Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
โยชูวา 8

เมืองอัยพินาศ

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “อย่ากลัวและอย่าท้อใจเลย จงลุกขึ้นและพานักรบทั้งหมดขึ้นไปยังเมืองอัยกับเจ้า ดูนะ เราได้มอบกษัตริย์แห่งอัยไว้ในมือของเจ้าแล้ว รวมถึงประชาชนของเขา ทั้งเมืองและแผ่นดินของเขา และเจ้าจงกระทำต่อเมืองอัยและกษัตริย์อย่างที่ได้กระทำต่อเยรีโคและกษัตริย์ แต่ข้าวของที่ยึดได้และสัตว์เลี้ยงนั้น เจ้าจงเก็บไว้สำหรับพวกเจ้าเอง จงวางแผนดักซุ่มเพื่อโจมตีที่ข้างหลังเมือง”

ดังนั้น โยชูวาและนักรบทั้งหมดจึงลุกขึ้นเพื่อไปยังเมืองอัย โยชูวาเลือกนักรบผู้เก่งกล้าจำนวน 30,000 คนให้ออกไปในเวลากลางคืน ท่านบัญชาเขาเหล่านั้นว่า “ดูเถิด พวกท่านจงดักซุ่มเพื่อโจมตีที่ข้างหลังเมือง อย่าไปไกลจากเมืองมากนัก แต่ท่านทุกคนจงเตรียมพร้อมไว้เสมอ เรากับประชาชนทั้งหมดที่อยู่กับเราก็จะเข้าไปใกล้เมือง เมื่อพวกเขาออกมาต่อสู้พวกเราเหมือนครั้งก่อน พวกเราก็จะวิ่งหนีไปต่อหน้าพวกเขา เขาจะออกไล่ตามหลังพวกเราจนกระทั่งเราล่อพวกเขาออกไปให้ไกลเมือง พวกเขาก็จะพูดว่า ‘พวกเขากำลังวิ่งหนีพวกเราไปเหมือนครั้งก่อน’ ดังนั้นพวกเราจะวิ่งหนีไปต่อหน้าพวกเขา แล้วพวกท่านจะลุกขึ้นจากที่ซุ่มและยึดเมืองไว้ ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทำให้เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของท่าน ทันทีที่พวกท่านยึดเมืองได้แล้ว ท่านก็เผาเมืองได้เลย จงดูว่าท่านกระทำตามคำของพระผู้เป็นเจ้า เราบัญชาพวกท่านแล้ว” แล้วโยชูวาก็ให้พวกเขาไป พวกเขาไปยังที่ดักซุ่ม รออยู่ระหว่างเบธเอลกับทางตะวันตกของเมืองอัย ส่วนโยชูวาค้างแรมอยู่กับประชาชน

10 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อตรวจพล และขึ้นไปยังเมืองอัยกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล ล่วงหน้าประชาชนไป 11 นักรบทั้งปวงที่ไปกับท่านก็เข้าไปใกล้ตัวเมือง และตั้งค่ายทางทิศเหนือของเมืองอัยโดยมีหุบเขากั้นระหว่างพวกเขากับเมืองอัย 12 โยชูวาจัดชายประมาณ 5,000 คนให้ซุ่มอยู่ระหว่างเบธเอลและทางตะวันตกของเมืองอัย 13 ดังนั้นต่างก็เตรียมกำลังศึกประจำตำแหน่งของตน ค่ายใหญ่ทางทิศเหนือของเมือง และกองซุ่มทางทิศตะวันตกของเมือง ส่วนโยชูวาค้างแรมในหุบเขา 14 ทันทีที่กษัตริย์แห่งอัยเห็นเหตุการณ์ ท่านกับประชาชนทั้งหมดของท่านจึงรีบออกไปยังที่นัดหมายแต่เช้าตรู่ ไปในทิศทางอาราบาห์ เพื่อเผชิญหน้ากับอิสราเอล โดยไม่ทราบว่ามีกองซุ่มเพื่อจะโจมตีท่านด้านหลังเมือง 15 โยชูวาและชาวอิสราเอลทุกคนเสแสร้งว่าถูกพวกเขาโจมตี และได้หนีไปในทิศทางเข้าถิ่นทุรกันดาร 16 ดังนั้นประชาชนทุกคนที่อยู่ในเมืองจึงถูกเรียกให้ร่วมกันไล่ตามชาวอิสราเอล ขณะที่ไล่ตามโยชูวาไป พวกเขาก็ออกไปไกลจากเมืองยิ่งขึ้นทุกที 17 ผู้ชายทุกคนที่อยู่ในเมืองอัยและเบธเอลได้ตามล่าชาวอิสราเอลไป ประตูเมืองก็เปิดไว้ จึงไม่มีคนที่อยู่ป้องกันเมืองนั้นเลย

18 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “จงยื่นหอกซัดที่เจ้าถืออยู่ในมือออกไปทางเมืองอัย เพราะเราจะทำให้เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้า” โยชูวาก็ยื่นหอกซัดที่อยู่ในมือของท่านไปทางเมืองอัย 19 ทันทีที่ท่านยื่นมือออกไป พวกผู้ชายที่ซุ่มอยู่จึงลุกขึ้นออกมาจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็ว วิ่งกรูกันเข้าไปในเมืองและยึดไว้ได้ และรีบเผาเมืองทันที 20 ครั้นพวกผู้ชายของเมืองอัยหันกลับไป ดูเถิด มีควันพลุ่งขึ้นจากเมืองสู่ท้องฟ้า แต่พวกเขาไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย เพราะฝ่ายอิสราเอลที่หนีไปถิ่นทุรกันดารก็หันกลับมาปะทะกับพวกที่ไล่ตามล่าพวกตน 21 เมื่อโยชูวาและอิสราเอลทั้งปวงเห็นว่ากองซุ่มยึดเมืองได้แล้ว มีควันในเมืองพลุ่งขึ้นมา จึงกลับไปฆ่าพวกผู้ชายของเมืองอัย 22 กองทัพอีกกองก็ออกจากเมืองมาต่อสู้กับเขา ดังนั้นชาวเมืองอัยจึงถูกล้อมอยู่ในกลุ่มของอิสราเอล บ้างก็อยู่ฝั่งนี้ บ้างก็อยู่ฝั่งโน้น อิสราเอลฆ่าพวกเขาจนไม่มีใครรอดชีวิตหรือหนีไปได้เลย 23 แต่กษัตริย์แห่งอัยถูกจับเป็นและนำมาให้โยชูวา

24 เมื่อไล่ตามกันไปจนถึงทุ่งโล่งของถิ่นทุรกันดาร ชาวอิสราเอลก็ได้ฆ่าชาวเมืองอัยทั้งหมด และเมื่อทุกคนถูกฆ่าฟันหมด ชาวอิสราเอลทุกคนก็กลับไปยังเมืองอัยและฆ่าพวกที่เหลืออยู่ในเมืองด้วย 25 จำนวนประชาชนชายและหญิงชาวเมืองอัยที่ล้มตายในวันนั้นนับได้ 12,000 คน 26 โยชูวาไม่ได้ปล่อยมือที่ถือหอกซัดลงจนกระทั่งท่านได้ทำลายล้างทุกชีวิตในเมืองอัย 27 อิสราเอลเพียงแต่ริบเอาสัตว์เลี้ยงและข้าวของที่ยึดได้จากเมืองไป ตามคำที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาแก่โยชูวา 28 ดังนั้น โยชูวาจึงเผาเมืองอัย และทำให้เป็นกองซากปรักหักพังเป็นนิตย์ ดั่งที่เป็นอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ 29 และท่านแขวนกษัตริย์แห่งอัยไว้บนต้นไม้จนถึงเวลาเย็น เมื่อดวงอาทิตย์ตก โยชูวาบัญชาให้เอาร่างของกษัตริย์ลงจากต้นไม้ และโยนทิ้งไว้ที่ทางเข้าประตูเมือง ใช้ก้อนหินกลบร่างเป็นกองใหญ่ซึ่งอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้

โยชูวาทำพันธสัญญาขึ้นใหม่

30 ในครั้งนั้นโยชูวาสร้างแท่นบูชาที่ภูเขาเอบาลถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล 31 ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาชาวอิสราเอล ตามที่เขียนในหนังสือกฎบัญญัติของโมเสสว่า “แท่นบูชาที่ทำจากหินซึ่งไม่ถูกสกัด และไม่ได้ใช้เครื่องมือเหล็กตัด”[a] และท่านถวายสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า และมอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม 32 และ ณ ที่นั่นท่านคัดลอกกฎบัญญัติของโมเสสไว้บนหินต่อหน้าชาวอิสราเอล อันเป็นกฎที่โมเสสได้เขียนไว้ 33 คนอิสราเอลทุกคนไม่ว่าโดยชาติกำเนิดหรือต่างชาติที่อยู่ด้วย พร้อมกับบรรดาผู้อาวุโส เจ้าหน้าที่ และผู้ตัดสินความ ต่างก็ยืนที่ฝั่งตรงข้ามหีบ ที่ตรงหน้าบรรดาชาวเลวีที่เป็นปุโรหิตหามหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ครึ่งหนึ่งยืนที่ตรงหน้าภูเขาเกริซิม และอีกครึ่งหนึ่งที่ตรงหน้าภูเขาเอบาล ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาก่อนหน้านั้น ในเวลาที่ท่านให้พรชนชาติอิสราเอลเป็นครั้งแรก[b] 34 จากนั้นท่านจึงอ่านกฎบัญญัติที่เขียนไว้ทุกคำ ทั้งเป็นคำอวยพรและคำสาปแช่งตามที่มีในหนังสือกฎบัญญัติ 35 ไม่มีคำใดและเรื่องใดที่โมเสสบัญชาแล้วโยชูวาไม่ได้อ่านต่อหน้าที่ประชุมอิสราเอล ต่อหน้าพวกผู้หญิงและเด็กๆ อีกทั้งคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับพวกเขาด้วย

สดุดี 139

พระเจ้าทราบความเป็นมาทุกอย่างของข้าพเจ้า

ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด

พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรวจสอบข้าพเจ้า
    และพระองค์ก็รู้จักข้าพเจ้า
ไม่ว่าเวลาข้าพเจ้านั่งหรือยืน พระองค์ก็ทราบ
    แม้พระองค์จะอยู่ห่างไกลเพียงไร พระองค์ก็ยังหยั่งรู้ความคิดของข้าพเจ้าได้
พระองค์ทราบทุกเรื่องว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่ใดหรือกำลังกระทำสิ่งใดอยู่
    พระองค์คุ้นเคยกับการกระทำทุกอย่างของข้าพเจ้า
แม้ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพูด
    โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบทุกสิ่ง
พระองค์อยู่รอบข้างข้าพเจ้าทั้งข้างหลังและข้างหน้า
    พระองค์ปกป้องข้าพเจ้า
การที่พระองค์ทราบดังนี้ ก็ถือได้ว่าวิเศษนักสำหรับข้าพเจ้า
    คือสูงเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้

ข้าพเจ้าจะไปทางไหนจึงจะเลี่ยงหลบพระวิญญาณของพระองค์ได้
    ข้าพเจ้าจะเลี่ยงไปทางไหนจึงจะพ้นหน้าพระองค์ได้
หากว่าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ก็จะอยู่ที่นั่น
    หากว่าข้าพเจ้าลงไปนอนในแดนคนตาย ดูเถิด พระองค์ก็อยู่ที่นั่นด้วย
ถ้าข้าพเจ้าต้องสวมปีกของรุ่งอรุณ
    และไปอาศัยอยู่ที่ไกลโพ้นสุดขอบทะเล
10 มือของพระองค์ก็ยังจะอยู่ที่นั่นด้วยเพื่อนำทางให้แก่ข้าพเจ้า
    มือขวาของพระองค์จะช่วยข้าพเจ้าไว้
11 ถ้าข้าพเจ้าขอให้ความมืดซ่อนข้าพเจ้าไว้
    หรือให้ความสว่างรอบตัวข้าพเจ้ากลายเป็นกลางคืน
12 แม้แต่ความมืดก็ไม่มืดทึบเกินไปสำหรับพระองค์
    และกลางคืนก็สว่างเทียบเท่ากับกลางวัน
    เพราะความมืดยังสว่างสำหรับพระองค์

13 เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างอวัยวะภายในของข้าพเจ้า
    พระองค์ประสานข้าพเจ้าไว้อย่างสนิทแนบในครรภ์มารดาของข้าพเจ้า
14 ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ เพราะข้าพเจ้าถูกสร้างขึ้นมาอย่างน่าครั่นคร้ามและมหัศจรรย์
    สิ่งที่พระองค์กระทำมหัศจรรย์ยิ่งนัก
    พระองค์รู้จักข้าพเจ้าอย่างลึกซึ้ง
15 โครงกระดูกของข้าพเจ้าไม่อาจซ่อนเร้นไปจากสายตาของพระองค์ได้
    คือแม้ว่าเวลาที่ข้าพเจ้าถูกสร้างในที่กำบัง
    ถูกสานขึ้นอย่างละเอียดอ่อนในที่ลึกของแผ่นดินโลก
16 พระองค์มองเห็นข้าพเจ้าตั้งแต่แรกเริ่มที่ข้าพเจ้าอยู่ในครรภ์มารดา
    โมงยามล้วนถูกจัดเตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว และยังถูกระบุไว้ในหนังสือของพระองค์
    ก่อนที่เหตุการณ์ในแต่ละวันจะปรากฏขึ้น

17 โอ พระเจ้า ความนึกคิดของพระองค์ช่างมากมายสุดที่จะคณนา
    และช่างมีค่าอะไรเช่นนี้สำหรับข้าพเจ้า
18 ถ้าหากข้าพเจ้าคิดจะนับแล้วละก็ยังมีจำนวนมากกว่าเม็ดทรายเสียอีก
    เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้น ข้าพเจ้าก็ยังจะคำนึงถึงพระองค์อยู่อีก

19 โอ พระเจ้า ข้าพเจ้าอยากให้พระองค์ฆ่าคนชั่วร้ายเสีย
    และพวกคนกระหายเลือดจะได้ไม่มายุ่งเกี่ยวกับข้าพเจ้าอีก
20 พวกคนที่พูดถึงพระองค์ด้วยความมุ่งร้าย
    พวกที่ยกตนขึ้นคัดค้านพระองค์เพื่อความชั่ว
21 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เกลียดพวกที่เกลียดชังพระองค์หรือ
    ข้าพเจ้าจะไม่ขยะแขยงพวกที่ค้านพระองค์หรือ
22 ข้าพเจ้าเกลียดพวกเขาอย่างบอกไม่ถูก
    และถือเอาพวกเขาเป็นศัตรูของข้าพเจ้า

23 โอ พระเจ้า พิจารณาดูข้าพเจ้าเถิด และทราบถึงจิตใจของข้าพเจ้า
    ทดสอบข้าพเจ้าดู และก็หยั่งถึงความคิดของข้าพเจ้า
24 ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่เลวร้ายในตัวข้าพเจ้า
    และโปรดนำข้าพเจ้าไปสู่ทางอันเป็นนิรันดร์

เยเรมีย์ 2

อิสราเอลทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงไปประกาศให้ทุกคนในเยรูซาเล็มรับรู้ว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

เราระลึกถึงการอุทิศตนเมื่อเจ้ายังเยาว์
    ความรักของเจ้าที่มีต่อเราราวกับเจ้าสาว
และเจ้าติดตามเราอย่างไรในถิ่นทุรกันดาร
    ในแผ่นดินที่ยังไม่มีพันธุ์ไม้เลย
อิสราเอลเคยบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า
    ดั่งผลแรกของการเก็บเกี่ยว
ทุกคนที่กินผลแรกก็จะมีความผิด
    และได้รับความวิบัติ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

พวกท่านที่เป็นผู้สืบเชื้อสายของยาโคบ และตระกูลทั้งปวงของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“บรรพบุรุษของเจ้าเห็นว่าเราทำสิ่งใดผิด
    จึงได้ห่างเหินไปจากเรา
และกลับติดตามสิ่งอันไร้ค่า
    และกลายเป็นคนไร้ค่า
พวกเขาไม่ได้พูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าอยู่ไหน
    ผู้ที่นำพวกเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
ผู้นำพวกเราในถิ่นทุรกันดาร
    ในแผ่นดินที่เป็นทะเลทรายและเป็นหลุมทราย
ในแผ่นดินแห้งแล้งและปราศจากชีวิต
    ในแผ่นดินที่ไม่มีใครเดินทางผ่าน
    หรืออาศัยอยู่’
และเรานำเจ้าเข้าไปในแผ่นดินอันอุดม
    เพื่อให้เจ้าสุขสำราญกับผลิตผลและสิ่งดีๆ ของแผ่นดิน
แต่เมื่อเจ้าเข้ามาแล้ว เจ้าทำให้แผ่นดินที่เรามอบให้เป็นมรดกเป็นมลทิน
    และทำให้ผืนแผ่นดินของเราเป็นที่น่ารังเกียจ
บรรดาปุโรหิตไม่ได้พูดว่า
    พระผู้เป็นเจ้าอยู่ไหน’
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎบัญญัติไม่รู้จักเรา
    บรรดาผู้เลี้ยงดูฝูงแกะก็ล่วงละเมิดต่อเรา
บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดในนามของเทพเจ้าบาอัล
    และไปติดตามสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์”

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เรายังคัดค้านเจ้าอยู่
    เราจะคัดค้านลูกของเจ้าและลูกๆ ของลูกเจ้าด้วย
10 ถ้าเจ้าข้ามไปยังฝั่งทะเลของไซปรัสและมองดู
    หรือให้ผู้ใดไปยังเคดาร์และสำรวจอย่างระมัดระวัง
    ดูสิว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่
11 มีประชาชาติใดที่เปลี่ยนเทพเจ้าบ้าง
    แม้ว่าจะไม่ใช่เทพเจ้าแท้จริง
แต่ชนชาติของเราได้เปลี่ยนจากเราซึ่งเป็นบารมีของพวกเขา
    ไปหาเทพเจ้าซึ่งทำสิ่งใดให้พวกเขาไม่ได้เลย”

12 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงตื่นตระหนก
    และหวาดกลัวจนตัวแข็งเกร็งกับเรื่องดังกล่าว
13 ด้วยว่าชนชาติของเราได้กระทำความชั่ว 2 ประการคือ
    พวกเขาได้ทอดทิ้งเราผู้เป็นน้ำพุแห่งชีวิต
และเขาได้ขุดบ่อน้ำให้แก่ตนเอง
    บ่อน้ำที่พังซึ่งเก็บน้ำไม่ได้

14 อิสราเอลเป็นทาสหรือ เป็นผู้รับใช้ที่เป็นทาสโดยกำเนิดหรือ
    แล้วทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่า
15 สิงโตได้คำรามใส่เขา
    คำรามเสียงดัง
พวกสิงโตทำให้แผ่นดินของเขารกร้าง
    เมืองของเขาถูกเผาและไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
16 ยิ่งกว่านั้น ชาวเมมฟิสและทาปานเหส
    ได้โกนศีรษะของพวกเจ้า
17 เจ้าเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์นี้กับตัวเจ้าเอง
    เพราะการทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
    ครั้งที่พระองค์นำพวกเจ้าไปมิใช่หรือ
18 และบัดนี้เจ้าจะได้ประโยชน์อะไรที่ไปยังประเทศอียิปต์
    เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์หรือ
หรือเจ้าจะได้ประโยชน์อะไรที่ไปยังอัสซีเรีย
    เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสหรือ
19 ความชั่วร้ายของเจ้าจะลงโทษเจ้าเอง
    และเจ้าจะได้รับบทเรียนเมื่อเจ้าหันเหไปจากเรา
จงรับรู้ไว้ว่า สิ่งเลวร้ายและขมขื่นจะเกิดแก่เจ้า
    ที่ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า
ความเกรงกลัวที่มีต่อเราไม่ได้อยู่ในตัวเจ้าเลย”
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

20 “ด้วยว่า นานมาแล้วที่เจ้าหักแอกของเจ้า
    และตัดสิ่งที่ผูกเจ้าให้หลุดออกไป
    และเจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่รับใช้’
แต่แล้วเจ้าก็ก้มกราบลงอย่างหญิงแพศยาคนหนึ่ง
    บนเนินเขาสูงทุกลูก
    และใต้ต้นไม้อันเขียวชอุ่มทุกต้น
21 เราปลูกเจ้าให้เป็นดั่งเถาพันธุ์เยี่ยม
    เป็นเมล็ดบริสุทธิ์แท้
แล้วเจ้ากลับเน่า
    และได้กลายเป็นเถาที่ไร้ค่า
22 แม้ว่าเจ้าจะชำระล้างตัวเจ้าด้วยน้ำด่าง
    และใช้สบู่มาก
    แต่ความชั่วที่เป็นรอยเปื้อนของเจ้าก็ยังอยู่เบื้องหน้าเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
23 “เจ้าพูดได้อย่างไรว่า ‘ข้าพเจ้าไม่มีมลทิน
    ข้าพเจ้าไม่ได้นมัสการเทพเจ้าบาอัล’
ดูวิถีทางของเจ้าในหุบเขาสิ
    เจ้ารู้ว่าเจ้าได้ทำอะไรไปบ้าง
เหมือนกับอูฐสาวที่วิ่งไปวิ่งมา
24     ลาป่าเคยชินกับถิ่นทุรกันดาร
ลาตัวเมียสูดตามกลิ่นในสายลมเพื่อหาคู่ของมัน
    ใครจะรั้งความต้องการของมันได้ล่ะ
ไม่มีลาผู้ตัวใดที่จำเป็นจะต้องเหนื่อยจากการมองหาลาตัวเมียเลย
    เมื่อถึงเวลาหาคู่ ลาผู้ก็จะหามันพบ
25 อย่าวิ่งไปมาจนเท้าของเจ้าเจ็บ
    หรือทำให้คอของเจ้าแห้ง
แต่เจ้าพูดว่า ‘ไม่เกิดประโยชน์เลย
    เพราะข้าพเจ้าหลงรักเทพเจ้าต่างชาติ
    และข้าพเจ้าจะติดตามต่อไป’

26 ขโมยที่อับอายเมื่อถูกจับได้เป็นอย่างไร
    พงศ์พันธุ์อิสราเอลก็จะอับอายอย่างนั้น
ทั้งพวกเขา บรรดากษัตริย์ ผู้นำ ปุโรหิต
    และบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเขา
27 ซึ่งเป็นบรรดาผู้ที่พูดกับต้นไม้ว่า
    ‘ท่านเป็นบิดาของข้าพเจ้า’
และพูดกับก้อนหินว่า
    ‘ท่านให้กำเนิดแก่เรา’
เพราะพวกเขาหันหลัง
    แทนที่จะหันหน้ามาหาเรา
แต่เมื่อพวกเขามีความลำบากก็พูดว่า
    ‘ขอพระองค์ลุกขึ้นและช่วยพวกเราให้รอดเถิด’
28 แต่พวกเทพเจ้าของเจ้า ที่เจ้าทำขึ้นเองอยู่ไหนล่ะ
    ถ้าเขาช่วยเจ้าให้รอดได้
    เมื่อเจ้ามีความลำบาก ก็ให้พวกเขาลุกขึ้นสิ
เพราะเทพเจ้าของเจ้ามีมาก
    เท่ากับเมืองของเจ้า โอ ยูดาห์เอ๋ย

29 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

ทำไมเจ้าจึงบ่นกับเรา
    พวกเจ้าทุกคนได้ล่วงละเมิดต่อเรา
30 เราได้ลงโทษคนของเจ้า
    แต่พวกเขาก็ไม่รับเป็นบทเรียน
เจ้าฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยดาบของเจ้าเอง
    เหมือนกับสิงโตที่คอยขม้ำเหยื่อ
31 โอ พวกเจ้าที่อยู่ในยุคนี้เอ๋ย
    จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
อิสราเอลเห็นว่า เราเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดาร
    หรือเป็นแผ่นดินอันมืดทึบอย่างนั้นหรือ
เหตุใดชนชาติของเราจึงพูดว่า ‘พวกเรามีอิสระ
    พวกเราจะไม่มาหาพระองค์อีก’
32 หญิงสาวจะลืมเครื่องประดับของเธอ
    หรือเจ้าสาวจะลืมชุดเจ้าสาวได้อย่างนั้นหรือ
ถึงกระนั้นชนชาติของเรายังได้ลืมเราเสียแล้ว
    เป็นเวลานานแสนนาน

33 เจ้าชำนาญในการเลือกหาคนรักได้อย่างดี
    แม้แต่พวกหญิงชั่วร้าย
    เจ้าก็ยังได้สอนวิถีทางของเจ้าให้แก่พวกเขา
34 เสื้อผ้าของเจ้ามีรอยเปื้อนเลือดของผู้ยากไร้ที่ไร้ความผิด
    เจ้าก็รู้ดีว่า พวกเขาไม่ได้บุกเข้าบ้าน
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
35     เจ้ายังพูดว่า ‘ข้าพเจ้าไม่มีความผิด
    พระองค์ไม่เอาผิดข้าพเจ้า’
ดูเถิด เราจะตัดสินเจ้าที่พูดว่า
    ‘ข้าพเจ้าไม่ได้ทำบาป’
36 เจ้าร่อนไปมา
    เปลี่ยนวิถีทางของเจ้าได้ง่ายอะไรเช่นนี้
อียิปต์จะทำให้เจ้าต้องอับอาย
    เหมือนกับที่อัสซีเรียได้ทำให้เจ้าอับอาย
37 เจ้าจะวางมือไว้บนหัว
    และหันกลับออกมาจากอียิปต์
เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกที่เจ้าไว้วางใจ
    และพวกเขาจะไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้”

มัทธิว 16

ฟาริสีและสะดูสีทดสอบพระเยซู

16 พวกฟาริสีและสะดูสีเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อทดสอบขอให้พระองค์แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์จากสวรรค์ พระองค์กล่าวตอบพวกเขาว่า “เมื่อถึงเวลาเย็น พวกท่านจะพูดว่า ‘อากาศจะดี เพราะท้องฟ้าแดง’ ในเวลาเช้าก็ว่า ‘วันนี้จะมีพายุ เพราะท้องฟ้าแดงครึ้ม’ ท่านรู้จักตีความหมายของความเป็นไปของท้องฟ้า แต่ปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ของเวลานี้ ท่านไม่สามารถตีความได้ คนในช่วงกาลเวลาอันชั่วโฉดและไม่ภักดีต่อพระเจ้า แสวงหาปรากฏการณ์อัศจรรย์แต่จะไม่ได้รับ นอกจากปรากฏการณ์อัศจรรย์ของโยนาห์เท่านั้น” ครั้นแล้วพระองค์ก็จากไป

เชื้อยีสต์ของฟาริสีและสะดูสี

บรรดาสาวกข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งและลืมเอาขนมปังไปด้วย พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “จงระวังเชื้อยีสต์ของพวกฟาริสีและสะดูสีให้ดี”

พวกเขาจึงพูดกันเองว่า “เป็นเพราะว่าพวกเราไม่ได้เอาขนมปังมาด้วย”

พระเยซูทราบเรื่องดีจึงกล่าวว่า “ช่างมีความเชื่อน้อยจริง ทำไมพวกเจ้าจึงพูดกันในพวกเจ้าถึงเรื่องไม่มีขนมปัง พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ จำเรื่องขนมปัง 5 ก้อนกับคน 5,000 คนไม่ได้หรือ และเจ้าเก็บได้เต็มกี่ตะกร้า 10 หรือขนมปัง 7 ก้อนกับคน 4,000 คน เจ้ารวบรวมได้กี่ตะกร้าใหญ่ 11 เป็นอย่างไรนะ ที่พวกเจ้าไม่เข้าใจว่าเราไม่ได้พูดกับเจ้าเรื่องขนมปังเลย แต่จงระวังเชื้อยีสต์ของพวกฟาริสีและสะดูสี” 12 แล้วพวกสาวกจึงเข้าใจว่าพระองค์ไม่ได้กล่าวว่า ให้ระวังเชื้อยีสต์ในขนมปัง แต่ให้ระวังการสั่งสอนของพวกฟาริสีและสะดูสี

บุตรมนุษย์เป็นใคร

13 เมื่อพระเยซูเข้าไปถึงเขตเมืองซีซารียาฟีลิปปี พระองค์เริ่มถามบรรดาสาวกว่า “ผู้คนพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นใคร” 14 พวกเขาพูดว่า “บางคนพูดว่า เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บ้างพูดว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็ว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า” 15 พระองค์กล่าวว่า “แต่พวกเจ้าพูดว่าเราเป็นใคร” 16 ซีโมนเปโตรตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่” 17 พระเยซูกล่าวตอบเปโตรว่า “ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย เจ้าก็เป็นสุข มนุษย์มิได้สำแดงเรื่องนี้ให้เจ้ารับรู้ แต่เป็นพระบิดาในสวรรค์ของเรา 18 เราขอบอกเจ้าด้วยว่า เจ้าคือเปโตร[a] เราจะสร้างคริสตจักรของเราบนหินนี้ และแม้พลังจากแดนคนตายก็ไม่อาจมีชัยต่อคริสตจักรนี้ได้ 19 เราจะให้ลูกกุญแจของอาณาจักรแห่งสวรรค์แก่เจ้า อะไรก็ตามที่เจ้าห้ามในโลกก็จะถูกห้ามในสวรรค์ และอะไรก็ตามที่เจ้าอนุญาตในโลก ก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์” 20 แล้วพระองค์กำชับบรรดาสาวกว่า พวกเขาจะต้องไม่บอกผู้ใดว่า พระองค์เป็นพระคริสต์

พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ไว้ล่วงหน้า

21 จากนั้นมา พระเยซูเริ่มแสดงให้บรรดาสาวกทราบว่า พระองค์ต้องไปยังเมืองเยรูซาเล็ม จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ มหาปุโรหิต และจากพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ พระองค์จะถูกประหารชีวิต แล้ว 3 วันต่อมาจะฟื้นคืนชีวิต 22 เปโตรก็พูดทัดทานพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “พระองค์ท่าน ขอพระเจ้าโปรดอย่าให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเลย จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับพระองค์ไม่ได้” 23 แล้วพระองค์ก็หันไปพูดกับเปโตรว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น เจ้าเป็นสิ่งกีดขวางเรา เพราะเจ้าไม่คิดในมุมของพระเจ้า แต่คิดจากมุมมองของมนุษย์”

24 แล้วพระเยซูกล่าวกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าใครปรารถนาจะตามเรามา เขาต้องไม่เห็นแก่ตนเอง และแบกไม้กางเขนของเขา และติดตามเราไป 25 เพราะใครก็ตามที่ต้องการช่วยชีวิตของตนให้รอด จะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่ใครก็ตามที่ยอมเสียชีวิตของเขาเพื่อเรา ก็จะรักษาชีวิตไว้ 26 จะมีประโยชน์อันใด หากคนหนึ่งได้ทั้งโลกมาเป็นของตน แต่ต้องเสียชีวิตของเขาไป หรือคนหนึ่งจะเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตของตนได้ 27 บุตรมนุษย์จะมาด้วยพระสง่าราศีของพระบิดาของท่าน พร้อมด้วยบรรดาทูตสวรรค์ของท่าน แล้วจะสนองตอบแก่ทุกคนตามแต่การกระทำของเขา 28 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า บางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่รู้รสความตาย ก่อนที่จะเห็นบุตรมนุษย์มาในอาณาจักรของท่าน”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation