Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
โยชูวา 18-19

ส่วนแบ่งของดินแดนที่เหลือ

18 แล้วมวลชนชาวอิสราเอลทั้งปวงก็มาประชุมกันที่ชิโลห์ และตั้งกระโจมที่นัดหมายกันที่นั่น แผ่นดินถูกควบคุมอยู่ต่อหน้าพวกเขา

ยังมีชาวอิสราเอลอีก 7 เผ่าที่ยังไม่ได้รับมอบส่วนแบ่งจากมรดก ดังนั้น โยชูวาพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พวกท่านจะผลัดวันไปอีกนานเพียงไร กว่าท่านจะเข้าไปยึดครองแผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านได้มอบให้ท่านแล้ว จงเลือกสรรชาย 3 คนจากแต่ละเผ่า แล้วเราจะส่งเขาออกไปตรวจดูดินแดนให้ทั่วและจงเขียนรายละเอียดไว้ เพื่อแบ่งมรดกของพวกเขา เสร็จแล้วมาหาเรา พวกเขาจะแบ่งดินแดนออกเป็น 7 ส่วน ยูดาห์จะอยู่ในอาณาเขตเดิมทางทิศใต้ ตระกูลของโยเซฟจะอยู่ในอาณาเขตทางทิศเหนือ และพวกท่านจงเขียนรายละเอียดของแผ่นดินเป็น 7 ส่วน และนำข้อความมาให้เราที่นี่ แล้วเราจะจับฉลากให้พวกท่านที่นี่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา ชาวเลวีไม่มีส่วนแบ่งร่วมกับพวกท่าน เพราะตำแหน่งปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดกของพวกเขา กาดกับรูเบนและครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ได้รับมรดกของพวกเขาแล้วที่โพ้นแม่น้ำจอร์แดนทางฟากตะวันออก ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้ามอบให้”

ดังนั้น ชายเหล่านั้นจึงพากันออกเดินทางไป และโยชูวาก็กำชับคนที่ไปให้เขียนรายละเอียดของแผ่นดินว่า “จงท่องไปให้ทั่วแผ่นดิน เขียนรายละเอียด และกลับมาหาเรา แล้วเราจะจับฉลากให้พวกท่านที่นี่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์” ชายเหล่านั้นไปยังแผ่นดินตรวจตราจนทั่ว และเขียนรายละเอียดของเมืองเป็น 7 ส่วนลงในหนังสือม้วน แล้วไปหาโยชูวาที่ค่ายที่ชิโลห์ 10 และโยชูวาจับฉลากให้พวกเขาที่ชิโลห์ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า โยชูวาแบ่งเขตแดนให้แก่ชาวอิสราเอลตามส่วนแบ่งของแต่ละเผ่า

มรดกสำหรับเบนยามิน

11 ฉลากสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัวในเผ่านั้น เป็นอาณาเขตที่อยู่ระหว่างลูกหลานของยูดาห์และลูกหลานของโยเซฟ 12 เขตแดนทางทิศเหนือเริ่มที่แม่น้ำจอร์แดน และเขตแดนเลยขึ้นไปบนไหล่เขาเหนือเยรีโค และผ่านขึ้นไปในแถบภูเขาทางทิศตะวันตก สิ้นสุดลงที่ถิ่นทุรกันดารเบธอาเวน 13 จากที่นั่น เขตแดนผ่านลงไปทางใต้ในแนวที่จะไปเมืองลูสถึงไหล่เขาที่ลูส (คือเบธเอล) แล้วเขตแดนต่อลงไปถึงอาทาโรทอัดดาร์ บนภูเขาที่ตั้งอยู่ใต้สุดของเบธโฮโรน 14 แล้วเขตแดนยื่นต่อไปอีกทิศหนึ่ง เลี้ยวไปทางทิศตะวันตก หันลงไปทางใต้จากภูเขาที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ซึ่งตรงข้ามกับเบธโฮโรน และสิ้นสุดลงที่คีริยาทบาอัล (คือคีริยาทเยอาริม) อันเป็นเมืองที่เป็นของลูกหลานยูดาห์ นี่เป็นเขตทางด้านตะวันตก 15 ส่วนด้านใต้เริ่มที่ชานเมืองคีริยาทเยอาริม เขตแดนเริ่มจากที่นั่น ไปจนถึงเอโฟรน ถึงน้ำพุเนฟโทอาห์ 16 และเขตแดนต่อลงไปถึงริมภูเขาที่หันไปทางหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนมซึ่งอยู่ปลายด้านเหนือของหุบเขาเรฟาอิม และต่อลงไปในหุบเขาฮินโนมที่อยู่ทางทิศใต้ไหล่เขาของชาวเยบุส และลงไปถึงเอนโรเกล 17 แล้วโค้งขึ้นไปทางทิศเหนือจนถึงเอนเชเมช จากที่นั่นก็ไปจนถึงเกลีโลทซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเนินอาดุมมิม และลงไปยังก้อนหินโบฮันบุตรรูเบน 18 และผ่านต่อไปทางเหนือของไหล่เขาเบธอาราบาห์ ลงไปจนถึงอาราบาห์ 19 และเขตแดนผ่านขึ้นไปทางทิศเหนือของไหล่เขาที่เบธโฮกลาห์ สิ้นสุดลงที่อ่าวด้านเหนือของทะเลเกลือ ที่ด้านใต้สุดของแม่น้ำจอร์แดน นี่แหละเป็นเขตแดนทางใต้ 20 แม่น้ำจอร์แดนเป็นเขตแดนทางด้านตะวันออก นี่เป็นมรดกสำหรับลูกหลานของเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา ได้ตามเขตแดนที่ระบุไว้ทุกด้าน

21 ส่วนเมืองต่างๆ ที่เป็นของเผ่าของลูกหลานเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัว มีดังนี้คือ เยรีโค เบธโฮกลาห์ เอเมคเคซีส 22 เบธอาราบาห์ เศ-มาราอิม เบธเอล 23 อัฟวิม ปาราห์ โอฟราห์ 24 เคฟาร์ฮาอัมโมนัย โอฟนี เก-บา รวมเป็น 12 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 25 กิเบโอน รามาห์ เบเอโรท 26 มิสเปห์ เคฟีราห์ โมซาห์ 27 เรเคม อิรเปเอล ทาระลาห์ 28 เศ-ลา หะเอเลฟ เยบุส (คือเยรูซาเล็ม) กิเบอาห์ และคีริยาทเยอาริม รวมเป็น 14 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย นี่เป็นมรดกของลูกหลานเบนยามิน ตามแต่ละครอบครัวในเผ่า

มรดกสำหรับสิเมโอน

19 ฉลากที่สองออกมาเป็นของสิเมโอน สำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของสิเมโอน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา มรดกของเขาอยู่ท่ามกลางมรดกของลูกหลานยูดาห์ มรดกที่ได้รับคือ เบเออร์เช-บา เชบะ โมลาดาห์ ฮาซาร์ชูอาล บาลาห์ เอเซม เอลโทลัด เบธูล โฮร์มาห์ ศิกลาก เบธมาร์คาโบท ฮาซาร์สูสาห์ เบธเลบาโอท และชารุเฮน รวมเป็น 13 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย อายิน ริมโมน เอเธอร์ อาชาน รวมเป็น 4 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย รวมทั้งหมู่บ้านทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเมืองเหล่านี้ ไกลออกไปจนถึงบาอาลัทเบเออร์ รามาห์ที่เนเกบ นี่เป็นมรดกสำหรับเผ่าของลูกหลานสิเมโอน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา มรดกของลูกหลานสิเมโอนเป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตที่เป็นของลูกหลานยูดาห์ เพราะว่าส่วนแบ่งของลูกหลานยูดาห์ขนาดใหญ่เกินไปสำหรับพวกเขา ลูกหลานสิเมโอนจึงได้รับมรดกที่อยู่ท่ามกลางมรดกของพวกเขา

มรดกสำหรับเศบูลุน

10 ฉลากที่สามออกมาเป็นของลูกหลานของเศบูลุน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา และมรดกของเขาไปไกลถึงสาริด 11 และเขตแดนของพวกเขาขึ้นไปทางทิศตะวันตก เลยไปจนถึงมาเรอัล และไปจรดดับเบเชทและธารน้ำที่อยู่ทางทิศตะวันออกของโยกเนอัม 12 จากสาริดเลี้ยวไปทางด้านตะวันออก คือทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จนถึงเขตแดนของคิสโลททาโบร์ และต่อไปถึงดาเบรัทขึ้นไปยังยาเฟีย 13 จากนั้นผ่านต่อไปทางทิศตะวันออก คือทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงกัทเฮเฟอร์ และเอทคาซิน ออกมาที่ริมโมนแล้วก็หันไปทางเนอาห์ 14 ทางทิศเหนือ เขตแดนเลี้ยวไปทางฮันนาโธน และสิ้นสุดลงที่หุบเขาอิฟทาห์เอล 15 และเมืองขัทตาท นาหะลาล ชิมโรน อิดาลาห์ และเบธเลเฮม รวมเป็น 12 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 16 เมืองเหล่านี้ซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วยคือ มรดกสำหรับลูกหลานของเศบูลุน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

มรดกสำหรับอิสสาคาร์

17 ฉลากที่สี่ออกมาเป็นของอิสสาคาร์ สำหรับลูกหลานของอิสสาคาร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 18 อาณาเขตของพวกเขามียิสเรเอล เคสุลโลท ชูเนม 19 ฮาฟาราอิม ชิโยน อานาหะราท 20 รับบีท คีชิโอน เอเบส 21 เรเมท เอนกันนิม เอนหัดดาห์ เบธปัสเซส 22 เขตแดนจรดเมืองทาโบร์ ชาหะซุมาห์ เบธเชเมชด้วย และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน รวมเป็น 16 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 23 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าของลูกหลานอิสสาคาร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

มรดกสำหรับอาเชอร์

24 ฉลากที่ห้าออกมาเป็นของเผ่าที่เป็นลูกหลานของอาเชอร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 25 อาณาเขตของเขามี เฮลขัท ฮาลี เบเทน อัคชาฟ 26 อาลัมเมเลค อามาด และมิชอาล ทางทิศตะวันตกจรดคาร์เมล และชิโหร์ลิบนาท 27 แล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันออก ไปถึงเบธดาโกน จรดเศบูลุนและหุบเขาอิฟทาห์เอล ไปทางทิศเหนือถึงเบธเอเมคและเนอีเอล และไปทางทิศเดิมจนถึงคาบูล 28 เอโบรน เรโหบ ฮัมโมน คานาห์ ไกลจนถึงมหาไซดอน 29 และเขตแดนเลี้ยวกลับไปทางรามาห์ ไปจนถึงไทระซึ่งเป็นเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และเขตแดนเลี้ยวไปทางโฮสาห์ และสิ้นสุดลงที่ทะเล ข้างอาณาเขตอัคซีบ 30 อุมมาห์ อาเฟก และเรโหบ รวมเป็น 22 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 31 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของอาเชอร์ ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

มรดกสำหรับนัฟทาลี

32 ฉลากที่หกออกมาเป็นของลูกหลานของนัฟทาลี ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 33 และเขตแดนของเขาเริ่มจากเฮเลฟจากต้นโอ๊กในศานันนิม และอาดามีเนเขบ และยับเนเอล ไกลจนถึงลัคคูม และสิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน 34 และเขตแดนเลี้ยวไปทางทิศตะวันตก ไปถึงอัสโนททาโบร์ และต่อไปจนถึงหุกกอก จรดเศบูลุนทางทิศใต้ อาเชอร์ทางทิศตะวันตก และยูดาห์ทางทิศตะวันออกที่แม่น้ำจอร์แดน 35 เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งคือ ศิดดิม เศอร์ ฮัมมัท รัคคัท คินเนเรท 36 อาดามาห์ รามาห์ ฮาโซร์ 37 เคเดช เอเดรอี เอนฮาโซร์ 38 ยิโรน มิกดัลเอล โฮเรม เบธานาท และเบธเชเมช รวมเป็น 19 เมืองซึ่งมีหมู่บ้านรวมอยู่ด้วย 39 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของนัฟทาลี ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

มรดกสำหรับดาน

40 ฉลากที่เจ็ดออกมาเป็นของเผ่าที่เป็นลูกหลานของดาน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา 41 อาณาเขตที่เป็นมรดกของเผ่ามี โศราห์ เอชทาโอล อิร์เชเมช 42 ชาอาลับบิน อัยยาโลน ยิทลาห์ 43 เอโลน ทิมนาห์ เอโครน 44 เอลเทเคห์ กิบเบโธน บาอาลัท 45 เยฮุด เบเนเบราค กัทริมโมน 46 เมยาร์โคน และรัคโคน และอาณาเขตแถวยัฟฟาด้วย 47 เมื่อลูกหลานของดานสูญเสียอาณาเขตของเขาไป พวกเขาก็ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเลเชม เมื่อตีเมืองได้และใช้ดาบฆ่าฟันแล้ว จึงยึดครองเมืองและตั้งรกรากที่นั่น ตั้งชื่อดานแทนชื่อเมืองเลเชม ตามชื่อของดานบรรพบุรุษของพวกเขา 48 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นมรดกสำหรับเผ่าที่เป็นลูกหลานของดาน ตามแต่ละครอบครัวของพวกเขา

มรดกสำหรับโยชูวา

49 เมื่อแบ่งดินแดนและยกอาณาเขตให้เป็นมรดกเสร็จแล้ว ชาวอิสราเอลก็มอบมรดกบางส่วนที่เป็นของตนให้แก่โยชูวาบุตรของนูน 50 พวกเขามอบเมืองที่โยชูวาขอ คือทิมนาทเสราห์ในแถบภูเขาของเอฟราอิม ตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และท่านก็สร้างเมืองขึ้นใหม่และตั้งรกรากอยู่ที่นั่น

51 เอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรของนูน และบรรดาหัวหน้าบรรพบุรุษของเผ่าชาวอิสราเอลใช้การจับฉลากแบ่งมรดกดังกล่าวที่ชิโลห์ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ที่ทางเข้ากระโจมที่นัดหมาย แล้วการแบ่งมรดกก็เสร็จสิ้น

สดุดี 149-150

บทเพลงแห่งชัยชนะ

จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
    ร้องสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุมของบรรดาผู้ภักดี
ให้อิสราเอลยินดีในผู้สร้างของเขา
    ให้บรรดาบุตรของศิโยนรื่นเริงในกษัตริย์ของพวกเขา
ให้พวกเขาสรรเสริญพระนามของพระองค์ด้วยการร่ายรำ
    บรรเลงเพลงแด่พระองค์ด้วยรำมะนาและพิณเล็ก
เพราะพระผู้เป็นเจ้าพอใจในชนชาติของพระองค์
    พระองค์เชิดชูคนถ่อมตนด้วยการให้เขารอดพ้น
ให้บรรดาผู้ภักดียินดีในเกียรติ
    ให้พวกเขาเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดีจากที่ที่เขาเอนกายลง
ให้เสียงร้องสรรเสริญพระเจ้าอยู่ในลำคอของเขา
    และดาบสองคมอยู่ในมือ
เพื่อลงโทษบรรดาประชาชาติ
    และแก้แค้นบรรดาชนชาติ
เพื่อล่ามโซ่บรรดากษัตริย์ของพวกเขา
    และตีตรวนเหล็กให้พวกขุนนางของเขา
เพื่อลงโทษทัณฑ์ตามคำบัญชา
    นั่นคือเกียรติแก่บรรดาผู้ภักดีของพระองค์

จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

สรรเสริญพระเจ้าในสถานที่บริสุทธิ์ของพระองค์
    สรรเสริญพระองค์ในฟ้าสวรรค์อันกอปรด้วยอานุภาพของพระองค์
สรรเสริญพระองค์ในการกระทำอันพร้อมด้วยมหิทธานุภาพของพระองค์
    สรรเสริญพระองค์ตามความยิ่งใหญ่อย่างยิ่งของพระองค์
สรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงแตรงอน
    สรรเสริญพระองค์ด้วยพิณสิบสายและพิณเล็ก
สรรเสริญพระองค์ด้วยรำมะนาใบเล็กและการร่ายรำ
    สรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและปี่
สรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉาบ
    สรรเสริญพระองค์ด้วยการตีฉาบเสียงดังสนั่น

ให้ทุกสิ่งที่หายใจสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

เยเรมีย์ 9

โอ อยากให้ศีรษะข้าพเจ้าเป็นแอ่งน้ำ
    และดวงตาข้าพเจ้าเป็นน้ำพุของน้ำตา
ข้าพเจ้าจะได้ร้องไห้ทั้งวันและคืน
    ที่บุตรหญิงของประชาชนของข้าพเจ้าถูกฆ่าตาย
โอ ข้าพเจ้าอยากจะมีที่พัก
    สำหรับค้างแรมในทะเลทราย
จะได้ปล่อยประชาชนไว้
    และไปจากพวกเขา
เพราะพวกเขาทุกคนผิดประเวณี
    เป็นกลุ่มชนที่ไม่ภักดี
“พวกเขางอลิ้นได้อย่างคันธนู
    ความจอมปลอมซึ่งไร้ความจริงเกิดขึ้นทั่วแผ่นดิน
ด้วยว่าพวกเขาทำความชั่วเรื่อยไป
    และพวกเขาไม่รู้จักเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“ให้ทุกคนระวังเพื่อนบ้านของตน
    อย่าไว้ใจพี่น้องคนใด
เพราะพี่น้องทุกคนเป็นผู้หลอกลวง
    และเพื่อนบ้านทุกคนพูดว่าร้ายคนอื่น
ทุกคนหลอกลวงเพื่อนบ้านของตน
    ไม่มีผู้ใดพูดความจริง
พวกเขาชำนาญในการพูดเท็จ
    และทำบาปอย่างไม่หยุดหย่อน
กดขี่ข่มเหงและหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำอีก
    พวกเขาไม่ยอมรู้จักเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะหลอมพวกเขาอย่างโลหะและทดสอบพวกเขา
    เพราะชนชาติของเราทำความชั่ว
    เราจะทำอะไรต่อพวกเขาอีก
ลิ้นของพวกเขาเป็นเหมือนลูกธนูมีพิษ
    พูดลวงหลอก
เขาแต่ละคนใช้ปากพูดอย่างสันติกับเพื่อนบ้าน
    แต่ในใจก็วางแผนให้เขาติดกับดัก

พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เราควรจะลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ
    และเราควรจะแก้แค้นประชาชาติที่เป็นอย่างนี้มิใช่หรือ

10 เราจะร้องไห้และคร่ำครวญให้แก่เทือกเขา
    และร้องคร่ำครวญให้แก่ทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดาร
เพราะมันกลายเป็นที่รกร้างจนไม่มีผู้ใดผ่านไป
    และไม่มีเสียงฝูงโคส่งเสียงร้องถึงกันและกัน
ทั้งนกในอากาศและสัตว์ป่า
    หนีไปกันหมดแล้ว
11 เราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นกองซากปรักหักพัง
    เป็นที่อยู่ของหมาใน
และเราจะทำให้เมืองต่างๆ ของยูดาห์เป็นที่รกร้าง
    ปราศจากผู้อยู่อาศัย”

12 ใครเป็นผู้เรืองปัญญาที่อาจจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวให้ใครฟัง เพื่อให้เป็นผู้ประกาศเรื่องดังกล่าว ทำไมแผ่นดินจึงเสียหายและรกร้างเหมือนถิ่นทุรกันดาร จนถึงกับไม่มีผู้ใดผ่านไป

13 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งกฎบัญญัติที่เราตั้งให้พวกเขาปฏิบัติตาม และเขาไม่ได้เชื่อฟังเรา หรือดำเนินตามกฎ 14 แต่ดื้อรั้นทำตามใจตนเอง และไปติดตามเทพเจ้าบาอัล อย่างที่บรรพบุรุษได้สอนพวกเขา 15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะให้อาหารขมแก่ชนชาตินี้รับประทาน และให้น้ำมีพิษแก่พวกเขาดื่ม 16 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ซึ่งพวกเขาและบรรพบุรุษของเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน และเราจะให้พวกเขาต้องเจอกับสงคราม จนกว่าเราจะทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น”

17 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ว่า

“จงพิจารณาดู และเรียกพวกผู้หญิงที่ร้องไห้คร่ำครวญให้มาเถิด
    ให้พวกผู้หญิงที่ร้องไห้เป็นอาชีพมา
18 ให้พวกเขารีบมาและส่งเสียงร้องรำพันให้กับพวกเรา
    ให้น้ำตาพวกเราหลั่งไหล
    จนเปลือกตาเปียกชุ่ม
19 เสียงร้องรำพันจากศิโยนเป็นที่ได้ยิน
    ‘พวกเรายับเยินอะไรเช่นนี้
    น่าอับอายเหลือเกิน
ด้วยว่า พวกเราได้ออกไปจากแผ่นดิน
    เพราะพวกเขาพังที่อยู่ของพวกเราลงแล้ว’”

20 โอ พวกผู้หญิงเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
    และให้หูของท่านรับฟังคำกล่าวที่ออกจากปากของพระองค์
จงสอนบรรดาบุตรหญิงของท่านให้ร้องคร่ำครวญ
    และสอนเพื่อนบ้านของแต่ละคนให้ร้องเพลงเศร้า
21 เพราะความตายได้ขึ้นมายังหน้าต่างของพวกเรา
    มันได้เข้ามาในวังของพวกเรา
ความตายได้มาถึงพวกเด็กๆ ที่ถนน
    และมาถึงชายหนุ่มที่ลานชุมนุม

22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า จงพูดตามนี้

“ร่างมนุษย์จะล้มตาย
    อย่างอุจจาระบนทุ่งโล่ง
อย่างฟ่อนข้าวตกข้างหลังผู้เก็บเกี่ยว
    และจะไม่มีใครเก็บรวบรวมมันขึ้นมาอีก”

23 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “อย่าให้ผู้เรืองปัญญาโอ้อวดถึงสติปัญญาของเขา อย่าให้ผู้มีอำนาจโอ้อวดถึงอำนาจของเขา อย่าให้ผู้มั่งมีโอ้อวดถึงความมั่งมีของเขา 24 แต่ผู้ที่โอ้อวด ก็จงให้เขาโอ้อวดถึงเรื่องนี้คือ เขาเข้าใจและรู้จักเราว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า[a] ผู้แสดงความรักอันมั่นคง ความยุติธรรม และความชอบธรรมในแผ่นดินโลก เพราะเราชื่นชอบสิ่งเหล่านี้” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

25 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “ดูเถิด จะถึงวันที่เราจะลงโทษทุกคนที่เข้าสุหนัตแต่เพียงร่างกายเท่านั้น 26 อียิปต์ ยูดาห์ เอโดม บรรดาบุตรของอัมโมน โมอับ และทุกคนที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายที่ตัดผมที่จอนหู เพราะประชาชาติทั้งปวงไม่เข้าสุหนัต และใจของพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดไม่ได้เข้าสุหนัต”

มัทธิว 23

ความวิบัติ 7 ประการ

23 ครั้นแล้วพระเยซูกล่าวกับฝูงชนและเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสีนั่งในที่นั่งของโมเสส ฉะนั้นจงกระทำตามทุกสิ่งที่พวกเขาบอกให้เจ้าฟัง แต่อย่ากระทำตามการกระทำของเขา เพราะเขาสอนเท่านั้น แต่ไม่ปฏิบัติตาม พวกเขาให้ผู้คนแบกหามภาระหนัก โดยที่พวกเขาไม่ยอมแม้แต่จะยกนิ้วขึ้นช่วยเขาเลย พวกเขาปฏิบัติตนให้คนสังเกตเห็น ติดเครื่องราง[a]ขนาดใหญ่ไว้กับตัว และมีพู่ยาวห้อยจากเสื้อ พวกเขาชอบที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง และที่นั่งสำหรับคนสำคัญที่สุดในศาลาที่ประชุม ชอบให้คนทักทายแสดงความเคารพในย่านตลาดและให้ผู้คนเรียกพวกเขาว่า ‘รับบี’[b] อย่าให้คนเรียกเจ้าว่า ‘รับบี’ เพราะมีผู้เดียวที่เป็นอาจารย์ และทุกคนในพวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน อย่าเรียกใครในโลกนี้ว่าบิดา เพราะเจ้ามีพระบิดาผู้เดียว และพระองค์สถิตบนสวรรค์ 10 อย่าให้คนเรียกเจ้าว่า ‘ผู้สอน’ เพราะเจ้ามีผู้สอนผู้เดียว พระองค์คือพระคริสต์ 11 แต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในพวกเจ้าจะเป็นผู้รับใช้ของเจ้า 12 ผู้ใดที่ยกย่องตัวเองก็จะถูกเหยียดลง และผู้ใดที่ถ่อมตัวก็จะได้รับการยกย่อง

13 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านได้ปิดอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ให้คนเข้า ท่านเองไม่ได้เข้าไปและยังขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นล่วงเข้าไปเสียด้วย [14 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ท่านริบบ้านเรือนของพวกหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่อให้คนเห็น ฉะนั้นท่านจะถูกกล่าวโทษอย่างหนัก][c] 15 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำเพื่อจะทำให้คนหนึ่งเชื่อในศาสนายิว เมื่อเขาหันมาเชื่อแล้วท่านก็ทำให้เขาลงนรกยิ่งกว่าท่านเองถึง 2 เท่า

16 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกผู้นำทางที่มีแต่ความมืดบอด ท่านพูดว่า ‘ใครก็ตามที่อ้างถึงพระวิหารเวลาสาบาน เขาก็ไม่ต้องทำตามคำสาบาน แต่ใครก็ตามที่อ้างถึงทองของพระวิหารเวลาสาบาน ผู้นั้นผูกมัดกับคำสาบานแล้ว’ 17 พวกท่านช่างโง่เขลามืดบอด อะไรสำคัญกว่ากัน ทองหรือพระวิหารซึ่งทำให้ทองบริสุทธิ์ 18 และท่านพูดว่า ‘ใครก็ตามที่อ้างถึงแท่นบูชาเวลาสาบาน เขาก็ไม่ต้องทำตามคำสาบาน แต่ใครก็ตามที่อ้างถึงของบูชาบนแท่นนั้น เขาผูกมัดกับคำสาบานแล้ว’ 19 พวกท่านช่างมืดบอดเสียจริง อะไรสำคัญกว่ากัน ของบูชาหรือแท่นซึ่งทำให้ของบูชาบริสุทธิ์ 20 ฉะนั้นคนที่สาบานโดยอ้างถึงแท่นบูชา ก็อ้างถึงแท่นบูชาและทุกสิ่งที่อยู่บนแท่นด้วย 21 และคนที่สาบานโดยอ้างถึงพระวิหาร ก็อ้างถึงพระวิหารและพระองค์ผู้สถิตในนั้นด้วย 22 และคนที่สาบานโดยอ้างถึงสวรรค์ ก็อ้างถึงบัลลังก์ของพระเจ้าและพระองค์ผู้สถิตบนนั้นด้วย

23 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านให้หนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี[d] และยี่หร่า แต่กลับเพิกเฉยต่อกฎบัญญัติที่สำคัญกว่าคือ ความเป็นธรรม ความเมตตา และความเชื่อ สิ่งเหล่านี้ท่านควรกระทำอยู่ก่อนแล้วโดยไม่ละเลยจำนวนหนึ่งในสิบด้วย 24 พวกผู้นำทางที่มีแต่ความมืดบอด พวกท่านกรองตัวริ้นออกและกลืนตัวอูฐลงไป

25 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านทำความสะอาดถ้วยชามภายนอก แต่ภายในกลับเต็มด้วยความโลภและกิเลส 26 ท่านฟาริสีก็เต็มด้วยความมืดบอดเสียจริง จงล้างภายในถ้วยชามก่อน เพื่อภายนอกจะได้สะอาดด้วย

27 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านเป็นเหมือนถ้ำเก็บศพฉาบด้วยปูนขาวซึ่งภายนอกดูสวยงาม แต่ภายในเต็มไปด้วยกระดูกของคนตายและสิ่งที่เป็นมลทินทั้งปวง 28 ภายนอกดูเหมือนว่าท่านมีความชอบธรรมในสายตามนุษย์ แต่ภายในท่านเต็มด้วยความหลอกลวงและความชั่วช้า

29 วิบัติจงเกิดแก่ท่าน พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและฟาริสี ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก เพราะท่านสร้างถ้ำเก็บศพให้พวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และประดับประดาหลุมฝังศพของคนมีความชอบธรรม 30 ท่านพูดว่า ‘ถ้าพวกเราได้มีชีวิตอยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรา เราก็จะไม่มีส่วนร่วมในการนองเลือดของพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว’ 31 ดังนั้น ท่านได้ยืนยันว่าท่านเป็นบรรดาบุตรของพวกที่ฆ่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 32 ฉะนั้นท่านก็กระทำต่อให้ครบขั้นตอนของบรรพบุรุษของท่านเถิด 33 ท่านเป็นพวกงู พวกชาติอสรพิษ ท่านจะพ้นจากโทษแห่งนรกได้อย่างไร 34 ฉะนั้นเรากำลังส่งพวกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า พวกผู้มีปัญญา และเหล่าอาจารย์ มายังท่าน ท่านจะฆ่าและตรึงพวกเขาบางคนบนไม้กางเขน สำหรับบางคน ท่านก็จะเฆี่ยนเขาในศาลาที่ประชุมของท่าน และข่มเหงไปทั่วทุกเมือง 35 ผลที่ตามมาก็คือโลหิตที่หลั่งออกจากบรรดาผู้มีความชอบธรรมลงสู่พื้นนั้นจะตกอยู่กับท่าน นับตั้งแต่โลหิตของอาเบล[e]ผู้มีความชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์[f]บุตรของเบเรคิยาห์ที่ท่านได้ฆ่าในระหว่างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าและแท่นบูชา 36 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับคนในช่วงกาลเวลานี้

37 โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และได้เอาหินขว้างผู้ที่พระเจ้าส่งมาให้เจ้า หลายต่อหลายครั้งที่เราอยากจะปกป้องลูกๆ ของเจ้าไว้เหมือนกับแม่ไก่โอบลูกไก่ไว้ใต้ปีก พวกเจ้านั่นแหละที่ไม่ยินยอม 38 ดูเถิด บ้านของเจ้าถูกทิ้งร้างไว้ 39 เราขอบอกว่า เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะพูดว่า ‘ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด’”[g]

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation