Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศาวดาร 32

เซนนาเคอริบบุกรุกยูดาห์

32 หลังจากเฮเซคียาห์ได้กระทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความภักดี เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาบุกรุกยูดาห์ และตั้งค่ายเตรียมบุกรุกเมืองต่างๆ ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง โดยที่คิดว่าจะยึดเมืองไว้ ครั้นเฮเซคียาห์เห็นว่าเซนนาเคอริบส่งกำลังมาด้วยความตั้งใจจะต่อสู้กับเยรูซาเล็ม ท่านจึงวางแผนกับบรรดาขุนนางและทหารกล้าของท่าน ให้ปิดกั้นน้ำที่ไหลจากแหล่งน้ำพุนอกเมือง และพวกเขาก็ช่วยเหลือท่าน คนจำนวนมากร่วมกันช่วยปฏิบัติงาน และปิดกั้นน้ำจากแหล่งน้ำพุและธารน้ำที่ไหลผ่านทั่วแผ่นดิน พวกเขาพูดว่า “จะให้กษัตริย์แห่งอัสซีเรียมาเจอน้ำมากมายทำไม” และท่านให้ซ่อมแซมกำแพงเมืองที่ปรักหักพังทุกแห่งอย่างไม่ย่อท้อ พร้อมกับสร้างหอคอยบนกำแพงด้วย ท่านให้สร้างกำแพงชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง และให้ทำมิลโล[a]ในเมืองของดาวิดให้แข็งแรง ท่านสร้างอาวุธและโล่อีกมากมาย ท่านแต่งตั้งผู้บัญชากองทัพให้เป็นฝ่ายควบคุมประชาชน ท่านเรียกประชุมกับพวกเขาบนลานที่ประตูเมือง และกล่าวคำให้กำลังใจแก่พวกเขาว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญ อย่ากลัวและอย่าท้อใจเรื่องกษัตริย์แห่งอัสซีเรียและกองทัพใหญ่ของเขา เพราะว่าผู้ที่อยู่กับเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าพวกที่อยู่กับเขา พวกที่อยู่กับเขามีแขนขาที่เป็นเพียงเนื้อหนัง แต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราสถิตกับเรา เพื่อช่วยเราและต่อสู้ในศึกสงครามให้พวกเรา” และประชาชนมีความมั่นใจขึ้นจากคำพูดของเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์

เซนนาเคอริบกล่าวคำหมิ่นประมาท

ต่อมาหลังจากนั้น เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียผู้กำลังล้อมเมืองลาคีชด้วยกองกำลังทั้งหมดที่มี ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปยังเยรูซาเล็ม เพื่อแจ้งแก่เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และประชาชนของยูดาห์ที่อยู่ในเยรูซาเล็มว่า

10 “เซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียกล่าวว่า ‘พวกเจ้าวางใจในสิ่งใดจึงทำให้อยู่สู้ทนการล้อมเมืองในเยรูซาเล็ม 11 เฮเซคียาห์หลอกลวงพวกเจ้า เขาจะทำให้เจ้าอดข้าวอดน้ำตาย เมื่อเขาบอกเจ้าว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะช่วยเราให้พ้นจากมือกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย” 12 เฮเซคียาห์คนนี้มิใช่หรือที่กำจัดสถานบูชาบนภูเขาสูงและแท่นบูชาตามที่ต่างๆ และสั่งยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า “พวกท่านจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชาแห่งเดียว และมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายบนแท่นนั้น” 13 เจ้าไม่รู้หรือว่า เราและบรรพบุรุษของเราได้ทำอะไรต่อชนชาติของแผ่นดินอื่นๆ ทุกแผ่นดิน ปวงเทพเจ้าของบรรดาประชาชาติของแผ่นดินเหล่านั้นสามารถช่วยให้แผ่นดินของพวกเขาพ้นจากมือของเราได้หรือ 14 เมื่อบรรพบุรุษของเรากำจัดผู้ใดจนราบคาบแล้ว มีเทพเจ้าใดของประชาชาติเหล่านี้บ้างที่สามารถช่วยชนชาติของเขาให้พ้นจากเงื้อมมือของเราได้ อย่างนี้แล้วพระเจ้าของพวกเจ้าจะช่วยพวกเจ้าให้รอดจากเงื้อมมือของเราได้หรือ 15 ฉะนั้น บัดนี้อย่าปล่อยให้เฮเซคียาห์หลอกลวงเจ้า หรือนำเจ้าให้หลงผิดแบบนี้อีก และอย่าเชื่อเขา เพราะไม่มีเทพเจ้าหรือประชาชาติ หรืออาณาจักรใดๆ ที่สามารถช่วยชนชาติของเขาให้พ้นจากมือของเรา หรือจากมือของบรรพบุรุษของเราไปได้ พระเจ้าของเจ้ายิ่งจะไม่สามารถช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากมือของเราได้’”

16 และพวกเจ้าหน้าที่ของเซนนาเคอริบยังพูดต่อต้านพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้า และต่อว่าเฮเซคียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์มากยิ่งขึ้น 17 และท่านเขียนข้อความดูหมิ่นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล และกล่าวต่อต้านพระองค์ว่า “ปวงเทพเจ้าของบรรดาประชาชาติของแผ่นดินไม่ได้ช่วยชนชาติของเขาให้พ้นจากมือของเราเช่นไร พระเจ้าของเฮเซคียาห์ก็จะไม่ช่วยชนชาติของเขาให้พ้นจากมือของเราเช่นนั้น” 18 และพวกเขาก็ตะโกนเสียงดังเป็นภาษายูดาห์ เพื่อให้ประชาชนของเยรูซาเล็มที่อยู่บนกำแพงเมืองตกใจและหวาดหวั่น โดยหวังจะยึดเมืองไป 19 และพวกเขาพูดถึงพระเจ้าของเยรูซาเล็ม เหมือนที่พูดถึงบรรดาเทวรูปของปวงชนในแผ่นดินโลก ซึ่งเทวรูปเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำขึ้นด้วยมือมนุษย์

พระผู้เป็นเจ้าช่วยเยรูซาเล็ม

20 ด้วยเหตุนี้กษัตริย์เฮเซคียาห์ และอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้เป็นบุตรอามอสจึงอธิษฐาน ส่งเสียงร้องถึงฟ้าสวรรค์[b] 21 แล้วพระผู้เป็นเจ้าส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่ง ซึ่งไปสังหารบรรดานักรบผู้เก่งกล้า ผู้บังคับบัญชา และเจ้าหน้าที่ในค่ายของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย กษัตริย์ก็กลับไปยังแผ่นดินของท่านด้วยความอับอาย เมื่อท่านมาถึงวิหารของเทพเจ้าของท่าน บุตรชายบางคนของท่านเองจึงใช้ดาบฆ่าท่านที่นั่น 22 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าช่วยเฮเซคียาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มให้รอดจากเงื้อมมือของเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และจากเงื้อมมือของพวกศัตรูอื่นๆ และพระองค์คุ้มครองดูแลพวกเขาในทุกด้าน 23 ผู้คนจำนวนมากนำของถวายมามอบแด่พระผู้เป็นเจ้าที่เยรูซาเล็ม และนำของมีค่าต่างๆ มามอบให้เฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ท่านเป็นที่ยกย่องในสายตาของบรรดาประชาชาติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ความหยิ่งผยองและความสำเร็จของเฮเซคียาห์

24 ในครั้งนั้นเฮเซคียาห์ล้มป่วยใกล้สิ้นใจ ท่านจึงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ตอบคำขอและมีสิ่งอัศจรรย์ให้เห็นอย่างหนึ่ง 25 แต่เฮเซคียาห์ไม่ได้น้อมรับคำตอบโดยดีเมื่อได้รับความปรานีเช่นนั้น เพราะใจของท่านหยิ่งผยอง ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วท่าน กริ้วยูดาห์และเยรูซาเล็ม 26 แต่เฮเซคียาห์สำนึกผิดที่ใจของท่านหยิ่งผยอง และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มก็สำนึกผิดเช่นกัน ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ลงโทษพวกเขาในสมัยของเฮเซคียาห์

27 เฮเซคียาห์มีทรัพย์สมบัติและเกียรติยศมาก และท่านสร้างคลังสะสมเงิน ทองคำ เพชรพลอย เครื่องเทศ โล่ และภาชนะราคาแพงมากมาย 28 สร้างยุ้งฉางเพื่อสะสมธัญพืช เหล้าองุ่น และน้ำมัน ท่านสร้างคอกสัตว์สำหรับฝูงสัตว์ทุกชนิดและฝูงแกะ 29 ท่านสร้างเมืองสำหรับท่านเองหลายแห่ง มีทั้งฝูงแพะแกะและฝูงโคอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะพระเจ้าได้ให้ท่านมีทรัพย์สมบัติอย่างล้นเหลือ 30 เฮเซคียาห์ผู้นี้ได้ปิดกั้นทางระบายน้ำที่ด้านบนของบ่อน้ำพุกีโฮน และให้หันไปออกที่ด้านตะวันตกของเมืองของดาวิด และเฮเซคียาห์เจริญรุ่งเรืองในกิจทุกอย่างของท่าน 31 เมื่อบรรดาผู้นำของบาบิโลนให้ผู้ส่งสาสน์ไปหาท่าน เพื่อถามเรื่องสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในแผ่นดิน พระเจ้าปล่อยให้ท่านเผชิญกับเรื่องนี้เอง เพื่อทดสอบท่าน และเพื่อจะทราบทุกสิ่งที่อยู่ในจิตใจของท่าน[c]

32 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเฮเซคียาห์ และความดีที่ท่านกระทำ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในภาพนิมิตของอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า[d] ผู้เป็นบุตรของอามอส ในฉบับพงศ์กษัตริย์แห่งยูดาห์และอิสราเอล 33 และเฮเซคียาห์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ที่ด้านบนของถ้ำบรรจุศพของบรรดาผู้สืบเชื้อสายของดาวิด ชาวยูดาห์และผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มถวายเกียรติแก่ท่านเมื่อท่านสิ้นชีวิต และมนัสเสห์บุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน[e]

วิวรณ์ 18

เมืองบาบิโลนถล่มลง

18 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นทูตสวรรค์อีกองค์กำลังลงมาจากสวรรค์ ท่านมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ และแผ่นดินโลกได้สว่างไสวขึ้นด้วยสง่าราศีของท่าน ท่านร้องเสียงดังด้วยอานุภาพว่า

“บาบิโลน เมืองอันยิ่งใหญ่ ถล่มลงแล้ว ถล่มลงแล้ว
    นางได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของพวกมาร
และที่สิงอยู่ของวิญญาณร้ายทุกดวง
    เป็นที่สิงอยู่ของนกที่เป็นมลทิน
    และที่สิงอยู่ของสัตว์ที่เป็นมลทินและน่าขยะแขยงทุกตัว
ด้วยว่าทุกประเทศได้ดื่มเหล้าองุ่น
    แห่งความใคร่ในการประพฤติผิดทางเพศของนาง
และบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกได้ผิดประเวณีกับนาง
    และพ่อค้าทั้งหลายของแผ่นดินโลกได้กลายเป็นคนร่ำรวย
    เนื่องจากกิเลสที่ไม่อาจยับยั้งได้ของนาง”

แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งจากสวรรค์ว่า

“ประชาชนของเราเอ๋ย จงออกมาจากเมืองบาบิโลนเถิด
    เพื่อว่าเจ้าจะได้ไม่ร่วมในการกระทำบาปเหมือนกับนาง
    เพื่อว่าเจ้าจะได้ไม่รับภัยพิบัติอย่างที่นางได้รับ
ด้วยว่าบาปต่างๆ ของนางกองสูงถึงฟ้าสวรรค์
    และพระเจ้าไม่ลืมการกระทำชั่วของนาง
จงสนองตอบนางอย่างที่นางได้กระทำ
    จงจ่ายคืนให้นางเป็น 2 เท่าของที่นางได้กระทำไว้
ในถ้วยที่นางได้ผสมไว้แล้วนั้น ก็จงผสมให้นางมากเป็น 2 เท่าให้นางไป
จงให้ความทรมานและความระทมทุกข์แก่นาง
    มากเท่ากับความยิ่งใหญ่และความใคร่ฝ่ายกิเลสที่นางบำเรอตนเอง
นางโอ้อวดในใจว่า
    ‘เรานั่งอย่างเช่นราชินี
เราไม่ใช่แม่ม่าย
    และเราจะไม่มีวันระทมทุกข์’
ด้วยเหตุนี้ ภัยพิบัติของนางจะเกิดขึ้นภายในวันเดียวคือ
    โรคระบาด การร้องคร่ำครวญ และความอดอยาก
นางจะถูกไฟเผาไหม้
    ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้า องค์พระเจ้ามีมหิทธานุภาพ และเป็นผู้พิพากษานาง”

เมื่อบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกที่ได้ผิดประเวณี และบำเรอความใคร่ฝ่ายกิเลสกับนางได้เห็นควันไฟที่ไหม้นาง ก็จะร้องไห้และคร่ำครวญ 10 กษัตริย์เหล่านั้นจะยืนอยู่ห่างๆ เพราะตกใจกลัวกับความทรมานที่นางได้รับและพูดว่า

“ความวิบัติ ความวิบัติ เมืองอันยิ่งใหญ่เอ๋ย
    บาบิโลน เมืองที่แข็งแกร่ง
เจ้าถูกพิพากษาภายในชั่วโมงเดียว”

11 พวกพ่อค้าของแผ่นดินโลกจะร้องไห้และคร่ำครวญถึงนาง เพราะไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกต่อไปแล้ว 12 สินค้าจำพวกทองคำ เงิน เพชรนิลจินดา ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อดี ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงสด ไม้เนื้อหอมทุกชนิด เครื่องงา เครื่องไม้ราคาแพง เครื่องทองสัมฤทธิ์ เครื่องเหล็ก และเครื่องหินอ่อน 13 อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม มดยอบ กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก แป้งสาลีชั้นเยี่ยม ข้าวสาลี โค แกะ ม้า รถม้า ทาส และชีวิตมนุษย์

14 “สิ่งล้ำค่าทุกชนิดที่เจ้าอยากได้ ก็หายไปหมดแล้ว ทุกสิ่งที่มีไว้บำเรออย่างฟุ่มเฟือยและหรูหรา ก็สูญสลายไปจากเจ้า และมนุษย์จะหาไม่พบอีกเลย” 15 พวกพ่อค้าที่ขายสิ่งเหล่านี้ และร่ำรวยได้เพราะนาง ก็จะยืนอยู่ห่างๆ เพราะตกใจกลัวกับการทรมานที่นางได้รับ เขาจะร้องไห้และคร่ำครวญ 16 และร่ำร้องว่า

“ความวิบัติ ความวิบัติ เมืองอันยิ่งใหญ่เอ๋ย
    เจ้านุ่งห่มด้วยผ้าป่านเนื้อดี ผ้าสีม่วง ผ้าสีแดงสด
อีกทั้งแพรวพราวด้วยทองคำ เพชรนิลจินดา และไข่มุก
17 ภายในชั่วโมงเดียว ความมั่งมีมหาศาลก็ถูกทำลายเสียสิ้น”

นายเรือทุกคน ผู้โดยสาร ลูกเรือทุกคน และทุกคนที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับทะเลก็จะยืนอยู่ห่างๆ 18 เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นควันไฟที่ไหม้นาง เขาก็จะร้องขึ้นว่า “เคยมีเมืองใดที่เหมือนกับเมืองอันยิ่งใหญ่นี้ไหม” 19 พวกเขาจะปาฝุ่นผงลงบนหัวของเขาพลางร้องไห้และร้องคร่ำครวญ พร้อมกับส่งเสียงร้องว่า

“ความวิบัติ ความวิบัติ เมืองอันยิ่งใหญ่เอ๋ย
    เมืองซึ่งทุกคนที่มีเรือเดินทะเลได้ร่ำรวยขึ้น
    ก็เพราะความมั่งมีของนาง
แต่ภายในชั่วโมงเดียวนางก็ถูกทำลายเสียสิ้น

20 จงชื่นชมยินดีกับความพินาศของนางเถิด สวรรค์เอ๋ย
จงชื่นชมยินดีเถิด บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า อัครทูต และผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
    พระเจ้าได้กล่าวโทษนาง
    ตามที่นางได้ปฏิบัติต่อเจ้า”

21 ครั้นแล้วทูตสวรรค์ที่มีอานุภาพองค์หนึ่งก็ยกหินก้อนหนึ่งซึ่งเหมือนหินโม่แป้งขนาดใหญ่โยนลงสู่ทะเล พลางร้องว่า

“บาบิโลน เมืองอันยิ่งใหญ่
    จะถูกทุ่มลงอย่างรุนแรงแบบนี้แหละ
    และจะไม่มีวันหาจนพบอีก
22 จะไม่มีใครได้ยินเสียงดนตรีจากนักดีดพิณ
    จากนักมโหรี นักเป่าขลุ่ย และนักเป่าแตร
    ในเมืองเจ้าอีกต่อไป
ทั้งไม่มีช่างผู้ชำนาญแขนงใดๆ อีกต่อไป
    เสียงโม่แป้งก็จะไม่ได้ยินอีกเช่นกัน
23 แสงจากดวงตะเกียงจะไม่เปล่งแสงในเมืองของเจ้าอีกต่อไป
    เสียงจากเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะไม่มีในเมืองของเจ้าอีกต่อไป
เพราะว่าพวกพ่อค้าของเจ้ามีอิทธิพลในแผ่นดินโลก
    เพราะว่าประเทศทั้งปวงถูกหลอกลวงโดยวิทยาคมของเจ้า
24 สิ่งที่พบในเมืองคือโลหิตของบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
    ของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า
    และของทุกคนที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก”

เศคาริยาห์ 14

วันของพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะมาถึง

14 ดูเถิด วันของพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะมาถึง เมื่อสิ่งที่ริบมาได้จะถูกแบ่งในท่ามกลางท่าน เราจะรวบรวมประชาชาติทั้งปวงให้มาโจมตีเยรูซาเล็ม และเมืองจะถูกยึด บ้านเรือนจะถูกปล้น และผู้หญิงจะถูกข่มขืน คนครึ่งเมืองจะต้องลี้ภัยไป แต่ชนชาติที่เหลือจะไม่ถูกกำจัดออกจากเมือง แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะออกไปต่อสู้กับประชาชาติเหล่านั้น เช่นเดียวกับเวลาที่พระองค์ต่อสู้ในสงคราม ในวันนั้น เท้าของพระองค์จะยืนบนภูเขามะกอก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเยรูซาเล็ม และภูเขามะกอกจะถูกแยกออกเป็นสองส่วนจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก ทำให้เกิดหุบเขากว้างใหญ่ โดยครึ่งหนึ่งของภูเขาเคลื่อนไปทางทิศเหนือ และอีกครึ่งหนึ่งเคลื่อนไปทางทิศใต้ และพวกเจ้าจะหนีไปยังหุบเขาของภูเขาของเรา เพราะหุบเขาจะมีระยะไกลถึงอาซัล และพวกเจ้าจะหนีราวกับหนีจากแผ่นดินไหวในสมัยของอุสซียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์[a] แล้วพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราจะมา ผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงจะมากับพระองค์

ในวันนั้น จะไม่มีแสงสว่าง ไม่หนาว และไม่เป็นน้ำแข็ง จะเป็นวันที่ไม่เหมือนวันใด ซึ่งเป็นที่ทราบดีสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทั้งกลางวันหรือกลางคืน แต่จะมีแสงสว่างเมื่อถึงเวลาเย็น

ในวันนั้น น้ำแห่งชีวิตจะไหลจากเยรูซาเล็ม[b] ครึ่งหนึ่งไหลสู่ทะเลด้านตะวันออก อีกครึ่งหนึ่งไหลสู่ทะเลด้านตะวันตก[c] น้ำไหลตลอดทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว

พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นกษัตริย์ของทั่วทั้งแผ่นดินโลก ในวันนั้นจะมีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว และพระนามของพระองค์เพียงผู้เดียว

10 ทั่วทั้งแผ่นดินจะเป็นเหมือนอาราบาห์ จากเก-บาถึงริมโมนใต้เยรูซาเล็ม แต่เยรูซาเล็มจะสูงเด่นตั้งอยู่ที่เดิม จากประตูเบนยามินถึงประตูแรก ถึงประตูมุม และจากหอคอยฮานันเอลถึงเครื่องสกัดเหล้าองุ่นของกษัตริย์ 11 และจะเป็นที่อยู่อาศัย และจะไม่มีวันที่จะถูกทำลายอีก เยรูซาเล็มจะอยู่อย่างปลอดภัย

12 พระผู้เป็นเจ้าจะให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับชนชาติทั้งปวงที่โจมตีเยรูซาเล็มคือ เนื้อหนังของพวกเขาจะเน่าขณะที่พวกเขายังยืนอยู่ ลูกตาของพวกเขาจะเน่าในเบ้าตา และลิ้นของพวกเขาจะเน่าในปาก

13 และในวันนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้พวกเขาตื่นตระหนกยิ่งนัก แต่ละคนจะคว้ามือของอีกคนหนึ่ง และต่างก็จะโจมตีกันเอง 14 ยูดาห์จะต่อสู้ที่เยรูซาเล็ม สมบัติของประชาชาติทั้งปวงโดยรอบจะถูกเก็บรวบรวมคือ ทองคำ เงิน และเครื่องแต่งกายจำนวนมหาศาล 15 และภัยพิบัติอย่างเดียวกันนี้จะเกิดแก่ม้า ล่อ อูฐ ลา และสัตว์ป่าชนิดใดก็ตามที่อยู่ในค่ายเหล่านั้น

16 แล้วทุกคนจากประชาชาติทั้งปวงที่มีชีวิตรอดที่ได้โจมตีเยรูซาเล็ม ก็จะขึ้นไปปีแล้วปีเล่าเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และฉลองเทศกาลอยู่เพิง 17 และถ้าครอบครัวใดของแผ่นดินไม่ขึ้นไปยังเยรูซาเล็มเพื่อนมัสการกษัตริย์ คือพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พวกเขาก็จะแล้งฝน 18 และถ้าครอบครัวของอียิปต์ไม่ขึ้นไปด้วยตนเอง พวกเขาก็จะแล้งฝน แต่จะมีภัยพิบัติที่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาทำให้บรรดาประชาชาติที่ไม่ขึ้นไปฉลองเทศกาลอยู่เพิงได้รับทุกข์ 19 การลงโทษนี้จะเกิดแก่อียิปต์และประชาชาติทั้งปวงที่ไม่ขึ้นไปฉลองเทศกาลอยู่เพิง

20 และในวันนั้น จะมีคำจารึกบนลูกพรวนม้าทั้งหลายว่า “บริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า[d] และหม้อในพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นเช่นอ่างที่หน้าแท่นบูชา 21 หม้อทุกใบในเยรูซาเล็มและยูดาห์จะบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และทุกคนที่ถวายเครื่องสักการะจะรับเอาหม้อไปใช้หุงต้ม และในวันนั้นจะไม่มีชาวคานาอัน[e]อีกต่อไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา

ยอห์น 17

คำอธิษฐานของพระเยซู

17 หลังจากที่พระเยซูได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็เงยหน้าขึ้นสู่สวรรค์และกล่าวว่า “พระบิดา ถึงเวลาแล้ว ขอพระบารมีของพระองค์จงมีแด่พระบุตรของพระองค์เถิด เพื่อพระบุตรจะได้มอบพระบารมีให้แด่พระองค์ พระองค์ได้ให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้มอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์แก่ทุกคนที่พระองค์ได้ให้แก่พระบุตร ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ คือพวกเขาจะได้รู้จักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าที่แท้จริง และพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ได้ส่งมา ข้าพเจ้าได้ให้พระบารมีแด่พระองค์ในโลก ด้วยเหตุว่าข้าพเจ้าได้ทำงานที่พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าทำเสร็จบริบูรณ์แล้ว พระบิดา บัดนี้ขอพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับพระบารมีร่วมกับพระองค์ ซึ่งเป็นพระบารมีที่ข้าพเจ้าเคยมีร่วมกับพระองค์ ก่อนที่โลกนี้จะมีมาด้วยเถิด

ข้าพเจ้าเปิดเผยพระนามของพระองค์ แก่คนที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ซึ่งมาจากโลกนี้ เขาเหล่านั้นเป็นคนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า และเขาก็ได้เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว บัดนี้พวกเขาทราบแล้ว ว่าทุกสิ่งซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ เพราะว่าคำสั่งสอนที่พระองค์ให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ให้แก่พวกเขา และพวกเขาก็ได้รับแล้ว และเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่า ข้าพเจ้ามาจากพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าขอร้องเพื่อพวกเขา มิใช่เพื่อโลกนี้ แต่เพื่อบรรดาคนที่พระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า เพราะพวกเขาเป็นคนของพระองค์ 10 ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพเจ้า ก็เป็นของพระองค์ และสิ่งที่เป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพเจ้าเช่นกัน ข้าพเจ้าได้รับบารมีผ่านเขาเหล่านั้น 11 ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในโลกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาเองยังคงอยู่ในโลก ข้าพเจ้ามาหาพระองค์ พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์โปรดพิทักษ์รักษาเขาไว้ในพระนามของพระองค์ พระนามซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อให้พวกเขาได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับที่พระองค์และข้าพเจ้าได้เป็นหนึ่งเดียวกัน 12 ขณะที่ข้าพเจ้ายังอยู่กับพวกเขา ข้าพเจ้าได้คุ้มครองพวกเขาด้วยพระนามของพระองค์ พระนามซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้พิทักษ์รักษาเขาไว้ ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสูญหายไป นอกจากบุตรแห่งความพินาศ เพื่อจะได้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้

13 บัดนี้ข้าพเจ้ามาหาพระองค์ ที่ข้าพเจ้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้ขณะที่ยังอยู่ในโลก ก็เพื่อว่าเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมในจิตใจ 14 ข้าพเจ้าได้มอบคำสั่งสอนของพระองค์ให้แก่พวกเขา และโลกก็เกลียดชังพวกเขาแล้ว เนื่องจากที่ไม่เป็นคนของโลกนี้ เหมือนกับข้าพเจ้าที่ไม่เป็นคนของโลก 15 ข้าพเจ้าไม่ได้ขอให้พระองค์พาตัวพวกเขาไปจากโลก แต่พิทักษ์รักษาเขาให้พ้นจากมารร้าย 16 พวกเขาไม่เป็นคนของโลกนี้ เหมือนกับข้าพเจ้าที่ไม่เป็นคนของโลก 17 ขอพระองค์ชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง คำสั่งสอนของพระองค์เป็นความจริง 18 ข้าพเจ้าได้ส่งเขาไปในโลก ดังที่พระองค์ส่งข้าพเจ้ามาในโลก 19 ข้าพเจ้ารักษาตนให้บริสุทธิ์ก็เพื่อเขาเหล่านั้น และเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความจริงเช่นกัน

20 ข้าพเจ้ามิได้อ้อนวอนขอเพื่อเฉพาะคนเหล่านี้เท่านั้น แต่เพื่อบรรดาคนที่เชื่อในข้าพเจ้า จากการได้ยินคำสั่งสอนของพวกเขาด้วย 21 พระบิดา เพื่อเขาทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันดังที่พระองค์อยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพเจ้าด้วย และเพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา 22 พระบารมีซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้มอบให้แก่พวกเขาแล้ว เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน 23 ข้าพเจ้าอยู่ในพวกเขาและพระองค์อยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างบริบูรณ์ และเพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์รักพวกเขาเช่นเดียวกับที่พระองค์รักข้าพเจ้า

24 พระบิดา ข้าพเจ้าอยากให้บรรดาผู้ที่พระองค์มอบให้แก่ข้าพเจ้า มาอยู่ในที่ที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วย เพื่อให้พวกเขาได้เห็นบารมีของข้าพเจ้าซึ่งพระองค์ได้มอบให้ไว้ เพราะว่าพระองค์รักข้าพเจ้าก่อนที่จะสร้างโลก

25 พระบิดาผู้มีความชอบธรรม แม้ว่าโลกจะไม่รู้จักพระองค์แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และเขาเหล่านี้รู้แล้วว่า พระองค์ได้ส่งข้าพเจ้ามา 26 ข้าพเจ้าได้ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักในหมู่พวกเขา และจะกระทำต่อไปอีก เพื่อว่าความรักที่พระองค์มีต่อข้าพเจ้าจะได้บังเกิดขึ้นในพวกเขาด้วย และเพื่อข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพวกเขา”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation