M’Cheyne Bible Reading Plan
อามาซิยาห์ครองราชย์ในยูดาห์
25 อามาซิยาห์มีอายุ 25 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 29 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อเยโฮอัดดานจากเยรูซาเล็ม 2 ท่านกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ไม่ทำอย่างสุดจิตสุดใจ 3 และทันทีที่อำนาจของกษัตริย์เป็นของท่านอย่างบริบูรณ์แล้ว ท่านก็ได้สั่งฆ่าบรรดาเจ้าหน้าที่ชั้นสูงที่ได้สังหารกษัตริย์ผู้เป็นบิดาของท่าน 4 แต่ท่านไม่ได้ฆ่าพวกลูกๆ ของพวกเขา ตามที่บันทึกไว้ในกฎบัญญัติ ในหนังสือของโมเสส ที่พระผู้เป็นเจ้าบัญชาว่า “อย่าให้บิดาตายแทนบุตรของเขา และอย่าให้บุตรตายแทนบิดาเช่นกัน แต่ละคนต้องตายเพราะบาปของตนเอง”[a]
ชัยชนะของอามาซิยาห์
5 อามาซิยาห์เรียกประชาชนของยูดาห์มาพร้อมหน้ากัน และกำหนดยูดาห์และเบนยามินตามตระกูลของพวกเขาให้อยู่ใต้ผู้บังคับบัญชากองพันและกองร้อย ท่านนับจำนวนคนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และพบว่ามีคนที่เหมาะสม 300,000 คนพร้อมจะสู้รบ รู้จักใช้หอกและโล่ 6 ท่านจ้างนักรบผู้เก่งกล้าจากอิสราเอล 100,000 คนด้วยเงิน 100 ตะลันต์ 7 แต่คนของพระเจ้ามาหาท่าน และพูดว่า “โอ กษัตริย์ อย่าให้กองทัพของอิสราเอลไปกับท่านเลย เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่สถิตกับอิสราเอล ไม่อยู่กับชาวเอฟราอิม 8 ถึงแม้ว่าท่านจะไปสู้รบอย่างเก่งกล้าในสงคราม แต่พระเจ้าจะทำให้ท่านหมอบลงต่อหน้าศัตรู เพราะพระเจ้ามีอำนาจจะช่วยและจะทำให้หมอบลงได้” 9 อามาซิยาห์ตอบคนของพระเจ้าว่า “แต่เราจะทำอย่างไรกับเงิน 100 ตะลันต์ที่ได้ให้กองทัพของอิสราเอลไปแล้ว” คนของพระเจ้าตอบว่า “พระผู้เป็นเจ้าให้ท่านได้มากกว่านั้น” 10 อามาซิยาห์จึงปล่อยให้กองทัพที่มาจากเอฟราอิมกลับบ้านไป พวกเขาจึงฉุนเฉียวยูดาห์มาก และกลับบ้านไปด้วยความเกรี้ยวกราด 11 แต่อามาซิยาห์ทำใจกล้าหาญและนำประชาชนของท่านไปยังหุบเขาเกลือ และฆ่าคนของเสอีร์ 10,000 คน 12 คนของยูดาห์จับเชลยได้ 10,000 คน และพาตัวพวกเขาไปที่ยอดผา และผลักให้ตกลงจากที่นั่น ร่างกระแทกหินแหลกเละเป็นชิ้นๆ 13 ส่วนกองทัพทหารที่อามาซิยาห์ส่งกลับไป เนื่องจากท่านไม่ให้ไปสู้รบในสงครามด้วยนั้น ก็โจมตีเมืองต่างๆ ในยูดาห์ และฆ่าประชาชน 3,000 คน ตั้งแต่สะมาเรียถึงเบธโฮโรน และริบข้าวของไปมากมาย
อามาซิยาห์บูชารูปเคารพ
14 หลังจากอามาซิยาห์กลับมาจากการฆ่าล้างชาวเอโดม ท่านนำเทวรูปของพวกเสอีร์มาด้วย อีกทั้งยังได้ตั้งไว้เป็นเทพเจ้าของท่าน ท่านนมัสการและมอบเครื่องบูชาให้แก่เทวรูปเหล่านั้น 15 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วอามาซิยาห์มาก และให้ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามาหาท่าน เพื่อถามท่านว่า “ทำไมท่านจึงนมัสการเทพเจ้าของคนเหล่านั้น ซึ่งไม่สามารถช่วยคนของชาวเสอีร์ให้พ้นจากมือของท่าน” 16 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ กษัตริย์ก็ตอบว่า “พวกเราแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้ปรึกษาของราชวงศ์แล้วหรือ หยุดเสียเถิด ท่านอยากถูกฆ่าหรือ” ผู้เผยคำกล่าวจึงหยุด และพูดว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าพระเจ้าตัดสินใจที่จะทำลายท่าน เพราะท่านได้ปฏิบัติเช่นนี้ และไม่ฟังคำแนะนำของข้าพเจ้า”
อิสราเอลรบชนะอามาซิยาห์
17 ครั้นแล้ว อามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ก็ปรึกษากับคนของท่าน และส่งคนไปบอกเยโฮอาชบุตรเยโฮอาหาสผู้เป็นบุตรของเยฮู กษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “มาเถิด เรามาเผชิญหน้ากัน” 18 เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลส่งสาสน์ไปยังอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “พันธุ์ไม้หนามบนภูเขาเลบานอนส่งสาสน์ไปยังไม้ซีดาร์บนภูเขาเลบานอนว่า ‘ยกบุตรหญิงของท่านให้เป็นภรรยาบุตรของเราเถิด’ และสัตว์ป่าแห่งเลบานอนผ่านมา และเหยียบย่ำพันธุ์ไม้หนามเสีย 19 ท่านพูดว่า ‘ดูสิ เราได้ตีเอโดมจนพ่ายแพ้ไป’ จิตใจของท่านจึงหยิ่งผยองนัก แต่บัดนี้ท่านอยู่กับบ้านจะดีกว่า ทำไมท่านจึงจะก่อเรื่องจนถึงกับทำให้ตัวเองล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย”
20 แต่อามาซิยาห์ก็ไม่ฟัง เพราะพระเจ้าประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น เพื่อพระองค์จะมอบพวกเขาไว้ในมือของศัตรู ในเมื่อเขาเหล่านั้นนมัสการเทพเจ้าของเอโดม 21 ดังนั้นเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงขึ้นไป ท่านและอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ประจันหน้ากันในสงครามที่เมืองเบธเชเมช ซึ่งเป็นของยูดาห์ 22 และยูดาห์ถูกอิสราเอลตีพ่ายไป ทุกคนเตลิดหนีกลับบ้านของตนไป 23 เยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอลจับตัวอามาซิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์บุตรของโยอาชผู้เป็นบุตรของอาหัสยาห์ ที่เมืองเบธเชเมช และนำท่านไปยังเยรูซาเล็ม และทลายกำแพงเมืองเยรูซาเล็มลง 400 ศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมไปจนถึงประตูมุม 24 และท่านยึดทองคำและเงินทั้งหมด รวมทั้งภาชนะทุกชิ้นที่พบในพระตำหนักของพระเจ้า ซึ่งของเหล่านั้นอยู่ในการดูแลของโอเบดเอโดม ท่านยึดสมบัติจากวังของกษัตริย์ และได้จับตัวประกันไปด้วย จากนั้นท่านก็กลับไปยังสะมาเรีย
25 อามาซิยาห์บุตรของเยโฮอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 15 ปี หลังจากเยโฮอาชบุตรของเยโฮอาหาสกษัตริย์แห่งอิสราเอลสิ้นชีวิต 26 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นที่อามาซิยาห์กระทำตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอลมิใช่หรือ 27 นับจากเวลาที่อามาซิยาห์หันเหไปจากพระผู้เป็นเจ้า มีคนกบฏต่ออามาซิยาห์ในเยรูซาเล็ม ท่านจึงหนีไปยังลาคีช แต่พวกกบฏไล่ตามท่านไปที่ลาคีช และสังหารท่านที่นั่น 28 เขานำท่านมาบนหลังม้า และศพถูกบรรจุไว้กับบรรพบุรุษในเมืองของดาวิด
หญิงผู้หนึ่งและมังกรแดง
12 ครั้นแล้วก็มีปรากฏการณ์อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในสวรรค์คือ มีดวงอาทิตย์โอบล้อมตัวหญิงคนหนึ่งเสมือนเป็นเสื้อ ใต้เท้านางมีดวงจันทร์ บนศีรษะมีมงกุฎดาว 12 ดวง 2 นางตั้งครรภ์ และเปล่งเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากเป็นขณะที่ใกล้จะคลอด 3 แล้วก็มีปรากฏการณ์อัศจรรย์อีกประการหนึ่งปรากฏขึ้นในสวรรค์ ดูเถิด มังกรสีแดงที่ยิ่งใหญ่ตัวหนึ่งมี 7 หัวกับ 10 เขา และบนหัวแต่ละหัวมีมงกุฎ 1 องค์ 4 หางของมันตวัดกวาดดวงดาวในท้องฟ้าหนึ่งในสามส่วน แล้วเขวี้ยงลงสู่แผ่นดินโลก มังกรตัวนี้ยืนอยู่ต่อหน้าหญิงครรภ์แก่ใกล้คลอด เพื่อจะได้กินบุตรของนางเมื่อนางคลอดออกมา 5 นางคลอดบุตรชาย ซึ่งเป็นผู้ที่จะครองประเทศชาติทั้งปวงด้วยคทาเหล็ก และบุตรของนางถูกรับขึ้นไปสู่พระเจ้าและบัลลังก์ของพระองค์ 6 หญิงผู้นั้นหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารอันเป็นที่ซึ่งพระเจ้าได้เตรียมให้ไว้ และได้รับการดูแลเป็นเวลา 1,260 วัน
7 แล้วก็เกิดสงครามในสวรรค์ มีคาเอลกับบริวารทูตสวรรค์ของท่าน ทำสงครามกับมังกรตัวนั้น และมังกรกับบริวารทูตของมันก็ตอบโต้ 8 แต่มังกรและพวกของมันพ่ายแพ้ และไม่มีที่อยู่ในสวรรค์อีกต่อไป 9 มังกรที่ยิ่งใหญ่ถูกขับไล่ลงไป มันคืองูครั้งโบราณกาลที่เรียกกันว่า พญามารหรือซาตาน ซึ่งหลอกลวงคนทั้งโลก มันถูกขับไล่ลงสู่แผ่นดินโลกไปด้วยกันกับบริวารทูตของมัน 10 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงที่ดังในสวรรค์กล่าวว่า “บัดนี้ความรอดพ้น อานุภาพ อาณาจักรของพระเจ้าของเรา และสิทธิอำนาจของพระคริสต์ของพระองค์ได้มาถึงแล้ว ด้วยว่าผู้กล่าวหาพวกพี่น้องของเรา ได้ถูกขับไล่ลงมาแล้ว เขากล่าวหาบรรดาพี่น้องต่อหน้าพระเจ้าของเราตลอดวันตลอดคืน 11 เขาทั้งหลายมีชัยชนะต่อผู้กล่าวหานั้น ด้วยโลหิตของลูกแกะ และด้วยคำยืนยันในการเป็นพยานของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ได้รักชีวิตตนเอง แม้จะต้องถึงแก่ความตาย 12 ฉะนั้น สวรรค์และท่านที่อยู่ในสวรรค์ จงชื่นชมยินดีเถิด และความวิบัติจะเกิดขึ้นกับแผ่นดินโลกและทะเล เพราะพญามารได้ลงมาพบเจ้าด้วยความโกรธเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย”
13 เมื่อมังกรเห็นว่ามันถูกขับไล่ลงสู่แผ่นดินโลก มันก็มุ่งมั่นตามล่าหญิงที่คลอดบุตรเป็นชาย 14 และหญิงนั้นได้รับปีกทั้งสองของนกอินทรีใหญ่ เพื่อนางจะได้บินไปสู่ถิ่นทุรกันดารอันเป็นที่ของนาง และจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลา 1 วาระ 2 วาระ และครึ่งวาระ เพื่อให้พ้นเสียจากหน้างู 15 แล้วงูก็พ่นน้ำออกจากปากเป็นสายเหมือนแม่น้ำ ตามหญิงนั้นเพื่อน้ำจะได้พัดพานางไป 16 แต่แผ่นดินโลกได้ช่วยหญิงผู้นั้น โดยได้แยกออก เพื่อกลืนรับแม่น้ำที่มังกรได้พ่นออกจากปากของมัน 17 มังกรตัวนั้นยิ่งโกรธแค้นหญิงนั้นมากขึ้น จึงได้ออกไปทำสงครามกับผู้สืบเชื้อสายของนางที่เหลืออยู่ ซึ่งได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และยึดมั่นในคำยืนยันของพระเยซู 18 แล้วมันก็ไปยืนอยู่บนชายหาดริมฝั่งทะเล
ความสงบสุขและความรุ่งเรืองของศิโยน
8 และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาก็มาถึงข้าพเจ้าว่า 2 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “เราหวงแหนศิโยนยิ่งนัก และเราหวงแหนศิโยนด้วยความกริ้วอย่างที่สุด” 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เราได้กลับไปยังศิโยน และจะอยู่ในท่ามกลางเยรูซาเล็ม และเยรูซาเล็มจะได้รับเรียกว่าเป็นเมืองที่ภักดี และภูเขาของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาจะได้รับเรียกว่า ภูเขาอันบริสุทธิ์” 4 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บรรดาชายและหญิงสูงอายุจะนั่งที่ถนนของเยรูซาเล็ม แต่ละคนถือไม้เท้าเพราะมีอายุมาก 5 และตามถนนในเมืองจะเต็มไปด้วยเด็กๆ ทั้งชายและหญิงกำลังเล่นกัน” 6 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ถ้าเป็นสิ่งวิเศษในสายตาของประชาชนเหล่านี้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ในสมัยก่อน แล้วจะเป็นสิ่งวิเศษในสายตาของเราด้วยหรือ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 7 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ดูเถิด เราจะช่วยชนชาติของเราให้รอดปลอดภัยจากแผ่นดินทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก 8 และเราจะนำพวกเขามาอาศัยอยู่ในท่ามกลางเยรูซาเล็ม และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา ในความสัตย์จริงและความชอบธรรม”
9 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บัดนี้พวกเจ้าที่ได้ยินจากปากของบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าในวันที่วางฐานรากของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พวกเจ้าจงเข้มแข็งเอาไว้เพื่อจะได้สร้างพระวิหาร 10 ก่อนหน้านั้น ไม่มีค่าแรงสำหรับมนุษย์หรือสัตว์ และผู้ที่เข้านอกออกในก็ไม่มีความปลอดภัยจากศัตรู เพราะเราได้ทำให้มนุษย์ทุกคนต่อต้านเพื่อนบ้านของตน 11 แต่บัดนี้เราจะไม่กระทำต่อชนชาตินี้ซึ่งมีชีวิตเหลืออยู่เหมือนในสมัยก่อน” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น 12 “ด้วยว่า จะมีการหว่านความสันติสุข เถาองุ่นจะออกผล พื้นดินจะให้พืชผล และฟ้าสวรรค์จะประพรมน้ำค้าง และเราจะทำให้ชนชาตินี้ซึ่งมีชีวิตเหลืออยู่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ 13 และตามที่พวกเจ้าเป็นที่แช่งสาปในบรรดาประชาชาติฉันใด โอ พงศ์พันธุ์ยูดาห์และพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะช่วยพวกเจ้าให้ปลอดภัยฉันนั้น และพวกเจ้าจะเป็นพระพร อย่ากลัวเลย แต่พวกเจ้าจงเข้มแข็งเอาไว้”
14 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ตามที่เราเจตนานำความทุกข์ร้อนมายังพวกเจ้าเมื่อบรรพบุรุษของเจ้ายั่วโทสะเราให้เรากริ้ว และเราไม่เปลี่ยนใจฉันใด พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า 15 เราได้เจตนาในสมัยนี้อีก ที่จะกระทำดีต่อเยรูซาเล็มและต่อพงศ์พันธุ์ยูดาห์ฉันนั้น อย่ากลัวเลย 16 พวกเจ้าจงปฏิบัติสิ่งเหล่านี้คือ พูดความจริงต่อกันและกัน จงตัดสินความที่ประตูเมืองด้วยความจริงและความสงบสุข 17 อย่าคิดร้ายในใจต่อกัน และอย่ารักการให้คำสาบานเท็จ เพราะเราเกลียดชังสิ่งเหล่านี้” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
18 และคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธามาถึงข้าพเจ้าอีก 19 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “การอดอาหารในเดือนที่สี่ เดือนที่ห้า เดือนที่เจ็ด และเดือนที่สิบ จะเป็นโอกาสของความร่าเริงและน่ายินดี และงานฉลองความรื่นเริงใจสำหรับยูดาห์ ฉะนั้นจงรักความจริงและความสงบสุข”
20 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “บรรดาชนชาติและบรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองทั้งหลายจะมา 21 บรรดาผู้อยู่อาศัยของเมืองหนึ่งจะไปยังอีกเมืองหนึ่งและพูดว่า ‘เราไปถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจกันเดี๋ยวนี้ และไปแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากันเถิด เราเองก็กำลังไป’ 22 บรรดาชนชาติจำนวนมากและบรรดาประชาชาติที่เป็นมหาอำนาจจะมาแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาในเยรูซาเล็ม และเพื่อถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ” 23 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ “ในสมัยนั้น ผู้ชาย 10 คนจากทุกภาษาและบรรดาประชาชาติจะคว้าเสื้อคลุมของชาวยิว 1 คน และจะพูดดังนี้ว่า ‘ให้พวกเราไปกับพวกท่านเถิด เพราะพวกเราได้ยินมาว่า พระเจ้าสถิตกับพวกท่าน’”
ลาซารัสฟื้นจากความตาย
11 มีชายที่กำลังป่วยคนหนึ่งชื่อลาซารัสจากหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มารีย์และมาร์ธาผู้เป็นพี่สาวอาศัยอยู่ 2 ลาซารัสผู้ที่ป่วยเป็นน้องชายของมารีย์ที่ชโลมพระเยซูเจ้าด้วยน้ำมันหอม และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ 3 พี่สาวทั้งสองส่งคนไปพบพระเยซูเพื่อบอกว่า “พระองค์ท่าน ดูเถิด คนที่พระองค์รักกำลังป่วยอยู่”
4 เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้น พระองค์กล่าวว่า “การป่วยไข้ครั้งนี้ไม่ถึงแก่ความตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อพระบารมีของพระเจ้า เพื่อว่าพระบุตรของพระเจ้าจะได้รับพระบารมีเพราะการป่วยครั้งนี้”
5 พระเยซูรักมาร์ธาและน้องสาวของเธอรวมทั้งลาซารัส 6 เมื่อพระองค์ได้ยินว่าลาซารัสป่วย พระองค์จึงยืดเวลาอยู่ที่นั่นต่ออีก 2 วัน 7 หลังจากนั้นพระองค์ได้กล่าวกับบรรดาสาวกว่า “ให้เรากลับเข้าไปที่แคว้นยูเดียกันอีกครั้งเถิด” 8 บรรดาสาวกพูดกับพระองค์ว่า “รับบี เมื่อไม่นานมานี้ชาวยิวได้พยายามจะเอาหินขว้างพระองค์ แล้วพระองค์ยังจะกลับไปที่นั่นอีกหรือ” 9 พระเยซูตอบว่า “วันหนึ่งมี 12 ชั่วโมงที่สว่างมิใช่หรือ ผู้ใดเดินในตอนกลางวันก็จะไม่สะดุด เพราะว่าเขามองเห็นความสว่างของโลกนี้ 10 แต่ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะว่าไม่มีความสว่างอยู่ในตัวเขา” 11 จากนั้นพระองค์ได้กล่าวกับคนเหล่านั้นต่อไปอีกว่า “ลาซารัสเพื่อนของพวกเราได้นอนหลับไป แต่เราจะไปเพื่อปลุกให้เขาตื่น” 12 บรรดาสาวกพูดว่า “พระองค์ท่าน ถ้าเขานอนหลับไป เขาจะหายดีขึ้น” 13 แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์กล่าวถึงการนอนหลับพักผ่อน ในขณะที่พระองค์หมายถึงความตายของเขา 14 พระเยซูจึงกล่าวกับพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15 เราดีใจที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะเห็นแก่เจ้า และเพื่อเจ้าจะได้เชื่อ เราไปหาเขากันเถิด” 16 โธมัสที่คนเรียกกันว่าแฝดพูดกับพวกเพื่อนสาวกว่า “พวกเราไปด้วยกันเถิด เราจะได้ตายไปกับพระองค์”
17 เมื่อพระเยซูมาถึง ก็พบว่าลาซารัสอยู่ในถ้ำเก็บศพได้ 4 วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ห่างจากเมืองเยรูซาเล็มประมาณ 3 กิโลเมตร 19 ชาวยิวจำนวนมากได้มาหามาร์ธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชายของเขา 20 เมื่อมาร์ธาได้ยินว่าพระเยซูกำลังมาก็ออกไปพบพระองค์ แต่มารีย์ยังนั่งอยู่ในบ้าน 21 มาร์ธาพูดกับพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย 22 แม้เวลานี้ข้าพเจ้าทราบว่าสิ่งใดที่พระองค์ขอจากพระเจ้า พระเจ้าก็จะให้แก่พระองค์” 23 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นคืนชีวิตอีก” 24 มาร์ธาพูดกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าเขาจะฟื้นคืนชีวิตอีกในวันสุดท้ายที่เป็นวันแห่งการฟื้นคืนชีวิต” 25 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราคือผู้ที่ทำให้คนตายฟื้นคืนชีวิต และเราให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราซึ่งถึงแม้จะตายไปก็ยังจะดำรงชีวิตอยู่ 26 ทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม” 27 มาร์ธาพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเชื่อแล้วว่า พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาในโลก”
พระเยซูร้องไห้
28 เมื่อเธอพูดเช่นนี้แล้วก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาวของเธอ และบอกเธอเป็นการส่วนตัวว่า “อาจารย์อยู่ที่นี่และกำลังตามหาตัวเธออยู่” 29 เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นไปหาพระองค์ 30 ขณะนั้นพระเยซูยังไม่เข้ามาในหมู่บ้านแต่ยังอยู่ที่ที่มาร์ธาพบพระองค์ 31 ชาวยิวที่อยู่กับเธอในบ้านกำลังปลอบโยนเธอ เมื่อเห็นว่ามารีย์รีบลุกขึ้นออกไปจึงตามเธอไป เพราะคิดว่าเธอกำลังจะไปร้องไห้ที่ถ้ำเก็บศพ
32 มารีย์มายังที่ที่พระเยซูอยู่ เมื่อเธอเห็นพระองค์แล้วก็ทรุดตัวลงหมอบแทบเท้า และพูดว่า “พระองค์ท่าน ถ้าพระองค์ได้อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ตาย” 33 เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้อยู่และชาวยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์เป็นทุกข์และสะเทือนใจมาก 34 จึงกล่าวว่า “เจ้าเอาตัวเขาไปไว้ที่ไหน” คนเหล่านั้นพูดว่า “พระองค์ท่าน โปรดมาดูเถิด” 35 พระเยซูร้องไห้ 36 ชาวยิวจึงพากันพูดว่า “ดูเถิดว่าพระองค์รักเขาเพียงไร” 37 แต่บางคนพูดว่า “ชายผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วจะกันไม่ให้คนนี้ตายไม่ได้หรือ”
38 พระเยซูยิ่งรู้สึกสะเทือนใจขึ้นอีก พระองค์ไปยังที่เก็บศพ ซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินพิงปิดทางเข้าอยู่ 39 พระเยซูกล่าวว่า “จงเลื่อนหินออกเสีย” มาร์ธาพี่สาวของคนตายจึงพูดว่า “พระองค์ท่าน เขาตายไปได้ 4 วันแล้ว ป่านนี้คงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว” 40 พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” 41 เขาเหล่านั้นจึงเลื่อนหินออก พระเยซูแหงนหน้าขึ้นพลางกล่าวว่า “พระบิดา ข้าพเจ้าขอบคุณพระองค์ที่ฟังข้าพเจ้า 42 และข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ฟังข้าพเจ้าเสมอ แต่เป็นเพราะผู้คนที่กำลังยืนอยู่รอบตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวเช่นนี้เพื่อว่าพวกเขาจะได้เชื่อว่า พระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา” 43 เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้ว จึงร้องขึ้นเสียงดังว่า “ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด” 44 คนที่ตายไปแล้วก็ออกมา ทั้งมือและเท้ามีริ้วผ้าป่านพันไว้ ที่หน้าก็มีผ้าห่อหุ้มไว้ด้วย พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “จงแก้ริ้วผ้าที่พันออกเสียและปล่อยให้เขาไป”
แผนการลับจับกุมพระเยซู
45 ชาวยิวจำนวนมากที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระองค์ก็เชื่อในพระองค์ 46 แต่ชาวยิวบางคนได้กลับไปหาพวกฟาริสีเพื่อบอกถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเยซูได้กระทำ 47 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตและฟาริสีจึงเรียกประชุมศาสนสภา[a] และกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกัน ชายผู้นี้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์มากมาย 48 ถ้าพวกเราปล่อยให้เขาดำเนินการต่อไปเช่นนี้ ทุกคนก็จะเชื่อเขา และพวกชาวโรมันจะมายึดเอาบ้านช่องและประเทศชาติของเราไป” 49 คายาฟาสซึ่งเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตในเวลานั้นพูดกับพวกเขาว่า “พวกท่านไม่รู้อะไรเสียเลย 50 และไม่ได้ระลึกถึงประโยชน์ของตนว่า ให้คนหนึ่งตายแทนคนทั้งปวง ย่อมดีกว่ายอมให้ประเทศชาติพินาศไป” 51 เขาไม่ได้พูดเพราะเจตนาของเขาเอง แต่ในปีนั้นเขาเป็นหัวหน้ามหาปุโรหิตและได้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า พระเยซูกำลังจะสิ้นชีวิตเพื่อประเทศชาตินั้น 52 และไม่ใช่เพื่อประเทศชาติแต่เพียงเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปต่างแดนให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย 53 ตั้งแต่วันนั้นมาคนเหล่านั้นก็ร่วมกันวางแผนเพื่อจะฆ่าพระองค์
54 ดังนั้นพระเยซูจึงไม่แสดงตนอยู่ร่วมกับพวกชาวยิวอย่างเปิดเผย แต่ออกไปยังเมืองเอฟราอิมซึ่งเป็นดินแดนอยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร พระองค์อยู่ที่นั่นกับบรรดาสาวก
55 ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว จึงมีคนจำนวนมากเดินทางมาจากแว่นแคว้นนอกเมือง ไปยังเมืองเยรูซาเล็มก่อนงานเทศกาลเพื่อชำระตน 56 คนเหล่านั้นพยายามตามหาพระเยซู ขณะที่ยืนอยู่ในบริเวณพระวิหารก็พูดโต้ตอบกันว่า “ท่านคิดว่าพระองค์จะไม่มาในงานเทศกาลเลยหรือ” 57 พวกมหาปุโรหิตและฟาริสีออกคำสั่งว่า ถ้าผู้ใดทราบว่าพระองค์อยู่ที่ไหนก็จะต้องรายงานให้ทราบ เพื่อพวกเขาจะได้จับกุมพระองค์ไว้
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation