M’Cheyne Bible Reading Plan
กิเดโอนโจมตีเศบาห์และศัลมุนนาพ่ายไป
8 ชายชาวเอฟราอิมพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงกระทำต่อพวกเราเช่นนี้ ท่านไม่บอกให้พวกเราทราบเวลาท่านไปต่อสู้กับชาวมีเดียน” แล้วพวกเขาตำหนิกิเดโอนอย่างรุนแรง 2 เขากล่าวตอบว่า “เวลานี้เรากระทำสิ่งใดเมื่อเปรียบเทียบกับพวกท่าน ผลองุ่นที่ตกหล่นซึ่งชาวเอฟราอิมเก็บ ยังดีกว่าผลองุ่นซึ่งอาบีเอเซอร์เก็บได้ทั้งไร่มิใช่หรือ 3 พระเจ้าได้มอบโอเรบและเศเอบผู้นำของชาวมีเดียนไว้ในมือพวกท่าน เราสามารถทำอะไรได้ล่ะเมื่อเปรียบเทียบกับท่าน” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้นแล้ว ความโกรธของพวกเขาจึงค่อยคลายลง
4 กิเดโอนกับชาย 300 คนมาถึงแม่น้ำจอร์แดนแล้วก็ข้ามต่อไปอีก แม้จะอ่อนแรงแล้วแต่ก็ยังคงไล่ล่าศัตรูไปอย่างไม่หยุดยั้ง 5 เขาจึงพูดกับชายชาวสุคคทว่า “ขอให้คนที่ติดตามเรามาได้รับขนมปังบ้าง เพราะพวกเขาอ่อนแรงเหลือเกิน เรากำลังไล่ล่าเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์แห่งมีเดียนอยู่” 6 พวกเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ของสุคคทพูดว่า “มือของเศบาห์และศัลมุนนาอยู่ในมือของท่านแล้วหรือ จึงจะให้พวกเราเอาขนมปังมาให้กองทัพของท่าน” 7 ดังนั้น กิเดโอนพูดว่า “ถ้าฉะนั้นแล้ว เมื่อพระผู้เป็นเจ้ามอบเศบาห์และศัลมุนนาไว้ในมือของเราแล้ว เราจะใช้หนามและพุ่มไม้หนามในถิ่นทุรกันดารขูดเนื้อของท่าน” 8 จากนั้นเขาก็ขึ้นไปยังเมืองเปนูเอล และพูดในทำนองเดียวกัน และชายชาวเปนูเอลก็ตอบเขาเหมือนกับที่ชายชาวสุคคทตอบ 9 เขาพูดกับชายชาวเปนูเอลว่า “เมื่อเรากลับมาด้วยความมีชัย เราจะโค่นหอคอยนี้ลงเสีย”
10 ขณะนั้นเศบาห์และศัลมุนนาอยู่ที่คาร์โคร์กับกองทัพทหารประมาณ 15,000 คนซึ่งเหลือจากกองทัพของชาวตะวันออก พลดาบจำนวน 120,000 คนล้มตายไปแล้ว 11 กิเดโอนขึ้นไปทางที่พวกไม่มีหลักแหล่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมืองโนบาห์และเมืองโยกเบฮาห์ และโจมตีกองทัพอย่างไม่ทันรู้ตัว 12 เศบาห์และศัลมุนนาก็หนีไป เขาไล่ล่าและจับตัวเศบาห์และศัลมุนนากษัตริย์ทั้งสองแห่งมีเดียนไว้ได้ ทำให้ทั้งกองทัพหวาดหวั่น
13 แล้วกิเดโอนบุตรของโยอาชก็กลับจากศึกสงครามโดยไปทางข้ามที่เนินเขาเฮเรส 14 เขาจับตัวชายหนุ่มชาวสุคคทผู้หนึ่งและสอบถาม เขาเขียนชื่อของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้อาวุโสของสุคคทให้ รวมได้ 77 คน 15 เขาไปหาชายชาวสุคคทและพูดว่า “ดูเถิด พวกท่านดูหมิ่นเราเรื่องเศบาห์และศัลมุนนาว่า ‘มือของเศบาห์กับศัลมุนนาอยู่ในมือของท่านแล้วหรือ จึงจะให้พวกเราเอาขนมปังมาให้คนของท่านที่อ่อนแรง’” 16 แล้วเขาเอาตัวพวกผู้อาวุโสของเมืองไป เอาหนามกับพุ่มไม้หนามในถิ่นทุรกันดารใช้สั่งสอนเป็นบทเรียนให้กับชายชาวสุคคท 17 และเขาได้โค่นหอคอยของเมืองเปนูเอล และฆ่าชายชาวเมืองนั้นด้วย
18 เขาพูดกับเศบาห์และศัลมุนนาว่า “พวกผู้ชายที่ท่านฆ่าที่ทาโบร์เป็นอย่างไร” ทั้งสองตอบว่า “ท่านเป็นอย่างไร พวกเขาก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนเป็นเหมือนบุตรของกษัตริย์” 19 เขาตอบว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องของเรา บรรดาบุตรของมารดาของเรา ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด หากว่าท่านไว้ชีวิตพวกเขา เราก็จะไม่ฆ่าท่านหรอก” 20 ดังนั้นเขาพูดกับเยเธอร์บุตรหัวปีของตนว่า “ลุกขึ้นฆ่าเขาทั้งสองเสีย” แต่ชายหนุ่มไม่กล้าชักดาบออกเพราะเขากลัว เนื่องจากยังเด็กอยู่ 21 เศบาห์และศัลมุนนาพูดว่า “ท่านลุกขึ้นจัดการเราเองสิ เป็นผู้ใหญ่เท่าใด พละกำลังก็เป็นตามนั้น” กิเดโอนจึงลุกขึ้นฆ่าเศบาห์และศัลมุนนา และเขาเอาเครื่องประดับรูปจันทร์เสี้ยวที่แขวนคออูฐของท่านทั้งสองไป
ชุดคลุมของกิเดโอน
22 ชายชาวอิสราเอลพูดกับกิเดโอนว่า “ปกครองพวกเราเถิด ทั้งตัวท่านและลูกหลานของท่านด้วย เพราะท่านได้ช่วยเราให้รอดปลอดภัยจากชาวมีเดียน” 23 กิเดโอนพูดกับพวกเขาว่า “เราจะไม่ปกครองพวกท่าน ลูกของเราจะไม่ปกครองท่านด้วยเช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าจะปกครองท่าน” 24 และกิเดโอนพูดอีกว่า “เราขอร้องพวกท่านสิ่งหนึ่งคือ ขอพวกท่านทุกคนมอบตุ้มหูที่ริบมาได้” (เพราะพวกเขามีตุ้มหูทองคำเนื่องจากเป็นชาวอิชมาเอล) 25 พวกเขาตอบว่า “พวกเราจะมอบให้อย่างเต็มใจ” แล้วก็ได้ปูเสื้อคลุม 1 ตัวลง ชายทุกคนต่างก็วางตุ้มหูของตนที่ริบมาได้ 26 ตุ้มหูทองคำทั้งหมดที่เขาขอได้หนัก 1,700 เชเขล[a] ซึ่งนอกเหนือจากเครื่องประดับรูปจันทร์เสี้ยว เข็มกลัด เสื้อผ้าสีม่วงที่กษัตริย์ของชาวมีเดียนสวมใส่ และปลอกคอที่ห้อยคออูฐของพวกท่านด้วย 27 แล้วกิเดโอนใช้ทองคำตีเป็นชุดคลุมเก็บไว้ที่โอฟราห์เมืองของเขา ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ได้กระทำตนดั่งหญิงแพศยาที่ได้บูชาชุดคลุม ซึ่งนำความลำบากมาให้กิเดโอนและครอบครัวของเขา 28 ดังนั้นชาวมีเดียนอยู่ใต้บังคับของชาวอิสราเอลจนโงศีรษะขึ้นไม่ได้อีกเลย แผ่นดินจึงได้อยู่ในความสันติเป็นเวลา 40 ปีในสมัยของกิเดโอน
กิเดโอนเสียชีวิต
29 เยรุบบาอัลบุตรของโยอาชกลับไปอาศัยอยู่ที่บ้านของตน 30 ขณะนั้นกิเดโอนมีบุตรชาย 70 คนที่เป็นเชื้อสายของเขาเอง เนื่องจากเขามีภรรยาหลายคน 31 ภรรยาน้อยที่อยู่ในเมืองเชเคมมีบุตรกับเขาคนหนึ่ง เขาตั้งชื่อว่า อาบีเมเลค 32 กิเดโอนบุตรโยอาชสิ้นชีวิตเมื่อชรามาก และถูกฝังในอุโมงค์ฝังศพของโยอาชบิดาของเขาที่โอฟราห์ของชาวอาบีเอเซอร์
33 ทันทีที่กิเดโอนสิ้นชีวิต ชาวอิสราเอลก็กลับไปประพฤติตัวเช่นหญิงแพศยาอีก พวกเขาบูชาเทวรูปบาอัลทั้งหลาย ให้เทวรูปบาอัลเบรีทเป็นเทพเจ้าของพวกเขา 34 และชาวอิสราเอลไม่ระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ผู้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากศัตรูรอบข้าง 35 และไม่ได้แสดงความรักอันมั่นคงต่อครอบครัวของเยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) เพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งดีๆ ทั้งหลายที่เขาได้กระทำเพื่ออิสราเอล
เปโตรตามทูตสวรรค์ออกไปจากคุก
12 ในระยะเวลานั้น กษัตริย์เฮโรดจับกุมบางคนที่มีส่วนร่วมในคริสตจักร โดยเจตนาจะข่มเหงคนเหล่านั้น 2 เฮโรดสั่งฆ่ายากอบซึ่งเป็นพี่ชายของยอห์นด้วยดาบ 3 เมื่อท่านเห็นว่าชาวยิวพอใจก็คิดจะจับกุมเปโตรด้วย เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 4 หลังจากที่ท่านได้จับกุมเปโตรแล้วก็สั่งจำคุก มีทหาร 4 กลุ่ม กลุ่มละ 4 คนคุมตัวไว้ เฮโรดตั้งใจที่จะพิจารณาคดีต่อหน้าประชาชนหลังจากเทศกาลปัสกา 5 ขณะที่เปโตรถูกจำคุก คริสตจักรก็ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านมากยิ่งขึ้น
6 ในคืนก่อนที่เฮโรดจะนำตัวเปโตรออกพิจารณาคดี เปโตรนอนอยู่ระหว่างทหาร 2 คนโดยมีโซ่ล่ามไว้ 2 เส้น และมีพวกทหารยามเฝ้าอยู่ทางเข้า 7 ในทันใดนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และมีแสงส่องในเรือนจำ ทูตสวรรค์สัมผัสเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วกล่าวว่า “เร็วๆ ลุกขึ้นเถิด” แล้วโซ่ก็หลุดออกจากข้อมือของเปโตร 8 ทูตสวรรค์กล่าวกับเปโตรว่า “จงสวมเสื้อผ้าและรองเท้าของท่านเถิด” เปโตรก็ทำตาม ทูตสวรรค์จึงกล่าวต่อไปว่า “สวมเสื้อคลุมแล้วตามเรามา” 9 เปโตรก็ตามทูตสวรรค์ออกไปจากคุก แต่ไม่คิดว่าที่ทูตสวรรค์กระทำอยู่นั้นเป็นความจริง คิดว่าที่เห็นเป็นเพียงภาพนิมิตเท่านั้น 10 เมื่อทั้งสองผ่านยามชั้นที่หนึ่งและที่สองมา แล้วก็มาถึงประตูเหล็กทางเข้าสู่เมือง ประตูก็เปิดออกเองให้เขาทั้งสองผ่านไปได้ เมื่อออกมาได้ไกลประมาณถนนหนึ่ง ทูตสวรรค์ก็จากท่านไปโดยฉับพลัน 11 เปโตรรู้สึกตัวขึ้นจึงพูดว่า “ข้าพเจ้าทราบแน่แล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรด และจากทุกสิ่งที่ชาวยิวคาดหมายว่าจะทำ”
12 เมื่อท่านตระหนักเช่นนั้นแล้ว จึงไปยังบ้านของมารีย์มารดาของยอห์นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโก ที่นั่นมีผู้คนจำนวนมากกำลังร่วมกันอธิษฐานอยู่ 13 ครั้นเปโตรเคาะประตูทางเข้าด้านนอก เด็กรับใช้หญิงชื่อโรดาก็มาฟังที่ประตู 14 และจำเสียงของเปโตรได้ จึงเกิดความยินดี วิ่งกลับไปโดยไม่ได้เปิดประตูให้ พลางร้องว่า “เปโตรอยู่ที่ประตู” 15 เขาเหล่านั้นบอกเธอว่า “เธอเสียสติแล้ว” เมื่อเธอยืนกรานว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาจึงกล่าวว่า “คงต้องเป็นทูตสวรรค์ของท่าน” 16 แต่เปโตรก็ยังเคาะประตูอยู่ เมื่อคนเหล่านั้นเปิดประตูแล้ว เห็นท่านยืนอยู่ก็พากันแปลกใจ 17 เปโตรโบกมือให้พวกเขาเงียบ แล้วอธิบายว่าพระผู้เป็นเจ้าได้นำท่านออกจากคุกได้อย่างไร ท่านพูดว่า “จงรายงานเรื่องนี้ให้ยากอบและพวกพี่น้องทราบด้วย” แล้วท่านก็เดินทางไปยังที่อื่นต่อไป
18 พอรุ่งเช้า ก็เกิดความอลหม่านไม่น้อยในหมู่ทหาร เพราะไม่ทราบว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเปโตร 19 ส่วนเฮโรดก็ค้นหาแต่ไม่พบเช่นกัน จึงไต่สวนพวกทหารยามและสั่งฆ่าเสีย แล้วก็ลงจากแคว้นยูเดียไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียาชั่วระยะหนึ่ง
20 ช่วงนั้นเฮโรดกำลังบาดหมางกับชาวเมืองไทระและเมืองไซดอนอยู่ และชาวเมืองของทั้งสองได้ร่วมใจกันเข้าพบท่าน โดยเกลี้ยกล่อมบลัสตัสต้นห้องของกษัตริย์เฮโรดได้ แล้วก็ขอเป็นไมตรี เพราะพวกเขาต้องอาศัยอาหารจากดินแดนของเฮโรดเลี้ยงคนในเขตเมืองของพวกเขา
เฮโรดสิ้นชีวิต
21 เมื่อถึงวันที่กำหนดไว้ เฮโรดสวมเสื้อคลุมของกษัตริย์อยู่บนบัลลังก์ และกล่าวคำปราศรัยแก่ผู้คน 22 ฝ่ายผู้คนก็ร้องตะโกนว่า “นี่คือเสียงของเทพเจ้า ไม่ใช่เสียงของคน” 23 ทันใดนั้นเอง ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าได้บันดาลให้ท่านล้มเจ็บ เป็นเพราะว่าเฮโรดไม่ได้สรรเสริญยกย่องพระเจ้า และท่านก็ถูกหนอนกินจนสิ้นชีวิต
24 คำกล่าวของพระเจ้ากลับแผ่ขยายและเพิ่มพูนไปมากยิ่งขึ้น
25 เมื่อบาร์นาบัสและเซาโลทำหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว จึงได้กลับไปจากเมืองเยรูซาเล็ม และได้พายอห์นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย
เยรูซาเล็มจะถล่ม
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ เมื่อกษัตริย์เศเดคียาห์ใช้ปาชเฮอร์บุตรของมัลคิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรของมาอาเสยาห์ ขอร้องท่านว่า 2 “ช่วยพูดกับพระผู้เป็นเจ้าให้พวกเราด้วยเถิด เนื่องจากเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังโจมตีพวกเรา[a] พระผู้เป็นเจ้าอาจจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์เพื่อพวกเรา และจะทำให้เขาถอยทัพกลับไป”
3 เยเรมีย์พูดกับพวกเขาว่า “ท่านไปบอกเศเดคียาห์ดังนี้ 4 ‘พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้กล่าวว่า ดูเถิด เราจะให้อาวุธสงครามที่อยู่ในมือของเจ้ากลับมาต่อต้านเจ้า ซึ่งเจ้าใช้ต่อสู้กับกษัตริย์แห่งบาบิโลน และต่อสู้กับชาวเคลเดียซึ่งใช้กำลังล้อมนอกกำแพงเมือง และเราจะรวมพวกเขาเข้าด้วยกันเพื่อเข้าไปสู่ใจกลางเมืองนี้ 5 เราเองที่จะต่อสู้กับพวกเจ้าด้วยอานุภาพและพลานุภาพ ด้วยความกริ้วและความฉุนเฉียว และด้วยการลงโทษอย่างหนัก 6 และเราจะฆ่าบรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองนี้ ทั้งมนุษย์และสัตว์ ซึ่งจะตายด้วยโรคระบาด 7 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า หลังจากนั้น เราจะมอบเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ รวมทั้งบรรดาผู้รับใช้และประชาชนของเมืองนี้ ที่รอดจากโรคระบาด การสู้รบ และการอดอยาก ไว้ในมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และในมือของศัตรูของพวกเขา และในมือของบรรดาผู้ที่ต้องการจะฆ่าพวกเขา เนบูคัดเนสซาร์จะฆ่าพวกเขาด้วยคมดาบ เขาจะไม่มีเมตตาหรือไว้ชีวิตพวกเขา หรือแม้แต่ความสงสาร’
8 และเจ้าจงไปพูดกับประชาชนพวกนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เรามอบวิถีทางแห่งชีวิตและวิถีทางแห่งความตายไว้ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว 9 ผู้ที่อยู่ในเมืองนี้จะตายด้วยการสู้รบ การอดอยาก และด้วยโรคระบาด แต่ผู้ที่ออกไปและยอมจำนนกับพวกชาวเคลเดียที่ใช้กำลังล้อมเมือง ก็จะมีชีวิตคงอยู่ และจะเอาชีวิตหนีรอดไปได้ 10 เพราะเราได้ตั้งใจให้เมืองนี้ประสบกับภัยอันตราย ไม่ใช่ความปลอดภัย พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะใช้ไฟเผาเมือง’
ข้อความถึงพงศ์พันธุ์ของดาวิด
11 และจงพูดกับพงศ์พันธุ์ของกษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ ‘จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 12 โอ พงศ์พันธุ์ของดาวิดเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
จงให้ความเป็นธรรมทุกเช้าค่ำ
ช่วยปกป้องผู้ที่ถูกปล้นสิทธิ
ให้พ้นจากมือของผู้กดขี่ข่มเหง
มิฉะนั้น ความกริ้วของเราจะพลุ่งออกไปอย่างไฟ
และเผาผลาญอย่างไม่มีใครจะดับได้
เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของพวกเจ้า
13 โอ ผู้อยู่อาศัยแห่งหุบเขา
หินแห่งที่ราบเอ๋ย ดูเถิด เราจะโจมตีเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
พวกที่พูดว่า “ใครจะลงมาโจมตีพวกเรา
หรือใครจะบุกรุกเข้ามาในถิ่นของเราได้”
14 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
เราจะลงโทษพวกเจ้าตามการกระทำของเจ้า
เราจะจุดไฟในป่าของเมืองนั้น
และไฟจะเผาผลาญทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง’”
กฎบัญญัติและประเพณีนิยม
7 พวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนได้มาจากเมืองเยรูซาเล็มพากันมาห้อมล้อมพระเยซู 2 พวกเขาเห็นว่าสาวกบางคนของพระองค์ใช้มือที่เป็นมลทินรับประทานอาหาร คือไม่ได้ล้างมือก่อน 3 ด้วยเหตุว่าพวกฟาริสีและชาวยิวทั้งหลายไม่รับประทานอาหาร นอกจากว่าจะล้างมืออย่างระมัดระวังเสียก่อน ทั้งนี้เป็นการทำตามประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ 4 พวกเขาจะไม่รับประทานสิ่งที่มาจากย่านตลาด นอกจากว่าเขาจะล้างให้สะอาดก่อน และมีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาถือปฏิบัติกันมา เช่น การล้างถ้วย โถน้ำ และหม้อทองแดง 5 พวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติถามพระองค์ว่า “ทำไมเหล่าสาวกของท่านไม่กระทำตามประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน” 6 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “อิสยาห์ได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงพวกท่านว่า ท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ก็ถูกต้องแล้วตามที่มีบันทึกไว้ว่า
‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราเพียงแค่ปาก
แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
7 พวกเขากราบนมัสการเราโดยไร้ประโยชน์
เขาสอนกฎเกณฑ์ของมนุษย์
เสมือนว่าเป็นคำสั่งสอนของพระเจ้า’[a]
8 พวกท่านละเลยพระบัญญัติของพระเจ้า และถือตามประเพณีนิยมของมนุษย์”
9 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นด้วยว่า “พวกท่านละเลยพระบัญญัติของพระเจ้าได้ด้วยความชำนาญ เพื่อรักษาประเพณีนิยมของพวกท่านเอง 10 โมเสสได้กล่าวไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[b] และ ‘คนที่พูดว่าร้ายบิดาหรือมารดา ก็ให้เขาได้รับโทษถึงตาย’[c] 11 แต่พวกท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดพูดกับบิดาหรือมารดาของเขาว่า “สิ่งใดที่เป็นของเราที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้น เป็นโกระบาน”’ (ซึ่งหมายถึงของที่ได้มอบให้แด่พระเจ้าแล้ว) 12 พวกท่านก็ไม่อนุญาตให้ผู้นั้นช่วยบิดามารดาเลย 13 จึงเป็นการยกเลิกคำกล่าวของพระเจ้า ด้วยประเพณีนิยมของพวกท่านซึ่งถ่ายทอดต่อกันไป และก็กระทำหลายสิ่งในทำนองนั้นด้วย”
14 หลังจากที่พระเยซูได้เรียกฝูงชนมาหาพระองค์อีก พระองค์ก็เริ่มกล่าวกับพวกเขาว่า “ทุกคนในพวกท่านจงฟังเรา และจงเข้าใจว่า 15 ไม่มีสิ่งใดที่อยู่นอกกายจะเข้าไปภายในกาย แล้วก็ทำให้เขามีมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากคนนั่นแหละเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นมลทิน [16 ถ้าผู้ใดมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด]”[d]
17 เมื่อพระองค์จากฝูงชนไปแล้วจึงเข้าไปในบ้าน พวกสาวกของพระองค์จึงถามเรื่องคำอุปมานั้น 18 พระองค์กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจด้วยหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆ ที่มาจากภายนอกกายเข้าไปอยู่ในตัวคน ไม่สามารถทำให้เขาเป็นมลทิน 19 เพราะว่ามันไม่สามารถเข้าไปภายในจิตใจของเขาได้ แต่ผ่านเข้าไปในท้อง แล้วก็ออกนอกกายไป” (ฉะนั้นพระองค์ประกาศว่าอาหารทุกอย่างไม่มีมลทิน) 20 และพระองค์กล่าวว่า “สิ่งที่ออกจากคนจึงทำให้คนเป็นมลทิน 21 เพราะว่าออกจากภายในก็คือออกจากใจคน มีความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การผิดประเวณี 22 การแสดงออกถึงความโลภและการปองร้าย รวมทั้งการหลอกลวง ความมักมากในกาม การอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส และความเขลา 23 สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นจากภายในและทำให้คนเป็นมลทิน”
ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย
24 พระองค์ลุกขึ้นจากที่นั่นแล้วก็ไปยังแขวงเมืองไทระ เมื่อได้เข้าไปในบ้านแห่งหนึ่ง พระองค์ไม่ต้องการให้ใครทราบ แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตาของผู้คน 25 หญิงคนหนึ่งมีบุตรสาวที่วิญญาณร้ายสิงอยู่ ทันทีที่นางได้ยินข่าวถึงเรื่องของพระองค์ นางก็มาก้มลงที่แทบเท้าของพระองค์ 26 หญิงคนนี้เป็นชาวกรีก มีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย นางอ้อนวอนให้พระองค์ขับไล่มารออกจากบุตรสาวของนาง 27 พระองค์กล่าวกับนางว่า “ให้พวกเด็กได้รับจนพอใจก่อน เพราะการเอาอาหารของเด็กๆ โยนให้พวกสุนัขนั้นไม่ถูกต้อง” 28 แต่นางตอบพระองค์ว่า “ใช่แล้ว พระองค์ท่าน แม้แต่พวกสุนัขใต้โต๊ะก็ยังกินเศษอาหารของเด็กๆ” 29 แล้วพระองค์กล่าวกับนางว่า “เป็นเพราะคำตอบเช่นนี้ เจ้าจงไปเถิด มารได้ออกไปจากตัวบุตรสาวของเจ้าแล้ว” 30 นางกลับบ้านไปก็พบว่าเด็กนั้นนอนอยู่ที่เตียง มารก็ออกจากตัวไปแล้ว
พระเยซูรักษาชายหูหนวก
31 พระเยซูเดินทางออกจากแขวงเมืองไทระ ผ่านเมืองไซดอนไปยังทะเลสาบกาลิลี ในละแวกแคว้นทศบุรี 32 มีคนพาชายคนหนึ่งซึ่งหูหนวกและพูดตะกุกตะกักมาหาพระองค์ พวกเขาขอร้องให้พระองค์วางมือบนตัวชายคนนั้น
33 พระเยซูพาเขาออกมาจากฝูงชนตามลำพังและแยงนิ้วของพระองค์เข้าไปในหูทั้งสองของเขา บ้วนน้ำลายออก แล้วใช้น้ำลายแตะลิ้นของเขา 34 พระองค์แหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์พลางถอนใจยาว และกล่าวกับเขาว่า “เอฟฟาธา” คือ “จงเปิดออก” 35 หูของเขาก็หายหนวกและลิ้นที่เคยพูดตะกุกตะกักก็หายเป็นปกติ เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน 36 พระองค์สั่งเขาเหล่านั้นไม่ให้บอกแก่ผู้ใด แต่ยิ่งพระองค์ห้ามมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งป่าวประกาศต่อไปมากขึ้นเท่านั้น 37 ฝูงชนประหลาดใจยิ่งนักจึงพูดว่า “ทุกสิ่งที่พระองค์กระทำล้วนเป็นสิ่งดี แม้แต่คนหูหนวกก็ได้ยินและคนใบ้ก็พูดได้”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation