งแทนเทพเจ้าบาอัลจะต้องตายภายในเวลาเช้า หากว่าเขาเป็นเทพเจ้าก็ปล่อยให้เขาโต้แย้งเอง เพราะแท่นบูชาของเขาถูกทำลายลง” 32 ดังนั้นในวันนั้นกิเดโอนได้ชื่อว่า เยรุบบาอัล ความหมายคือ “ปล่อยให้เทพเจ้าบาอัลโต้แย้งกับเขา” เพราะเขาทำลายแท่นบูชาลง

33 ครั้นแล้วพวกชาวมีเดียน ชาวอามาเลข และชาวตะวันออกก็ได้รวมกลุ่มมาด้วยกัน ข้ามแม่น้ำจอร์แดนและตั้งค่ายอยู่ในหุบเขายิสเรเอล 34 แต่พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับกิเดโอน เขาเป่าแตรงอนเรียกชาวอาบีเอเซอร์ออกมาเพื่อติดตามเขาไป 35 และเขาให้ผู้ส่งข่าวทั้งหลายไปบอกทั่วมนัสเสห์เพื่อเรียกให้มาติดตามเขาไปด้วย เขาให้ผู้ส่งข่าวทั้งหลายไปยังอาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลี ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปโจมตีชาวมีเดียน

หมายสำคัญของขนแกะ

36 กิเดโอนพูดกับพระเจ้าว่า “ถ้าพระองค์จะช่วยอิสราเอลให้รอดปลอดภัยด้วยมือข้าพเจ้า ตามที่พระองค์กล่าวไว้แล้ว 37 ดูเถิด ข้าพเจ้าจะวางขนแกะไว้บนลานนวดข้าว ถ้ามีน้ำค้างเฉพาะที่ขนแกะเท่านั้น ขณะที่พื้นดินทั่วไปยังแห้ง ข้าพเจ้าก็จะได้ทราบว่าพระองค์จะช่วยอิสราเอลให้รอดปลอดภัยด้วยมือข้าพเจ้า ตามที่พระองค์กล่าวไว้” 38 แล้วก็เป็นไปตามนั้นคือ เมื่อเขาลุกขึ้นในยามเช้าวันรุ่งขึ้น และบีบขนแกะ เขาบีบได้น้ำค้างจากขนแกะเต็ม 1 ชาม 39 กิเดโอนพูดกับพระเจ้าว่า “พระองค์กรุณาอย่าโกรธข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าพูดอีกเพียงครั้งเดียว โปรดให้ข้าพเจ้าทดสอบขนแกะดูอีกครั้งเถิด โปรดให้เฉพาะขนแกะเท่านั้นที่แห้ง ขณะที่พื้นดินทั่วไปมีน้ำค้างอยู่” 40 แล้วในคืนนั้นพระเจ้าก็กระทำไปตามนั้นคือ ขนแกะเท่านั้นที่แห้ง และมีน้ำค้างอยู่บนพื้นดินทั่วไปรอบๆ

กิจการของอัครทูต 10

เปโตรและโครเนลิอัส

10 ที่เมืองซีซารียามีชายนายร้อยคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส สังกัดทหารในกองอิตาเลียน ทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนที่เชื่อและเกรงกลัวพระเจ้ามาก ท่านให้ทานจำนวนมากแก่ผู้ยากไร้และอธิษฐานต่อพระเจ้าเป็นประจำ วันหนึ่งประมาณเวลาบ่าย 3 โมงท่านเห็นภาพนิมิตอย่างชัดเจน คือทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้ามาหา และกล่าวว่า “โครเนลิอัส” โครเนลิอัสจ้องดูทูตสวรรค์ด้วยความกลัว แล้วถามออกไปว่า “ท่านมีอะไรหรือ” ทูตสวรรค์จึงกล่าวว่า “คำอธิษฐานและทานที่ท่านให้แก่คนยากจนได้ปรากฏขึ้นมาดั่งของถวายที่เตือนความทรงจำ ณ เบื้องหน้าพระเจ้า จงส่งคนไปยังเมืองยัฟฟา เพื่อนำซีโมนหรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเปโตรมาที่นี่ ขณะนี้ท่านพักอยู่กับซีโมนช่างฟอกหนังซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับทะเล” เมื่อทูตสวรรค์ที่พูดกับท่านจากไปแล้ว โครเนลิอัสจึงเรียกคนรับใช้ 2 คนกับทหารรับใช้ซึ่งเชื่อในพระเจ้ามากมาพบ ท่านเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พวกเขาฟัง แล้วใช้ให้ไปยังเมืองยัฟฟา

ประมาณเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ขณะที่คนของโครเนลิอัสได้เดินทางใกล้จะถึงตัวเมืองแล้ว เปโตรขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อจะอธิษฐาน 10 ท่านบังเกิดความหิวและใคร่จะรับประทานอาหาร ขณะที่คนเตรียมอาหารอยู่ ท่านก็ตกอยู่ในภวังค์ 11 เห็นสวรรค์เปิดออก และมีสิ่งหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ซึ่งทั้ง 4 มุมหย่อนวางลงบนพื้นโลก 12 ในนั้นมีสัตว์สี่เท้าทุกชนิด พวกสัตว์เลื้อยคลาน และพวกนกในอากาศก็เช่นกัน 13 แล้วมีเสียงหนึ่งบอกท่านว่า “เปโตร จงลุกขึ้นเถิด ฆ่าและกินเสีย” 14 เปโตรตอบว่า “ไม่ได้หรอก พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าไม่เคยรับประทานสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์หรือมีมลทิน” 15 เสียงนั้นกล่าวกับเปโตรเป็นครั้งที่สองว่า “สิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้สะอาดแล้ว ก็อย่าเรียกว่าไม่บริสุทธิ์” 16 หลังจากที่เกิดขึ้น 3 ครั้งแล้ว ผืนผ้านั้นก็หายกลับขึ้นไปในสวรรค์

17 ขณะที่เปโตรกำลังคิดสงสัยเรื่องภาพนิมิตที่ปรากฏ ชายทั้งสามที่โครเนลิอัสส่งมา ก็พบบ้านของซีโมนและหยุดอยู่ที่หน้าประตู 18 แล้วตะโกนถามว่าซีโมนที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเปโตร กำลังพักอยู่ที่นั่นหรือไม่ 19 ขณะที่เปโตรยังครวญคิดเรื่องภาพนิมิตที่ท่านได้เห็น พระวิญญาณกล่าวกับท่านว่า “ซีโมนเอ๋ย ชาย 3 คนกำลังตามหาเจ้า 20 ฉะนั้นจงลงไปข้างล่าง อย่าลังเลที่จะไปกับพวกเขา เพราะว่าเราส่งเขามา” 21 แล้วเปโตรก็ได้ลงไปหาชายเหล่านั้นและพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านกำลังตามหา ท่านมาด้วยธุระอะไรกัน” 22 เขาเหล่านั้นตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัสส่งพวกเรามา ท่านเป็นผู้มีความชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า ทั้งยังเป็นที่นับถือทั่วไปในบรรดาชนชาติยิว ทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์องค์หนึ่งได้บอกให้โครเนลิอัสเชิญท่านไปที่บ้าน เพื่อจะฟังถ้อยคำของท่าน” 23 แล้วเปโตรจึงเชิญให้ชายเหล่านั้นเข้ามาพักในบ้าน

วันรุ่งขึ้นเปโตรจึงเดินทางไปกับพวกเขา โดยพี่น้องบางคนจากเมืองยัฟฟาก็ตามไปด้วย 24 วันต่อมาก็ถึงเมืองซีซารียา และพบว่าโครเนลิอัสกำลังรอพวกเขาอยู่พร้อมกับบรรดาญาติและเพื่อนสนิทที่ได้เชิญมา 25 เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน โครเนลิอัสก็มาต้อนรับ และหมอบลงแทบเท้าเพื่อแสดงความเคารพ 26 เปโตรให้ท่านลุกขึ้นและพูดว่า “จงลุกขึ้นเถิด ข้าพเจ้าเองก็เป็นเพียงมนุษย์เช่นกัน” 27 ขณะที่สนทนากันอยู่ เปโตรก็เข้าไปข้างใน พบว่าผู้คนกลุ่มใหญ่กำลังชุมนุมกันอยู่ 28 ท่านกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “ท่านก็ทราบว่า เป็นการผิดกฎของพวกเราชาวยิวที่จะติดต่อหรือเยี่ยมเยียนคนนอก แต่พระเจ้าได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าไม่บริสุทธิ์หรือมีมลทิน 29 ดังนั้นเมื่อมีคนเรียกข้าพเจ้ามา และข้าพเจ้าก็มาโดยมิได้ขัดขืน ข้าพเจ้าขอถามว่าทำไมท่านจึงตามตัวข้าพเจ้ามา”

30 โครเนลิอัสตอบว่า “4 วันมาแล้วขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานอยู่ในบ้านเวลาบ่าย 3 โมง ราวๆ เวลานี้ ในทันใดนั้น ก็มีชายผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเปล่งประกายยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า 31 และกล่าวว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของท่าน และระลึกถึงทานที่ท่านได้ให้แก่คนยากไร้ 32 จงส่งคนไปเมืองยัฟฟา ตามตัวซีโมนหรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเปโตรให้มาหาท่าน เขากำลังพักอยู่ที่บ้านของซีโมนช่างฟอกหนังซึ่งอยู่ติดกับทะเล’ 33 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงให้คนไปตามท่านมาทันทีและก็น่ายินดีที่ท่านมา พวกเราทุกคนอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า เพื่อที่จะฟังทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้เอ่ยสั่งท่านไว้”

คนนอกได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์

34 แล้วเปโตรเริ่มพูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้ารู้แน่แก่ใจแล้วว่า เป็นความจริงเพียงไรที่พระเจ้าไม่ลำเอียง 35 แต่พระองค์รับคนจากทุกๆ ชาติที่ยำเกรงพระองค์และกระทำสิ่งที่ถูกต้อง 36 ท่านก็ทราบถึงคำกล่าวซึ่งพระองค์ได้ให้ไว้กับชนชาติอิสราเอล คือการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขโดยผ่านพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง 37 พวกท่านทราบว่าเกิดอะไรขึ้นทั่วทั้งแคว้นยูเดีย โดยเริ่มจากแคว้นกาลิลี หลังจากเรื่องบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศ 38 ท่านทราบว่า พระเจ้าได้เจิมพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และอานุภาพอย่างไร และพระองค์ได้ไปตามที่ต่างๆ เพื่อกระทำสิ่งดีงาม และรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำนาจของพญามารให้หายขาด เพราะว่าพระเจ้าสถิตกับพระองค์ 39 พวกเราเป็นพยานในทุกสิ่งที่พระองค์กระทำ ทั้งในบ้านเมืองของชาวยิวรวมถึงเมืองเยรูซาเล็มด้วย พวกเขาฆ่าพระองค์โดยตรึงไว้บนไม้กางเขน 40 แต่ว่าพระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตในวันที่สาม และให้ผู้คนได้เห็นพระองค์ 41 พระองค์มิได้ปรากฏแก่ทุกคน แต่ปรากฏแก่พวกพยานที่พระเจ้าได้เลือกไว้แล้ว คือพวกเราซึ่งได้รับประทานและดื่มกับพระองค์ หลังจากที่พระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 42 พระองค์สั่งให้พวกเราประกาศแก่ผู้คน และยืนยันว่าพระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าได้มอบหมาย ให้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย 43 ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ย่อมได้รับการยกโทษบาปโดยพระนามของพระองค์”

44 ขณะที่เปโตรกำลังพูดถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลงมาสถิตกับทุกคนที่ฟังเรื่องที่ประกาศ 45 ผู้ที่เชื่อทั้งปวงซึ่งได้เข้าสุหนัตและมากับเปโตร ล้วนแปลกใจว่า พระเจ้าได้หลั่งของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้แม้แต่บรรดาคนนอก 46 ที่ทราบก็เพราะได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก และพากันสรรเสริญพระเจ้า ครั้นแล้วเปโตรก็พูดว่า 47 “มีใครบ้างไหมที่อาจจะห้ามผู้คนเหล่านี้ไม่ให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนกับพวกเราแล้ว” 48 และท่านก็สั่งให้พวกเขารับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ ครั้นแล้วคนเหล่านั้นขอให้เปโตรอยู่ด้วยกันกับเขาอีกสองสามวัน

เยเรมีย์ 19

โถแตก

19 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “จงไปซื้อโถดินเผาของช่างปั้นหม้อ และขอให้บรรดาผู้ใหญ่ของประชาชน และผู้ใหญ่ของปุโรหิตบางคนไปด้วย และจงไปยังหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม ที่ทางเข้าของประตูหม้อแตก และประกาศสิ่งที่เราบอกเจ้าที่นั่น เจ้าจงพูดดังนี้ ‘จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า โอ บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังจะนำความวิบัติมาสู่ที่นี้ ซึ่งจะทำให้ทุกคนที่ได้ยินต้องหูดับ เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งเรา และได้ดูหมิ่นสถานที่นี้ด้วยการมอบของถวายให้แก่บรรดาเทพเจ้า ซึ่งทั้งพวกเขาและบรรพบุรุษของพวกเขา และบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่รู้จัก และเพราะว่าพวกเขาได้ทำให้สถานที่นี้เต็มไปด้วยผู้ไร้ความผิดซึ่งถูกฆ่า และได้สร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงแก่เทพเจ้าบาอัลเพื่อเผาลูกๆ ของพวกเขาในกองไฟเพื่อเป็นสิ่งที่ใช้เผาเป็นของถวายแก่เทพเจ้าบาอัล ซึ่งเราไม่ได้บัญชาหรือออกคำสั่งให้ทำ และไม่เคยแม้แต่จะคิด ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด ใกล้จะถึงเวลาที่จะไม่มีชื่อว่า โทเฟท อีกแล้ว หรือหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม แต่จะเป็นหุบเขาแห่งการประหาร และเราจะทำให้แผนของยูดาห์และเยรูซาเล็มพังในที่นี้ และทำให้พวกเขาล้มตายในการสู้รบต่อหน้าพวกศัตรู และด้วยมือของบรรดาผู้ตามล่าชีวิตพวกเขา เราจะให้ร่างของพวกเขาเป็นอาหารแก่พวกนกในอากาศ และแก่สัตว์ป่าบนแผ่นดินโลก และเราจะทำให้เมืองนี้เป็นที่น่าหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ต้องถูกเหน็บแนม ทุกคนที่ผ่านไปก็จะหวาดผวาและเหน็บแนมเพราะความวิบัติทั้งสิ้น เราจะทำให้พวกเขากินเนื้อลูกชายและลูกสาวของตนเอง และทุกคนจะกินเนื้อเพื่อนบ้านในยามถูกล้อมและเป็นทุกข์ อันเกิดจากศัตรูของพวกเขาเอง และจากบรรดาผู้ที่ตามล่าชีวิตซึ่งทำให้พวกเขาลำบาก’

10 แล้วเจ้าจงทุบโถให้แตกต่อหน้าพวกที่ไปกับเจ้า 11 และจงพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า เราจะทำให้ชนชาตินี้และเมืองนี้แตกหัก อย่างเช่นผู้ที่ทำให้ภาชนะของช่างปั้นหม้อแตกหัก จนไม่มีใครจะซ่อมได้ พวกเขาจะฝังศพในโทเฟท เพราะไม่มีที่อื่นจะฝัง 12 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ฉะนั้นเราจะทำเช่นนั้นกับที่แห่งนี้และกับบรรดาผู้อยู่อาศัย ทำให้เมืองนี้เป็นอย่างโทเฟท 13 บ้านทั้งหลายของเยรูซาเล็มและของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ บ้านทุกหลังที่มีการเผาเครื่องหอมบนหลังคาให้แก่สรรพสิ่งบนท้องฟ้า และเครื่องดื่มบูชาที่รินให้แก่ปวงเทพเจ้า จะเป็นมลทินอย่างโทเฟท’”[a]

14 แล้วเยเรมีย์ก็ไปจากโทเฟท ซึ่งเป็นเมืองที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งท่านไปเผยความ ท่านยืนที่ลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และพูดกับชนชาติทั้งปวงว่า 15 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “ดูเถิด เรากำลังนำความวิบัติที่เราได้พูดคัดค้านเมืองนี้และหมู่บ้านใกล้เคียง เพราะพวกเขาหัวแข็ง ไม่ยอมฟังคำของเรา”

มาระโก 5

ขับไล่มารพ้นจากชายผู้หนึ่ง

พระเยซูกับเหล่าสาวกข้ามทะเลสาบไปยังดินแดนเก-ราซา เมื่อพระองค์ขึ้นจากเรือ มีชายคนหนึ่งที่มีวิญญาณร้ายสิงอยู่ออกมาจากถ้ำเก็บศพ ได้มาพบพระองค์ทันที เขาอาศัยอยู่ตามถ้ำเก็บศพ และไม่มีใครที่สามารถมัดตัวเขาได้อีก แม้ว่าจะใช้โซ่ก็ตาม เขาถูกล่ามโซ่คล้องตรวนบ่อยครั้ง แต่ก็สามารถหักโซ่และตรวนออกเป็นชิ้นๆ และไม่มีใครที่แข็งแรงพอที่จะทำให้เขาสงบลงได้ ตลอดทั้งวันและคืนเขาร้องลั่นบริเวณถ้ำเก็บศพและตามภูเขา อีกทั้งเอาหินขูดขีดเนื้อตนเอง

เมื่อเขาเห็นพระเยซูอยู่แต่ไกลๆ จึงวิ่งไปหาและก้มลงกราบเบื้องหน้าพระองค์ พลางร้องเสียงดังว่า “ท่านมาเกี่ยวข้องอะไรกับข้าพเจ้า พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ข้าพเจ้าขอร้องท่านในพระนามของพระเจ้าว่าอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” ที่พูดเช่นนั้นก็เพราะพระองค์ได้กล่าวกับมันว่า “เจ้าวิญญาณร้าย จงออกมาจากร่างของชายคนนี้” พระองค์ถามมันว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าชื่อเลเกโอน[a] เพราะพวกเรามีหลายตน” 10 มันอ้อนวอนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ให้ขับพวกมันออกไปจากดินแดนนั้น

11 ขณะนั้นมีหมูฝูงใหญ่ที่กำลังหากินอยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่ง 12 พวกมารอ้อนวอนพระองค์ว่า “โปรดส่งพวกเราเข้าในฝูงหมูเถิด เราจะได้เข้าสิงมัน” 13 พระองค์ก็อนุญาต เหล่าวิญญาณร้ายจึงออกจากตัวของชายคนนั้น แล้วเข้าสิงในตัวหมู และทั้งฝูงก็เตลิดลงจากหน้าผาชันสู่ทะเลสาบ หมูทั้ง 2,000 ตัวพากันจมน้ำตายในทะเลสาบ

14 พวกคนเลี้ยงหมูก็วิ่งหนีไปบอกเรื่องทั้งในเมืองและชนบท และผู้คนจึงมาดูกันว่าได้เกิดอะไรขึ้น 15 พวกเขามาหาพระเยซูและสำรวจดูชายที่เคยมีมารสิงนุ่งห่มเสื้อผ้ามีสติดี ที่กำลังนั่งลงเป็นบุคคลคนเดียวกับที่เคยมีเลเกโอนสิง คนเหล่านั้นจึงพากันกลัว 16 พวกที่ได้เห็นเหตุการณ์ก็บรรยายให้พวกเขาฟังว่า เกิดอะไรขึ้นกับชายที่ถูกมารสิงและเกี่ยวกับฝูงหมูด้วย 17 แล้วพวกเขาก็เริ่มอ้อนวอนให้พระองค์ออกไปเสียจากดินแดนของเขา

18 ขณะที่พระเยซูกำลังลงเรือ คนที่เคยมีมารสิงก็ขอร้องเพื่อจะติดตามพระองค์ไป 19 พระองค์ไม่อนุญาตให้เขาไป แต่กล่าวกับเขาว่า “จงกลับไปบ้าน หาพวกพ้องของเจ้าแล้วบอกให้พวกเขาฟังว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยเจ้ามากมายเพียงไร และพระองค์กรุณาต่อเจ้าขนาดไหน” 20 ดังนั้นเขาก็จากไป และเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีว่า พระเยซูได้ช่วยเขามากมายเพียงไร และทุกคนก็ประหลาดใจยิ่งนัก

พระเยซูผู้รักษาโรคนานาชนิด และผู้พลิกฟื้นความตาย

21 เมื่อพระเยซูได้ลงเรือข้ามฟากไปอีก มหาชนพากันห้อมล้อมพระองค์ที่ชายฝั่งทะเลสาบ 22 ผู้หนึ่งในบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมชื่อไยรัสเดินมา เขาเห็นพระเยซูจึงซบลงที่แทบเท้าของพระองค์ 23 และอ้อนวอนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ลูกสาวที่ยังเล็กอยู่ของข้าพเจ้าใกล้จะตายอยู่แล้ว ขอท่านโปรดวางมือทั้งสองบนตัวเธอ เธอจะได้หายขาดและมีชีวิตอยู่” 24 พระองค์ก็ไปกับเขา

มีผู้คนจำนวนมากที่ติดตามพระองค์ไปและเบียดเสียดพระองค์รอบด้าน 25 มีหญิงคนหนึ่งซึ่งตกโลหิตนานถึง 12 ปีแล้ว 26 เธอทนทุกข์มาก ทั้งๆ ที่มีแพทย์หลายคนดูแลรักษา เธอใช้เงินทั้งหมดที่มี แต่อาการก็มิได้ทุเลา กลับทรุดหนักลงด้วย 27 หลังจากที่ได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เธอก็แทรกเข้ามาในหมู่ชนที่เบียดอยู่ด้านหลังของพระองค์และก็แตะเสื้อตัวนอกของพระองค์ 28 เพราะเธอคิดว่า “ถ้าเราเพียงได้แตะต้องเสื้อตัวนอกของพระองค์ เราก็จะหายจากโรค” 29 และโลหิตที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที และเธอรู้สึกในตัวว่า ได้หายจากโรคของเธอแล้ว

30 ในทันใดนั้น พระเยซูทราบว่าฤทธานุภาพได้แผ่ซ่านออกจากกายของพระองค์ไป พระองค์หันดูในหมู่คนและกล่าวว่า “ใครแตะต้องเสื้อผ้าของเรา” 31 เหล่าสาวกของพระองค์พูดว่า “พระองค์ก็เห็นว่าคนตั้งมากมายกำลังเบียดเสียดพระองค์อยู่ และพระองค์กล่าวว่า ‘ใครแตะต้องตัวเรา’” 32 พระเยซูมองดูรอบข้างเพื่อหาคนที่แตะต้องพระองค์ 33 หญิงคนนั้นกลัวจนตัวสั่น เพราะเธอรู้ตัวว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ จึงมาหมอบลงแทบเท้าพระองค์เพื่อบอกความจริงทั้งสิ้น 34 พระองค์กล่าวกับเธอว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรค จงไปอย่างสันติสุขเถิด และจงหายจากโรคที่เจ้าทนทุกข์มา”

35 ขณะที่พระเยซูยังกล่าวอยู่ ก็มีคนมาจากบ้านของไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุม และบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์อีกทำไม” 36 แต่พระเยซูไม่ได้สนใจกับสิ่งที่คนพูดกัน จึงกล่าวกับผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น”

37 ครั้นแล้วพระองค์ไม่ปล่อยให้ใครติดตามไป เว้นแต่เปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ 38 แล้วพากันไปยังบ้านของผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุม พระองค์เห็นว่า มีคนเอะอะชุลมุนและผู้คนกำลังร้องไห้และร้องฟูมฟายเสียงดัง 39 พระองค์เดินเข้าไปข้างในและกล่าวกับพวกเขาว่า “ทำไมจึงเอะอะชุลมุนและร้องไห้ฟูมฟายกัน เด็กยังไม่ตาย เพียงแค่หลับไปเท่านั้น” 40 ผู้คนก็หัวเราะเยาะพระองค์ และพระองค์ให้ทุกคนออกไปอยู่กันข้างนอก แต่ให้เฉพาะบิดามารดาและสาวกที่มากับพระองค์เข้าไปในห้องที่เด็กอยู่ 41 พระองค์จับมือเด็กและกล่าวกับเธอว่า “ทาลิธา คูม” ซึ่งแปลได้ความว่า “เด็กหญิงน้อยเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” 42 ในทันใดนั้น เด็กหญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นเดิน เธออายุ 12 ปี และทันทีทันใดคนทั้งปวงก็ประหลาดใจยิ่งนัก 43 พระองค์กำชับพวกเขาว่าต้องไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้ และให้เอาอาหารมาให้เด็กน้อยรับประทาน

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation