Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 26

อุสซียาห์ครองราชย์ในยูดาห์

26 ประชาชนทั้งปวงของยูดาห์แต่งตั้งอุสซียาห์ผู้มีอายุ 16 ปี ให้เป็นกษัตริย์แทนอามาซิยาห์ผู้เป็นบิดา หลังจากที่บิดาของท่านสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่านแล้ว ท่านก็ฟื้นฟูสภาพเมืองเอโลทใหม่เพื่อแผ่นดินยูดาห์ อุสซียาห์มีอายุ 16 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 52 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาชื่อเยโคลียาห์จากเยรูซาเล็ม ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่อามาซิยาห์บิดาของท่านได้กระทำ ท่านแสวงหาพระเจ้าในสมัยของเศคาริยาห์ผู้สอนให้ท่านยำเกรงพระเจ้า และตราบที่ท่านแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าก็โปรดให้ท่านรุ่งเรืองขึ้น

ท่านออกไปทำสงครามกับชาวฟีลิสเตีย และทลายกำแพงเมืองกัท กำแพงเมืองยับเนห์ และกำแพงเมืองอัชโดด และท่านก็สร้างเมืองต่างๆ ในอาณาเขตของอัชโดดและที่อื่นๆ ของชาวฟีลิสเตีย พระเจ้าช่วยท่านต่อสู้กับชาวฟีลิสเตีย ชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในกูร์บาอัล และชาวเมอูน ชาวอัมโมนมอบของบรรณาการแก่อุสซียาห์ กิตติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปไกลจนถึงเขตแดนอียิปต์ เพราะท่านมีอำนาจยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้น อุสซียาห์ก็ได้สร้างหอคอยในเยรูซาเล็มที่ประตูมุม ประตูหุบเขา และที่มุมกำแพง โดยสร้างหอคอยเหล่านี้ให้แข็งแกร่ง 10 ท่านสร้างหอคอยไว้ในถิ่นทุรกันดาร และขุดบ่อน้ำหลายแห่ง เพราะท่านมีฝูงปศุสัตว์ใหญ่มากในที่ลุ่มและที่ราบ ท่านมีชาวสวนและสวนองุ่นในแถบภูเขาและในที่ดินอันอุดมสมบูรณ์ เพราะท่านรักการเกษตร 11 ยิ่งกว่านั้น อุสซียาห์มีกองทัพทหารที่ได้รับการฝึกฝนและพร้อมที่จะออกศึก โดยแบ่งออกเป็นกอง ตามจำนวนที่เลขาเยอีเอลและเจ้าหน้าที่มาอาเสยาห์นับรวมไว้ ภายใต้บัญชาการของฮานันยาห์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชาของกษัตริย์ 12 หัวหน้าตระกูลของนักรบกล้ามีจำนวน 2,600 คน 13 มีทหารอยู่ใต้บังคับ 307,500 คนที่สามารถสู้รบในสงครามด้วยกำลังอันแข็งแกร่ง เพื่อช่วยกษัตริย์ต่อสู้กับศัตรู 14 อุสซียาห์จัดเตรียมโล่ หอก หมวก เสื้อเกราะ ธนู และก้อนหินสำหรับสลิง ให้ทั้งกองทัพ 15 ในเยรูซาเล็ม ท่านทำเครื่องกลไกไว้บนหอคอยและตามมุมกำแพง ประดิษฐ์โดยช่างผู้ชำนาญ เพื่อยิงลูกธนูและเหวี่ยงก้อนหินขนาดใหญ่ และกิตติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปไกล เนื่องจากท่านได้รับความช่วยเหลือมากจนแข็งแกร่ง

ความทะนงของอุสซียาห์และโทษทัณฑ์

16 แต่เมื่อท่านแข็งแกร่งแล้ว ท่านก็ทะนงตน จนทำให้ท่านดำดิ่งสู่ความพินาศ ท่านไม่ภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และท่านเข้าไปในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชา 17 แต่อาซาริยาห์ปุโรหิตและปุโรหิตผู้กล้าหาญของพระผู้เป็นเจ้าอีก 80 คนตามท่านเข้าไป 18 พวกเขาเผชิญหน้ากับกษัตริย์อุสซียาห์ และพูดว่า “ท่านไม่มีหน้าที่เผาเครื่องหอมถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า นั่นเป็นหน้าที่ของปุโรหิต คือบรรดาบุตรของอาโรนซึ่งได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ที่จะเป็นผู้เผาเครื่องหอม ขอท่านออกไปจากที่พำนัก เพราะท่านได้กระทำผิด และจะไม่ได้รับเกียรติจากพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า” 19 อุสซียาห์จึงโกรธกริ้ว ท่านถือกระถางเครื่องหอมเพื่อจะเผาเครื่องหอม เมื่อท่านโกรธกริ้วปุโรหิต โรคเรื้อนจึงปรากฏขึ้นที่หน้าผากของท่านต่อหน้าบรรดาปุโรหิตในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ที่ข้างแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอม 20 อาซาริยาห์มหาปุโรหิตและปุโรหิตทั้งปวงมองดูท่าน ดูเถิด เกิดโรคเรื้อนขึ้นที่หน้าผากของท่าน พวกเขาจึงพาท่านออกไปโดยเร็ว ท่านก็รีบออกไป เพราะพระผู้เป็นเจ้าทำให้ท่านเป็นอย่างนั้น 21 กษัตริย์อุสซียาห์เป็นโรคเรื้อนจนถึงวันที่ท่านสิ้นชีวิต ซึ่งทำให้ท่านต้องแยกไปอาศัยอยู่ต่างหาก และเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ และโยธามบุตรของท่านเป็นผู้ควบคุมดูแลวังของกษัตริย์ และปกครองประชาชนในแผ่นดิน

22 อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้เป็นบุตรของอามอสบันทึกกิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอุสซียาห์ ตั้งแต่ต้นจนจบ[a] 23 อุสซียาห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในสุสานของบรรดากษัตริย์ เพราะคนพูดกันว่า “ท่านเป็นโรคเรื้อน” และโยธามบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน

วิวรณ์ 13

อสุรกายตัวแรก

13 ข้าพเจ้าเห็นอสุรกายตัวหนึ่งมี 7 หัวกับ 10 เขา ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากทะเล บนยอดของแต่ละเขามีมงกุฎ 1 องค์ ส่วนบนหัวแต่ละหัวก็มีชื่อที่ล้วนหมิ่นประมาทพระเจ้า อสุรกายที่ข้าพเจ้าเห็นเหมือนเสือดาวแต่มีอุ้งเท้าเหมือนหมี มีปากเหมือนปากสิงโต มังกรได้ให้อานุภาพ บัลลังก์ และสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของมันแก่อสุรกาย ดูเหมือนว่าที่หัวหนึ่งของอสุรกายเคยมีแผลฉกรรจ์ แต่ก็สมานสนิทจนหายขาดแล้ว คนทั่วทั้งแผ่นดินโลกต่างแปลกใจและได้ติดตามอสุรกายนั้นไป เขาทั้งหลายนมัสการมังกร เพราะมันให้สิทธิอำนาจแก่อสุรกาย และพวกเขาก็ได้นมัสการอสุรกายพลางพูดว่า “มีใครเหมือนอสุรกายบ้าง และใครสามารถทำสงครามต่อต้านมันได้”

ปากที่อสุรกายได้รับมาก็เพื่อพูดคำอวดอ้างและคำหมิ่นประมาท และได้รับสิทธิอำนาจที่แสดงออกเป็นเวลา 42 เดือน ครั้นแล้วมันก็เปิดปากของมันพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า หมิ่นประมาทพระนามของพระองค์และที่พำนักของพระองค์ ซึ่งก็คือบรรดาผู้ที่อยู่ในสวรรค์นั่นเอง มันได้รับสิทธิอำนาจให้ทำสงคราม ต่อสู้กับบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าจนได้รับชัยชนะ มันได้รับอำนาจเหนือทุกเผ่า ทุกชนชาติ ทุกภาษา และทุกประเทศ และทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลกจะนมัสการมัน คือทุกคนที่ไม่มีชื่อบันทึกไว้ก่อนการสร้างโลกในหนังสือแห่งชีวิตของลูกแกะที่ถูกฆ่า

ถ้าใครมีหูก็จงฟังเถิด

10 ถ้าใครจะถูกกักขัง
    ผู้นั้นก็จะถูกกักขัง
ถ้าใครจะถูกฆ่าด้วยดาบ
    ผู้นั้นก็จะต้องถูกฆ่าด้วยดาบ

ฉะนั้นแล้วบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าจึงต้องมีความมานะอดทนและความเชื่อ

อสุรกายตัวที่สอง

11 แล้วข้าพเจ้าก็เห็นอสุรกายอีกตัวกำลังออกมาจากแผ่นดินโลก มันมี 2 เขาเหมือนเขาของลูกแกะและพูดได้เหมือนมังกรพูด 12 มันใช้สิทธิอำนาจทุกอย่างของอสุรกายตัวแรกดั่งเป็นผู้รับมอบอำนาจนั้นมา มันทำให้แผ่นดินโลกและพวกที่อยู่ในโลกนมัสการอสุรกายตัวแรกที่มีแผลฉกรรจ์แต่สมานสนิทจนหายขาดแล้ว 13 และมันแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ต่างๆ แม้กระทั่งทำให้ไฟจากสวรรค์ตกลงสู่โลกต่อหน้าผู้คน 14 มันหลอกลวงพวกที่อยู่บนแผ่นดินโลก โดยแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ตามอำนาจที่มันได้รับมอบมาจากอสุรกายตัวแรก มันบอกพวกที่อยู่บนแผ่นดินโลกให้สร้างรูปจำลองของอสุรกายขึ้น คือตัวที่ถูกดาบฟันและยังมีชีวิตอยู่อีก 15 มันได้รับอานุภาพที่ทำให้รูปจำลองของอสุรกายตัวแรกมีลมหายใจได้ เพื่อให้รูปจำลองของอสุรกายตัวนั้นพูดได้ และทุกคนที่ปฏิเสธที่จะนมัสการรูปจำลองต้องถูกสังหาร 16 มันบังคับทุกคนไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย มีหรือจน เป็นทาสหรืออิสระ ให้รับเครื่องหมายบนมือขวาหรือที่หน้าผากของเขา 17 เพื่อว่าไม่มีผู้ใดที่จะสามารถซื้อขายได้ นอกจากจะมีเครื่องหมายอันเป็นชื่อของอสุรกายตัวนั้น หรือหมายเลขอันแสดงถึงชื่อของมัน 18 ท่านจำต้องมีสติปัญญา ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจ ก็จงให้เขาคำนวณหมายเลขของอสุรกาย เพราะเป็นหมายเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของผู้นั้นคือ 666[a]

เศคาริยาห์ 9

การตัดสินโทษศัตรูของอิสราเอล

คำพยากรณ์แห่งคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าต่อต้านแผ่นดินฮัดราค
    และเมืองดามัสกัสจะหนีไม่พ้น
เพราะสายตาของมนุษย์ทั้งปวงรวมถึงทุกเผ่าของอิสราเอล
    จับอยู่ที่พระผู้เป็นเจ้า
ฮามัทซึ่งเป็นเขตกั้นของแผ่นดิน
    ไทระและไซดอนก็เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะเรืองปัญญานัก
ไทระได้สร้างป้อมปราการอันแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง
    และมีเงินเป็นกองพะเนินอย่างกองฝุ่น
    และมีทองคำอย่างขี้ฝุ่นบนถนน
แต่ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าจะริบทุกสิ่งที่เป็นของเมืองจนเกลี้ยง
    และทำลายอำนาจบนท้องทะเลของเมือง
    และเมืองนั้นจะถูกไฟเผาผลาญ
เมืองอัชเคโลนจะแลเห็นและตกใจกลัว
    กาซาด้วยที่จะบิดตัวด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
    เอโครนด้วย เพราะความหวังจะสับสน
กษัตริย์จะสิ้นชีพไปจากกาซา
    และอัชเคโลนจะถูกทิ้งให้ร้าง
“ชนชาติประสมจะอาศัยอยู่ในอัชโดด
    และเราจะกำจัดความหยิ่งยโสของฟีลิสเตียให้หมดสิ้นไป
เราจะเอาเลือดออกจากปากของพวกเขา
    และเขี่ยอาหารต้องห้ามที่ติดฟันของพวกเขาออกไป
ส่วนคนที่เหลืออยู่จะเป็นของพระเจ้าของพวกเรา
    ซึ่งจะเป็นบรรดาผู้นำในยูดาห์
    และเอโครนจะเป็นเหมือนชาวเยบุส
แต่เราจะตั้งค่ายที่ตำหนักของเราเช่นผู้ดูแลรักษา
    เพื่อไม่ให้ผู้ใดย่ำเข้าย่ำออก
ไม่ให้ผู้กดขี่ข่มเหงย่ำยีพวกเขาอีก
    เพราะเราเฝ้าดูด้วยตาของเราเอง

กษัตริย์แห่งศิโยนกำลังมา

โอ ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงชื่นชมยินดี
    โอ ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงร้องตะโกน
ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมาหาเจ้า
    ท่านมีความชอบธรรมและความรอดพ้น
เป็นผู้ที่อ่อนโยน ขี่ลามา
    บนลูกลา ลาหนุ่ม[a]
10 เราจะตัดกำลังรถศึกไปจากเอฟราอิม
    และตัดม้าศึกไปเสียจากเยรูซาเล็ม
และคันธนูศึกจะถูกหัก
    และท่านจะกล่าวถึงความสงบสุขแก่บรรดาประชาชาติ
ท่านจะปกครองจากทะเลแห่งหนึ่งจรดทะเลอีกแห่งหนึ่ง
    และจากแม่น้ำจนถึงสุดมุมโลก
11 เจ้าก็เช่นกัน เพราะโลหิตแห่งพันธสัญญาของเราที่มีกับเจ้า
    เราจะปลดปล่อยบรรดานักโทษของเจ้าให้เป็นอิสระจากหลุมลึกที่ปราศจากน้ำ
12 โอ บรรดานักโทษแห่งความหวังเอ๋ย จงกลับไปยังป้อมปราการ
    วันนี้เราประกาศว่า เราจะให้คืนแก่เจ้าเป็นสองเท่า
13 เพราะเราได้ง้างยูดาห์ดั่งคันธนูของเรา
    เราได้ทำเอฟราอิมให้เป็นลูกธนู
โอ ศิโยนเอ๋ย เราจะกระตุ้นบรรดาบุตรของเจ้า
    เพื่อต่อต้านบรรดาบุตรของกรีก
    และทำให้เจ้าเป็นดั่งดาบของนักรบ”

พระผู้เป็นเจ้าจะช่วยชนชาติของพระองค์ให้รอดพ้น

14 แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะปรากฏแก่พวกเขา
    และลูกธนูของพระองค์จะแล่นไปอย่างสายฟ้าแลบ
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะเป่าแตรงอน
    และจะเดินก้าวไปในพายุหมุนของทิศใต้
15 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะปกป้องพวกเขา
    และพวกเขาจะห้ำหั่นและเหยียบย่ำก้อนหินสลิง
พวกเขาจะดื่มและคำรามราวกับเมาเหล้าองุ่น
    พวกเขาจะเต็มปริ่มเหมือนอ่าง
    ที่ใช้ประพรมมุมแท่นบูชา
16 ในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาจะให้พวกเขามีชีวิตรอด
    อย่างฝูงแกะของชนชาติของพระองค์
พวกเขาจะสุกสว่างในแผ่นดินของพระองค์
    อย่างเพชรพลอยฝังมงกุฎ
17 ความดีและความงามจะยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้
    เมล็ดพืชจะทำให้บรรดาชายหนุ่มเติบโต
    และเหล้าองุ่นใหม่ทำให้บรรดาหญิงสาวบานสะพรั่ง

ยอห์น 12

น้ำมันหอมชโลมเท้า

12 ก่อนเทศกาลปัสกาได้ 6 วัน พระเยซูได้มาที่หมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัส ผู้ที่พระเยซูได้ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย มีคนจัดอาหารเย็นให้พระองค์ที่นั่น และลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานกับพระองค์ที่โต๊ะ ขณะที่มาร์ธารับใช้อยู่ด้วย มารีย์เอาน้ำมันหอมนาราดาบริสุทธิ์ราคาแพงมาก หนักประมาณครึ่งกิโลกรัมมาชโลมเท้าของพระเยซู และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ ทำให้ทั่วบ้านฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม แต่คนหนึ่งในบรรดาสาวกของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ตั้งใจจะทรยศพระองค์พูดขึ้นว่า “ทำไมไม่เอาน้ำหอมนี้ไปขาย จะได้ราคา 300 เหรียญเดนาริอัน และเอาเงินไปแจกแก่ผู้ยากไร้เล่า” ที่เขาพูดขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขาเอาใจใส่ผู้ยากไร้ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนหัวขโมย และเมื่อมีหน้าที่ดูแลรักษากล่องเก็บเงิน เขาจึงเคยยักยอกเงินที่เก็บสะสมไว้ ดังนั้นพระเยซูจึงกล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด นางเก็บน้ำหอมไว้สำหรับวันฝังศพของเรา พวกเจ้ามีผู้ยากไร้อยู่ด้วยเสมอ แต่เราไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป”

ฝูงชนชาวยิวจำนวนมากทราบว่าพระองค์อยู่ที่นั่นจึงได้พากันมา มิใช่เพียงเพื่อพบพระเยซูเท่านั้น แต่ด้วยความอยากเห็นลาซารัสที่พระองค์ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายด้วย 10 และพวกมหาปุโรหิตเองก็หมายจะฆ่าลาซารัสเช่นกัน 11 เพราะลาซารัสนี่เองที่ทำให้ชาวยิวหลายคนหันเหไปเชื่อในพระเยซู

พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม

12 วันรุ่งขึ้นเมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลได้ยินว่า พระเยซูกำลังจะมายังเมืองเยรูซาเล็ม 13 จึงถือกิ่งอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์แล้วก็เริ่มร้องว่า “โฮซันนา[a] ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุข ขอกษัตริย์ของอิสราเอลจงเป็นสุขเถิด”[b] 14 พระเยซูจึงนั่งบนลูกลาที่ได้มา ตามที่มีบันทึกไว้ว่า

15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
    ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
    นั่งบนหลังลูกลา”[c]

16 ตอนแรก บรรดาสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อพระเยซูได้รับพระบารมีแล้ว พวกเขาจึงจำได้ว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น ระบุถึงพระองค์และสิ่งที่ประชาชนได้กระทำต่อพระองค์ 17 พวกคนที่อยู่กับพระองค์ในเวลาที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากถ้ำเก็บศพ และให้เขาฟื้นคืนชีวิตจากความตายนั้น ก็กำลังยืนยันถึงเรื่องราวของพระองค์ 18 ด้วยเหตุนี้ฝูงชนจึงพากันไปหาพระองค์ เพราะเขาได้ยินกันว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์นั้น 19 พวกฟาริสีจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ท่านเห็นไหมว่าท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูสิ ทั้งโลกได้ติดตามเขาไปแล้ว”

พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ล่วงหน้า

20 ในบรรดาผู้คนที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้นมีชาวกรีกร่วมไปด้วย 21 พวกเขาได้ไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับเขาว่า “นายท่าน พวกเราอยากจะเห็นพระเยซู” 22 ฟีลิปไปบอกอันดรูว์ แล้วทั้งฟีลิปกับอันดรูว์ก็ไปบอกพระเยซู 23 พระเยซูตอบเขาทั้งสองว่า “ถึงกำหนดเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระบารมี 24 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ตกลงบนพื้นดินและตายไป เมล็ดนั้นก็จะอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าเมล็ดตายไปก็จะเกิดผลงอกงาม 25 ผู้ที่รักชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้จะรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วนิรันดร์ 26 ถ้าผู้ใดรับใช้เราก็ให้ติดตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติแก่ผู้นั้น

27 ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไรดี จะให้พูดว่า ‘พระบิดา โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลานี้เถิด’ อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ เป็นเพราะเหตุนี้เราจึงได้มาเผชิญช่วงเวลานี้อยู่ 28 พระบิดา ขอพระนามของพระองค์ได้รับพระบารมีเถิด” ในขณะนั้นได้มีเสียงจากสวรรค์ว่า “เราทั้งได้รับบารมีแล้ว และจะได้รับอีก” 29 บางคนในฝูงชนที่ยืนฟังอยู่พูดกันว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง บ้างก็ว่าทูตสวรรค์ได้พูดกับพระองค์ 30 พระเยซูตอบว่า “เสียงนี้ไม่ได้เปล่งออกมาเพื่อเรา แต่เพื่อพวกท่าน 31 บัดนี้การกล่าวโทษอยู่กับโลกนี้ และบัดนี้ผู้ครองโลก[d]จะถูกโยนออกไปแล้ว 32 เมื่อเราถูกชูขึ้นเหนือโลก เราจะนำให้ทุกคนมาหาเรา” 33 พระองค์กล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตอย่างไร 34 ฝูงชนจึงตอบว่า “เราได้ยินจากกฎบัญญัติว่าพระคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดกาล และท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกชูขึ้น’ บุตรมนุษย์คือใคร” 35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ในเมื่อความสว่างยังอยู่กับท่านยาวนานขึ้นอีกชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อว่าความมืดจะได้เอาชนะท่านไม่ได้ ผู้ที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน 36 ขณะที่มีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่าง เพื่อว่าท่านจะได้เป็นพวกบุตรของความสว่าง” หลังจากที่พระเยซูกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้แล้วก็จากไปเพื่อหลบซ่อนให้พ้นจากพวกเขา

ความไม่เชื่อของชาวยิว

37 ถึงแม้ว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์หลายสิ่งต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นไปตามคำที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้คือ

“พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากพวกเราแล้ว
    และอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแจ้งแก่ผู้ใด”[e]

39 ด้วยเหตุนี้พวกเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า

40 “พระองค์ได้ทำให้พวกเขาตาบอด
    และทำใจของเขาให้แข็งกระด้าง
พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
    หรือเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมา
    แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด”[f]

41 อิสยาห์พูดถึงพระองค์และกล่าวอ้างถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะว่าได้เห็นพระบารมีของพระองค์แล้ว

42 แม้จะมีผู้คนจำนวนมากในบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองที่เชื่อในพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่กล้ายอมรับกัน ด้วยเกรงว่าจะถูกขับไล่ออกจากศาลาที่ประชุม ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย 43 ผู้คนเหล่านั้นยังปรารถนาที่จะได้รับการยกย่องจากคนมากกว่าพระเจ้า

44 แล้วพระเยซูก็เปล่งเสียงดังว่า “ผู้ที่เชื่อเราหาได้เชื่อในเราเท่านั้นไม่ แต่เชื่อในพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามา 46 เราได้มายังโลกนี้ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อเราจะได้ไม่อยู่ในความมืด 47 ถ้าผู้ใดได้ยินคำพูดของเราและไม่กระทำตาม เราก็จะไม่กล่าวโทษผู้นั้น เพราะเราไม่ได้มาเพื่อจะกล่าวโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น 48 มีการกล่าวโทษสำหรับคนที่ไม่ยอมรับเราและคำของเราอยู่แล้ว คำที่เราพูดไว้จะกล่าวโทษเขาในวันสุดท้าย 49 เราไม่ได้พูดตามใจของเราเอง แต่พระบิดาผู้ส่งเรามาได้สั่งว่าเราจะพูดอะไรและพูดอย่างไร 50 เรารู้ว่าคำสั่งของพระองค์เป็นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราพูดเป็นสิ่งที่พระบิดาได้กล่าวกับเรา”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation