Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 22-23

อาหัสยาห์ครองราชย์ในยูดาห์

22 บรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มแต่งตั้งอาหัสยาห์บุตรชายคนสุดท้องให้เป็นกษัตริย์แทนท่าน เพราะโจรกลุ่มหนึ่งมาที่ค่ายพร้อมกับชาวอาหรับ และฆ่าพี่ชายทั้งหมด ดังนั้นอาหัสยาห์บุตรของเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงขึ้นครองราชย์ อาหัสยาห์มีอายุ 22 ปีเมื่อเริ่มเป็นกษัตริย์ และท่านครองราชย์ 1 ปีในเยรูซาเล็ม มารดาของท่านชื่อ อาธาลิยาห์ นางเป็นหลานสาวของอมรี ท่านดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพงศ์พันธุ์ของอาหับ เพราะมารดาของท่านหนุนหลังให้ทำความชั่ว ท่านกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เหมือนกับที่พงศ์พันธุ์ของอาหับได้กระทำ เพราะหลังจากบิดาของท่านสิ้นชีวิตแล้ว พวกเขาเป็นที่ปรึกษาของท่าน และนำท่านไปสู่ความพินาศ ท่านยังทำตามคำแนะนำของพวกเขา ไปกับโยรัมบุตรอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล เพื่อทำสงครามต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัมที่ราโมทกิเลอาด ชาวอารัมทำให้โยรัมได้รับบาดเจ็บ และท่านกลับไปรับการรักษาที่ยิสเรเอลเพราะพวกเขาทำให้ท่านบาดเจ็บที่รามาห์เมื่อต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม และอาหัสยาห์บุตรเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์จึงไปเยี่ยมโยรัมบุตรอาหับที่ยิสเรเอล เพราะท่านป่วย

แต่พระเจ้ากำหนดให้อาหัสยาห์ถึงความพินาศเมื่อท่านไปเยี่ยมโยรัม เพราะเมื่อท่านไปที่นั่น ท่านออกไปกับโยรัมเพื่อพบกับเยฮูบุตรของนิมชี ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิมเพื่อทำลายพงศ์พันธุ์ของอาหับ เมื่อเยฮูพิพากษาโทษพงศ์พันธุ์ของอาหับ ท่านพบบรรดาผู้นำของยูดาห์และบรรดาบุตรของพี่น้องอาหัสยาห์ ซึ่งรับใช้อาหัสยาห์ และท่านก็ฆ่าพวกเขา ท่านค้นหาอาหัสยาห์ และจับตัวได้ขณะที่กำลังซ่อนอยู่ในสะมาเรีย จึงถูกนำตัวมาให้เยฮูสังหาร พวกเขาฝังท่าน เพราะพวกเขาพูดว่า “ท่านเป็นหลานของเยโฮชาฟัทผู้แสวงหาพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ” ไม่มีใครในพงศ์พันธุ์ของอาหัสยาห์ที่สามารถปกครองอาณาจักรได้เลย

อาธาลิยาห์ขึ้นครองในยูดาห์

10 เมื่ออาธาลิยาห์มารดาของอาหัสยาห์เห็นว่าบุตรของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็เริ่มตามฆ่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทุกคน 11 แต่เยโฮชาเบอาทบุตรหญิงของกษัตริย์ ได้ลักพาโยอาชบุตรชายของอาหัสยาห์ออกมา เพื่อไม่ให้ถูกฆ่าไปพร้อมกับบุตรทั้งปวงของกษัตริย์ นางซ่อนโยอาชและพี่เลี้ยงไว้ในห้องนอน เยโฮชาเบอาทบุตรหญิงของกษัตริย์เยโฮรัม ซึ่งเป็นภรรยาของเยโฮยาดาปุโรหิต และนางก็เป็นน้องสาวของอาหัสยาห์ด้วย นางได้ซ่อนโยอาชให้พ้นจากอาธาลิยาห์ เพื่อไม่ให้นางฆ่าท่านได้ 12 ท่านอยู่กับพวกเขาเป็นเวลา 6 ปี โดยถูกซ่อนอยู่ในพระตำหนักของพระเจ้า ในขณะที่อาธาลิยาห์ปกครองแผ่นดิน

โยอาชเป็นกษัตริย์

23 แต่ในปีที่เจ็ด เยโฮยาดามีใจกล้าขึ้น และไปทำสนธิสัญญากับผู้บัญชากองร้อยคือ อาซาริยาห์บุตรเยโรฮัม อิชมาเอลบุตรเยโฮฮานัน อาซาริยาห์บุตรโอเบด มาอาเสยาห์บุตรอาดายาห์ และเอลีชาฟัทบุตรศิครี เขาทั้งหลายออกไปทั่วยูดาห์ และรวบรวมชาวเลวีในยูดาห์จากทุกเมือง รวมทั้งหัวหน้าครอบครัวของพงศ์พันธุ์อิสราเอล และพวกเขาพากันมายังเยรูซาเล็ม ที่ประชุมทั้งหมดทำสนธิสัญญากับกษัตริย์ในพระตำหนักของพระเจ้า เยโฮยาดาพูดกับพวกเขาว่า “นี่คือบุตรของกษัตริย์ ให้ท่านครองราชย์ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวถึงเรื่องบุตรทั้งหลายของดาวิดเถิด สิ่งที่ท่านควรปฏิบัติก็คือ พวกท่านที่เป็นปุโรหิตและชาวเลวีต้องมาเริ่มเข้าเวรในวันสะบาโต หนึ่งในสามของพวกท่านจะเป็นคนเฝ้าประตู และหนึ่งในสามจะอยู่ที่วังของกษัตริย์ อีกหนึ่งในสามประจำที่ประตูฐานราก และประชาชนทั้งปวงจะอยู่ที่ลานพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า อย่าปล่อยให้ใครเข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า นอกจากปุโรหิตและชาวเลวีที่ปฏิบัติงาน พวกเขาเข้าไปได้ เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ประชาชนทั้งปวงจะต้องคุ้มกันสิ่งที่เป็นของพระผู้เป็นเจ้า ชาวเลวีต้องประจำการอยู่รอบข้างกษัตริย์ แต่ละคนถืออาวุธไว้พร้อม และใครก็ตามที่เข้าไปในตำหนักจะต้องถูกฆ่า พวกท่านจงอยู่ใกล้ชิดกษัตริย์ ไม่ว่าท่านจะไปที่ใดก็ตาม”

ชาวเลวีและยูดาห์ทั้งปวงปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เยโฮยาดาปุโรหิตสั่ง และแต่ละกลุ่มก็ได้นำคนของตนมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่จะออกเวรหรือที่จะเข้าเวรในวันสะบาโต เพราะเยโฮยาดาปุโรหิตยังไม่ได้ปล่อยกองเวร และเยโฮยาดาปุโรหิตมอบหอกและโล่ทั้งขนาดใหญ่และเล็กที่เป็นของกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเก็บไว้ในพระตำหนักของพระเจ้าให้แก่บรรดาผู้บัญชากองร้อย 10 และท่านจัดตำแหน่งให้ทุกคนอยู่ประจำที่ และแต่ละคนถืออาวุธไว้พร้อม ตั้งแต่ด้านใต้จรดด้านเหนือของพระตำหนัก รอบแท่นบูชาและพระตำหนัก เพื่อความปลอดภัยของกษัตริย์ 11 แล้วเขาทั้งหลายก็นำบุตรของกษัตริย์ออกมา สวมมงกุฎ และมอบพันธสัญญาให้แก่ท่าน และพวกเขาประกาศให้ท่านเป็นกษัตริย์ เยโฮยาดาและบรรดาบุตรก็เจิมท่าน และกล่าวว่า “ขอกษัตริย์มีอายุยืนนาน”

อาธาลิยาห์ถูกประหาร

12 เมื่ออาธาลิยาห์ได้ยินเสียงประชาชนวิ่งและสรรเสริญกษัตริย์ นางจึงออกไปหาประชาชนที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 13 เมื่อนางมองดู ก็เห็นกษัตริย์ยืนที่ข้างเสาของท่านที่ทางเข้า บรรดาผู้บัญชากองร้อยและผู้เป่าแตรยาว[a]ยืนอยู่ข้างๆ และประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินกำลังร่าเริงและเป่าแตรยาว บรรดานักร้องก็ร้องนำไปกับเครื่องดนตรีในงานฉลอง อาธาลิยาห์ก็ฉีกเสื้อของตน และร้องว่า “กบฏ กบฏ” 14 เยโฮยาดาปุโรหิตสั่งบรรดาผู้บัญชากองร้อยที่ควบคุมกำลังกองทัพว่า “นำนางออกมาระหว่างแถวทหาร และผู้ใดตามนางไป จงฆ่าเสียด้วยคมดาบ” เพราะปุโรหิตพูดว่า “อย่าฆ่านางในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 15 ดังนั้นพวกเขาจึงจับกุมนาง ขณะที่นางไปถึงทางเข้าประตูม้า ที่ประตูวังของกษัตริย์ พวกเขาก็ประหารนางที่นั่น

เยโฮยาดาปฏิรูป

16 เยโฮยาดาทำพันธสัญญาระหว่างตนเองกับประชาชนและกษัตริย์ว่า ให้พวกเขาเป็นชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า 17 ครั้นแล้ว ประชาชนทั้งปวงจึงเข้าไปทลายวิหารเทพเจ้าบาอัลลง พวกเขาทุบแท่นบูชาและเทวรูปบาอัลจนแตกเป็นชิ้นๆ และฆ่ามัทธานปุโรหิตของเทพเจ้าบาอัลที่หน้าแท่นบูชา 18 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็กำหนดให้มียามเฝ้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ภายใต้การควบคุมของปุโรหิตที่เป็นชาวเลวี และชาวเลวีที่ดาวิดได้จัดระบบให้เป็นผู้ดูแลพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ตามกฎบัญญัติของโมเสส ด้วยความร่าเริงใจและด้วยการร้องเพลง ตามคำสั่งของดาวิด 19 ท่านให้ผู้เฝ้าประตูประจำการที่ประตูพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อกั้นไม่ให้ผู้มีมลทินเข้าไป 20 ท่านให้บรรดาผู้บัญชากองร้อย เจ้าหน้าที่ชั้นสูง ผู้นำประชาชน และประชาชนทั้งปวงของแผ่นดิน ร่วมกันเชิญกษัตริย์ลงมาจากพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เขาทั้งปวงเดินผ่านประตูเหนือ ไปจนถึงวังของกษัตริย์ และเชิญกษัตริย์นั่งบนบัลลังก์ 21 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงของแผ่นดินต่างยินดี และบ้านเมืองนั้นก็สงบสุขหลังจากที่อาธาลิยาห์ถูกดาบสังหาร

วิวรณ์ 10

ทูตสวรรค์และหนังสือม้วนเล็ก

10 ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีอานุภาพอีกองค์หนึ่งกำลังลงมาจากสวรรค์ พร้อมกับมีหมู่เมฆคลุมเหมือนเสื้อผ้าคลุมกาย และมีรุ้งอยู่เหนือศีรษะ ใบหน้าเหมือนดวงอาทิตย์ และขาของท่านเหมือนเสาหลักสีเพลิงจัดจ้า ท่านมีหนังสือม้วนเล็กม้วนหนึ่งซึ่งคลี่ออกอยู่ในมือ เท้าขวาของท่านเหยียบลงบนทะเล และเท้าซ้ายอยู่บนบก ท่านร้องเสียงดังดุจสิงโตคำราม เมื่อสิ้นเสียงร้อง เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดก็ดังขึ้น เมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ลงมือจะเขียน ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพูดจากสวรรค์ว่า “จงผนึกข้อความที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดกล่าวไว้ แต่อย่าเขียนลงไป” ทูตสวรรค์ที่ข้าพเจ้าเห็น ซึ่งกำลังยืนอยู่ทั้งบนผิวน้ำทะเลและบนบกก็ยกมือขวาขึ้นสู่สวรรค์ กล่าวสาบานโดยอ้างพระนามของพระองค์ผู้มีชีวิตชั่วนิรันดร์กาล ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และทุกสิ่งที่มีในฟ้าสวรรค์ ผู้สร้างแผ่นดินโลกและทุกสิ่งที่มีในแผ่นดินโลก ผู้สร้างทะเลและทุกสิ่งที่มีในทะเลว่า “จะไม่มีการล่าช้าต่อไปอีกแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดจะเป่าแตรของท่าน แผนการอันลึกลับซับซ้อนของพระเจ้า ตามที่พระองค์ประกาศแก่บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ก็จะสัมฤทธิผล”

ครั้นแล้วเสียงจากสวรรค์ที่ข้าพเจ้าได้ยินก็กล่าวกับข้าพเจ้าอีกครั้งว่า “จงไปเอาหนังสือม้วนที่คลี่ออกและอยู่ในมือของทูตสวรรค์องค์ที่กำลังยืนอยู่ทั้งบนผิวน้ำทะเลและบนบก” ข้าพเจ้าจึงไปหาทูตสวรรค์และขอหนังสือม้วนเล็กนั้น ท่านก็พูดกับข้าพเจ้าว่า “จงรับเอาไปกิน มันจะทำให้ท้องของเจ้าขม แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้ามันจะหวานปานน้ำผึ้ง” 10 ข้าพเจ้าก็รับหนังสือม้วนเล็กไปจากมือของทูตสวรรค์แล้วก็กินเข้าไป เมื่ออยู่ในปากของข้าพเจ้า มันหวานปานน้ำผึ้ง พอตกถึงท้องของข้าพเจ้าแล้วก็ขม 11 มีข้อความถึงข้าพเจ้าดังนี้ “เจ้าต้องประกาศสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยให้ทราบอีกเกี่ยวกับบรรดาชนชาติ ประเทศ ภาษา และกษัตริย์ทั้งหลาย”

เศคาริยาห์ 6

ภาพนิมิตรถศึก 4 คัน

ดูเถิด ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นอีก และแลเห็นรถศึก 4 คันออกมาระหว่างภูเขาทองสัมฤทธิ์ 2 ลูก รถศึกแต่ละคันมีม้าหลายตัว คันแรกมีม้าสีแดง คันที่สองมีม้าสีดำ คันที่สามมีม้าสีขาว คันที่สี่มีม้าด่างสีเทา ม้าทุกตัวแข็งแรง แล้วข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ที่พูดกับข้าพเจ้าว่า “นี่คืออะไร นายท่าน” ทูตสวรรค์ตอบข้าพเจ้าว่า “หลังจากที่พวกเขายืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินโลกแล้ว ก็จะออกไปยังลมทั้งสี่ของฟ้าสวรรค์ รถศึกที่มีม้าสีดำไปทางทิศเหนือของแผ่นดิน ม้าสีขาวก็ตามไป และม้าด่างสีเทาไปทางทิศใต้ของแผ่นดิน” เมื่อพวกม้าตัวที่แข็งแรงออกมา มันร้อนใจที่จะไปตรวจตราแผ่นดินโลก ท่านพูดว่า “จงออกไปตรวจตราแผ่นดินโลก” ม้าเหล่านั้นก็ออกไปตรวจตราแผ่นดินโลก แล้วท่านร้องบอกข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด พวกตัวที่ไปทางทิศเหนือของแผ่นดินทำให้วิญญาณของเราสงบลงในแผ่นดินทางทิศเหนือ”

มงกุฎและพระวิหาร

คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าดังนี้ 10 “จงนำเฮลดัย โทบียาห์ และเยดายาห์ออกจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน พวกเขาได้มาถึงแล้ว และในวันเดียวกันก็จงไปบ้านของโยสิยาห์บุตรของเศฟันยาห์ 11 จงเอาเงินและทองคำจากพวกเขา แล้วเอาไปทำเป็นมงกุฎ และสวมบนศีรษะโยชูวาหัวหน้ามหาปุโรหิต ซึ่งเป็นบุตรของเยโฮซาดัก 12 และบอกเขาดังนี้ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวว่า นี่คือบุรุษที่ชื่ออังกูร เขาจะแตกหน่อออกไปจากที่ของเขา และเขาจะสร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า 13 เขานั่นแหละที่จะเป็นผู้สร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และจะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ จะนั่งปกครองบนบัลลังก์ของเขา และจะเป็นปุโรหิตบนบัลลังก์ของเขา การปฏิบัติงานทั้งสองจะประสานกันด้วยความสันติสุข’ 14 มงกุฎจะอยู่ในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเป็นการเตือนให้ระลึกถึงเฮลดัย โทบียาห์ เยดายาห์ และเฮนบุตรของเศฟันยาห์

15 และบรรดาผู้ที่อยู่แดนไกลจะมาช่วยสร้างพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า และท่านจะทราบว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ส่งข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน และสิ่งดังกล่าวจะเกิดขึ้น ถ้าท่านจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านอย่างจริงจัง”

ยอห์น 9

ชายตาบอดแต่กำเนิดมองเห็น

ขณะที่พระองค์เดินผ่านไป ก็ได้พบชายตาบอดแต่กำเนิดคนหนึ่ง บรรดาสาวกถามพระองค์ว่า “รับบี ใครเป็นผู้ทำบาป ชายผู้นี้หรือบิดามารดา เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่ทั้งชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาที่ทำบาป แต่ที่เป็นไปเช่นนี้เพื่อว่า งานของพระเจ้าจะได้ปรากฏให้เห็นในตัวเขา เราต้องปฏิบัติงานของพระองค์ผู้ส่งเรามาตราบที่ยังวันอยู่ เวลากลางคืนกำลังจะมาถึงซึ่งไม่มีผู้ใดทำงานได้ ขณะที่เรายังอยู่ในโลก เราคือความสว่างของโลก” เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้วก็บ้วนน้ำลายลงบนพื้นดินเพื่อผสมให้เป็นโคลน แล้วทาที่ตาทั้งสองของคนตาบอด พระองค์กล่าวกับเขาว่า “จงไปล้างตาในสระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ถูกส่งไป) เขาจึงไปล้างโคลนออก เมื่อกลับมาก็มองเห็นได้

เพื่อนบ้านและพวกที่เคยเห็นเขาเป็นขอทานมาก่อนก็พูดว่า “นี่เป็นคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ไม่ใช่หรือ” บางคนพูดว่า “ใช่ เขานั่นแหละ” บ้างก็ยังพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนกับคนนั้น” ชายตาบอดเองพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนนั้น” 10 พวกเขาจึงกล่าวกับชายตาบอดว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร” 11 เขาตอบว่า “คนที่ชื่อเยซูได้ทำโคลนทาที่ตาข้าพเจ้าและบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สิโลอัมและล้างตาเถิด’ ข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็นได้” 12 พวกเขาพูดกับชายนั้นว่า “ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ”

13 พวกเขาพาคนที่เคยตาบอดมาหาพวกฟาริสี 14 วันที่พระเยซูทำโคลนและให้ตาของเขาหายบอดเป็นวันสะบาโต 15 พวกฟาริสีถามเขาอีกว่าตาของเขาหายบอดได้อย่างไร และเขาก็บอกว่า “ท่านใช้โคลนทาที่ตาทั้งสองของข้าพเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าล้างออก ข้าพเจ้าก็มองเห็น” 16 ดังนั้นฟาริสีบางคนจึงได้พูดว่า “ชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะว่าเขาไม่ได้ถือกฎวันสะบาโต” แต่ในขณะที่บางคนกลับพูดว่า “คนบาปจะกระทำปรากฏการณ์อัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร” พวกฟาริสีจึงแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเอง 17 แล้วพวกเขาก็หันมาพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับชายผู้นี้ ในเมื่อเขาทำให้เจ้ามองเห็น” ชายที่เคยตาบอดจึงพูดว่า “ท่านเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า”

18 ชาวยิวไม่เชื่อเรื่องที่ว่า เขาเคยตาบอดและกลับมองเห็นได้ จนกระทั่งเรียกบิดามารดาของคนที่ตาหายบอดคนนั้นมา 19 และซักไซ้คนทั้งสองว่า “นี่เป็นบุตรของเจ้าที่ว่าตาบอดแต่กำเนิดหรือ แล้วบัดนี้เขาเห็นได้อย่างไร” 20 บิดามารดาของเขาตอบว่า “เราทราบว่าเขาเป็นบุตรของเราและตาบอดแต่กำเนิด 21 แต่บัดนี้เขามองเห็นได้อย่างไรนั้นเราไม่ทราบ หรือใครทำให้ตาหายบอดเราก็ไม่ทราบ ถามเขาเถิด เขาโตพอที่จะพูดเองได้” 22 บิดามารดาของเขาพูดเช่นนั้นเพราะกลัวชาวยิว ด้วยเหตุว่าชาวยิวได้ตกลงกันไว้ว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็จะถูกขับไล่ออกจากศาลาที่ประชุม 23 ด้วยเหตุนี้เองบิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “เขาโตแล้ว ถามเขาเถิด”

24 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงเรียกคนที่เคยตาบอดมาเป็นครั้งที่สอง และพูดกับเขาว่า “จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด พวกเราทราบว่าชายผู้นี้เป็นคนบาป” 25 เขากลับตอบว่า “ท่านเป็นคนบาปหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าทราบคือ ข้าพเจ้าเคยตาบอด และบัดนี้ข้าพเจ้ามองเห็น” 26 คนเหล่านั้นพูดกับเขาว่า “เขาทำอะไรกับเจ้า เขาทำให้เจ้ามองเห็นได้อย่างไร” 27 ชายที่เคยตาบอดตอบว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว ท่านก็ไม่ฟัง ทำไมท่านจึงอยากได้ยินอีกเล่า ท่านอยากเป็นสาวกด้วยหรือ” 28 ผู้คนจึงถากถางเขาว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นสาวกของเขา แต่พวกเราเป็นสาวกของโมเสส 29 พวกเราทราบว่าพระเจ้าได้พูดกับโมเสส แต่สำหรับชายผู้นี้เราไม่ทราบว่าเขามาจากไหน” 30 ชายคนนั้นตอบว่า “น่าประหลาดที่ท่านไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน และท่านผู้นั้นยังได้ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็น 31 เราทราบว่าพระเจ้าไม่ได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดเกรงกลัวพระเจ้า และทำตามความประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ฟังผู้นั้น 32 ตั้งแต่แรกเริ่มมา ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินว่า มีคนทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดเห็นได้ 33 ถ้าชายผู้นี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้ว ก็คงไม่สามารถทำอะไรได้เลย” 34 คนพวกนั้นจึงแย้งว่า “เจ้าเกิดอยู่ในบาปโดยสิ้นเชิง แล้วยังจะมาสอนเราอีกหรือ” จากนั้นพวกเขาก็ขับไล่คนตาบอดนั้นไป

ตาบอดฝ่ายวิญญาณ

35 พระเยซูได้ยินว่าพวกเขาได้ขับไล่ชายตาบอดออกไป เมื่อพระองค์พบเขาจึงถามว่า “เจ้าเชื่อในบุตรมนุษย์หรือไม่” 36 เขาตอบว่า “นายท่าน ผู้ใดเป็นบุตรมนุษย์ ข้าพเจ้าจะได้เชื่อ” 37 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เจ้าได้เห็นท่านแล้ว และท่านเป็นผู้ที่กำลังพูดอยู่กับเจ้า” 38 เขาจึงพูดว่า “พระองค์ท่าน ข้าพเจ้าเชื่อ” และเขาก็กราบนมัสการพระองค์ 39 พระเยซูกล่าวว่า “เรามายังโลกนี้เพื่อการกล่าวโทษ สำหรับบรรดาคนที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และบรรดาคนที่มองเห็นกลับตาบอด” 40 พวกฟาริสีที่อยู่กับพระองค์ได้ยินดังนั้น จึงพูดกับพระองค์ว่า “พวกเราตาบอดด้วยหรือ” 41 พระเยซูกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่ในเมื่อท่านพูดว่า ‘พวกเรามองเห็น’ บาปของท่านก็ยังดำรงอยู่

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation