M’Cheyne Bible Reading Plan
บาปของอาคาน
7 แต่ชาวอิสราเอลไม่ซื่อตรงเรื่องสิ่งที่ถวายแล้ว เนื่องจากอาคานบุตรคาร์มี ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรเศรัคจากเผ่ายูดาห์ ได้ยักยอกสิ่งที่ถวายแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วชาวอิสราเอลมาก
2 โยชูวาให้ชายบางคนไปเมืองอัย ซึ่งอยู่ใกล้เบธอาเวน ทางด้านตะวันออกของเบธเอล โดยสั่งว่า “ขึ้นไปสืบความในแผ่นดินที่นั่น” ชายเหล่านั้นก็ขึ้นไปสืบความในเมืองอัย 3 เมื่อกลับมาก็บอกโยชูวาว่า “ไม่ต้องให้ทุกคนขึ้นไปที่นั่น แค่ให้ชายสองหรือสามพันคนขึ้นไปโจมตีเมืองอัย อย่าให้ทุกคนต้องไปลำบาก เพราะที่เมืองนั้นมีคนไม่มาก” 4 ดังนั้นชายประมาณ 3,000 คนได้ขึ้นไป และกลับต้องเตลิดหนีไปต่อหน้าต่อตาพวกผู้ชายชาวเมืองอัย 5 ผู้ชายชาวเมืองอัยได้วิ่งไล่ชายอิสราเอลไปจากประตูเมืองจนถึงเหมืองหิน และได้ฆ่าชายประมาณ 36 คน โดยฟันพวกเขาจนถึงแก่ความตายที่บริเวณทางลาด และประชาชนต่างพากันขวัญเสียจนตั้งตัวไม่ติด
6 โยชูวาจึงฉีกเสื้อผ้าของตนและซบหน้าลงกับพื้น ณ เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้าจนกระทั่งตกเย็น บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลกระทำเช่นเดียวกัน และต่างก็ซัดฝุ่นผงลงบนหัวของตน 7 โยชูวาพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทำไมพระองค์จึงต้องนำชนชาตินี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมา เพื่อให้พวกเราตกอยู่ในมือของชาวอาโมร์เพื่อทำลายพวกเราอย่างนั้นหรือ ถ้าพวกเราพอใจจะอยู่ต่อที่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดนได้ก็คงดีไปแล้ว 8 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะว่าอย่างไรได้เล่า เมื่ออิสราเอลหันหลังให้เหล่าศัตรูเสียแล้ว 9 ชาวคานาอันและผู้อาศัยทุกคนในแผ่นดินจะได้ยินเรื่องนี้ แล้วพวกเขาก็จะล้อมพวกเรา และลบชื่อของเราไปเสียจากโลกนี้ แล้วพระองค์จะทำอะไรเพื่อพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโยชูวาว่า “ลุกขึ้นเถิด ทำไมเจ้าจึงซบหน้าลงกับพื้นอย่างนี้ 11 อิสราเอลกระทำบาป พวกเขาละเมิดพันธสัญญาของเราที่เราบัญชาไว้ พวกเขาได้ยักยอกบางสิ่งที่ถวายแล้ว เขาทั้งขโมยและโกหก และเก็บรวบรวมไว้กับของส่วนตัวของเขา 12 ฉะนั้นชาวอิสราเอลจึงไม่สามารถยืนต่อต้านศัตรูได้ พวกเขาหันหลังให้เหล่าศัตรูของเขาเอง เพราะพวกเขาถูกกำหนดให้พินาศแล้ว เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไป เว้นเสียแต่ว่าพวกเจ้าจะทำลายสิ่งที่ถูกกำหนดให้พินาศไปเสียจากท่ามกลางพวกเจ้า 13 จงลุกขึ้น จงชำระตัวประชาชนให้บริสุทธิ์ และจงพูดว่า ‘จงชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับพรุ่งนี้ เพราะพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า “มีสิ่งที่ถูกถวายแล้วอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า โอ อิสราเอลเอ๋ย เจ้าไม่สามารถยืนต่อต้านศัตรูของเจ้าได้ จนกว่าจะเอาสิ่งที่ถูกถวายที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าออกไปเสีย” 14 ฉะนั้นตอนเช้าพวกท่านจงมาแสดงตัวตามเผ่าของท่าน และพระผู้เป็นเจ้าชี้ด้วยการจับฉลากว่าเป็นเผ่าใด ก็ให้เผ่านั้นเข้ามาใกล้ๆ ทีละครอบครัว และครอบครัวที่พระผู้เป็นเจ้าชี้จะเข้ามาใกล้ๆ ทีละครัวเรือน และครัวเรือนที่พระผู้เป็นเจ้าชี้จะเข้ามาใกล้ๆ ทีละคน 15 เมื่อพบคนที่มีสิ่งที่ถวายแล้วอยู่กับเขา เขาก็จะถูกเผาด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและทุกสิ่งที่เขามี เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเพราะเขาได้กระทำสิ่งที่น่าอับอายในอิสราเอล’”
16 ดังนั้น โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่และนำอิสราเอลเข้ามาใกล้ๆ ทีละเผ่า และเผ่ายูดาห์ก็ถูกชี้ตัว 17 ท่านจึงนำครอบครัวทั้งหลายของเผ่ายูดาห์เข้ามาใกล้ๆ และครอบครัวชาวเศรัคก็ถูกชี้ตัว ท่านจึงนำตัวชายแต่ละคนจากครอบครัวของชาวเศรัคเข้ามาใกล้ๆ และศับดีก็ถูกชี้ตัว 18 ท่านจึงนำตัวชายแต่ละคนจากครัวเรือนของศับดีเข้ามาใกล้ๆ และอาคานบุตรคาร์มี ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรเศรัคจากเผ่ายูดาห์จึงถูกชี้ตัว 19 โยชูวาจึงพูดกับอาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล และจงสรรเสริญพระองค์เถิด และจงบอกเราเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าได้กระทำสิ่งใด อย่าปกปิดเราเลย” 20 อาคานตอบโยชูวาว่า “เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล สิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำก็คือ 21 ในจำนวนของที่ยึดมาได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นเสื้อคลุมสวย 1 ตัวจากบาบิโลน เงิน 200 เชเขล[a] ทองคำแท่งหนัก 50 เชเขล ข้าพเจ้าจึงอยากได้และยักยอกไว้ ของซ่อนไว้ใต้ดินในกระโจมข้าพเจ้า เงินก็อยู่ข้างใต้ด้วย”
22 โยชูวาให้ผู้ส่งข่าวไป พวกเขาวิ่งไปที่กระโจม ดูเถิด ทุกสิ่งถูกซ่อนไว้ในกระโจมของเขาพร้อมกับเงินที่อยู่ข้างใต้ 23 พวกเขาจึงเอาออกมาจากกระโจม นำไปให้โยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งปวง และเขาวางไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 24 โยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งปวงนำอาคานบุตรเศรัคกับเงิน เสื้อคลุมและทองคำแท่ง บรรดาบุตรชายบุตรหญิง โค ลา แกะ กระโจม และทุกสิ่งที่เขามี ขึ้นไปยังหุบเขาอาโคร์ 25 และโยชูวาพูดว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความเดือดร้อนมาสู่พวกเรา วันนี้พระผู้เป็นเจ้านำความเดือดร้อนมาสู่เจ้า” และอิสราเอลทุกคนใช้ก้อนหินขว้างอาคาน ใช้ไฟเผา และใช้ก้อนหินขว้างพวกเขา 26 ชาวอิสราเอลใช้ก้อนหินสุมทับตัวเขาเป็นกองพะเนินซึ่งยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ แล้วพระผู้เป็นเจ้าก็หายจากความโกรธอันร้อนแรง ฉะนั้นสถานที่นั้นเรียกว่า หุบเขาอาโคร์[b]มาจนถึงทุกวันนี้
ชาวอิสราเอลคร่ำครวญคราวอพยพ
1 ณ ริมฝั่งแม่น้ำของบาบิโลน พวกเรานั่งร้องไห้
ในยามที่เรานึกถึงศิโยน
2 พวกเราแขวนพิณเล็กของเรา
บนต้นหลิวที่ขึ้นในเขตแดนนั้น
3 เพราะที่นั่นคือที่ซึ่งผู้จับกุมตัวเราสั่งให้เราร้องเพลง
เพื่อพวกเขาจะได้ล้อเลียนเราอย่างสนุกสนาน
“ร้องเพลงให้พวกเราฟังหน่อย เพลงของศิโยนน่ะ”
4 เราจะร้องเพลงของพระผู้เป็นเจ้า
บนแผ่นดินของคนต่างแดนได้อย่างไร
5 โอ เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าข้าพเจ้าลืมเจ้า
ก็ขอให้มือขวาของข้าพเจ้าหงิกง่อยไปเสีย
6 ให้ลิ้นของข้าพเจ้าติดอยู่กับเพดานปาก
ถ้าข้าพเจ้าจำเจ้าไม่ได้
ถ้าข้าพเจ้าไม่นับว่าเยรูซาเล็มสูงส่ง
เหนือความสุขของข้าพเจ้า
7 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดระลึกว่าชาวเอโดมทำอะไรไปบ้าง
ระลึกถึงวันที่เยรูซาเล็มย่อยยับ
ระลึกถึงพวกที่พูดว่า “เอาให้ย่อยยับลงไป
เอาให้ย่อยยับลงไปจนถึงรากถึงโคน”[a]
8 ธิดาแห่งบาบิโลนเอ๋ย เจ้าถูกกำหนดให้ถึงซึ่งความพินาศ
ผู้เป็นสุขคือผู้สนองตอบเจ้า
อย่างที่เจ้าได้กระทำต่อพวกเรา
9 ผู้เป็นสุขคือผู้เอาตัวเด็กน้อยของพวกเจ้าไป
และฟาดร่างของพวกเขากระแทกหิน
ขอบคุณพระเจ้า เพราะพระองค์สถิตกับข้าพเจ้า
ของดาวิด
1 ข้าพเจ้าขอขอบคุณพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าบรรดาเทพเจ้า
2 ข้าพเจ้าขอก้มกราบลง ณ พระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
ข้าพเจ้าขอขอบคุณพระนามของพระองค์
ในความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริงของพระองค์
เพราะพระองค์ได้ทำให้พระนามและคำกล่าวของพระองค์
เหนือสิ่งทั้งปวง
3 ในวันที่ข้าพเจ้าร้องเรียก พระองค์ตอบข้าพเจ้า
ทำให้ข้าพเจ้ากล้าหาญและมีพละกำลังยิ่งขึ้น
4 โอ พระผู้เป็นเจ้า ให้บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกขอบคุณพระองค์
เพราะท่านเหล่านั้นล้วนได้ยินคำกล่าวจากปากของพระองค์
5 และให้พวกท่านร้องเพลงถึงวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าใหญ่ยิ่งนัก
6 แม้ว่าพระผู้เป็นเจ้าสูงส่งมากเพียงไหน พระองค์ก็ยังใส่ใจคนต่ำต้อย
ส่วนคนยโสพระองค์ก็สังเกตเห็นได้แต่ไกล
7 แม้ในยามที่ข้าพเจ้าเดินอยู่ในท่ามกลางความยากลำบาก
พระองค์ก็ช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้
คราวศัตรูโกรธ พระองค์ก็ยื่นมือออกมา
มือขวาของพระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
8 พระผู้เป็นเจ้าจะกระทำตามความประสงค์ของพระองค์เพื่อข้าพเจ้า
โอ พระผู้เป็นเจ้า ความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
โปรดอย่าทอดทิ้งคนที่พระองค์สร้างขึ้นด้วยมือของพระองค์เอง
1 ข้อความบันทึกของเยเรมีย์บุตรฮิลคียาห์ ผู้เป็นหนึ่งในบรรดาปุโรหิตที่อยู่ในอานาโธท ในดินแดนของเบนยามิน 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ ในปีที่สิบสามในสมัยของโยสิยาห์[a]บุตรของอาโมนกษัตริย์แห่งยูดาห์ 3 และในสมัยของเยโฮยาคิมบุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ จนกระทั่งปลายปีที่สิบเอ็ดของเศเดคียาห์บุตรของโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์[b] จนกระทั่งเยรูซาเล็มถูกยึดครองในเดือนที่ห้า
พระเจ้าเรียกเยเรมีย์
4 บัดนี้พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า
5 “เรารู้จักเจ้า ก่อนที่เราจะปั้นเจ้าขึ้นในครรภ์
และเราเลือกเจ้าไว้ก่อนที่เจ้าจะเกิด
เราแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแก่บรรดาประชาชาติ”
6 และข้าพเจ้าตอบว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ดูเถิด ข้าพเจ้าพูดไม่ค่อยจะเป็น เพราะข้าพเจ้าอายุยังน้อย” 7 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าพูดว่า ‘ข้าพเจ้าอายุยังน้อย’ เพราะเจ้าจงไปยังทุกคนที่เราส่งให้เจ้าไป และเจ้าจงพูดสิ่งที่เราสั่งให้เจ้าพูด 8 อย่ากลัวพวกเขา เพราะเราอยู่กับเจ้าและให้เจ้าพ้นภัย” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
9 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าก็ยื่นมือของพระองค์แตะปากข้าพเจ้า และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด เราได้บันดาลให้เจ้าพูดไปตามคำของเราแล้ว 10 ดูเถิด วันนี้เราได้แต่งตั้งเจ้าให้ดูแลบรรดาประชาชาติและอาณาจักรทั้งหลาย เพื่อถอนรากและโค่นลง เพื่อทำลายและกำจัด เพื่อสร้างและปลูก”
11 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์ เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นก้านอัลมอนด์ก้านหนึ่ง” 12 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นอย่างถูกต้องแล้ว เพราะเรากำลังดู[c]ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นตามคำของเรา”
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าเป็นครั้งที่สองว่า “เจ้าเห็นอะไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นหม้อต้มน้ำเดือดหันเอียงไปจากทิศเหนือ” 14 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ความวิบัติจะเดือดพล่านออกมาจากทิศเหนือสู่ผู้อยู่อาศัยทั้งปวงของแผ่นดิน 15 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดูเถิด เรากำลังเรียกทุกเผ่าของอาณาจักรของทิศเหนือ พวกเขาจะมา และทุกคนจะตั้งบัลลังก์ที่ทางเข้าประตูเมืองของเยรูซาเล็ม โจมตีกำแพงทุกแห่งรอบด้าน และโจมตีทุกเมืองของยูดาห์ 16 และเราจะประกาศคำตัดสินพวกเขา เพราะความชั่วร้ายของพวกเขาที่ทอดทิ้งเรา พวกเขาได้เผาเครื่องหอมแก่ปวงเทพเจ้า และนมัสการสิ่งที่ทำขึ้นด้วยมือของเขาเอง 17 แต่เจ้าจงเตรียมพร้อม ลุกขึ้นและไปบอกพวกเขาถึงทุกสิ่งที่เราสั่งเจ้า อย่าหวาดหวั่นเพราะพวกเขา มิฉะนั้นเราจะทำให้เจ้าหวาดหวั่นต่อหน้าพวกเขา 18 ดูเถิด วันนี้เราทำให้เจ้าเป็นดั่งเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง เสาหลักหล่อด้วยเหล็กกล้า และกำแพงทองสัมฤทธิ์ เพื่อต้านกำลังให้ทั้งแผ่นดิน ต้านกำลังบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ บรรดาผู้นำและปุโรหิต และประชาชนของแผ่นดิน 19 พวกเขาจะรุกรานและต่อสู้กับเจ้า แต่เขาจะไม่ชนะ เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าให้พ้นภัย” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
กฎบัญญัติและประเพณีนิยม
15 มีพวกฟาริสีและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนมาจากเมืองเยรูซาเล็มมาพูดกับพระองค์ว่า 2 “ทำไมบรรดาสาวกของท่านละเมิดประเพณีนิยมของบรรพบุรุษ พวกเขาไม่ล้างมือเวลารับประทานอาหาร” 3 พระองค์กล่าวตอบว่า “แล้วทำไมพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประเพณีนิยมของท่านเอง 4 พระเจ้ากล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’[a] และ ‘คนที่พูดว่าร้ายบิดามารดา ก็ให้เขาได้รับโทษถึงตาย’[b] 5 แต่พวกท่านพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดพูดกับบิดาหรือมารดาว่า “สิ่งของของเราที่จะช่วยเหลือท่านได้นั้น ได้มอบให้แด่พระเจ้าแล้ว” 6 ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติบิดาหรือมารดาของเขา’ ซึ่งเป็นอันว่าพวกท่านยกเลิกคำกล่าวของพระเจ้าเพื่อเห็นแก่ประเพณีนิยมของท่าน 7 พวกท่านเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก อิสยาห์ได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงพวกท่านถูกต้องแล้วว่า
8 ‘คนเหล่านี้ให้เกียรติเราเพียงแค่ปาก
แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา
9 พวกเขากราบนมัสการเราโดยไร้ประโยชน์
เขาสอนกฎเกณฑ์ของมนุษย์ เสมือนว่าเป็นคำสั่งสอนของพระเจ้า’”[c]
10 หลังจากพระองค์ได้เรียกฝูงชนมาแล้ว พระองค์กล่าวว่า “จงฟังและเข้าใจว่า 11 ไม่ใช่สิ่งที่เข้าปากที่ทำให้คนเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกจากปากนั่นแหละที่ทำให้คนเป็นมลทิน” 12 บรรดาสาวกมาพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์ทราบไหมว่า พวกฟาริสีโกรธเคืองมากที่ได้ยินพระองค์กล่าวเช่นนั้น” 13 พระองค์กล่าวตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ปลูกไว้จะถูกถอนรากเสีย 14 ช่างพวกเขาเถิด พวกคนตาบอดเป็นคนนำคนตาบอดเอง ถ้าชายตาบอดคนหนึ่งนำคนตาบอดอีกคนหนึ่ง ทั้งสองก็จะพากันตกบ่อ” 15 เปโตรพูดตอบพระองค์ว่า “โปรดอธิบายคำอุปมาแก่พวกเราด้วย” 16 พระเยซูกล่าวว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจเช่นกันหรือ 17 เจ้าไม่เข้าใจหรือว่า ทุกสิ่งที่เข้าปาก ผ่านเข้าไปในท้อง แล้วก็ออกนอกกายไป 18 แต่สิ่งที่ออกจากปากมาจากใจ สิ่งนี้แหละที่ทำให้คนเป็นมลทิน 19 เพราะว่าสิ่งที่ออกจากใจคือความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดประเวณี การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย 20 สิ่งเหล่านี้ทำให้คนเป็นมลทิน แต่การรับประทานด้วยมือที่ไม่ล้างไม่ทำให้คนเป็นมลทิน”
ความเชื่อมั่นคงของหญิงคานาอัน
21 พระเยซูไปจากสถานที่นั้น และไปยังเขตเมืองไทระและไซดอน 22 มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากชายแดนนั้นส่งเสียงร้องว่า “พระองค์ท่าน บุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย ลูกสาวของข้าพเจ้าถูกมารสิงจนแย่แล้ว”
23 พระองค์ไม่ตอบนางสักคำเดียว บรรดาสาวกของพระองค์มาขอร้องพระองค์ว่า “โปรดขับไล่นางไปเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามพวกเรามา” 24 พระองค์กล่าวตอบว่า “พระเจ้าส่งเรามายังชนชาติอิสราเอลเท่านั้น เพราะพวกเขาเป็นเสมือนฝูงแกะที่หลงหาย” 25 นางมาก้มกราบเบื้องหน้าพระองค์แล้วกล่าวว่า “พระองค์ท่าน โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย” 26 พระองค์กล่าวตอบว่า “การที่จะเอาอาหารของเด็กๆ โยนให้พวกสุนัขนั้นไม่ถูกต้อง” 27 นางพูดว่า “ใช่แล้ว พระองค์ท่าน แต่ว่าแม้พวกสุนัขก็ยังกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนายมัน” 28 พระเยซูกล่าวตอบนางว่า “หญิงเอ๋ย เจ้ามีความเชื่อสูงส่ง จงเป็นไปตามที่เจ้าต้องการเถิด” ครั้นแล้วลูกสาวของนางก็หายดีเป็นปกติทันที
มหาชนกับขนมปัง 7 ก้อนและปลาเล็กเพียงสองสามตัว
29 พระเยซูจากที่นั่นไปตามริมทะเลสาบกาลิลี แล้วขึ้นไปนั่งอยู่บนภูเขา 30 มหาชนพาคนง่อย คนพิการ คนตาบอด คนใบ้และอื่นๆ อีกมากมาหาพระองค์ พวกเขานำคนเหล่านั้นมาอยู่ที่แทบเท้าของพระองค์ แล้วพระองค์ก็รักษาพวกเขาให้หายขาด 31 ฝูงชนพากันอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น และเขาเหล่านั้นก็สรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล
32 พระเยซูเรียกบรรดาสาวกของพระองค์มาหาและกล่าวว่า “เราสงสารบรรดาฝูงชน เพราะพวกเขาอยู่กับเรามาได้ 3 วันแล้วโดยไม่มีอะไรรับประทาน เราไม่อยากให้เขาเดินหิวกลับบ้านไป เขาอาจจะเป็นลมระหว่างทางก็ได้” 33 บรรดาสาวกพูดกับพระองค์ว่า “ในที่กันดารเช่นนี้ พวกเราจะเอาขนมปังจากไหนมาเลี้ยงฝูงชนจำนวนมากได้” 34 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่ก้อน” เขาตอบว่า “7 ก้อนกับปลาเล็กๆ อีกสองสามตัว” 35 ครั้นแล้วพระองค์ก็สั่งฝูงชนให้นั่งลงบนพื้นดิน 36 พระองค์หยิบขนมปัง 7 ก้อนกับปลานั้นมา และกล่าวขอบคุณพระเจ้า บิส่งให้เหล่าสาวก แล้วพวกเขาก็แจกให้แก่ฝูงชน 37 ทุกคนรับประทานจนอิ่มหนำ พวกเขารวบรวมอาหารที่เหลือได้เต็ม 7 ตะกร้าใหญ่ 38 ผู้ที่รับประทานอาหารเป็นผู้ชาย 4,000 คน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก 39 พระองค์บอกให้ฝูงชนกลับไปบ้าน แล้วก็ลงเรือไปยังเขตเมืองมากาดาน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation