Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 24

โยอาชปฏิสังขรณ์พระตำหนัก

24 โยอาชมีอายุ 7 ปี เมื่อท่านเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 40 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อศิบียาห์แห่งเบเออร์เช-บา โยอาชกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้าตลอดทั้งชีวิตของเยโฮยาดาปุโรหิต เยโฮยาดาหาภรรยา 2 คนให้ท่าน และท่านมีบุตรชายและบุตรหญิง

ต่อมาโยอาชตัดสินใจปฏิสังขรณ์พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกบรรดาปุโรหิตและชาวเลวีมาเข้าเฝ้า และกล่าวกับพวกเขาว่า “จงไปยังเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และเก็บเงินจากอิสราเอลมาซ่อมแซมพระตำหนักของพระเจ้าของท่าน เป็นเงินรายปี จงปฏิบัติงานให้รวดเร็วด้วย” แต่ชาวเลวีไม่ได้ทำอย่างรวดเร็ว กษัตริย์จึงเรียกเยโฮยาดามหาปุโรหิตมา และถามว่า “ทำไมท่านจึงไม่ได้สั่งให้ชาวเลวีนำเงินภาษีที่เก็บมาจากยูดาห์และเยรูซาเล็มเข้ามา โมเสสผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า และที่ประชุมของอิสราเอลได้กำหนดเงินภาษีนั้น เพื่อใช้สำหรับกระโจมแห่งพันธสัญญา”[a] เนื่องจากบรรดาบุตรของอาธาลิยาห์หญิงผู้ชั่วร้าย ได้บุกเข้ามาในพระตำหนักของพระเจ้า และนำภาชนะอันบริสุทธิ์ทั้งสิ้นของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าไปใช้กับเทวรูปบาอัล

ดังนั้นกษัตริย์จึงออกคำสั่ง ให้สร้างหีบใบหนึ่ง เอาไปตั้งไว้ที่ด้านนอกประตูพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า มีคำสั่งออกไปทั่วยูดาห์และเยรูซาเล็มให้ประชาชนนำภาษีซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า กำหนดให้เก็บจากอิสราเอลเพื่อถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร 10 บรรดาผู้นำและประชาชนทั้งปวงต่างมีความยินดีและนำภาษีมามอบไว้ในหีบจนเต็ม 11 เมื่อใดที่ชาวเลวีนำหีบมาให้เจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ และเขาเห็นว่ามีเงินมากมายในหีบ เลขาและผู้ช่วยของมหาปุโรหิตก็จะมาเก็บเงินไป และวางหีบไว้ที่เดิม พวกเขาทำเช่นนี้ทุกวัน และสะสมเงินได้เป็นจำนวนมาก 12 กษัตริย์และเยโฮยาดามอบเงินให้แก่บรรดาผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และจ้างช่างก่ออิฐและช่างไม้มาปฏิสังขรณ์พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และช่างเหล็กและทองสัมฤทธิ์ซ่อมแซมพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 13 ดังนั้นบรรดาผู้ที่รับผิดชอบก็ปฏิบัติงาน และงานซ่อมแซมก็ก้าวหน้า พวกเขาปฏิสังขรณ์พระตำหนักของพระเจ้า ให้ได้รูปแบบดังเดิม และทำให้แข็งแรงขึ้น 14 เมื่องานเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็นำเงินที่เหลือมามอบคืนกษัตริย์และเยโฮยาดา และใช้เงินนั้นทำเครื่องใช้สำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ภาชนะเครื่องใช้สำหรับงานปฏิบัติรับใช้และสำหรับเผาสัตว์เป็นของถวาย ภาชนะเครื่องหอม ภาชนะเครื่องทองคำและเงิน และพวกเขามอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เป็นประจำตลอดชั่วอายุของเยโฮยาดา

15 เยโฮยาดาชราลงและมีอายุมากแล้ว และเขาก็เสียชีวิตเมื่อมีอายุ 130 ปี 16 พวกเขาเก็บร่างของเขาไว้ในเมืองของดาวิดร่วมกับบรรดากษัตริย์ เพราะเขาได้กระทำความดีในอิสราเอล และกระทำดีต่อพระเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขา

17 หลังจากเยโฮยาดาเสียชีวิตแล้ว บรรดาผู้นำของยูดาห์มาแสดงคารวะต่อกษัตริย์โยอาช และกษัตริย์ฟังพวกเขา 18 พวกเขาทอดทิ้งพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา และบูชาเทวรูปอาเชราห์และพวกรูปเคารพ ความโกรธของพระเจ้าจึงตกอยู่กับยูดาห์และเยรูซาเล็มเพราะความผิดของพวกเขาครั้งนี้ 19 ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังส่งบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ให้มาเตือนพวกเขา เพื่อให้กลับใจเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่สนใจฟัง

ความใจร้ายของโยอาช

20 เศคาริยาห์บุตรของเยโฮยาดาปุโรหิตเปี่ยมด้วยพระวิญญาณพระเจ้า เขายืนต่อหน้าประชาชน และพูดว่า “พระเจ้ากล่าวดังนี้ ‘ทำไมพวกเจ้าจึงละเมิดพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พวกเจ้าไม่เจริญเพราะเจ้าละทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ละทิ้งพวกเจ้าแล้ว’” 21 แต่พวกเขาคบคิดทำร้ายเขา และได้ใช้หินขว้างเขาที่ลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ตามคำสั่งของกษัตริย์ 22 กษัตริย์โยอาชไม่ได้นึกถึงความกรุณาที่เยโฮยาดาบิดาของเศคาริยาห์เคยมีต่อท่าน แต่กลับฆ่าบุตรของเขา ขณะที่เขากำลังจะสิ้นลม เขาพูดว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าเห็นสิ่งที่ท่านทำและคิดบัญชีกับท่าน”

โยอาชถูกลอบสังหาร

23 ตอนปลายปีนั้น กองทัพชาวอารัมขึ้นมาโจมตีโยอาช พวกเขามายังยูดาห์และเยรูซาเล็ม และได้ฆ่าบรรดาผู้นำของประชาชนทั้งหมด และขนของที่ริบได้ไปให้กษัตริย์แห่งดามัสกัส 24 แม้ว่ากองทัพของชาวอารัมมีจำนวนน้อย พระผู้เป็นเจ้าก็มอบกองทัพที่ใหญ่กว่ามากไว้ในมือของพวกเขา เพราะยูดาห์ได้ละทิ้งพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา โยอาชจึงถูกลงโทษดังกล่าว

25 เมื่อพวกอารัมยกทัพกลับไป โยอาชได้รับบาดเจ็บสาหัส บรรดาผู้รับใช้ของท่านคบคิดทำร้ายท่านจากการที่บุตรของเยโฮยาดาปุโรหิตถูกฆ่า และก็ได้สังหารท่านบนที่นอน ท่านสิ้นชีวิต พวกเขาเก็บร่างของท่านไว้ในเมืองของดาวิด แต่ไม่ได้บรรจุไว้ในถ้ำบรรจุศพของบรรดากษัตริย์ 26 บรรดาผู้ที่คบคิดทำร้ายท่านคือ ศาบาดบุตรนางชิเมอัทชาวอัมโมน และเยโฮซาบาดบุตรนางชิมริทชาวโมอับ 27 เรื่องราวของบรรดาบุตรของท่าน และคำพยากรณ์มากมายที่ต่อต้านท่าน และเรื่องปฏิสังขรณ์พระตำหนักของพระเจ้า ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์ และอามาซิยาห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

วิวรณ์ 11

พยานทั้งสอง

11 ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็ได้รับไม้วัดที่ดูเหมือนไม้เท้าอันหนึ่ง พร้อมกับมีเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า “จงไปวัดขนาดพระวิหารของพระเจ้าและแท่นบูชา แล้วนับจำนวนคนที่นมัสการในนั้น แต่ไม่รวมลานรอบนอกพระวิหาร ไม่ต้องวัดที่นั่นเพราะเป็นส่วนที่ได้ให้แก่บรรดาคนนอกแล้ว พวกเขาจะเหยียบย่ำเมืองบริสุทธิ์เป็นเวลา 42 เดือน และเราจะให้อำนาจแก่พยานทั้งสองของเรา ไปประกาศสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบเป็นเวลา 1,260 วัน เขาจะสวมผ้ากระสอบ”

เขาทั้งสองคือ ต้นมะกอก 2 ต้น และคันประทีป 2 คันที่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินโลก ถ้าผู้ใดอยากจะทำร้ายเขา ก็จะเกิดไฟพลุ่งออกจากปากของเขาทั้งสอง แล้วทำลายศัตรูไปเสีย ถ้าผู้ใดอยากจะทำร้ายเขา ก็จะต้องถูกฆ่าตายโดยวิธีนี้ ทั้งสองมีอานุภาพที่จะปิดท้องฟ้า เพื่อไม่ให้ฝนตกในขณะที่เขากำลังประกาศสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบ เขามีอานุภาพที่ทำให้น้ำกลายเป็นเลือดได้ และทำให้ภัยพิบัติทุกชนิดบังเกิดแก่โลกกี่ครั้งก็ได้ เมื่อเสร็จสิ้นการยืนยันของเขาแล้ว อสุรกายที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก ก็จะทำสงครามกับเขาทั้งสองจนชนะและฆ่าเขาเสีย และร่างอันไร้ชีวิตของเขาจะอยู่บนถนนในเมืองอันยิ่งใหญ่ที่พระผู้เป็นเจ้าของเขาถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วย ชื่อของเมืองนี้เปรียบเทียบโดยฝ่ายวิญญาณได้เหมือนกับโสโดมและอียิปต์ บรรดาผู้ที่มาจากชนชาติ เผ่า ภาษา และประเทศต่างๆ จะมองดูร่างอันไร้ชีวิตของเขาเป็นเวลาสามวันครึ่ง และจะไม่ยอมให้ร่างที่ไร้ชีวิตของเขาฝังไว้ในถ้ำ 10 คนทั้งปวงที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลกจะร่าเริงใจกับความตายของเขา พวกเขาจะเฉลิมฉลองและมอบของขวัญให้กันและกัน เพราะผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทั้งสองคนได้นำความทุกข์ทรมานมาให้คนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก 11 แต่หลังจากสามวันครึ่งผ่านพ้นไปแล้ว ลมหายใจแห่งชีวิตจากพระเจ้าก็จะเข้าสู่ตัวเขาทั้งสอง และเขาจะลุกขึ้น ส่วนพวกที่เห็นก็จะพากันหวาดกลัว 12 เขาได้ยินเสียงดังจากสวรรค์กล่าวกับเขาว่า “ขึ้นมาที่นี่เถิด” แล้วพวกศัตรูก็เห็นเขาลอยขึ้นไปในหมู่เมฆสู่สวรรค์ 13 ในขณะนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หนึ่งในสิบส่วนของเมืองก็ถล่มลง และคน 7,000 คนตายเพราะแผ่นดินไหว ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ตกใจกลัว และได้ถวายพระบารมีแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์

14 ความวิบัติอย่างที่สองก็ผ่านไปแล้ว ดูเถิด ความวิบัติอย่างที่สามก็จะมาในไม่ช้านี้เอง

แตรคันที่เจ็ด

15 เมื่อทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตร มีหลายเสียงดังขึ้นในสวรรค์ว่า “อาณาจักรแห่งโลกได้มาเป็นอาณาจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้าของเรา และแห่งพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะครองบัลลังก์ชั่วนิรันดร์กาล” 16 ครั้นแล้วผู้ใหญ่ 24 ท่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของตน ณ เบื้องหน้าพระเจ้าก็หมอบลงนมัสการพระเจ้า 17 พลางพูดว่า

“พวกเราขอบคุณพระองค์ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้าจอมโยธา
    ผู้ดำรงอยู่ในปัจจุบันและในอดีต
เพราะพระองค์ได้ใช้อานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
    และได้เริ่มครองบัลลังก์
18 ประเทศชาติทั้งหลายโกรธแค้น
    และการพิพากษาของพระองค์ก็มาถึงแล้ว
ถึงเวลาที่พระองค์จะพิพากษาคนที่ตายไป
    และจะมอบรางวัลแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
คือบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
    แก่ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า
และแก่บรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระนามของพระองค์ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย
    และจะทำลายพวกที่ทำลายแผ่นดินโลก”

19 แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก หีบพันธสัญญาของพระองค์ปรากฏอยู่ในพระวิหาร แล้วได้เกิดสายฟ้าแลบ เสียงต่างๆ พร้อมกับเสียงฟ้าคำรามครืนครั่นหลายครั้ง แผ่นดินไหว และพายุลูกเห็บ

เศคาริยาห์ 7

การร้องขอความเป็นธรรมและเมตตา

ในปีที่สี่ของกษัตริย์ดาริอัส คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ ในวันที่สี่ เดือนเก้าซึ่งเป็นเดือนคิสเลฟ[a] ประชาชนของเบธเอลได้ส่งชาเรเซอร์ เรเกมเมเลค และพรรคพวกของพวกเขา เพื่อไปถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ โดยถามบรรดาปุโรหิตของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และพูดกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะร้องไห้และอดอาหารในเดือนห้า อย่างที่ข้าพเจ้าทำมาเป็นเวลาหลายปีหรือไม่”

และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็มาถึงข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงบอกประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินและบรรดาปุโรหิตว่า เวลาพวกเจ้าอดอาหารและครวญคร่ำร่ำไห้ในเดือนห้าและเดือนเจ็ด ในช่วงเวลา 70 ปีที่ผ่านมานั้น เจ้าอดอาหารเพื่อเราหรือ และเวลาพวกเจ้ารับประทานและดื่ม พวกเจ้ารับประทานและดื่มเพื่อพวกเจ้าเองมิใช่หรือ พระผู้เป็นเจ้าประกาศผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ เป็นคำกล่าวเหล่านี้มิใช่หรือ เมื่อเยรูซาเล็มและเมืองต่างๆ รอบข้างมีผู้คนอาศัยอยู่และเจริญรุ่งเรือง รวมทั้งเนเกบและเนินเขาเชเฟลาห์ด้วย”

และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงเศคาริยาห์ว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “จงปกครองด้วยความเป็นธรรมอย่างแท้จริง แสดงความเมตตาและความสงสารต่อกันและกัน 10 อย่ากดขี่ข่มเหงหญิงม่ายหรือเด็กกำพร้าพ่อ คนต่างด้าวหรือผู้ยากไร้ และอย่าคิดร้ายในใจต่อกัน” 11 แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะใส่ใจ และยังหัวรั้นหันหลัง และทำหูทวนลมไม่ฟัง 12 พวกเขาทำจิตใจแข็งกระด้างดั่งหินเหล็กไฟ ไม่ฟังกฎบัญญัติและคำกล่าวที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งมาให้โดยพระวิญญาณผ่านบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ ฉะนั้นความกริ้วอันร้อนแรงจึงมาจากพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 13 “เวลาเราร้องบอก พวกเขาก็ไม่ฟัง ดังนั้นเวลาพวกเขาร้องบอก เราก็จะไม่ฟัง” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น 14 “เราทำให้พวกเขากระจัดกระจายกันไปด้วยพายุหมุนในท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก แผ่นดินถูกทิ้งร้างไว้เบื้องหลัง จึงไม่มีใครไปมาหาสู่กันได้ พวกเขาทำให้แผ่นดินอันน่าอยู่กลายเป็นที่รกร้าง”

ยอห์น 10

ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ดี

10 เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ผู้ที่ไม่ได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นถือว่าเป็นขโมยและโจร แต่ผู้ที่ผ่านเข้าทางประตูถือเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ ผู้เฝ้าประตูจึงจะเปิดประตูให้ผู้นั้น และแกะก็ได้ยินเสียงของท่าน ท่านเรียกแกะของท่านเองตามชื่อ และนำออกไป เมื่อท่านนำแกะของท่านทุกตัวออกไปแล้ว ท่านจึงเดินนำหน้าไป และแกะก็ติดตามท่านไปเพราะจำเสียงของท่านได้ แกะจะไม่ติดตามคนแปลกหน้าไป ซ้ำยังจะหนีไปจากเขา เพราะว่าไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า” คำสั่งสอนที่เป็นความเปรียบนี้พระเยซูกล่าวให้เขาฟัง แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระองค์พูดถึงนั้นหมายถึงอะไร

ฉะนั้น พระเยซูกล่าวกับพวกเขาต่อไปอีกว่า “เราขอบอกความจริงกับท่านว่า เราคือประตูของแกะทั้งหลาย ทุกคนที่มาล่วงหน้าเราคือขโมยและโจร แต่บรรดาแกะไม่ได้ฟังพวกเขา เราคือประตู ถ้าผู้ใดเข้าโดยผ่านเรา ผู้นั้นก็จะรอดพ้น เขาจะเข้าออกได้และจะพบทุ่งหญ้า 10 ขโมยมาเพื่อลักขโมย ฆ่าและทำลายเท่านั้น เรามาเพื่อให้คนเหล่านั้นมีชีวิตและมีอย่างอุดมสมบูรณ์ 11 เราคือผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ดี เพราะผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ 12 ผู้รับจ้างไม่ใช่เจ้าของแกะ และไม่ใช่ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ พอเขาเห็นสุนัขป่ามาก็ทอดทิ้งฝูงแกะแล้วหนีไป สุนัขป่าจะคว้าคาบแกะไป ทำให้แกะทั้งฝูงวิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิง 13 เขาหนีไปโดยไม่ห่วงฝูงแกะเพราะเขาเป็นเพียงผู้รับจ้าง 14 เราคือผู้เลี้ยงดูฝูงแกะที่ดีและรู้จักแกะของเรา แกะก็รู้จักเราด้วย 15 เหมือนกับที่พระบิดารู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราสละชีวิตของเราเพื่อฝูงแกะ 16 เรามีแกะอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากคอกนี้ เราต้องพาพวกนั้นมาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา รวมกันเป็นฝูงเดียว โดยมีผู้เลี้ยงดูเพียงผู้เดียว 17 ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงรักเรา เพราะว่าเราสละชีวิตของเราซึ่งเป็นชีวิตที่เราจะได้รับคืนมาอีก 18 ไม่มีผู้ใดเอาชีวิตไปจากเรา แต่เราสละชีวิตด้วยความสมัครใจ เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนอีก เราได้รับบัญชานี้จากพระบิดาของเรา”

19 เป็นเพราะคำกล่าวนี้ชาวยิวจึงมีความคิดแตกแยกกันอีก 20 หลายคนพูดกันว่า “เขามีมารสิงอยู่และเสียสติ ท่านจะมัวแต่ฟังเขาอยู่ทำไม” 21 บางคนพูดว่า “นั่นไม่ใช่คำกล่าวของคนที่มีมารสิง มารทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ”

ความไม่เชื่อของชาวยิว

22 ขณะนั้นที่เมืองเยรูซาเล็มเป็นเทศกาลอุทิศพระวิหารซึ่งอยู่ในฤดูหนาว 23 และพระเยซูก็กำลังเดินที่เฉลียงของซาโลมอนในบริเวณพระวิหาร 24 ชาวยิวจึงได้มาห้อมล้อมพระองค์และพูดกับพระองค์ว่า “ท่านจะให้เราสงสัยไปอีกนานแค่ไหน ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ก็บอกเราตรงๆ เถิด” 25 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “เราบอกพวกท่านแต่ท่านไม่เชื่อ สิ่งที่เรากระทำในพระนามของพระบิดาของเรายืนยันอยู่ 26 ท่านไม่เชื่อเพราะท่านไม่ได้เป็นแกะของเรา 27 แกะของเราย่อมฟังเสียงและติดตามเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้นดี 28 เราให้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์แก่แกะเหล่านั้น และแกะพวกนั้นจะไม่มีวันพินาศ และจะไม่มีผู้ใดที่จะแย่งไปจากมือเราได้ 29 พระบิดาของเราคือผู้ที่ได้มอบแกะเหล่านั้นให้แก่เรา พระองค์ยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง ไม่มีผู้ใดที่สามารถแย่งชิงแกะไปจากมือของพระบิดาได้ 30 เราและพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน”

31 พวกชาวยิวหยิบก้อนหินขึ้นอีกเพื่อจะขว้างพระองค์ 32 พระเยซูบอกพวกเขาว่า “เราได้แสดงให้ท่านเห็นผลงานดีๆ จากพระบิดามากมาย แล้วท่านจะขว้างเราเพราะการกระทำในข้อใด” 33 พวกชาวยิวตอบว่า “พวกเราไม่ขว้างท่านในส่วนที่ออกมาดี แต่ขว้างในส่วนที่เป็นการพูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะว่าท่านเป็นมนุษย์ แต่กลับตั้งตนเป็นพระเจ้า” 34 พระเยซูตอบพวกเขาว่า “ไม่มีบันทึกในกฎบัญญัติของท่านหรือว่า ‘เราได้กล่าวว่าพวกเจ้าคือบรรดาเทพเจ้า’[a] 35 ถ้าพระองค์เรียกพวกเขาซึ่งเป็นพวกที่ได้รับคำกล่าวของพระเจ้าว่า บรรดาเทพเจ้า (และพระคัมภีร์เปลี่ยนไม่ได้) 36 ทำไมท่านจึงพูดถึงผู้ที่พระบิดาได้อุทิศให้และส่งเข้ามายังโลกว่า ‘ท่านพูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้า’ เพราะเราพูดว่า ‘เราคือบุตรของพระเจ้า’ 37 ถ้าเราไม่กระทำการงานที่เป็นของพระบิดาของเราแล้ว ก็จงอย่าเชื่อเราเลย 38 แต่ถ้าเรากระทำการงานเหล่านั้น แม้ว่าท่านไม่เชื่อเรา ก็จงเชื่อในการงานเพื่อว่าท่านจะได้รู้และเข้าใจว่า พระบิดาอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” 39 ฉะนั้นเขาเหล่านั้นจึงได้พยายามที่จะจับกุมพระองค์อีก แต่พระองค์ก็รอดพ้นจากมือของพวกเขาไปได้

40 จากนั้นพระองค์ก็เดินทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังที่ที่ยอห์นเคยให้บัพติศมาก่อนหน้านั้น และพักอยู่ที่นั่น 41 มีคนจำนวนมากมาหาพระองค์และพูดกันเองว่า “ยอห์นไม่ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์เลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นพูดไว้เกี่ยวกับชายผู้นี้เป็นความจริง” 42 และทำให้หลายคนในที่นั้นเชื่อในพระองค์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation