Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 33

มนัสเสห์ครองราชย์ในยูดาห์

33 มนัสเสห์มีอายุ 12 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 55 ปีในเยรูซาเล็ม ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า คือทำตามสิ่งที่น่ารังเกียจของบรรดาประชาชาติซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล เพราะท่านกลับมาสร้างสถานบูชาบนภูเขาสูงซึ่งเฮเซคียาห์บิดาของท่านได้ทำลายไปขึ้นมาใหม่ และท่านสร้างแท่นบูชาหลายแท่นขึ้นใหม่ให้แก่เทพเจ้าบาอัล และสลักเทวรูปอาเชราห์ กราบนมัสการและบูชาสรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า และท่านสร้างแท่นบูชาหลายแท่นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ว่า “นามของเราจะคงอยู่ในเยรูซาเล็มชั่วนิรันดร์กาล”[a] และท่านสร้างแท่นบูชาหลายแท่นให้สรรพสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า ไว้ที่ลานทั้งสองของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และท่านเผาบรรดาบุตรชายให้เป็นของถวายในหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม ใช้การทำนายและเวทมนตร์ ใช้วิทยาคม ปรึกษาคนทรงและผู้สื่อกับคนตาย ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายมากมายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และยั่วโทสะพระองค์ และยังตั้งเทวรูปอาเชราห์ที่สลักไว้ในพระตำหนักของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้ากล่าวกับดาวิดและซาโลมอนผู้เป็นบุตรว่า “นามของเราจะเป็นที่ยกย่องชั่วนิรันดร์กาลในตำหนักนี้และในเยรูซาเล็ม คือเมืองที่เราได้เลือกจากเผ่าทั้งปวงของอิสราเอล และเราจะไม่ทำให้เท้าของอิสราเอลต้องก้าวออกไปจากแผ่นดินที่เรามั่นหมายว่าจะยกให้แก่บรรพบุรุษของพวกเจ้าอีกต่อไป เพียงแต่ให้พวกเขาระมัดระวังปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เราบัญชาพวกเขาไว้แล้ว และตามคำบัญชา กฎบัญญัติ และกฎเกณฑ์ที่ให้ไว้ผ่านโมเสส”[b] มนัสเสห์ทำให้ยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มกระทำบาป ทำสิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรดาประชาชาติได้กระทำ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้กำจัดออกไปต่อหน้าชาวอิสราเอล

มนัสเสห์กลับใจ

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่มนัสเสห์และประชาชนของท่าน แต่พวกเขาก็ทำเฉยเมย 11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงให้บรรดาผู้บัญชากองทัพของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียยกทัพมา และพวกเขาจับมนัสเสห์ไปเป็นเชลย เอาเบ็ดคล้องจมูก และตีตรวนท่านด้วยโซ่ทองสัมฤทธิ์ และนำท่านไปยังบาบิโลน 12 เมื่อท่านเป็นทุกข์ ท่านจึงขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และถ่อมตนลงอย่างมากต่อพระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน 13 ท่านอธิษฐานต่อพระองค์ และพระเจ้ารู้สึกสะเทือนใจที่ท่านร้องขอ และพระองค์ฟังคำอ้อนวอน พระองค์จึงนำท่านเข้ามายังอาณาจักรของท่านที่เยรูซาเล็มอีกครั้ง แล้วมนัสเสห์จึงทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า

14 หลังจากนั้นท่านก็สร้างกำแพงรอบนอกให้เมืองของดาวิด ทางตะวันตกของบ่อน้ำพุกีโฮนในหุบเขา จนถึงทางเข้าประตูปลา โอบล้อมเนินเขาโอเฟล และสร้างให้สูงขึ้นมาก ท่านกำหนดบรรดาผู้บัญชากองทัพให้ประจำอยู่ที่เมืองต่างๆ ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งในยูดาห์ 15 ท่านให้ขนเทพเจ้าต่างชาติและรูปเคารพจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และแท่นบูชาทั้งหมดที่ท่านได้สร้างไว้บนภูเขาของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าและในเยรูซาเล็ม แล้วก็โยนทิ้งเสียที่นอกเมือง 16 ท่านซ่อมแซมแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า และถวายเครื่องสักการะที่เป็นของถวายแห่งสามัคคีธรรมและของถวายแห่งการขอบคุณ และท่านบัญชายูดาห์ให้รับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 17 อย่างไรก็ดี ประชาชนก็ยังถวายเครื่องสักการะที่สถานบูชาบนภูเขาสูง แต่ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น

18 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของมนัสเสห์ และคำอธิษฐานต่อพระเจ้าของท่าน และสิ่งที่บรรดาผู้รู้กล่าวกับท่านในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล 19 คำอธิษฐานของท่าน และพระเจ้ารู้สึกสะเทือนใจอย่างไรเมื่อท่านร้องขอ บาปทั้งหลายของท่าน ความไม่ภักดีของท่าน และสถานที่ซึ่งท่านสร้างสถานบูชาบนภูเขาสูง และตั้งเทวรูปอาเชราห์และรูปเคารพอื่นๆ ก่อนที่ท่านถ่อมตนลง ดูเถิด สิ่งเหล่านี้มีบันทึกไว้แล้วในประวัติของบรรดาผู้รู้ 20 ดังนั้นมนัสเสห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในวังของท่าน และอาโมนบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

อาโมนครองราชย์และสิ้นชีวิต

21 อาโมนมีอายุ 22 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 2 ปีในเยรูซาเล็ม 22 ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่มนัสเสห์บิดาของท่านได้กระทำ อาโมนมอบเครื่องสักการะแก่รูปเคารพทั้งหลายที่มนัสเสห์บิดาของท่านได้ทำขึ้น และบูชาสิ่งเหล่านั้น 23 ท่านไม่ได้ถ่อมตนลงต่อพระผู้เป็นเจ้า อย่างที่มนัสเสห์บิดาของท่านได้ถ่อมตนลง แต่อาโมนผู้นี้กระทำความผิดมากยิ่งขึ้น 24 บรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของท่านคบคิดกบฏต่อท่าน และสังหารท่านในวังของท่านเอง 25 แต่ประชาชนของแผ่นดินก็ฆ่าทุกคนที่ได้เป็นกบฏต่อกษัตริย์อาโมน และประชาชนของแผ่นดินแต่งตั้งโยสิยาห์บุตรของท่านให้เป็นกษัตริย์แทน

วิวรณ์ 19

ชื่นชมยินดีในสวรรค์

19 หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังกระหึ่มดุจดังเสียงฝูงชนจำนวนมากในสวรรค์ร้องว่า

“ฮาเลลูยา
ความรอดพ้น พระบารมี และอานุภาพ
    เป็นของพระเจ้าของเรา
เพราะการพิพากษาของพระองค์จริงและยุติธรรม
    พระองค์ได้กล่าวโทษหญิงแพศยาที่ยิ่งใหญ่
ซึ่งนำพาให้แผ่นดินโลกทำบาปด้วยการผิดประเวณีของนาง
    พระองค์เรียกคืนจากนางเพื่อชดเชยให้แก่โลหิตของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์”

และเขาเหล่านั้นร้องอีกว่า

“ฮาเลลูยา
ควันไฟที่ไหม้ตัวนางลอยขึ้นชั่วนิรันดร์กาล”

บรรดาผู้ใหญ่ 24 ท่านกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ ก็ได้หมอบลงนมัสการพระเจ้าผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ และเขาเหล่านั้นร้องว่า “อาเมน ฮาเลลูยา” และมีเสียงจากบัลลังก์ว่า

“ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์เอ๋ย
    ท่านที่เกรงกลัวพระองค์ ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย
    จงสรรเสริญพระเจ้าของเราเถิด”

งานเลี้ยงสมรสของลูกแกะ

แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงที่ดูเหมือนว่ามาจากฝูงชนจำนวนมาก และเป็นเสียงกึกก้องประดุจเสียงน้ำตก และเหมือนเสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหลายครั้ง ร้องว่า

“ฮาเลลูยา
    เพราะพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจอมโยธาของเราครองบัลลังก์อยู่
ขอให้พวกเราชื่นชมยินดีและดีใจ
    และถวายพระบารมีแด่พระองค์
เพราะถึงเวลาสมรสของลูกแกะ
    และเจ้าสาวของพระองค์ได้เตรียมตัวพร้อมแล้ว
เธอได้รับผ้าป่านเนื้อดีสีขาวและบริสุทธิ์
    เพื่อสวมใส่”

ด้วยว่าผ้าป่านเนื้อดีเป็นสัญลักษณ์แห่งการกระทำอันชอบธรรมของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า

ครั้นแล้วทูตสวรรค์พูดกับข้าพเจ้าว่า “จงเขียนว่า ‘บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญไปรับประทานในงานเลี้ยงสมรสของลูกแกะก็เป็นสุข’” และพูดอีกว่า “นี่เป็นคำพูดอันแท้จริงของพระเจ้า” 10 ข้าพเจ้าก็หมอบลงที่แทบเท้าของท่านเพื่อนมัสการท่าน แต่ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำอย่างนั้น เราเป็นเพื่อนผู้ร่วมรับใช้ด้วยกันกับท่าน และกับพี่น้องของท่านที่ยึดมั่นในคำยืนยันของพระเยซู จงนมัสการพระเจ้า เพราะคำยืนยันของพระเยซูคือวิญญาณแห่งการเผยความ”

ผู้ขี่ม้าขาว

11 ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็เห็นสวรรค์เปิดออก ดูเถิด มีม้าขาวตัวหนึ่ง ผู้ที่ขี่ม้าตัวนั้นชื่อ “องค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญา” และ “องค์ผู้สัตย์จริง” พระองค์กล่าวโทษและทำศึกสงครามด้วยความเที่ยงธรรม 12 พระองค์มีดวงตาประดุจเปลวไฟ บนศีรษะมีมงกุฎหลายองค์ มีชื่อเขียนไว้ซึ่งไม่มีผู้ใดทราบนอกจากผู้นั้นเอง 13 สวมเสื้อตัวนอกที่จุ่มโลหิต และชื่อของผู้นั้นคือ “คำกล่าวของพระเจ้า” 14 เหล่ากองทัพแห่งสวรรค์ที่กำลังขี่ม้าขาว ก็ติดตามพระองค์ไป สวมผ้าป่านเนื้อดีสีขาวและบริสุทธิ์ 15 ดาบคมที่ออกมาจากปากของพระองค์ฟาดฟันประเทศทั้งปวง “พระองค์จะปกครองพวกเขาด้วยคทาเหล็ก”[a] และจะย่ำเครื่องคั้นน้ำองุ่นของความโกรธกริ้วแห่งการลงโทษของพระเจ้าจอมโยธา 16 พระองค์มีชื่อเขียนไว้ที่เสื้อตัวนอกกับที่ต้นขาของพระองค์ว่า

“กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเจ้าทั้งปวง”

17 แล้วข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งกำลังยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ ร้องด้วยเสียงอันดังต่อนกทั้งหลายที่กำลังบินอยู่กลางอากาศว่า “จงมาร่วมชุมนุมกัน เพื่อรับประทานในงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า 18 เพื่อจะได้กินเนื้อกษัตริย์ ผู้บัญชาการ ผู้มีอานุภาพ ทั้งเนื้อม้าและคนขี่ เนื้อคนทั้งหลาย ทั้งพวกที่เป็นอิสระและเป็นทาส ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย” 19 แล้วข้าพเจ้าก็เห็นอสุรกาย บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลก และหมู่กองทหารรบ เข้าสมทบกันเพื่อทำสงครามต่อสู้กับผู้ขี่ม้าและกับกองทหารรบของพระองค์ 20 แต่อสุรกายถูกจับพร้อมกับผู้เผยคำกล่าวจอมปลอม ซึ่งได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ด้วยอำนาจที่รับมาจากอสุรกายตัวแรก และใช้ปรากฏการณ์อัศจรรย์ล่อลวงพวกที่ได้รับเครื่องหมายของอสุรกาย และพวกที่นมัสการรูปจำลองของตัวมัน ทั้งสองถูกโยนทั้งเป็นลงสู่ทะเลเพลิงที่ลุกโชนด้วยกำมะถัน 21 ส่วนพวกที่เหลือก็ตายด้วยดาบซึ่งออกมาจากปากขององค์ที่ขี่ม้า และนกทุกตัวก็จิกกินเนื้อของเขาเหล่านั้นจนอิ่มหนำ

มาลาคี 1

คำพยากรณ์แห่งคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับอิสราเอลโดยมาลาคี[a]

ความรักของพระผู้เป็นเจ้ามีต่ออิสราเอล

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เรารักพวกเจ้า” แต่พวกเจ้าถามว่า “พระองค์รักพวกเราอย่างไร” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “เอซาวเป็นพี่ชายยาโคบมิใช่หรือ แม้ว่าเรารักยาโคบ แต่เราชังเอซาว[b] และเราได้ทำให้ดินแดนเนินเขาของเขากลายเป็นที่ร้างอันแร้นแค้น และยกมรดกของเขาให้แก่หมาในในถิ่นทุรกันดาร” ถ้าเอโดมพูดว่า “พวกเราถูกเหยียบย่ำ แต่เราก็จะสร้างสิ่งปรักหักพังขึ้นใหม่” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “พวกเขาจะสร้างก็ได้ แต่เราจะทำให้พังทลายลง และพวกเขาจะได้ชื่อว่า ‘ดินแดนชั่วร้าย’ และ ‘ประชาชนที่พระผู้เป็นเจ้ากริ้วตลอดไป’ พวกเจ้าจะเห็นด้วยตาเอง และจะพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่แม้กระทั่งนอกเขตแดนอิสราเอล’”

เครื่องสักการะที่มีตำหนิของปุโรหิต

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บุตรชายให้เกียรติบิดาของเขา และผู้รับใช้ให้เกียรติเจ้านาย ถ้าเราเป็นบิดา เกียรติของเราอยู่ที่ไหน และถ้าเราเป็นเจ้านาย ความเคารพที่มีต่อเราอยู่ที่ไหน โอ บรรดาปุโรหิตเอ๋ย พวกเจ้านั่นแหละที่ดูหมิ่นนามของเรา แต่พวกเจ้าถามว่า ‘พวกเราดูหมิ่นพระนามของพระองค์อย่างไร’ พวกเจ้าถวายอาหารที่เป็นมลทินบนแท่นบูชาของเรา แต่พวกเจ้าถามว่า ‘พวกเราทำให้พระองค์เป็นมลทินได้อย่างไร’ การที่พูดเช่นนั้น โต๊ะของพระผู้เป็นเจ้าถูกดูหมิ่น การที่พวกเจ้ามอบสัตว์ตาบอดเป็นเครื่องสักการะนั้น ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายหรือ และเมื่อพวกเจ้ามอบเครื่องสักการะพิการหรือเป็นโรค นั่นไม่เลวร้ายหรือ ลองมอบของเหล่านั้นแก่ผู้ว่าราชการของเจ้า เขาจะพอใจในตัวเจ้าหรือเขาจะยอมรับเจ้าไหม” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า “จงอ้อนวอนพระเจ้าให้กรุณาต่อพวกเรา มือพวกท่านถวายของเช่นนี้ แล้วพระองค์จะพอใจผู้ใดในหมู่ท่านไหม” 10 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “คนหนึ่งในพวกเจ้าจะปิดประตู เพื่อจะได้ไม่จุดไฟที่แท่นบูชาโดยไร้ประโยชน์ เราไม่พอใจในตัวพวกเจ้า และเราจะไม่รับของถวายจากมือของพวกเจ้า 11 นามของเราจะยิ่งใหญ่ในบรรดาประชาชาติตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก ทั่วทุกแห่งจะมีคนนำเครื่องหอมและของถวายอันบริสุทธิ์มาให้เพื่อนามของเรา เพราะนามของเราจะยิ่งใหญ่ในบรรดาประชาชาติ” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 12 “แต่พวกเจ้าดูหมิ่นเมื่อเจ้าพูดถึงโต๊ะของพระผู้เป็นเจ้าว่า ‘เป็นมลทิน’ และพูดถึงอาหารว่า ‘เป็นที่น่าดูหมิ่น’ 13 และพวกเจ้าพูดว่า ‘เป็นภาระเสียจริง’ และพวกเจ้าเหยียดหยามเชิดหน้าใส่” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น “เมื่อพวกเจ้านำสิ่งที่เอามาได้ด้วยการกระทำผิด หรือสิ่งที่พิการ หรือเป็นโรค พวกเจ้านำมาให้เป็นของถวาย เราควรจะรับสิ่งเหล่านั้นจากมือของพวกเจ้าหรือ 14 คนโกงถูกแช่งสาป คนที่มีสัตว์ตัวผู้จากฝูง และสาบานว่าจะถวายให้ แต่แล้วก็มอบสัตว์มีตำหนิเป็นเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า เพราะเราเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และนามของเราจะต้องเป็นที่เกรงขามในบรรดาประชาชาติ” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น

ยอห์น 18

พระเยซูถูกจับกุม

18 เมื่อพระเยซูกล่าวดังนี้แล้ว พระองค์พร้อมด้วยสาวกได้เดินข้ามซอกหุบเขาขิดโรน เข้าไปยังสวนแห่งหนึ่ง ยูดาสผู้กำลังจะทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้น เพราะพระเยซูเคยไปพบปะกับเหล่าสาวกของพระองค์ที่นั่นบ่อยครั้ง ยูดาสจึงพาทหารในกองกลุ่มหนึ่งกับพวกเจ้าหน้าที่จากบรรดามหาปุโรหิตและฟาริสีไปที่นั่น ต่างก็ถือตะเกียง ไต้ และอาวุธมาด้วย พระเยซูทราบดีถึงทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงก้าวออกไปถามพวกเขาว่า “ท่านตามหาใคร” พวกเขาตอบว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” พระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น”[a] และยูดาสผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย เมื่อพระองค์กล่าวว่า “เราคือผู้นั้น” พวกเขาก็ถอยหลังกลับไปและล้มลงที่พื้น พระองค์จึงถามพวกเขาอีกว่า “ท่านตามหาใคร” เขาพูดว่า “เยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ” พระเยซูตอบว่า “เราบอกแล้วว่าเราคือผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเรา ก็จงปล่อยให้คนเหล่านี้ไปเถิด” เพื่อจะได้เป็นไปตามคำที่พระองค์กล่าวไว้ว่า “ในบรรดาผู้ที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ให้สักคนเดียวหลงหายเลย”[b] 10 ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสชื่อมัลคัส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของหัวหน้ามหาปุโรหิต และตัดหูขวาของเขาขาด 11 พระเยซูกล่าวกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราควรจะต้องดื่มจากถ้วยซึ่งพระบิดาได้ให้แก่เรามิใช่หรือ”

12 แล้วเหล่าทหารในกองกลุ่มหนึ่งพร้อมทั้งผู้บังคับกองพันกับพวกเจ้าหน้าที่ของชาวยิวจึงจับกุมและมัดพระเยซูไว้ 13 แรกทีเดียวพวกเขานำพระองค์ไปหาอันนาส ซึ่งเป็นพ่อตาของคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิตในปีนั้น 14 คายาฟาสเป็นคนแนะนำพวกชาวยิวว่า ดีแล้วที่คนหนึ่งจะตายแทนคนทั้งปวง

เปโตรปฏิเสธครั้งแรก

15 ซีโมนเปโตรและสาวกอีกคนกำลังตามพระเยซูไป สาวกคนนั้นรู้จักกับหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้เข้าไปกับพระเยซูถึงลานบ้านของหัวหน้ามหาปุโรหิต 16 แต่เปโตรกำลังยืนอยู่ที่ประตูด้านนอก ฉะนั้นสาวกคนที่รู้จักหัวหน้ามหาปุโรหิต จึงได้ออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตูและนำเปโตรเข้ามา 17 ทาสรับใช้หญิงที่เฝ้าประตูจึงพูดกับเปโตรว่า “ท่านไม่ใช่สาวกอีกคนของชายผู้นี้ใช่ไหม” เขาพูดว่า “เราไม่ได้เป็น” 18 ขณะนั้นอากาศหนาวเย็น พวกทาสรับใช้และเจ้าหน้าที่กำลังยืนผิงไฟซึ่งก่อจากถ่าน เปโตรเองก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย

หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซู

19 หัวหน้ามหาปุโรหิตถามพระเยซูเกี่ยวกับบรรดาสาวกและการสั่งสอนของพระองค์ 20 พระเยซูตอบว่า “เราได้พูดอย่างเปิดเผยต่อโลก เราสั่งสอนอยู่เสมอในศาลาที่ประชุมและในพระวิหารที่พวกชาวยิวมาชุมนุมกัน เราไม่ได้พูดสิ่งใดในที่ลับ 21 ทำไมท่านจึงถามเรา จงถามพวกที่ได้ยินเถิดว่าเราพูดอะไรกับเขา เพราะพวกเขารู้ว่าเราได้พูดอะไรไป” 22 เมื่อพระองค์กล่าวดังนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ตบหน้าพระเยซูแล้วพูดว่า “ท่านตอบหัวหน้ามหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ” 23 พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราพูดผิดก็จงกล่าวหาเถิดว่าผิดอย่างไร แต่ถ้าถูกต้องแล้ว ท่านมาตบเราทำไม” 24 อันนาสจึงมอบพระองค์ซึ่งถูกมัดอยู่ให้กับคายาฟาสหัวหน้ามหาปุโรหิต

เปโตรปฏิเสธครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3

25 ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาว่า “ท่านไม่ใช่หนึ่งในบรรดาสาวกของเขาด้วยหรือ” เปโตรปฏิเสธว่า “เราไม่ได้เป็น” 26 ทาสรับใช้คนหนึ่งของหัวหน้ามหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรตัดหูขาดก็พูดขึ้นว่า “ข้าพเจ้าเห็นท่านในสวนกับเขามิใช่หรือ” 27 เปโตรจึงปฏิเสธอีก และทันใดนั้นเอง ไก่ก็ขัน

ปีลาตสอบสวนพระเยซู

28 เขาเหล่านั้นก็พาพระเยซูจากคายาฟาสไปยังวังของผู้ว่าราชการโรมันในตอนเช้าตรู่ แต่ไม่ได้เข้าไปในวังเพื่อไม่ให้เป็นมลทิน และจะได้รับประทานในเทศกาลปัสกาได้ 29 ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วพูดว่า “ชายผู้นี้ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาอะไร” 30 พวกเขาตอบว่า “ถ้าชายผู้นี้ไม่กระทำความชั่ว พวกเราก็จะไม่มอบเขาไว้กับท่าน” 31 ปีลาตจึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านจงเอาตัวเขาไปกล่าวโทษตามกฎของท่านเองเถิด” บรรดาชาวยิวพูดกับเขาว่า “พวกเราไม่มีสิทธิ์ประหารใคร” 32 ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามที่พระเยซูได้กล่าวไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์จะสิ้นชีวิตอย่างไร

33 ปีลาตจึงเข้าไปในวังอีกและเรียกพระเยซูมาถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” 34 พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดเกี่ยวกับเราตามความคิดของท่านเอง หรือเพราะคนอื่นๆ บอกท่าน” 35 ปีลาตตอบว่า “เราเป็นคนยิวหรือ ชนชาติของท่านและเหล่ามหาปุโรหิตได้มอบตัวท่านไว้กับเรา ท่านได้กระทำอะไรไปบ้าง” 36 พระเยซูตอบว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเราเป็นของโลกนี้แล้ว บรรดาผู้รับใช้ของเราก็จะต่อสู้เพื่อไม่ให้เราถูกมอบตัวไว้กับพวกชาวยิว แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ อาณาจักรของเราไม่ได้อยู่ที่นี่” 37 ดังนั้นปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านก็คือกษัตริย์น่ะสิ” พระเยซูตอบว่า “ท่านพูดถูกต้องแล้วว่าเราคือกษัตริย์ และด้วยเหตุนี้เราจึงเกิดมา และเราจึงมาในโลกเพื่อยืนยันถึงความจริง ทุกคนที่มาจากความจริงฟังเสียงของเรา”

38 ปีลาตพูดกับพระองค์ว่า “ความจริงคืออะไร” และเมื่อพูดดังนั้นแล้วก็ออกไปหาชาวยิวอีก และพูดว่า “เราเห็นว่าเขาไม่มีความผิด 39 แต่พวกท่านมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง คือให้เราปลดปล่อยใครสักคนให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านอยากให้เราปลดปล่อยกษัตริย์ของชาวยิวให้แก่ท่านไหม” 40 เขาเหล่านั้นจึงร้องขึ้นอีกว่า “ไม่ใช่ชายคนนี้ ควรเป็นบารับบัส” แต่บารับบัสที่ว่านั้นเป็นโจร

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation