M’Cheyne Bible Reading Plan
ซาโลมอนสร้างพระตำหนัก
3 ซาโลมอนเริ่มสร้างพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าที่เยรูซาเล็มบนภูเขาโมริยาห์ ที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแก่ดาวิดบิดาของท่าน บนลานนวดข้าวของโอร์นันชาวเยบุส[a] และเป็นสถานที่ซึ่งดาวิดเลือกไว้ 2 ท่านเริ่มสร้างในเดือนที่สอง ซึ่งเป็นปีที่สี่ของการครองราชย์ 3 พระตำหนักของพระเจ้าที่ซาโลมอนสร้าง ใช้มาตรฐานการวัดเป็นศอกเหมือนครั้งแรกคือ ยาว 60 ศอก กว้าง 20 ศอก 4 มุขที่หน้าพระตำหนักชั้นนอกของพระวิหารยาว 20 ศอก เท่ากับความกว้างของพระตำหนัก และสูง 120 ศอก ท่านให้กรุภายในพระตำหนักด้วยทองคำบริสุทธิ์ 5 พระตำหนักชั้นนอกกรุด้วยไม้สนหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ ประดับเป็นรูปต้นอินทผลัมและโซ่ 6 ท่านตกแต่งพระตำหนักด้วยการใช้เพชรนิลจินดา ทองคำก็มาจากพาร์วายิม 7 ท่านใช้ทองคำหุ้มคานเพดาน ธรณีประตู ผนัง และบานประตูพระตำหนัก และท่านให้สลักตัวเครูบไว้ตามผนัง
8 ท่านสร้างอภิสุทธิสถาน มีความยาวเท่ากับพระตำหนักคือ ยาว 20 ศอก และกว้าง 20 ศอก ท่านให้กรุด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 600 ตะลันต์[b] 9 ตะปูทองคำหนัก 50 เชเขล[c] และท่านให้ใช้ทองคำกรุห้องที่อยู่ชั้นบน
10 ท่านให้ทำตัวเครูบ 2 รูป และหุ้มด้วยทองคำสำหรับอภิสุทธิสถาน 11 ปีกเครูบกางออกยาวถึง 20 ศอก ปีกหนึ่งของเครูบยาว 5 ศอก แตะที่ผนังพระตำหนัก ส่วนปีกอีกข้างยาว 5 ศอก แตะปีกของเครูบอีกรูปหนึ่ง 12 ส่วนเครูบอีกรูปก็เช่นกันคือ ปีกหนึ่งยาว 5 ศอก แตะที่ผนังพระตำหนัก และปีกอีกข้างยาว 5 ศอก จรดกับปีกของเครูบรูปแรก 13 ปีกของเครูบทั้งสองกางออกยาวรวมกันได้ 20 ศอก เครูบยืนหันหน้าไปทางพระตำหนักชั้นนอก 14 ท่านให้ใช้ผ้าสีน้ำเงิน ม่วง และแดงเลือดนก กับผ้าป่านเนื้อดี ทำม่านกั้น และให้ปักรูปเครูบไว้ที่ม่าน
15 ที่ด้านหน้าของพระตำหนัก ท่านให้ทำเสาหลัก 2 เสาสูง 35 ศอก ที่ยอดของแต่ละเสายาว 5 ศอก 16 ท่านให้ทำโซ่เหมือนสร้อยคอคลุมที่ยอดเสาทั้งสอง และให้ทำลูกทับทิม 100 ลูกห้อยไว้ที่โซ่ 17 ท่านให้ตั้งเสาหลักไว้ที่หน้าพระวิหาร เสาหนึ่งตั้งไว้ทางทิศใต้ อีกเสาตั้งไว้ทางทิศเหนือ เสาที่อยู่ทางทิศใต้ชื่อว่า ยาคีน เสาที่อยู่ทางทิศเหนือชื่อว่า โบอาส
ภาชนะเครื่องใช้ในพระตำหนัก
4 ซาโลมอนให้สร้างแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ขนาดยาว 20 ศอก กว้าง 20 ศอก และสูง 10 ศอก 2 และท่านให้หล่อถังเก็บน้ำรูปทรงกลม เส้นศูนย์กลาง 10 ศอก สูง 5 ศอก เส้นรอบวง 30 ศอก 3 ใต้ขอบมีรูปน้ำเต้า[d]เรียงที่รอบถัง 2 รอบๆ ละ 150 ลูก หล่อเป็นเนื้อเดียวกับตัวถัง 4 ถังนี้ตั้งบนหลังโค 12 ตัว ซึ่ง 3 ตัวหันไปทิศเหนือ 3 ตัวหันไปทิศตะวันตก 3 ตัวหันไปทิศใต้ และอีก 3 ตัวหันไปทิศตะวันออก โคทุกตัวหันหางไปทางศูนย์กลาง 5 ถังหนา 1 ฝ่ามือ ขอบถังทำเหมือนขอบถ้วย เหมือนดอกพลับพลึง ถังนี้จุน้ำ 3,000 บัท[e] 6 ท่านให้ทำอ่างสำหรับชำระล้าง 10 ใบด้วย โดยตั้งอ่าง 5 ใบทางทิศใต้ และ 5 ใบทางทิศเหนือ เพื่อใช้ล้างภาชนะสำหรับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย ส่วนถังเก็บน้ำนั้นมีไว้เพื่อให้ปุโรหิตใช้ชำระล้าง
7 ท่านให้ตีคันประทีปทองคำ 10 คัน ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ และตั้งไว้ในพระวิหาร 5 คันทางทิศใต้ และ 5 คันทางทิศเหนือ 8 ท่านให้สร้างโต๊ะ 10 ตัว และวางไว้ในพระวิหาร 5 ตัวทางทิศใต้ และ 5 ตัวทางทิศเหนือ และท่านให้หล่ออ่างทองคำ 100 ใบ 9 ท่านให้สร้างลานของปุโรหิต สร้างลานใหญ่และประตูที่ลานบุด้วยทองสัมฤทธิ์ 10 และท่านให้ตั้งถังเก็บน้ำไว้ที่มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของพระตำหนัก
11 ฮีรามหล่อหม้อ ทัพพี และอ่างน้ำ ดังนั้นฮีรามทำงานพระตำหนักของพระเจ้าให้กษัตริย์ซาโลมอนเสร็จสิ้น 12 เสาหลักทั้งสองต้น และบัวรูปทรงกลมที่ปิดยอดเสา และโซ่ถักเป็นตาข่ายคลุมบัวทรงกลมที่ยอดเสา 13 และผลทับทิม 400 ผลที่รอบตาข่ายทั้งสอง ตาข่ายแต่ละผืนมีผลทับทิม 2 แถวสำหรับคลุมบัวรูปทรงกลมทั้งสองที่ยอดเสา 14 เขาสร้างแท่นและอ่างน้ำที่วางบนแท่นด้วย 15 ถังเก็บน้ำ 1 ใบ มีรูปโค 12 ตัวอยู่ใต้ถัง 16 ภาชนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หม้อ ทัพพี และส้อม ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งฮูรามอาบีหล่อให้กษัตริย์ซาโลมอน ล้วนแล้วแต่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์อันมันปลาบ 17 กษัตริย์ได้หล่อภาชนะเหล่านี้ในเบ้าดินที่อยู่ระหว่างเมืองสุคคทและศาเรธาน ในที่ราบของแม่น้ำจอร์แดน 18 ซาโลมอนให้สร้างภาชนะเหล่านี้เป็นจำนวนมาก จึงไม่ได้ชั่งว่าทองสัมฤทธิ์ที่ใช้นั้นมากเพียงไร
19 ซาโลมอนได้สร้างและหล่อภาชนะทุกชิ้นในพระตำหนักของพระเจ้า คือแท่นบูชาทองคำ โต๊ะทองคำสำหรับวางขนมปังอันบริสุทธิ์ 20 คันประทีปและดวงประทีปทองคำบริสุทธิ์ สำหรับใช้จุดที่ด้านหน้าพระตำหนักชั้นใน ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ 21 ดอกไม้ ดวงประทีปและคีม ซึ่งตีขึ้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ที่สุด 22 กรรไกรตัดไส้ดวงประทีป อ่าง ภาชนะเครื่องหอม และถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อน ซึ่งเป็นทองคำบริสุทธิ์ บานพับสำหรับประตูชั้นในสุดของอภิสุทธิสถาน และสำหรับประตูที่พระตำหนักชั้นนอกของพระวิหาร ล้วนเป็นทองคำทั้งสิ้น
3 จงดูเถิดว่า พระบิดาให้ความรักแก่เรามากมายเพียงใด พระองค์จึงได้เรียกเราว่าบรรดาบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้น เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะโลกไม่ได้รู้จักพระองค์ 2 ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้พวกเราเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่เป็นที่ทราบกันว่าเราจะเป็นอย่างไรต่อไป เราทราบว่าเวลาพระองค์มาปรากฏ เราก็จะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์เป็นอยู่ 3 ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์เช่นนี้ ก็จะชำระตนเองให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์
4 ทุกคนที่กระทำบาป ก็เท่ากับกระทำผิดต่อกฎบัญญัติด้วย เพราะบาปเป็นสิ่งที่ผิดต่อกฎบัญญัติ 5 และท่านทราบว่าพระองค์ได้มาปรากฏแล้ว ก็เพื่อรับเอาบาปของเรา ทั้งที่ไม่มีบาปในพระองค์เองเลย 6 คนที่ดำรงอยู่ในพระองค์จะไม่กระทำบาปอีกต่อไป ส่วนคนที่ยังกระทำบาปก็ยังไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ 7 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย อย่าให้ผู้ใดชักนำท่านให้หลงผิด ผู้กระทำสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นผู้มีความชอบธรรมเหมือนกับพระองค์ผู้มีความชอบธรรม 8 คนที่กระทำบาปคือผู้ที่มาจากพญามาร เพราะพญามารได้กระทำบาปเรื่อยมาตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยเหตุนี้พระบุตรของพระเจ้าได้มาปรากฏ เพื่อจะทำลายงานของพญามาร 9 ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าจะกระทำบาปเรื่อยไป เพราะเมล็ดที่พระองค์ปลูกฝังไว้ดำรงอยู่กับคนนั้น และเขาไม่สามารถกระทำบาปเรื่อยไปเพราะเขาเกิดจากพระเจ้า 10 เราจะทราบได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นบุตรของพญามาร คือว่าผู้ที่ประพฤติในทางที่ผิดและไม่รักพี่น้อง แสดงว่าไม่ได้มาจากพระเจ้า
รักซึ่งกันและกัน
11 เรื่องที่ท่านได้ยินได้ฟังตั้งแต่แรกเริ่ม คือเราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นอย่างคาอินผู้เป็นคนของมารร้ายนั้น และได้ฆ่าน้องชายของเขา เหตุใดเขาจึงฆ่า เพราะการกระทำของเขาเองชั่ว แต่น้องชายมีความชอบธรรม 13 พี่น้องเอ๋ย ไม่ต้องแปลกใจถ้าโลกเกลียดชังท่าน 14 เราทราบแล้วว่า เราได้พ้นจากความตายไปสู่การมีชีวิตเพราะเรารักบรรดาพี่น้อง คนที่ไม่รักก็ยังดำรงอยู่ในความตาย 15 ผู้ใดเกลียดชังพี่น้องของตนก็นับว่าเป็นฆาตกร และท่านก็ทราบแล้วว่า ไม่มีฆาตกรคนใดที่มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ในตัวเขา
16 เราจะรู้ว่าความรักนั้นเป็นอย่างไร คือพระเยซูคริสต์ยอมสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรสละชีวิตของเราเพื่อบรรดาพี่น้อง 17 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติในโลก และไม่ใยดีต่อพี่น้องผู้ขัดสนของตน ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร 18 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย อย่ารักกันแต่เพียงคำพูดและลมปากเลย แต่จงรักด้วยการกระทำและความจริงเถิด
19 ด้วยเหตุนี้เราจึงจะทราบว่าเรามาจากความจริง ในเวลาที่ใจของเราตำหนิตัวเราเอง เราก็สบายใจได้เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระองค์ 20 ด้วยว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทราบทุกสิ่ง 21 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ตำหนิตัวเราเอง เราก็มีความมั่นใจเบื้องหน้าพระเจ้า 22 และสิ่งใดก็ตามที่เราขอ เราก็ได้รับจากพระองค์ เพราะว่าเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ และกระทำสิ่งอันเป็นที่พอใจของพระองค์ 23 และข้อบัญญัติของพระเจ้าคือ เราควรเชื่อในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และรักซึ่งกันและกันตามที่พระองค์ได้บัญญัติพวกเราไว้ 24 คนที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็ดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเราทราบได้ว่าพระองค์ดำรงอยู่ในเรา ก็โดยพระวิญญาณที่พระองค์มอบให้แก่เรา
ความพินาศของนีนะเวห์
2 ผู้โจมตีผู้หนึ่งบุกโจมตีเจ้า
จงเฝ้าระวังที่คุ้มกัน
เฝ้าถนนหนทาง
จงพร้อมรบ
รวบรวมกำลังทั้งหมด
2 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากำลังให้ความยิ่งใหญ่ของยาโคบคืนสู่สภาพเดิม
เหมือนความยิ่งใหญ่ของอิสราเอล
เพราะพวกปล้นได้ปล้นพวกเขา
และทำลายกิ่งก้านของพวกเขาเสียหาย
3 โล่ของนักรบผู้เก่งกล้าเป็นสีแดง
บรรดาทหารของเขาแต่งกายสีแดงสด
รถศึกสะท้อนแสงวาววับ
ในวันที่เขารวบรวมพล
หอกไม้สนถูกโบกสะบัด
4 รถศึกควบแข่งกันอย่างบ้าคลั่งบนถนน
และรุดไปมาที่ลานชุมนุม
ลุกโพลงดั่งคบเพลิง
และพลุ่งดั่งสายฟ้าแลบ
5 เขานึกถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูง
พวกเขาสะดุดในขณะที่ออกไป
และรีบรุดไปยังกำแพงเมือง
เพื่อตั้งแผงคุ้มกันเมือง
6 ประตูแม่น้ำเปิด
วังพังทลายลงไปกับน้ำ
7 นายหญิงถูกปลดเครื่องแต่งกาย
และจับตัวไป
บรรดาหญิงรับใช้ของนางร้องสะอื้นอย่างนกพิราบ
และตีอกชกหัวตนเอง
8 นีนะเวห์เป็นเหมือนสระน้ำ
ที่น้ำไหลทะลักออก
พวกเขาร้องว่า “หยุด หยุด”
แต่ไม่มีสักคนที่หันกลับ
9 จงปล้นเงิน
และปล้นทอง
มีทั้งสมบัติและความมั่งคั่ง
สิ่งมีค่ามากมายไม่มีวันหมด
10 ที่รกร้าง ความวิบัติ และความหายนะ
ตกใจกลัวและเข่าอ่อน
หวั่นหวาด ทุกคนหน้าซีดเผือด
11 ถ้ำสิงโตอยู่ไหน
ที่สำหรับป้อนเหยื่อให้กับลูกน้อยของมัน
ซึ่งเป็นที่สิงโตตัวผู้และตัวเมียเข้าไปอยู่
และไม่มีใครมารบกวนลูกๆ ของมัน
12 สิงโตฉีกเหยื่อให้ลูกของมันกิน
และกระชากคอเหยื่อให้คู่ของมัน
มันเก็บเหยื่อจนเต็มที่ซ่อน
และมีซากศพเต็มถ้ำของมัน
13 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ “ดูเถิด เราคัดค้านเจ้า และเราจะเผารถศึกของเจ้าให้มอดไหม้ และดาบจะฟาดฟันลูกสิงโตของเจ้า เราจะไม่มีเหยื่อให้เจ้าล่าบนโลก และจะไม่มีใครได้ยินเสียงของบรรดาผู้ส่งข่าวอีกต่อไป”
อุปมาเรื่องหญิงม่ายกับผู้พิพากษา
18 แล้วพระเยซูกล่าวเป็นอุปมากับบรรดาสาวกของพระองค์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาควรอธิษฐานอยู่เสมอและไม่ท้อถอย 2 พระองค์ได้กล่าวว่า “ในเมืองหนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่ห่วงใยเพื่อนมนุษย์ 3 มีหญิงม่ายคนหนึ่งในเมืองนั้นได้เพียรมาขอพบเขาและวิงวอนว่า ‘ขอให้ข้าพเจ้าได้รับความยุติธรรมในการสู้คดีกับโจทก์ของข้าพเจ้าเถิด’ 4 เขาได้ปฏิเสธหญิงนั้นอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุดเขาก็รำพึงกับตนเองว่า ‘แม้ว่าเราไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไม่ห่วงใยมนุษย์ 5 แต่เพราะหญิงม่ายคนนี้ก่อความลำบากแก่เรามาก เราจะต้องสอดส่องให้เธอได้รับความยุติธรรม เธอจะได้ไม่มารบกวนบ่อยๆ จนเราเหนื่อยอ่อน’” 6 แล้วพระเยซูเจ้าได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ฟังผู้พิพากษาผู้ไร้ความยุติธรรมดูเถิด 7 แล้วพระเจ้าจะไม่ให้ความยุติธรรมแก่พวกที่พระองค์เลือก และร่ำร้องต่อพระองค์ทั้งวันและคืนหรือ พระองค์จะผลัดวันกับพวกเขาเรื่อยไปหรือ 8 เราขอบอกเจ้าว่า พระองค์โปรดที่จะเห็นพวกเขาได้รับความยุติธรรมโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม เวลาที่บุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในโลกหรือไม่”
อุปมาเรื่องฟาริสีและคนเก็บภาษี
9 พระเยซูกล่าวกับคนที่คิดว่าตนมีความชอบธรรมแต่กลับเหยียดหยามผู้อื่น เป็นอุปมาว่า 10 “ชาย 2 คนไปยังพระวิหารเพื่ออธิษฐาน คนหนึ่งเป็นฟาริสี อีกคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี 11 ฟาริสียืนขึ้นและอธิษฐานในใจว่า ‘พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เหมือนกับคนอื่นๆ พวกโจร พวกคนโฉดชั่ว พวกผิดประเวณี หรือเหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12 ข้าพเจ้าอดอาหารสัปดาห์ละ 2 ครั้งและให้หนึ่งในสิบของทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับ’ 13 คนเก็บภาษีที่ยืนอยู่ห่างๆ ไม่แหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์เลย ได้แต่ตีอกชกตัวและรำพันว่า ‘พระเจ้า ขอพระองค์มีเมตตาต่อคนบาปอย่างข้าพเจ้าด้วย’ 14 เราขอบอกท่านว่า ชายคนนี้ต่างหากที่จะได้กลับบ้านไปโดยพระเจ้านับว่าเขาพ้นผิด ทุกคนที่ยกย่องตัวเองก็จะถูกเหยียดลง แต่คนที่ถ่อมตัวก็จะได้รับการยกย่อง”
เด็กๆ มาหาพระเยซู
15 มีคนพาบรรดาทารกมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์สัมผัสตัว พวกสาวกเห็นจึงได้ห้ามคนเหล่านั้น 16 แต่พระเยซูเรียกเด็กๆ มาหาพระองค์และกล่าวว่า “ปล่อยให้เด็กๆ มาหาเราเถิด อย่าได้ห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนอย่างเด็กเหล่านี้ 17 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ใครก็ตามที่ไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเช่นเดียวกับที่เด็กๆ รับ ก็จะเข้าอาณาจักรนั้นไม่ได้เลย”
เศรษฐีหนุ่ม
18 ผู้อยู่ในระดับปกครองคนหนึ่งถามพระองค์ว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดจึงจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 19 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงเรียกเราว่าประเสริฐ ไม่มีผู้ใดที่ประเสริฐ เว้นแต่พระเจ้าเพียงพระองค์เดียว 20 ท่านทราบพระบัญญัติว่า ‘อย่าผิดประเวณี อย่าฆ่าคน อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’”[a] 21 เขาตอบว่า “สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว” 22 เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้น พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงขายทุกสิ่งที่ท่านมีเพื่อให้แก่คนยากไร้ และท่านจะได้สมบัติในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” 23 เมื่อเขาได้ยินดังนั้นแล้วก็รู้สึกเศร้าใจยิ่งนักเพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก 24 พระเยซูมองดูเขาและกล่าวว่า “ยากเหลือเกินที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า 25 จริงทีเดียว จะให้ตัวอูฐผ่านเข้ารูเข็ม ก็ยังจะง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 26 ผู้ที่ได้ยินดังนั้นถามว่า “แล้วใครเล่าที่จะมีชีวิตรอดพ้นได้” 27 พระเยซูตอบว่า “มนุษย์ช่วยตนเองให้รอดพ้นไม่ได้ แต่ไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะทำได้” 28 เปโตรบอกพระองค์ว่า “พวกเราได้สละบ้านของเราเพื่อติดตามพระองค์มา” 29 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ไม่มีผู้ใดที่สละบ้าน ภรรยา พี่น้อง พ่อแม่ หรือลูกๆ เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า 30 แล้วจะไม่ได้รับจากพระเจ้ามากเป็นหลายเท่าทั้งในยุคนี้ และในยุคที่จะมาถึง คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์”
พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ไว้ล่วงหน้า
31 พระเยซูพาสาวกทั้งสิบสองมา และกล่าวกับพวกเขาว่า “เรากำลังจะขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ทุกสิ่งที่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าบันทึกไว้เกี่ยวกับบุตรมนุษย์ก็จะบรรลุผล 32 ท่านจะถูกมอบตัวให้แก่บรรดาคนนอก ซึ่งเขาจะล้อเลียน ดูหมิ่น ถ่มน้ำลายรด โบยและประหารท่าน 33 ในวันที่สามท่านจะฟื้นคืนชีวิต” 34 พวกสาวกไม่เข้าใจคำพูดซึ่งเร้นความนัยไว้ เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าพระองค์กล่าวถึงเรื่องอะไร
ดวงตาที่ได้คืนของชายตาบอด
35 ขณะที่พระเยซูเข้าไปใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งกำลังนั่งขอทานที่ข้างๆ ถนน 36 เมื่อเขาได้ยินผู้คนผ่านไป เขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น 37 คนเดินถนนบอกเขาว่า “พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธกำลังเดินผ่านมา” 38 เขาจึงร้องตะโกนว่า “พระเยซู บุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย” 39 พวกที่เดินนำหน้าไปจึงห้ามและบอกให้เงียบเสีย แต่เขากลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “บุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย” 40 พระเยซูหยุดเดินและสั่งให้คนนำตัวชายคนนั้นมาหาพระองค์ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระเยซูจึงถามว่า 41 “เจ้าต้องการจะให้เราทำอะไรให้เล่า” เขาตอบว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าอยากจะมองเห็น”
42 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “จงเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว” 43 ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้และตามพระเยซูไปพลางสรรเสริญพระเจ้า เมื่อผู้คนเห็นดังนั้นก็สรรเสริญพระเจ้าด้วย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation