Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 16

ปีท้ายๆ ในสมัยของอาสา

16 ในปีที่สามสิบหกของรัชสมัยของอาสา บาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลขึ้นไปโจมตียูดาห์ และสร้างเมืองรามาห์ให้แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครไปมาหาสู่กับอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ อาสาจึงนำเงินและทองคำที่มาจากคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และวังของกษัตริย์ และส่งไปยังเบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัม ผู้อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส พร้อมกับกล่าวว่า “ขอให้ทำสัญญาระหว่างท่านกับเราเหมือนกับที่บิดาของท่านและของเราทำ ดูเถิด เราได้ส่งเงินและทองคำมาให้ท่าน ขอท่านตัดความสัมพันธ์กับบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลเถิด ท่านจะได้ถอนทัพออกไปจากดินแดนของเรา” เบนฮาดัดฟังคำของอาสาผู้เป็นกษัตริย์ และส่งบรรดาผู้บังคับกองพันของท่านไปโจมตีเมืองต่างๆ ของอิสราเอล และยึดเมืองอิโยน ดาน อาเบลมาอิม และเมืองคลังหลวงของนัฟทาลีทั้งหมด เมื่อบาอาชาทราบดังนั้น ท่านจึงหยุดการก่อสร้างเมืองรามาห์ และทิ้งงานค้างไว้ และอาสาผู้เป็นกษัตริย์ก็นำคนของยูดาห์มาทั้งหมด ขนหินและไม้ที่บาอาชาใช้สร้างรามาห์ แล้วเอามาสร้างเมืองเก-บาและเมืองมิสปาห์

ในครั้งนั้นฮานานีผู้รู้มาหาอาสาผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพูดกับท่านว่า “เหตุเพราะท่านไว้วางใจในกษัตริย์แห่งอารัม และไม่วางใจพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน กองทัพของกษัตริย์แห่งอารัมจึงหนีรอดไปจากท่านได้ ชาวคูชและชาวลิเบียมิใช่หรือ ที่เป็นกองทัพใหญ่พร้อมด้วยรถศึกและทหารม้า แต่เพราะท่านวางใจพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่าน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าเฝ้าจับตามองไปทั่วแผ่นดินโลก เพื่อเสริมกำลังแก่บรรดาผู้ที่มุ่งมั่นต่อพระองค์ แต่ท่านกลับทำตัวอย่างคนเขลา จากนี้ไปท่านจะต้องเผชิญกับสงคราม” 10 อาสาจึงโกรธผู้รู้ และสั่งให้จำจองเขา เรื่องนี้ทำให้ท่านโกรธมาก และในเวลาเดียวกันอาสาก็กดขี่ข่มเหงประชาชนบางคนอย่างทารุณด้วย

11 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของอาสา ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 12 ในปีที่สามสิบเก้าของรัชสมัยของอาสา ท่านเป็นโรคที่เท้าขั้นรุนแรงมาก แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่แสวงหาพระผู้เป็นเจ้า แต่ไปหาความช่วยเหลือจากแพทย์เท่านั้น 13 ในปีที่สี่สิบเอ็ดของรัชสมัยของท่าน อาสาสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน 14 พวกเขาบรรจุศพท่านไว้ในถ้ำที่ท่านได้สกัดไว้เองในเมืองของดาวิด ศพถูกวางไว้บนแคร่ที่เต็มด้วยเครื่องเทศและน้ำหอมสารพัดชนิด ซึ่งนักปรุงเครื่องหอมเป็นผู้เตรียมให้ และมีการจุดเพลิงใหญ่ให้สมเกียรติของท่าน

วิวรณ์ 5

หนังสือม้วนและลูกแกะ

แล้วข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนอยู่ในมือขวาขององค์ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ทั้ง 2 ด้าน และมีตราประทับอยู่ 7 ดวง ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ที่มีอานุภาพองค์หนึ่งประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “ใครเป็นผู้สมควรจะแกะตราประทับและคลี่หนังสือม้วนออก” แต่ไม่มีใครในสวรรค์ หรือบนโลก หรือใต้บาดาลที่สามารถคลี่หรือจะอ่านหนังสือม้วนนั้นได้ ข้าพเจ้าก็ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก เพราะหาคนที่สมควรจะคลี่หรือจะอ่านหนังสือม้วนนั้นไม่ได้ ครั้นแล้ว หนึ่งในบรรดาผู้ใหญ่บอกข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้เลย ดูสิ สิงโตที่มาจากเผ่ายูดาห์ คือรากแห่งดาวิดได้มีชัยชนะแล้ว พระองค์สามารถคลี่หนังสือม้วนออกและแกะตราประทับทั้งเจ็ดได้”

แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นลูกแกะซึ่งดูเหมือนว่าถูกสังหารแล้ว กำลังยืนอยู่ระหว่างบัลลังก์กับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และพวกผู้ใหญ่ ลูกแกะมี 7 เขากับตา 7 ดวง ซึ่งเป็นพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้าที่ถูกส่งออกไปทั่วแผ่นดินโลก ลูกแกะได้เข้ามารับหนังสือม้วนไปจากมือขวาขององค์ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ครั้นลูกแกะรับหนังสือม้วนไปแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่และผู้ใหญ่ 24 ท่านก็หมอบลงอยู่เบื้องหน้าลูกแกะนั้น ต่างก็มีพิณและถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า และท่านทั้งหลายก็ร้องเพลงบทใหม่[a]ว่า

“พระองค์เป็นผู้สมควรจะรับหนังสือม้วน
    และแกะตราประทับออก
เพราะพระองค์ถูกฆ่า
    และพระองค์ได้ไถ่มนุษย์จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชนชาติ และทุกประเทศ
    เพื่อพระเจ้าด้วยโลหิตของพระองค์
10 พระองค์ได้แต่งตั้งพวกเขาไว้ ให้เป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิตทั้งหลาย เพื่อรับใช้พระเจ้าของเรา
    และเขาเหล่านั้นจะครองบนแผ่นดินโลก”

11 ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็เห็นและได้ยินเสียงของทูตสวรรค์ซึ่งมีจำนวนนับล้านๆ มากมายจนนับไม่ถ้วน อยู่ล้อมรอบบัลลังก์ รอบสิ่งมีชีวิต และบรรดาผู้ใหญ่ 12 พวกเขาร้องเพลงด้วยเสียงอันดังว่า

“ลูกแกะที่ถูกสังหารสมควรได้รับ
    อานุภาพ ความมั่งมี พระปัญญา พลานุภาพ
    พระเกียรติ พระบารมี และคำสรรเสริญ”

13 และข้าพเจ้าได้ยินทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นทั้งที่อยู่ในสวรรค์ บนโลก ใต้บาดาล และในทะเลทุกแห่งหน ร้องเป็นเพลงว่า

“ขอคำสรรเสริญและพระเกียรติ พระบารมี และอานุภาพ
    จงมีแด่พระองค์ผู้นั่งบนบัลลังก์ และแด่ลูกแกะชั่วนิรันดร์กาลเถิด”

14 สิ่งมีชีวิตทั้งสี่พูดว่า “อาเมน” และบรรดาผู้ใหญ่ก็หมอบลงนมัสการ

เศคาริยาห์ 1

เรียกให้กลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า

ในเดือนแปด ปีที่สองของดาริอัส[a] คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นบุตรของเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรของอิดโด ดังนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้ากริ้วบรรพบุรุษของพวกเจ้ามาก ฉะนั้นจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ ‘จงกลับมาหาเรา’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ ‘และเราจะกลับมาหาพวกเจ้า’” พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนั้น อย่าเป็นอย่างบรรพบุรุษของพวกท่าน ซึ่งบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ารุ่นก่อนๆ ร้องบอกไว้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ ‘จงหันไปจากวิถีทางอันชั่วร้ายของพวกเจ้า และจากการกระทำอันชั่วร้าย’” แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่เอาใจใส่ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น “บรรพบุรุษของพวกเจ้าอยู่ไหนล่ะ และบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามีชีวิตยั่งยืนตลอดไปหรือ แต่คำกล่าวของเราและกฎเกณฑ์ของเราซึ่งเราบัญชาแก่บรรดาผู้เผยคำกล่าวผู้รับใช้ของเรานั้น ได้เกิดขึ้นกับพวกเขาตามที่เรากล่าวแล้วมิใช่หรือ พวกเขาได้กลับใจและพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้กระทำต่อพวกเราสมกับวิถีทางและความประพฤติของพวกเรา อย่างที่พระองค์ประสงค์ต่อพวกเรา’”

ภาพนิมิตทหารม้า

ในวันที่ยี่สิบสี่ เดือนสิบเอ็ด ซึ่งเป็นเดือนเชบัท ในปีที่สองของดาริอัส คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงเศคาริยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นบุตรของเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรของอิดโด ดังที่เศคาริยาห์กล่าวคือ ดูเถิด ในเวลากลางคืน ข้าพเจ้าเห็นชายผู้หนึ่งขี่ม้าสีแดง ท่านยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลในหุบเขา ข้างหลังชายผู้นั้นมีม้าสีแดง น้ำตาล และขาว ข้าพเจ้าถามว่า “นายท่าน นี่คืออะไร” ทูตสวรรค์ที่กำลังพูดกับข้าพเจ้าตอบว่า “เราจะชี้ให้ท่านเห็นว่า นี่คืออะไร” 10 ดังนั้นชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลตอบว่า “เขาเหล่านี้คือผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมาเพื่อตรวจตราทั่วแผ่นดินโลก” 11 และเขาทั้งหลายตอบทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางต้นเมอร์เทิลดังนี้ว่า “พวกเราได้ตรวจตราทั่วแผ่นดินโลกแล้ว และดูเถิด ทั่วโลกอยู่ในความสันติสุข” 12 ครั้นแล้ว ทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระองค์จะไม่มีเมตตาต่อเยรูซาเล็มและเมืองทั้งหลายในยูดาห์นานเพียงไร พระองค์โกรธเคืองพวกเขามาเป็นเวลา 70 ปีแล้ว”[b] 13 พระผู้เป็นเจ้าตอบด้วยคำพูดซึ่งกอปรด้วยความกรุณา และปลอบประโลมทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้า 14 ดังนั้นทูตสวรรค์ที่พูดอยู่กับข้าพเจ้าบอกข้าพเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า จงร้องบอกดังนี้ ‘เราหวงแหนเยรูซาเล็มและศิโยนยิ่งนัก 15 และเราเกรี้ยวโกรธบรรดาประชาชาติมากที่ไม่สะทกสะท้านอะไร แต่แรกเรากริ้วพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่ประชาชาติกระทำต่อพวกเขาเกินความตั้งใจของเรา’ 16 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘เราจะกลับมายังเยรูซาเล็มพร้อมกับความเมตตา และตำหนักของเราจะถูกสร้างขึ้นใหม่ และเชือกที่ขึงจะเหยียดไปที่เยรูซาเล็ม’ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น 17 จงร้องบอกต่อไปอีกว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้ ‘เมืองทั้งหลายของเราจะเปี่ยมล้นด้วยความมั่งมี และพระผู้เป็นเจ้าจะปลอบประโลมศิโยนและเลือกเยรูซาเล็มอีก’”

ภาพนิมิตเขาสัตว์และช่างฝีมือ

18 ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น และแลเห็นเขาสัตว์ 4 เขา 19 ข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ซึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไร” ท่านตอบข้าพเจ้าว่า “เขาสัตว์เหล่านี้เป็นเขาสัตว์ที่ทำให้ยูดาห์ อิสราเอล และเยรูซาเล็มกระจัดกระจายไป” 20 หลังจากนั้นพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าเห็นช่างฝีมือ 4 คน 21 ข้าพเจ้าถามว่า “คนเหล่านี้มาทำอะไร” พระองค์ตอบว่า “นี่คือเขาสัตว์ 4 เขาที่ทำให้ยูดาห์กระจัดกระจายไป และทำให้ไม่มีผู้ใดเงยศีรษะขึ้นได้ ช่างฝีมือเหล่านี้มาเพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัว เพื่อเหวี่ยงเขาสัตว์ของบรรดาประชาชาติลง ประชาชาติเหล่านี้ยกเขาสัตว์ของพวกเขาต่อต้านแผ่นดินของยูดาห์เพื่อให้กระจัดกระจายไป”

ยอห์น 4

พระเยซูและหญิงชาวสะมาเรีย

เมื่อพระเยซูทราบว่าพวกฟาริสีได้ยินว่า พระองค์ให้บัพติศมา และได้สาวกมากกว่ายอห์น (ความจริงพระเยซูไม่ได้ให้บัพติศมา แต่สาวกของพระองค์ต่างหากที่เป็นผู้ให้) พระองค์จึงออกไปจากแคว้นยูเดียและไปยังแคว้นกาลิลีอีก พระองค์จำต้องเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรีย[a] ดังนั้นเมื่อได้เดินทางมาถึงเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรียใกล้ๆ ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟผู้เป็นบุตร เวลาประมาณ 6 โมงเย็น[b] พระเยซูเหนื่อยล้าจากการเดินทางจึงได้นั่งลงที่ข้างๆ บ่อน้ำของยาโคบ

พระเยซูได้กล่าวกับหญิงชาวสะมาเรียผู้หนึ่งที่มาตักน้ำว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยเถิด” เนื่องจากในขณะนั้นพวกสาวกของพระองค์กำลังไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียผู้นั้นพูดกับพระองค์ว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านผู้เป็นชาวยิวจะมาขอน้ำดื่มจากข้าพเจ้า ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (ด้วยเหตุว่าชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย) 10 พระเยซูตอบนางว่า “ถ้าเจ้ารู้จักของประทานจากพระเจ้า และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยเถิด’ เจ้าก็คงจะขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็จะให้น้ำอันก่อให้เกิดชีวิตแก่เจ้า” 11 นางพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน ท่านไม่มีอะไรมาตักน้ำ มิหนำซ้ำบ่อก็ลึกเสียด้วย แล้วท่านจะเอาน้ำอันก่อให้เกิดชีวิตมาจากไหน 12 ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้มอบบ่อน้ำนี้ให้แก่เราหรือ ยาโคบเองได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้รวมทั้งบรรดาบุตรและพวกแพะแกะด้วย”

13 พระเยซูตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่ผู้ใดก็ตามที่ดื่มน้ำที่เราให้จะไม่มีวันกระหาย น้ำที่เราให้แก่เขาจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขา พุ่งขึ้นสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 15 หญิงนั้นพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน โปรดให้น้ำนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด จะได้ไม่กระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อยู่ร่ำไป”

16 พระองค์บอกนางว่า “จงไปเรียกสามีเจ้ามานี่เถิด” 17 นางตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่มีสามี” พระเยซูกล่าวกับนางว่า “เจ้าพูดถูกแล้วที่ว่าไม่มีสามี 18 ความจริงเจ้ามีมาแล้วถึง 5 คน และชายที่เจ้ามีเวลานี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดมานี้จริงทีเดียว” 19 หญิงนั้นพูดว่า “นายท่าน ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 20 บรรพบุรุษของเราได้นมัสการที่ภูเขานี้ และพวกท่านพูดว่าเมืองเยรูซาเล็มเป็นสถานที่ที่ควรใช้ในการนมัสการ” 21 พระเยซูกล่าวกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิดว่า จะถึงเวลาที่พวกเจ้าจะนมัสการพระบิดาในที่ซึ่งไม่ใช่ภูเขานี้หรือที่เมืองเยรูซาเล็ม 22 พวกเจ้านมัสการอะไรที่เจ้าไม่รู้จัก แต่พวกเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จัก เพราะความรอดพ้นมาจากพวกชาวยิว 23 แต่จะถึงเวลา ที่จริงบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่พวกนมัสการแท้จะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาแสวงหาผู้คนเหล่านี้ให้เป็นผู้นมัสการพระองค์ 24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ดังนั้นบรรดาผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง” 25 หญิงนั้นพูดว่า “ข้าพเจ้าทราบว่าพระเมสสิยาห์กำลังจะมา (คือผู้ที่เรียกว่าพระคริสต์) พระองค์จะประกาศทุกสิ่งแก่เราเมื่อมาถึง” 26 แล้วพระเยซูกล่าวกับนางว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้าคือผู้นั้น”[c]

27 ขณะนั้นบรรดาสาวกของพระองค์กลับมาและประหลาดใจที่พบว่าพระองค์กำลังพูดอยู่กับผู้หญิง แต่ไม่มีผู้ใดถามว่า “พระองค์มีประสงค์อะไร” หรือ “ทำไมพระองค์จึงพูดกับนาง” 28 หญิงนั้นทิ้งหม้อน้ำไว้ แล้วกลับเข้าไปในเมืองเพื่อบอกผู้คนว่า 29 “มาเถิด มาดูชายผู้บอกข้าพเจ้าถึงทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำไป ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์หรือไม่” 30 ผู้คนก็ออกจากเมืองไปหาพระองค์

31 ในขณะเดียวกันบรรดาสาวกก็ขอร้องพระองค์ว่า “รับบี เชิญรับประทาน” 32 แต่พระองค์กล่าวว่า “เรามีอาหารสำหรับรับประทานที่เจ้าไม่รู้จัก” 33 บรรดาสาวกพูดโต้ตอบกันว่า “ไม่มีผู้ใดนำอาหารมาให้พระองค์มิใช่หรือ” 34 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการกระทำตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ส่งเรามา และทำงานของพระองค์ให้เสร็จบริบูรณ์ 35 เจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้หรือว่า ‘อีก 4 เดือนก็จะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้ว’ เราขอบอกเจ้าว่า จงเปิดตาดูทุ่งนาอันเหลืองอร่ามเถิดว่าถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว 36 ผู้เก็บเกี่ยวก็จะได้รับค่าแรง และรวบรวมพืชผลสำหรับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ และเพื่อทั้งคนหว่านและคนเก็บเกี่ยวก็จะได้ชื่นชมยินดีร่วมกัน 37 ในกรณีนี้ คำกล่าวนั้นเป็นความจริงที่ว่า ‘คนหนึ่งหว่าน และอีกคนเก็บเกี่ยว’ 38 เราส่งพวกเจ้าไปเก็บเกี่ยวสิ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรง คนอื่นๆ ได้ลงแรง และเจ้าได้รับประโยชน์จากแรงของเขา”

39 ชาวสะมาเรียจำนวนมากในเมืองนั้นเชื่อในพระองค์ เพราะคำพูดของหญิงคนนั้นที่ได้ยืนยันว่า “ท่านได้บอกทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กระทำ” 40 ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ ก็ได้ขอให้พระองค์พักอยู่ด้วย พระองค์จึงอยู่ที่นั่น 2 วัน 41 และมีคนอีกมากมายที่เชื่อเพราะคำกล่าวของพระองค์ 42 พวกเขาพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไป มิใช่เพราะสิ่งที่ท่านพูดที่ทำให้พวกเราเชื่อ แต่เป็นเพราะเราได้ยินด้วยตนเอง จึงทราบว่าท่านผู้นี้เป็นองค์ผู้ช่วยโลกให้รอดพ้นที่แท้จริง”

พระเยซูรักษาบุตรของข้าราชการ

43 ครั้นล่วงไป 2 วันพระองค์ได้เดินทางไปยังแคว้นกาลิลี 44 เพื่อยืนยันว่า ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับนับถือในถิ่นฐานบ้านเกิดของตนเอง 45 ดังนั้นเมื่อพระองค์มายังแคว้นกาลิลีก็พบว่าชาวเมืองต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขาได้ไปงานเทศกาลปัสกามา และได้เห็นทุกสิ่งที่พระองค์กระทำที่งานเทศกาลในเมืองเยรูซาเล็ม

46 เมื่อพระองค์เดินทางกลับมายังหมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี อันเป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ทำให้น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น และมีข้าราชการคนหนึ่งในเมืองคาเปอร์นาอุมซึ่งบุตรชายกำลังป่วยอยู่ 47 เขาได้ยินว่าพระเยซูได้ออกจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี เขาจึงไปหาพระองค์เพื่อขอร้องให้รักษาบุตรชายของเขาที่กำลังจะตาย 48 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “พวกท่านจะไม่เชื่อแน่ นอกจากว่าจะได้เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ” 49 ข้าราชการผู้นั้นพูดกับพระองค์ว่า “นายท่าน โปรดลงมาก่อนที่บุตรของข้าพเจ้าจะตาย” 50 พระเยซูกล่าวว่า “จงกลับไปเถิด บุตรชายของท่านไม่ตาย” ชายผู้นั้นเชื่อในคำที่พระเยซูกล่าวจึงกลับไป 51 ขณะที่เขากลับลงไป พวกผู้รับใช้ก็มาพบเขาและบอกว่าบุตรชายของเขายังมีชีวิตอยู่ 52 เขาจึงถามพวกผู้รับใช้ว่าเป็นเวลาใดที่บุตรชายเริ่มรู้สึกดีขึ้น พวกเขาตอบว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาหนึ่งทุ่ม”[d] 53 บิดาจึงทราบว่าเป็นเวลาเดียวกันกับที่พระเยซูได้บอกเขาว่า “บุตรของท่านไม่ตาย” ข้าราชการผู้นั้นและทั้งครัวเรือนก็พากันเชื่อในพระเยซู 54 นี่ก็เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ครั้งที่สอง ที่พระเยซูได้กระทำในแคว้นกาลิลี หลังจากที่พระองค์ได้ออกมาจากแคว้นยูเดียแล้ว

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation