M’Cheyne Bible Reading Plan
โยสิยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
34 โยสิยาห์มีอายุ 8 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 31 ปีในเยรูซาเล็ม 2 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างดาวิดบรรพบุรุษของท่าน และท่านไม่ได้หันเหไปจากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ 3 ปีที่แปดของการครองราชย์ ขณะที่ท่านยังหนุ่ม ท่านเริ่มแสวงหาพระเจ้าของดาวิดบิดาของท่าน และในปีที่สิบสอง ท่านก็เริ่มกำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูง เทวรูปอาเชราห์ รูปเคารพที่สลักและหล่อขึ้น ให้สิ้นไปจากยูดาห์และเยรูซาเล็ม 4 เขาทั้งหลายพังแท่นบูชาเทวรูปบาอัลต่อหน้าท่าน และท่านพังแท่นเผาเครื่องหอมที่ตั้งค้ำสูงเกินศีรษะของประชาชน ท่านทุบเทวรูปอาเชราห์ รูปเคารพสลักและที่หลอมขึ้นจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และท่านทำให้รูปเคารพแหลกเป็นผุยผง และโปรยไปทั่วหลุมศพของบรรดาผู้ที่ได้มอบเครื่องสักการะแก่สิ่งเหล่านั้น 5 ท่านเผากระดูกของบรรดาปุโรหิตบนแท่นบูชาของพวกเขา และชำระยูดาห์และเยรูซาเล็มให้สะอาดบริสุทธิ์ 6 ท่านกระทำเช่นนั้นในเมืองต่างๆ ของมนัสเสห์ เอฟราอิม และสิเมโอน ไกลไปจนถึงนัฟทาลี และท่านกำจัดวิหารที่ตั้งอยู่โดยรอบ 7 ท่านโค่นแท่นบูชา ทุบเทวรูปอาเชราห์และรูปเคารพอื่นๆ จนเป็นผุยผง และฟันแท่นเผาเครื่องหอมทั้งหมดทั่วแผ่นดินของอิสราเอล แล้วก็กลับไปยังเยรูซาเล็ม
ฮิลคียาห์พบหนังสือกฎบัญญัติ
8 ในปีที่สิบแปดของการครองราชย์ของโยสิยาห์ เมื่อท่านได้ชำระแผ่นดินและพระตำหนักสำเร็จแล้ว ท่านใช้ชาฟานบุตรของอาซาลิยาห์ กับมาอาเสยาห์ผู้ว่าราชการเมือง และผู้บันทึกสาสน์โยอาห์บุตรโยอาฮาสให้ซ่อมแซมพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 9 เขาทั้งหลายไปหาฮิลคียาห์หัวหน้ามหาปุโรหิต และมอบเงินซึ่งเป็นเงินถวายในพระตำหนักของพระเจ้า โดยชาวเลวีแผนกเฝ้าประตูได้เก็บจากมนัสเสห์และเอฟราอิม จากชาวอิสราเอลที่มีชีวิตเหลืออยู่ทั้งหมด จากยูดาห์และเบนยามินทั้งสิ้น และจากผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม 10 ชาวเลวีมอบเงินให้แก่บรรดาผู้คุมงานในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และผู้คุมงานก็มอบให้แก่ช่างที่ซ่อมแซมและปฏิสังขรณ์พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 11 เขาทั้งหลายมอบเงินให้แก่ช่างไม้และช่างก่อสร้างเพื่อซื้อหินที่แต่งแล้ว และไม้สำหรับเดือยและคานตึกที่บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ปล่อยให้ทรุดโทรมและพังลง 12 และบรรดาช่างทำงานด้วยความสุจริต ภายใต้การควบคุมของชาวเลวีคือ ยาหาทและโอบาดีห์ผู้สืบเชื้อสายมาจากเมรารี เศคาริยาห์และเมชุลลามผู้สืบเชื้อสายมาจากโคฮาท เป็นผู้คุมงาน บรรดาชาวเลวีทุกคนที่ชำนาญเครื่องดนตรี 13 เป็นผู้ควบคุมงานแบกหาม และกำกับทุกคนที่ทำงานรับใช้ทุกชนิด ชาวเลวีบางคนเป็นผู้คัดลอกข้อความ เป็นเจ้าหน้าที่ และผู้เฝ้าประตู
14 ขณะที่พวกเขานำเงินที่รับถวายจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ฮิลคียาห์ปุโรหิตก็พบหนังสือกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้มอบผ่านโมเสส 15 ฮิลคียาห์พูดกับชาฟานเลขาว่า “เราพบหนังสือกฎบัญญัติในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า” และฮิลคียาห์ก็มอบหนังสือนั้นให้แก่ชาฟาน 16 ชาฟานนำหนังสือนั้นมามอบให้กษัตริย์ และรายงานแก่กษัตริย์ต่อไปว่า “บรรดาเจ้าหน้าที่ของท่านกำลังปฏิบัติงานตามทุกสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำ 17 พวกเขาได้เอาเงินตราจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดมามอบให้แก่บรรดาผู้คุมงานและช่าง” 18 และชาฟานเลขารายงานกษัตริย์ว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือเล่มหนึ่งแก่ข้าพเจ้า” และชาฟานก็อ่านให้กษัตริย์ฟัง
19 เมื่อกษัตริย์ได้ยินสิ่งที่บันทึกในหนังสือแห่งกฎบัญญัติ ท่านก็ฉีกเสื้อของท่าน 20 และกษัตริย์สั่งฮิลคียาห์ อาหิคามบุตรชาฟาน และอับโดนบุตรมีคาห์ และชาฟานเลขา และอาสายาห์คนรับใช้ของกษัตริย์ว่า 21 “จงไปถามพระผู้เป็นเจ้าและบรรดาผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ในอิสราเอลและในยูดาห์ให้เรา ถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือที่พบ เพราะความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นต่อพวกเรา เนื่องจากว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้รักษาคำบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้กระทำตามทุกสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือฉบับนี้”
ฮุลดาห์เผยคำกล่าวของพระเจ้า
22 ดังนั้น ฮิลคียาห์และบรรดาผู้ที่กษัตริย์ให้ไปด้วยจึงไปหาฮุลดาห์หญิงผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า นางเป็นภรรยาของชัลลูมบุตรทกหาท ผู้เป็นบุตรหัสราห์ หัสราห์เป็นผู้ดูแลรักษาเครื่องแต่งกาย (นางอาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็มเขตสอง) และชายเหล่านั้นเล่าเรื่องดังกล่าวให้นางฟัง 23 นางตอบพวกเขาว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘จงบอกผู้ที่ใช้พวกเจ้าให้มาหาเราว่า 24 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เราจะนำความวิบัติมาสู่สถานที่นี้และประชาชนในเมืองด้วย ตามคำสาปแช่งที่เขียนไว้ในหนังสือที่อ่านให้กษัตริย์แห่งยูดาห์ฟัง 25 เพราะพวกเขาได้ทอดทิ้งเรา และได้เผาเครื่องหอมแก่ปวงเทพเจ้า และยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพที่สร้างด้วยมือของพวกเขา ฉะนั้นเราจึงกริ้วต่อบ้านเมืองนี้มาก และจะไม่อาจดับได้’ 26 ส่วนกษัตริย์แห่งยูดาห์ที่ใช้พวกท่านให้มาถามพระผู้เป็นเจ้า ก็จงไปบอกท่านว่า พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เรื่องที่เจ้าได้ยินนั้น 27 เป็นเพราะใจของเจ้ารู้สำนึกในความผิด และเจ้าถ่อมตัว ณ เบื้องหน้าพระเจ้า เมื่อเจ้าได้ยินคำกล่าวของพระองค์ ที่พูดคัดค้านบ้านเมืองนี้และผู้อยู่อาศัย และเจ้าถ่อมตัวต่อหน้าเรา และเจ้าได้ฉีกเสื้อของเจ้า และร้องไห้ต่อหน้าเรา เราได้ยินเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 28 ดูเถิด เราจะรวมเจ้าไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะถูกบรรจุรวมไว้ในที่เก็บศพอย่างสันติ และเจ้าจะไม่เห็นสิ่งชั่วร้ายทั้งสิ้นที่เราจะให้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้และผู้อยู่อาศัย’” แล้วเขาเหล่านั้นก็กลับไปรายงานให้กษัตริย์ทราบ
29 แล้วกษัตริย์ก็เรียกหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงของยูดาห์และเยรูซาเล็มมาประชุม 30 และเขาทั้งปวงขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าด้วยกันกับกษัตริย์ มีผู้อื่นที่ไปด้วยคือ ผู้อยู่อาศัยของยูดาห์และเยรูซาเล็ม บรรดาปุโรหิตและชาวเลวี และประชาชนใหญ่น้อยทั้งปวง กษัตริย์อ่านทุกสิ่งที่กล่าวในหนังสือพันธสัญญาที่พบในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าให้คนทั้งปวงฟัง 31 กษัตริย์ยืนอยู่ในที่ของท่าน และทำสัญญา ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่า จะดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า และรักษาบัญญัติ คำสั่ง และกฎเกณฑ์ของพระองค์อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิต เพื่อประพฤติตามคำในพันธสัญญาที่เขียนในหนังสือฉบับนี้ 32 และท่านให้คนทั้งปวงที่อยู่ในเยรูซาเล็มและในเบนยามิน ร่วมกันทำสัญญาตาม และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มทำตามพันธสัญญาของพระเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา 33 และโยสิยาห์เอาสิ่งที่น่ารังเกียจทั้งสิ้นออกไปจากอาณาเขตที่เป็นของชาวอิสราเอล และให้ทุกคนที่อยู่ในอิสราเอลนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา เขาเหล่านั้นไม่ได้หยุดติดตามพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขาตลอดชีวิตของท่าน
1,000 ปี
20 ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งกำลังลงมาจากสวรรค์ ถือลูกกุญแจสำหรับขุมนรก มีโซ่เส้นใหญ่อยู่ในมือท่าน 2 ท่านจับมังกร คืองูครั้งโบราณกาลที่เรียกกันว่า พญามารหรือซาตาน และมัดมันไว้ 1,000 ปี 3 แล้วโยนมันลงสู่ขุมนรก ปิดประตูทางเข้าและผนึกไว้ให้แน่น เพื่อมันจะได้ไม่ออกมาหลอกลวงประเทศชาติต่างๆ อีกต่อไปจนครบกำหนด 1,000 ปี หลังจากนั้นมันจะถูกปลดปล่อยชั่วระยะเวลาอันสั้น
4 ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์ทั้งหลาย ซึ่งบรรดาผู้ที่ได้รับสิทธิอำนาจให้พิพากษานั่งอยู่ และข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของบรรดาผู้ที่ถูกตัดศีรษะ เพราะคำยืนยันของพวกเขาที่ทำไปเพื่อพระเยซู และเพราะคำกล่าวของพระเจ้า และบรรดาผู้ที่ไม่ได้นมัสการอสุรกายหรือรูปจำลองของตัวมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายที่หน้าผากและที่มือของเขา แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็กลับมีชีวิตขึ้นมา และครองบัลลังก์ร่วมกับพระคริสต์เป็นเวลา 1,000 ปี 5 (ส่วนคนตายที่เหลือก็ไม่ได้กลับมีชีวิตขึ้นมาจนกว่า 1,000 ปีไปแล้ว) นี่คือการฟื้นคืนชีวิตเป็นครั้งแรก 6 ผู้ที่มีส่วนร่วมในการฟื้นคืนชีวิตเป็นครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองไม่มีอำนาจเหนือพวกเขา แต่เขาจะเป็นบรรดาปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ ซึ่งจะครองบัลลังก์ร่วมกับพระองค์เป็นเวลา 1,000 ปี
ซาตานพินาศ
7 เมื่อครบ 1,000 ปีแล้ว ซาตานจะได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขังของมัน 8 แล้วมันจะออกมาหลอกลวงบรรดาประเทศชาติที่ 4 มุมของแผ่นดินโลกคือ โกกและมาโกก ให้มาสมทบกันทำสงคราม จำนวนประเทศเหล่านั้นมากมายราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล 9 เขาเหล่านั้นเดินขบวนไปตามความกว้างของแผ่นดินโลก และล้อมรอบค่ายของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า และเมืองอันเป็นที่รักของพระองค์ แล้วไฟจากสวรรค์ก็ได้ตกลงมาเผาผลาญพวกเขา 10 ส่วนพญามารที่หลอกลวงเขาเหล่านั้น ก็ถูกโยนลงสู่ทะเลเพลิงและกำมะถัน อันเป็นสถานที่ที่อสุรกายกับผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมอยู่ พวกมันทั้งหมดจะได้รับความทุกข์ทรมานตลอดวันตลอดคืนตราบชั่วนิรันดร์กาล
คนตายถูกพิพากษา
11 ข้าพเจ้าได้เห็นบัลลังก์ใหญ่สีขาวบัลลังก์หนึ่งซึ่งมีองค์ผู้นั่งอยู่ด้วย แผ่นดินโลกและสวรรค์ได้หายไปจากเบื้องหน้าพระองค์ และไม่มีที่อยู่สำหรับแผ่นดินโลกและท้องฟ้าเลย 12 ข้าพเจ้าได้เห็นคนที่ตายไปแล้วทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยกำลังยืนอยู่ที่หน้าบัลลังก์ หนังสือหลายเล่มได้เปิดออก หนังสืออีกเล่มที่เปิดออกคือหนังสือแห่งชีวิต และคนที่ตายไปแล้วก็ถูกพิพากษาจากสิ่งที่บันทึกไว้ในหนังสือหลายเล่ม ตามความประพฤติที่เขาได้ทำไว้ 13 คนตายที่อยู่ในทะเลก็ถูกปล่อยตัวออกมา ความตายและแดนคนตายก็ปล่อยตัวคนตายออกมาด้วย ทุกคนถูกพิพากษาตามความประพฤติที่เขาได้ทำไว้ 14 ความตายและแดนคนตายถูกโยนลงสู่ทะเลเพลิง ทะเลเพลิงนั้นก็คือความตายครั้งที่สอง 15 และถ้าชื่อของผู้ใดไม่มีบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ผู้นั้นก็ถูกโยนลงสู่ทะเลเพลิง
พระผู้เป็นเจ้าตักเตือนบรรดาปุโรหิต
2 “และบัดนี้ ปุโรหิตเอ๋ย คำสั่งนี้สำหรับเจ้า” 2 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าจะไม่ฟัง ถ้าพวกเจ้าจะไม่ใส่ใจเพื่อยกย่องนามของเรา เราก็จะให้คำสาปแช่งตกอยู่กับพวกเจ้า และเราจะแช่งสาปพรที่เป็นของพวกเจ้า จริงๆ แล้วเราได้แช่งสาปพรแล้ว เพราะพวกเจ้าไม่ใส่ใจเลย 3 ดูเถิด เราจะห้ามเชื้อสายของพวกเจ้า และจะละเลงหน้าพวกเจ้าด้วยสิ่งปฏิกูลจากของถวายของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะถูกรวมไปทิ้งด้วยกัน 4 เจ้าจะรู้ว่า เราได้ส่งคำบัญชานี้มาให้พวกเจ้า เพื่อพันธสัญญาของเราที่มีกับเลวีนั้นจะคงอยู่ต่อไป” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 5 “พันธสัญญาของเราที่มีกับเขาเป็นพันธสัญญาแห่งชีวิตและสันติสุขซึ่งเรามอบให้แก่เขา เป็นพันธสัญญาแห่งความเกรงกลัว และเขาเกรงกลัวเรา เขายำเกรงนามของเรา 6 การสั่งสอน[a]ที่แท้จริงอยู่ในปากของเขา เขาไม่ได้พูดสิ่งใดผิด เขาดำเนินไปกับเราด้วยสันติสุขและความเที่ยงธรรม และเขาทำให้คนจำนวนมากหันไปจากบาป 7 เพราะปากของปุโรหิตควรเป็นที่เก็บรักษาความรู้ และประชาชนควรแสวงหาการสั่งสอนจากปากของเขา เพราะเขาเป็นผู้ส่งข่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 8 แต่พวกเจ้าได้หันเหไปจากวิถีทาง พวกเจ้าเป็นเหตุให้คนจำนวนมากสะดุดด้วยการสั่งสอนของพวกเจ้า พวกเจ้าฝ่าฝืนพันธสัญญาที่มีกับเลวี” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 9 “ดังนั้น เราได้ทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นและอับอายต่อหน้าชนชาติทั้งปวง เพราะพวกเจ้าไม่ได้ดำเนินตามทางของเรา แต่กลับแสดงความลำเอียงในการสอนกฎบัญญัติ”
ยูดาห์ไม่เคารพพันธสัญญา
10 พวกเราทุกคนมีพระบิดาองค์เดียวมิใช่หรือ พระเจ้าองค์เดียวเป็นผู้สร้างพวกเรามิใช่หรือ แล้วทำไมพวกเราจึงไม่สัตย์ซื่อต่อกัน ซึ่งเป็นการไม่เคารพพันธสัญญาของบรรพบุรุษของเรา 11 ยูดาห์ไร้ความเชื่อ และได้กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจในอิสราเอลและเยรูซาเล็ม เพราะยูดาห์ไม่เคารพสถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์รัก และเขาได้แต่งงานกับบุตรสาวของเทพเจ้าต่างชาติ[b] 12 ชายใดก็ตามที่กระทำเช่นนี้ ขอให้พระผู้เป็นเจ้าตัดเขาออกจากกระโจมของยาโคบ แม้เขาจะนำของถวายมามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็ตาม
13 มีอีกสิ่งที่พวกท่านทำก็คือ พวกท่านทำแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้าเปียกโชกด้วยน้ำตา ท่านร้องไห้และโอดครวญเพราะพระองค์ไม่สนใจของถวายจากมือของพวกท่าน หรือรับมันไว้ด้วยความยินดี 14 แต่พวกท่านกลับถามว่า “ทำไมจึงไม่รับ” เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานระหว่างท่านกับภรรยาที่ท่านมีตั้งแต่ยังหนุ่ม ซึ่งท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อนาง แม้นางจะเป็นทั้งเพื่อนและภรรยาโดยพันธสัญญาก็ตาม 15 พระองค์ไม่ได้ให้เขาทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันหรือ[c] ทั้งสองเป็นของพระองค์ทั้งฝ่ายกายและวิญญาณ และเหตุใดจึงเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เพราะพระองค์ต้องการเชื้อสายที่มีความภักดี ฉะนั้นพวกท่านจงระวังตัวด้วยฝ่ายวิญญาณ และอย่าให้คนใดในพวกท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อภรรยาที่ท่านมีตั้งแต่ยังหนุ่ม 16 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า “เราเกลียดการหย่าร้าง และเราเกลียดคนที่คลุมกายด้วยการกระทำผิดดั่งเครื่องนุ่งห่ม” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น ฉะนั้นพวกท่านจงระวังตัวในฝ่ายวิญญาณ และอย่าเป็นคนไม่ซื่อสัตย์
ผู้ส่งข่าวของพระผู้เป็นเจ้า
17 พวกท่านทำให้พระผู้เป็นเจ้าเหนื่อยใจด้วยคำพูดของท่าน และท่านพูดว่า “พวกเราได้ทำให้พระองค์เหนื่อยใจอย่างไร” ก็ด้วยการพูดว่า “ทุกคนที่กระทำความชั่วเป็นคนดีในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ชื่นชอบในพวกเขา” หรือด้วยการที่ท่านถามว่า “พระเจ้าแห่งความยุติธรรมอยู่ไหน”
พระเยซูถูกตัดสินให้ตรึงบนไม้กางเขน
19 ปีลาตจึงเอาตัวพระเยซูไปและสั่งให้คนเฆี่ยนพระองค์ 2 พวกทหารสานมงกุฎหนามแล้วสวมไว้บนศีรษะของพระองค์ และคลุมกายด้วยเสื้อตัวนอกสีม่วง 3 แล้วพวกเขาก็มาหาพระองค์ พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ไชโย ขอต้อนรับกษัตริย์ของชาวยิว” แล้วเขาก็ตบหน้าพระองค์ 4 ปีลาตก็ออกไปอีกและพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “ดูเถิด เราจะเอาตัวเขาออกมาให้พวกท่าน เพื่อท่านจะได้รู้ว่า เราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด” 5 พระเยซูซึ่งสวมมงกุฎหนามและเสื้อตัวนอกสีม่วงก็ได้ออกมา ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “นี่ไง ชายคนนั้น” 6 ดังนั้นเมื่อเหล่ามหาปุโรหิตและเจ้าหน้าที่เห็นพระองค์ พวกเขาจึงร้องเสียงดังว่า “ให้ตรึงเขาเสีย ให้ตรึงเขาเสีย” ปีลาตพูดกับเขาเหล่านั้นว่า “เอาตัวเขาไป แล้วก็ตรึงเขาเองเถิด เพราะเราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด” 7 พวกชาวยิวตอบเขาว่า “ตามกฎของพวกเราแล้ว เขาควรตาย เพราะว่าเขาตั้งตนเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 8 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นก็ตกใจกลัวยิ่งขึ้น 9 จึงเข้าไปในวังอีก แล้วพูดกับพระเยซูว่า “ท่านมาจากไหน” พระเยซูไม่ตอบ 10 ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ท่านไม่พูดกับเราหรือ ไม่รู้หรือว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะปล่อยท่าน และก็มีสิทธิอำนาจที่จะตรึงท่าน” 11 พระเยซูตอบว่า “ท่านไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรา นอกจากว่าจะได้รับมาจากเบื้องบน ด้วยเหตุนี้เองคนที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีบาปยิ่งกว่าท่าน”
12 ปีลาตพยายามอย่างยิ่งที่จะปลดปล่อยพระองค์ไป แต่ชาวยิวร้องด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าท่านปลดปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ คนที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อซีซาร์” 13 เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้นจึงพาพระเยซูออกมา และนั่งลงบนที่นั่งของผู้ตัดสินความ ที่เรียกว่า ลานปูศิลา หรือตามภาษาฮีบรูคือ กับบาธา 14 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม[a]สำหรับเทศกาลปัสกา เวลาประมาณ 6 โมงเช้า[b]ปีลาตพูดกับชาวยิวว่า “นี่ไง กษัตริย์ของท่าน” 15 พวกเขาจึงร้องเสียงดังว่า “เอาตัวเขาไปเสีย เอาตัวเขาไปเสีย ให้ตรึงเขาเสีย” ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “เราควรจะตรึงกษัตริย์ของท่านหรือ” บรรดามหาปุโรหิตตอบว่า “เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์” 16 จากนั้นปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาเหล่านั้นนำพระองค์ไปตรึงบนไม้กางเขน
ไม้กางเขน
17 พวกเขาจึงพาพระเยซูไป ให้พระองค์แบกไม้กางเขนของพระองค์เอง[c] ออกไปยังสถานที่ซึ่งเรียกว่า ที่ของกะโหลกศีรษะหรือเรียกเป็นภาษาฮีบรูว่า กลโกธา 18 ที่นั้นเองที่พวกเขาตรึงพระองค์พร้อมกับชายอื่นอีก 2 คนโดยให้พระเยซูอยู่กลาง
19 ปีลาตเขียนป้ายติดไว้ที่ไม้กางเขนด้วยว่า
“พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว”
20 ชาวยิวจำนวนมากอ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงพระเยซูอยู่ใกล้ตัวเมือง และเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก 21 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตของชาวยิวพูดกับปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่ให้เขียนตามที่เขาได้กล่าวไว้ว่า ‘เราคือกษัตริย์ของชาวยิว’” 22 ปีลาตตอบว่า “สิ่งใดที่เราเขียนแล้ว ก็แล้วไป”
23 เมื่อพวกทหารได้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนแล้ว ก็เอาเสื้อตัวนอกของพระองค์มาแบ่งออกเป็น 4 ส่วนให้ทหารคนละส่วน และที่เหลือเป็นเสื้อตัวใน ทอเป็นชิ้นเดียวโดยไม่มีตะเข็บ 24 เขาเหล่านั้นจึงพูดโต้ตอบกันว่า “อย่าฉีกเสื้อตัวนั้นเลย แต่มาจับฉลากกันและดูว่าใครจะได้ไป” ซึ่งเป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า
“พวกเขาแบ่งปันเสื้อตัวนอกของข้าพเจ้าในหมู่พวกเขา
แล้วเขาจับฉลากเอาเสื้อตัวในของข้าพเจ้าไป”[d]
พวกทหารก็ได้ทำตามนั้น
25 บรรดาผู้ที่ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระเยซูมี มารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 26 เมื่อพระเยซูมองเห็นมารดาของพระองค์และสาวกที่พระองค์รักยืนอยู่ใกล้ๆ จึงกล่าวกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย ดูเถิด บุตรของท่าน” 27 แล้วพระองค์กล่าวกับสาวกคนนั้นว่า “ดูเถิด มารดาของเจ้า” ครั้นแล้วสาวกผู้นั้นก็รับมารดาของพระองค์เข้ามาอยู่ในบ้านของตน
พระเยซูสิ้นชีวิต
28 หลังจากนั้น พระเยซูทราบว่าทุกสิ่งเสร็จบริบูรณ์แล้ว เพื่อเป็นไปตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์กล่าวว่า “เรากระหายน้ำ” 29 มีโถใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยวตั้งอยู่ที่นั่น เขาเหล่านั้นจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวติดไว้ที่ปลายไม้หุสบ ยื่นให้ถึงปากของพระองค์ 30 เมื่อพระเยซูรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์กล่าวว่า “เสร็จสิ้นแล้ว” จากนั้นพระองค์ก็ก้มศีรษะลงสิ้นชีวิต
31 วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม ชาวยิวจึงขอให้ปีลาตหักขาของผู้ที่ถูกตรึงและเอาตัวไป เพื่อไม่ให้ร่างค้างอยู่บนไม้กางเขนในวันสะบาโต (ในเมื่อเฉพาะวันสะบาโตวันนั้นสำคัญเป็นพิเศษ) 32 ดังนั้นเหล่าทหารจึงมาหักขาของชายคนแรกที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ แล้วก็หักขาของชายอีกคน 33 แต่เมื่อพวกเขามาถึงพระเยซูก็พบว่าพระองค์สิ้นชีวิตแล้ว จึงไม่หักขาของพระองค์ 34 แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงสีข้างของพระองค์ โลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35 ชายคนที่เห็นก็ได้ยืนยัน และคำยืนยันของเขาเป็นความจริง เขารู้ว่าเขาบอกความจริงเพื่อว่าพวกท่านจะได้เชื่อเช่นกัน 36 สิ่งนี้เกิดขึ้นก็เพื่อจะได้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่ว่า “กระดูกของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว”[e] 37 และมีอีกตอนที่พระคัมภีร์ระบุว่า “พวกเขาจะมองดูองค์ผู้ที่พวกเขาได้แทง”[f]
โยเซฟนำร่างของพระเยซูไปฝัง
38 หลังจากนั้นโยเซฟชาวเมืองอาริมาเธียก็ได้มาขอร่างของพระเยซูไปจากปีลาต โยเซฟแอบเป็นสาวกอย่างลับๆ ของพระเยซูเพราะกลัวพวกชาวยิว และปีลาตได้อนุญาต เขาจึงมานำร่างของพระองค์ไป 39 เขามาพร้อมกับนิโคเดมัสซึ่งตอนแรกก็ได้มาหาพระองค์ในเวลากลางคืน โดยนำเครื่องหอมอันประกอบด้วยมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย 40 ชายทั้งสองจึงนำร่างของพระเยซูมาปฏิบัติตามประเพณีนิยมการฝังศพของชาวยิว โดยพันหุ้มด้วยริ้วผ้าป่านห่อด้วยเครื่องหอม 41 สถานที่ซึ่งพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง และในสวนมีถ้ำเก็บศพใหม่ซึ่งไม่เคยมีร่างอื่นฝังมาก่อน 42 เพราะว่าวันนั้นเป็นวันจัดเตรียมของชาวยิวและเพราะถ้ำเก็บศพอยู่ใกล้ๆ เขาจึงวางร่างของพระเยซูไว้ที่นั่น
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation