M’Cheyne Bible Reading Plan
ซาโลมอนอธิษฐานในงานถวาย
12 ครั้นแล้วซาโลมอนก็ยืน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าที่ประชุมของอิสราเอล และยกมือขึ้น 13 ซาโลมอนได้สร้างแท่นทองสัมฤทธิ์ขนาดยาว 5 ศอก กว้าง 5 ศอก และสูง 3 ศอก ตั้งแท่นไว้ตรงกลางที่ลานรอบนอก ท่านยืนที่แท่นนั้น และคุกเข่าต่อหน้าที่ประชุมของอิสราเอล และยกมือขึ้นสู่สวรรค์ 14 และกล่าวว่า
“โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เหมือนพระองค์ ทั้งในสวรรค์และโลก พระองค์รักษาพันธสัญญา และแสดงความรักอันมั่นคงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ที่ดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระองค์ด้วยใจจริง 15 พระองค์ได้รักษาสัญญากับดาวิดบิดาของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ได้สัญญาด้วยวาจาของพระองค์ และกระทำตามสัญญาด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ในวันนี้ 16 ฉะนั้น บัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล โปรดรักษาสัญญาที่พระองค์ได้ให้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ บิดาของข้าพเจ้า ดังคำของพระองค์ที่ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนที่จะนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล ณ เบื้องหน้าเรา หากบรรดาบุตรของเจ้าใส่ใจในวิถีทางของเขา ให้ดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติของเรา เหมือนกับที่เจ้าได้กระทำมา’ 17 ฉะนั้น โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ขอพระองค์ยืนยันคำที่พระองค์ได้กล่าวกับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยเถิด
18 แต่พระเจ้าจะพำนักอยู่กับมนุษย์ในโลกหรือ ดูเถิด สวรรค์เบื้องบนและฟ้าสวรรค์ที่อยู่เกินเอื้อมยังจำกัดพระองค์ไม่ได้ แล้วพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมาหลังนี้จะเล็กน้อยกว่านั้นเพียงไร 19 แต่กระนั้นพระองค์ยังสนใจคำอธิษฐานและคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอโปรดฟังเสียงร้องและคำอธิษฐานที่ผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐาน ณ เบื้องหน้าพระองค์ 20 ขอพระองค์เฝ้าดูพระตำหนักหลังนี้ตลอดทั้งวันและคืนเถิด นี่เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์สัญญาว่าจะเป็นที่ยกย่องพระนามของพระองค์ ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ เวลาที่เราหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ 21 และขอพระองค์ฟังคำขอร้องของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลชนชาติของพระองค์เมื่อเขาหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ และเมื่อพระองค์ได้ยินจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พระองค์พำนัก ก็โปรดให้อภัยด้วยเถิด
22 ถ้าหากว่าผู้ใดกระทำบาปต่อเพื่อนบ้านของตน และต้องให้คำสาบาน เวลาที่เขามาและสาบาน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาในพระตำหนักนี้ 23 ก็ขอพระองค์ได้ยินจากสวรรค์ ขอโปรดตอบและพิพากษาบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ สนองตอบผู้ที่ทำผิดตามความผิดของเขา และโปรดช่วยให้ผู้บริสุทธิ์พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่มีความผิด และพ้นข้อหาตามความบริสุทธิ์ของเขา
24 เวลาที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรู เพราะพวกเขากระทำบาปต่อพระองค์ และหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ เขาจะอธิษฐานและวิงวอนต่อพระองค์ในพระตำหนักนี้ 25 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และนำพวกเขามายังแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาอีก
26 เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดและไม่เอื้อฝนเนื่องจากพวกเขาได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าหากว่าพวกเขาอธิษฐานโดยหันมาทางสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหยุดกระทำบาป หลังจากที่พระองค์ให้พวกเขารับทุกข์ทรมาน 27 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพระองค์สอนในวิถีทางที่ดีซึ่งพวกเขาควรดำเนิน แล้วพระองค์โปรดให้ฝนโปรยลงบนแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ชนชาติของพระองค์เป็นมรดก
28 ถ้าหากว่าเกิดทุพภิกขภัยในแผ่นดิน หรือเกิดภัยพิบัติ ลมร้อนแห้ง หรือเชื้อรา ตั๊กแตน หรือตัวบุ้ง ถ้าหากว่าศัตรูใช้กำลังล้อมพวกเขาในแผ่นดิน ที่ตามประตูเมือง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติหรือการเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆ ก็ตาม 29 ถ้าหากว่าผู้ใดหรืออิสราเอลชนชาติของพระองค์อธิษฐานหรือวิงวอนในเรื่องใดก็ตาม เมื่อแต่ละคนสำนึกในความทุกข์ทรมานและความเศร้าของตน และเหยียดมือออกมาทางพระตำหนักนี้ 30 ก็ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดให้อภัย และกระทำต่อพวกเขาตามความประพฤติของแต่ละคน เพราะว่าพระองค์ผู้เดียว พระองค์ทราบถึงจิตใจของมนุษย์ทั้งปวง 31 เพื่อพวกเขาจะเกรงกลัวพระองค์ และดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระองค์ ตลอดเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเรา
32 ในทำนองเดียวกัน เมื่อชาวต่างแดนซึ่งไม่ใช่อิสราเอลชนชาติของพระองค์มาจากดินแดนแสนไกล เพราะพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อานุภาพและพลานุภาพของพระองค์ เมื่อเขามาและอธิษฐานมาทางพระตำหนักนี้ 33 ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดทำตามที่ชาวต่างแดนทั้งปวงร้องขอต่อพระองค์ เพื่อชนชาติทั้งปวงบนโลกจะได้รู้จักพระนามของพระองค์ และเกรงกลัวพระองค์ อย่างที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์รู้จัก และพวกเขาจะทราบว่าพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างหลังนี้ได้รับเรียกว่าเป็นของพระองค์
34 ถ้าหากว่าชนชาติของพระองค์ออกศึกสู้กับศัตรู ไม่ว่าที่ใดก็ตาม และพวกเขาอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยหันมาทางเมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์ 35 ก็ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนของพวกเขาจากสวรรค์ และช่วยเหลือพวกเขา
36 ถ้าหากว่าพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดที่ไม่ทำบาป[a] พระองค์จะโกรธกริ้วพวกเขา และให้ศัตรูจับตัวพวกเขาไปเป็นเชลยในดินแดนที่อยู่ไกลหรือใกล้ 37 แต่ถ้าพวกเขามีใจสำนึกได้เมื่ออยู่ในดินแดนที่ตนถูกจับไปเป็นเชลย โดยการกลับใจและขอร้องพระองค์ในดินแดนนั้น กล่าวว่า ‘พวกเราได้กระทำบาป ประพฤติผิด และกระทำตัวเลวทราม’ 38 ถ้าหากว่าพวกเขากลับใจเข้าหาพระองค์อย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิต ในดินแดนที่พวกเขาถูกจับตัวไปเป็นเชลย และอธิษฐานโดยหันมาทางแผ่นดินของพวกเขา ซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษ เมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์ 39 ก็ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และช่วยเหลือพวกเขา และให้อภัยชนชาติของพระองค์ ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์
40 บัดนี้ โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอพระองค์เฝ้าดู และฟังคำอธิษฐานในที่แห่งนี้เถิด
41 บัดนี้ ได้โปรดลุกขึ้นเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า และไปยังที่พักของพระองค์
ทั้งพระองค์และหีบพันธสัญญาอันมีอานุภาพของพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า ขอให้บรรดาปุโรหิตของพระองค์สวมคลุมด้วยความรอดพ้น
และขอให้บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าชื่นชมยินดีในความกรุณาของพระองค์
42 โอ พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า ขออย่าเมินหน้าไปจากผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
ขอพระองค์ระลึกถึงความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์”
มีชัยชนะเหนือโลกได้ด้วยความเชื่อ
5 ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ นับว่าเป็นผู้ที่เกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่รักพระบิดาก็รักพระบุตรของพระองค์ 2 เราจะทราบได้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า ก็ต่อเมื่อเรารักพระเจ้า และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ 3 ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า คือเราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์ไม่เป็นภาระหนัก 4 ใครก็ตามที่เกิดจากพระเจ้า นับว่าชนะโลก ชัยชนะนี้มีชัยเหนือโลกได้ด้วยความเชื่อ 5 ใครเล่าจะเป็นผู้มีชัยเหนือโลก นอกจากผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า
6 ผู้ที่มาโดยน้ำและโลหิตนี้แหละคือพระเยซูคริสต์ มิใช่เพียงน้ำเท่านั้น แต่โดยน้ำและโลหิต พระวิญญาณเป็นผู้ยืนยัน เพราะว่าพระวิญญาณคือความจริง 7 ด้วยว่ามี 3 ประการที่ยืนยัน 8 พระวิญญาณ น้ำ และโลหิต ทั้ง 3 ประการนี้สอดคล้องกัน 9 ถ้าเรายังรับพยานหลักฐานของมนุษย์ได้ พยานหลักฐานของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่า เพราะพยานหลักฐานของพระเจ้าคือพระองค์เอง ที่ยืนยันถึงพระบุตรของพระองค์ 10 ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้ามีพยานหลักฐานในตนเอง ผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้าทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก เพราะว่าเขาไม่ได้เชื่อคำยืนยันที่พระเจ้าได้อ้างถึงพระบุตรของพระองค์ 11 พยานหลักฐานนั้นคือ พระเจ้าได้มอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้แก่เราทั้งหลาย และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์ 12 ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต
คำลงท้าย
13 ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ทราบว่าท่านมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 14 ความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์คือ ถ้าเราขอสิ่งใดที่เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ได้ยินเรา 15 ถ้าเราทราบว่าสิ่งใดก็ตามที่เราขอ และพระองค์ได้ยินเรา เราก็ทราบว่าเราได้รับสิ่งที่เราขอนั้นจากพระองค์
16 ถ้าผู้ใดเห็นพี่น้องกระทำบาปที่ไม่นำไปสู่ความตายก็ควรอธิษฐาน และพระเจ้าจะมอบชีวิตแก่ผู้ที่ทำบาปนั้น ข้าพเจ้าอ้างถึงบรรดาผู้ที่ได้กระทำบาปซึ่งไม่นำไปสู่ความตาย แต่มีบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเขาควรอธิษฐานในเรื่องบาปอย่างนั้น 17 การกระทำผิดทุกประเภทเป็นบาป และมีบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย
18 เราทราบว่าผู้ที่เกิดจากพระเจ้าจะไม่กระทำบาปเรื่อยไป แต่องค์ผู้เกิดจากพระเจ้าคุ้มกันเขาให้ปลอดภัย และมารร้ายนั้นไม่สามารถแตะต้องเขาได้
19 เราทราบว่าเราเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้าทั้งๆ ที่ทั้งโลกอยู่ภายใต้อำนาจของมารร้ายนั้น
20 เราทราบว่าพระบุตรของพระเจ้าได้มาแล้ว พระองค์ได้ช่วยให้เราเข้าใจ เพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์ผู้แท้จริง และเราอยู่ในพระองค์ผู้แท้จริง ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ พระองค์เป็นพระเจ้าที่แท้จริงและเป็นชีวิตอันเป็นนิรันดร์
21 บรรดาลูกที่รักเอ๋ย จงระวังตัวให้พ้นจากรูปเคารพทั้งปวง
1 คำพยากรณ์ที่ฮาบากุกผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้รับ
ฮาบากุกพร่ำบ่น
2 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะต้องร้องขอความช่วยเหลือไปอีกนานแค่ไหน
โดยที่พระองค์ไม่ฟัง
หรือจะร้องบอกพระองค์ว่า “ความรุนแรง”
และพระองค์ไม่ช่วยให้รอดปลอดภัย
3 เหตุใดพระองค์จึงให้ข้าพเจ้าทนดูความไม่ยุติธรรม
เหตุใดพระองค์จึงทนต่อการกระทำผิด
ความหายนะและความรุนแรงรอข้าพเจ้าอยู่
เกิดการทะเลาะวิวาทและการไม่ลงรอยกัน
4 ฉะนั้นกฎบัญญัติจึงใช้การไม่ได้
และความยุติธรรมไม่มีวันสำเร็จผล
เพราะคนชั่วอยู่ล้อมรอบคนมีความชอบธรรม
ความยุติธรรมจึงถูกบิดเบือน
คำตอบของพระผู้เป็นเจ้า
5 “จงแลดูบรรดาประชาชาติ และคอยเฝ้าดู
และเจ้าจะอัศจรรย์ใจอย่างที่สุด
ด้วยว่า เรากำลังจะทำบางสิ่งในสมัยของเจ้า
ซึ่งแม้มีคนบอกเจ้า เจ้าก็จะไม่เชื่อ[a]
6 เรากำลังจะให้บรรดาชาวเคลเดีย[b]มีอำนาจขึ้น
พวกเขาเป็นประชาชาติที่โหดร้ายและยับยั้งไม่อยู่
ซึ่งเดินไปตามความกว้างของแผ่นดินโลก[c]
เพื่อยึดที่อาศัยของผู้อื่น
7 พวกเขาเป็นชนชาติที่น่ากลัวและน่าหวาดหวั่น
พวกเขาตั้งความยุติธรรม
และส่งเสริมเกียรติให้แก่ตนเอง
8 ม้าของพวกเขาคล่องแคล่วยิ่งกว่าเสือดาว
ดุร้ายยิ่งกว่าสุนัขป่ายามพลบค่ำ
ทหารม้าของพวกเขาควบอย่างรวดเร็ว
บรรดาทหารม้าของพวกเขามาจากแดนไกล
พวกเขาบินไปอย่างแร้งและโฉบเฉี่ยวลง
9 พวกเขาทุกคนมาเพื่อกระทำความรุนแรง
ต่างก็มุ่งหน้ารุดไป
และรวบรวมบรรดาเชลยได้มากอย่างเม็ดทราย
10 พวกเขาดูหมิ่นบรรดากษัตริย์
และเย้ยหยันบรรดาผู้ปกครอง
พวกเขาหัวเราะเยาะเมืองต่างๆ
ที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง
พวกเขาใช้ดินก่อขึ้นเป็นสะพานข้าม
และยึดเมือง
11 พวกเขาเดินผ่านไปเหมือนลมพัดผ่าน
และพัดฉิวต่อไป
มีความผิดเพราะพึ่งในพละกำลังของตน
เสมือนว่าเป็นพระเจ้า”
ฮาบากุกพร่ำบ่นครั้งที่สอง
12 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ดำรงมาตั้งแต่นิรันดร์กาลมิใช่หรือ
พระเจ้าของข้าพเจ้า องค์ผู้บริสุทธิ์ของข้าพเจ้า พวกเราจะไม่สิ้นชีวิต
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้กำหนดให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสิน
โอ องค์ผู้เป็นศิลา พระองค์ได้กำหนดให้พวกเขาเป็นผู้ลงโทษ
13 นัยน์ตาของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะมองดูสิ่งชั่วร้าย
พระองค์ไม่ทนต่อการกระทำผิด
แล้วเหตุใดพระองค์จึงทนต่อคนทรยศ
เหตุใดพระองค์จึงนิ่งเฉยในขณะที่คนชั่วร้าย
ทำลายคนที่มีความชอบธรรมมากกว่าเขา
14 พระองค์ได้สร้างมนุษย์ขึ้นเหมือนปลาในทะเล
เหมือนบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ไร้ผู้ปกครอง
15 คนชั่วร้ายดึงพวกเขาทุกคนขึ้นมาด้วยเบ็ด
เขาทอดแหจับพวกเขา
เขารวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกันในอวนของเขา
เขาจึงร่าเริงใจและดีใจ
16 ดังนั้นเขาจึงมอบเครื่องสักการะแก่แหของเขา
และเผาเครื่องหอมแก่อวนของเขา
เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
และมีความสุขกับอาหารดีที่สุดได้
ก็เพราะแหของเขา
17 เขาจะกอบโกยผลประโยชน์จากแหของเขาเรื่อยไป
และล้างผลาญบรรดาประชาชาติโดยไร้ความเมตตาอย่างนั้นหรือ
คำถามระหว่างพวกผู้นำกับพระเยซู
20 วันหนึ่ง ขณะที่พระองค์กำลังสอนผู้คนอยู่ในบริเวณพระวิหาร และประกาศข่าวประเสริฐอยู่ บรรดามหาปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ พร้อมกับพวกผู้ใหญ่ได้มาพบพระองค์ 2 คนเหล่านั้นพูดว่า “ช่วยบอกพวกเราเถิดว่าท่านกระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด และใครให้สิทธิอำนาจนี้แก่ท่าน” 3 พระเยซูตอบว่า “เรามีสิ่งหนึ่งที่จะถามท่านเช่นกัน จงตอบเราเถิดว่า 4 บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์” 5 เขาทั้งหลายปรึกษากันพลางพูดกันเองว่า “ถ้าพวกเราพูดว่า ‘มาจากสวรรค์’ ท่านจะถามว่า ‘ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเขา’ 6 แต่ถ้าเราพูดว่า ‘มาจากมนุษย์’ ผู้คนก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะว่าพวกเขาเชื่อว่า ยอห์นเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า” 7 ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “พวกเราไม่ทราบว่ามาจากไหน” 8 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราก็จะไม่บอกท่านเช่นกันว่า เรากระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจอันใด”
อุปมาเรื่องผู้เช่าสวนองุ่น
9 พระองค์กล่าวเป็นอุปมาให้ผู้คนฟังว่า “ชายคนหนึ่งปลูกสวนองุ่นไว้ เขาให้ชาวสวนอื่นๆ เช่า แล้วก็เดินทางไปต่างประเทศเป็นเวลานาน 10 เมื่อถึงเวลาเก็บผล เขาก็ส่งคนรับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อให้เขาแบ่งส่วนปันผลจากสวนบ้าง แต่พวกคนที่เช่าสวนกลับทุบตีแล้วก็ไล่เขากลับไปมือเปล่า 11 ชายเจ้าของสวนจึงส่งคนรับใช้อีกคนไป แต่พวกคนเช่าสวนก็ทุบตีเขา ลบหลู่และส่งเขากลับไปมือเปล่าเช่นกัน 12 เขาก็ยังส่งคนที่สามไปซึ่งก็ได้รับบาดเจ็บ และถูกไล่กลับไปเช่นกัน 13 เจ้าของสวนองุ่นพูดว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เราจะส่งลูกชายที่รักของเราไป พวกเขาคงจะนับถือลูกคนนั้น’ 14 แต่เมื่อพวกคนเช่าสวนเห็นเขาก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท ช่วยกันฆ่าเขาเถิดเพื่อว่ามรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ 15 และเขาทั้งหลายก็โยนลูกคนนั้นออกจากสวนองุ่นและฆ่าเสีย แล้วเจ้าของสวนองุ่นจะทำอย่างไรกับพวกเขาเล่า 16 เขาจะมาฆ่าพวกคนเช่าสวนเหล่านั้น และยกสวนองุ่นให้แก่คนอื่นๆ ไป” เมื่อผู้คนได้ยินเรื่องนี้แล้วจึงพูดว่า “ขออย่าได้เป็นไปเช่นนั้นเลย” 17 พระเยซูมองจ้องพวกเขาและถามว่า “แล้วสิ่งที่บันทึกไว้มีความหมายว่าอย่างไร
‘ศิลาที่พวกช่างก่อสร้างทิ้ง
ได้กลายเป็นศิลามุมเอก’[a]
18 ใครที่ล้มลงบนศิลานี้จะแตกหักกระจายเป็นชิ้นๆ หากแต่เมื่อศิลานั้นล้มทับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นจะแหลกเป็นผุยผงไป”
19 พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติและมหาปุโรหิตทราบว่า พระองค์กล่าวเป็นอุปมานี้เพื่อกระทบพวกเขา คนเหล่านั้นใคร่จะจับกุมพระองค์เสียทันที แต่ก็ยังเกรงผู้คนที่อยู่รายรอบพระองค์
คำถามเรื่องการเสียภาษี
20 เขาจึงได้ส่งพวกสอดแนมโดยทำทีเป็นคนซื่อมาคอยเฝ้าพระเยซูอย่างใกล้ชิด โดยหวังว่าจะจับผิดคำกล่าวของพระองค์ เพื่อส่งให้กับผู้ว่าราชการผู้มีอิทธิพลและสิทธิอำนาจ 21 พวกสอดแนมจึงได้ซักถามพระองค์ว่า “อาจารย์ พวกเราทราบว่า ท่านพูดและสั่งสอนในสิ่งที่ถูกต้อง ท่านไม่แสดงความลำเอียงเลย แต่สั่งสอนในวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง 22 ถูกต้องตามกฎหรือไม่ ที่เราเสียภาษีให้แก่ซีซาร์” 23 พระองค์หยั่งรู้ถึงเล่ห์เหลี่ยมของเขาจึงตอบว่า 24 “ให้เราดูเหรียญเดนาริอันเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” 25 เขาทั้งหลายตอบพระองค์ว่า “ของซีซาร์” พระองค์จึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้ว สิ่งที่เป็นของซีซาร์ก็จงให้แก่ซีซาร์ และสิ่งที่เป็นของพระเจ้าก็จงให้แด่พระเจ้า” 26 เขาทั้งหลายไม่สามารถระบุข้อผิดพลาดของพระองค์ต่อหน้าประชาชนได้ และก็ประทับใจในคำตอบของพระองค์ด้วยจึงนิ่งไป
ความสงสัยเรื่องวันที่ฟื้นคืนชีวิต
27 พวกสะดูสีบางคน[b] (ซึ่งพูดว่าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย) ได้มาหาพระเยซูและถามว่า 28 “อาจารย์ ตามที่โมเสสได้เขียนไว้ให้พวกเราว่า ถ้าชายคนหนึ่งมีพี่ชายซึ่งตายไป และทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีบุตรด้วยเลย น้องชายของคนตายควรรับหญิงม่ายไว้ เพื่อมีบุตรสืบตระกูลให้พี่ชายของเขา 29 ครั้งหนึ่งมีพี่น้องที่เป็นชายอยู่ 7 คน คนแรกมีภรรยา และตายโดยไม่มีบุตรด้วย 30 คนที่สอง 31 และคนที่สามสมรสกับนาง จนถึงคนที่เจ็ดก็ตายเช่นกันโดยไม่มีบุตรด้วย 32 ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย 33 เมื่อถึงวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย แล้วหญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร ในเมื่อทั้ง 7 คนได้นางเป็นภรรยา”
34 พระเยซูตอบว่า “ผู้คนในยุคนี้สมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน 35 แต่สำหรับพวกที่นับว่าสมควรจะได้ร่วมในยุคที่จะมาถึงและในวันที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย จะไม่มีการสมรสหรือการยกให้เป็นสามีภรรยากัน 36 และเขาจะตายอีกไม่ได้ เพราะว่าเขาจะเป็นเหมือนพวกทูตสวรรค์ ในเมื่อเขาเป็นบรรดาบุตรที่ได้รับการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย เขาจึงเป็นบุตรของพระเจ้า 37 โมเสสแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ตายไปแล้วยังจะฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ในตอนที่เกี่ยวกับพุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ โมเสสพูดถึงพระผู้เป็นเจ้าว่า พระองค์เป็น ‘พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’[c] 38 พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น เพราะว่าสำหรับพระเจ้าแล้วทุกคนเป็นอยู่” 39 พวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติบางคนตอบว่า “กล่าวได้ดี อาจารย์” 40 แล้วไม่มีผู้ใดกล้าซักถามสิ่งใดกับพระองค์อีก
คำถามเรื่องบุตรของดาวิด
41 แล้วพระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เขาเหล่านั้นพูดได้อย่างไรว่า พระคริสต์เป็นบุตรของดาวิด 42 ดาวิดกล่าวในพระคัมภีร์ฉบับสดุดีว่า
‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งทางด้านขวาของเรา
43 จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้า
อยู่ใต้เท้าดั่งที่วางเท้าของเจ้า”’[d]
44 ดาวิดเรียกพระองค์ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร”
45 ขณะที่ทุกๆ คนกำลังฟังอยู่ พระเยซูกล่าวกับสาวกว่า 46 “จงระวังพวกอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติที่ชอบสวมเสื้อคลุมเดินไปมาให้คนทักทายแสดงความเคารพในย่านตลาด และชอบที่นั่งสำหรับคนสำคัญสุดในศาลาที่ประชุม และที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง 47 พวกเขาริบบ้านเรือนของพวกหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาวเพื่อให้คนเห็น คนพวกนี้จะถูกกล่าวโทษอย่างหนัก”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation