Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อพยพ 40

การตั้งพลับพลา

40 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงตั้งพลับพลาคือเต็นท์นัดพบขึ้นในวันแรกของเดือนที่หนึ่ง ตั้งหีบพันธสัญญาในพลับพลา ขึงม่านกั้นบังหีบไว้ ยกโต๊ะเข้ามาตั้งวางภาชนะต่างๆ ลงบนโต๊ะ ตั้งคันประทีป แล้วตั้งตะเกียง วางแท่นทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมตรงหน้าหีบพันธสัญญา ขึงม่านกั้นทางเข้าพลับพลา

“จงวางแท่นเผาเครื่องบูชาตรงหน้าทางเข้าพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบ วางอ่างล้างระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา ใส่น้ำไว้ในอ่าง ตั้งลานพลับพลาโดยรอบ ขึงม่านตรงทางเข้าลานพลับพลา

“จงเอาน้ำมันเจิมพลับพลาและเจิมของทุกอย่างในพลับพลา เจิมภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อชำระให้บริสุทธิ์ แล้วพลับพลานั้นจะบริสุทธิ์ 10 แล้วเจิมแท่นบูชาและภาชนะเครื่องใช้ประจำแท่นเพื่อชำระแท่นนั้น และแท่นนั้นจะบริสุทธิ์ที่สุด 11 เจิมอ่างชำระและฐานรอง เป็นการชำระให้บริสุทธิ์

12 “จงนำอาโรนและบุตรชายของเขามาตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ เอาน้ำชำระกายพวกเขา 13 จากนั้นให้อาโรนสวมเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ เจิมเขา และชำระเขาให้บริสุทธิ์เพื่อปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา 14 จงนำบรรดาบุตรชายของเขาเข้ามาและให้สวมเสื้อตัวใน 15 เจิมพวกเขาเช่นเดียวกับที่เจิมอาโรน เพื่อพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา การเจิมนี้เป็นการสถาปนาความเป็นปุโรหิตสืบไปทุกชั่วอายุ” 16 โมเสสก็ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

17 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตั้งพลับพลาขึ้นในวันแรกของเดือนที่หนึ่งปีที่สอง 18 โมเสสตั้งพลับพลาขึ้นโดยวางฐาน เอาไม้ฝาตั้งขึ้นแล้วสอดคานขวางและตั้งเสา 19 จากนั้นคลี่ผ้าเต็นท์และเครื่องคลุมเหนือพลับพลาตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

20 เขาเอาแผ่นจารึกพันธสัญญาใส่ไว้ในหีบพันธสัญญา สอดคานหามเข้ากับหีบ และเอาพระที่นั่งกรุณาปิดหีบ 21 แล้วเขานำหีบพันธสัญญาไปตั้งในพลับพลา และขึงม่านกั้นปิดหีบพันธสัญญาไว้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

22 โมเสสวางโต๊ะในเต็นท์นัดพบข้างนอกม่านที่ด้านทิศเหนือของพลับพลา 23 และตั้งขนมปังไว้บนโต๊ะต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

24 เขาตั้งคันประทีปตรงกันข้ามกับโต๊ะในเต็นท์นัดพบทางด้านทิศใต้ของพลับพลา 25 และตั้งตะเกียงต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

26 โมเสสวางแท่นทองคำไว้ในเต็นท์นัดพบตรงหน้าม่าน 27 แล้วเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้น ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้ 28 จากนั้นเขากั้นม่านตรงทางเข้าพลับพลา

29 แล้วเขาวางแท่นบูชาใกล้ทางเข้าพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบ จากนั้นจึงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญบูชาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

30 เขาวางอ่างชำระระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา ใส่น้ำเพื่อชำระล้าง 31 โมเสสและอาโรนกับบรรดาบุตรชายล้างมือและเท้าที่นั่น 32 คราวใดที่พวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชาหรือเข้าไปในเต็นท์นัดพบ ก็ล้างมือและเท้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้

33 แล้วโมเสสกั้นลานรอบพลับพลาและแท่น จากนั้นขึงม่านตรงทางเข้าลานพลับพลา เป็นอันว่าโมเสสทำงานเสร็จเรียบร้อย

พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า

34 แล้วมีเมฆเคลื่อนลงมาปกคลุมเต็นท์นัดพบ และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมทั่วพลับพลา 35 โมเสสไม่สามารถเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพราะที่นั่นมีเมฆหนา และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมทั่วพลับพลา

36 ตลอดการเดินทาง เมื่อใดที่เมฆซึ่งอยู่เหนือพลับพลาลอยขึ้น ชนอิสราเอลก็ออกเดินทาง 37 แต่ถ้าเมฆนั้นไม่ลอยขึ้น พวกเขาก็ไม่ออกเดินทางจนกว่าเมฆจะเคลื่อน 38 เมฆขององค์พระผู้เป็นเจ้าลอยอยู่เหนือพลับพลาในยามกลางวัน และในยามกลางคืนก็มีไฟอยู่ในเมฆ ประจักษ์แก่ตาชนอิสราเอลทั้งปวงตลอดการเดินทาง

ยอห์น 19

ตัดสินให้ตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน(A)

19 จากนั้นปีลาตจึงให้เอาตัวพระเยซูไปโบยตี พวกทหารเอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระเยซู และให้ทรงเสื้อคลุมสีม่วง แล้วเขาเข้ามาหาพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าและกล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของชาวยิว ขอจงทรงพระเจริญ!” และพวกเขาตบพระพักตร์ของพระองค์

ปีลาตออกมาอีกครั้งหนึ่งและกล่าวกับพวกยิวว่า “ดูเถิด เรากำลังนำตัวเขาออกมาให้ท่าน ท่านจะได้รู้ว่าเราไม่พบว่าเขาทำอะไรผิดตามข้อกล่าวหา” เมื่อพระเยซูออกมา พระองค์ทรงสวมมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีม่วง ปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า “เขาอยู่ที่นี่แล้ว!”

ทันทีที่พวกหัวหน้าปุโรหิตและเจ้าหน้าที่เห็นพระองค์ก็ร้องตะโกนว่า “ตรึงกางเขน! ตรึงกางเขน!”

แต่ปีลาตตอบว่า “พวกท่านรับตัวเขาไปตรึงที่ไม้กางเขนเถิด สำหรับเรา เราไม่พบว่าเขาทำอะไรผิด”

พวกยิวยืนกรานว่า “เรามีบทบัญญัติและตามบทบัญญัตินั้นเขาต้องตายเพราะเขาอ้างตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า”

เมื่อปีลาตได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งตกใจกลัว จึงกลับเข้ามาในวังและทูลถามพระเยซูว่า “ท่านมาจากไหน?” แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสตอบ 10 ปีลาตกล่าวว่า “ท่านไม่ยอมพูดกับเราหรือ? ท่านไม่รู้หรือว่าเรามีอำนาจที่จะปล่อยตัวท่านหรือตรึงท่านให้ตายที่ไม้กางเขนก็ได้?”

11 พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านไม่อาจมีอำนาจเหนือเราหากเบื้องบนไม่ประทานลงมา ฉะนั้นผู้ที่นำตัวเรามามอบให้ท่านก็มีความผิดบาปร้ายแรงกว่า”

12 นับแต่นั้นปีลาตก็หาทางปล่อยพระเยซูแต่พวกยิวตะโกนไม่หยุดว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ใครที่อ้างตัวเป็นกษัตริย์ก็เป็นปฏิปักษ์กับซีซาร์”

13 เมื่อปีลาตได้ยินเช่นนั้นก็นำตัวพระเยซูออกมาและนั่งบนบัลลังก์พิพากษาในบริเวณที่เรียกกันว่า ลานศิลา (ภาษาอารเมคเรียกว่า กับบาธา) 14 วันนั้นเป็นวันเตรียมของสัปดาห์ปัสกา เป็นเวลาราวเที่ยงวัน

ปีลาตกล่าวกับพวกยิวว่า “นี่คือกษัตริย์ของพวกท่าน”

15 แต่พวกเขาร้องตะโกนว่า “เอาตัวเขาไป! เอาตัวเขาไป! ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

ปีลาตถามว่า “จะให้เราตรึงกษัตริย์ของท่านที่ไม้กางเขนหรือ?”

พวกหัวหน้าปุโรหิตตอบว่า “นอกจากซีซาร์แล้วเราไม่มีกษัตริย์”

16 ในที่สุดปีลาตก็มอบพระเยซูให้พวกเขาไปตรึงที่ไม้กางเขน

การตรึงที่ไม้กางเขน(B)

ดังนั้นพวกทหารจึงคุมตัวพระเยซูไป 17 พระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังสถานแห่งหัวกระโหลก (ซึ่งในภาษาอารเมคเรียกว่า กลโกธา) 18 ที่นั่นเขาตรึงพระองค์บนไม้กางเขนกับอีกสองคนขนาบข้างและพระเยซูทรงอยู่ตรงกลาง

19 ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนว่า เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว 20 พวกยิวหลายคนได้อ่านป้ายนี้เพราะที่ซึ่งพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้นอยู่ใกล้กรุงและป้ายนั้นเขียนไว้เป็นภาษาอารเมค ลาติน และกรีก 21 พวกหัวหน้าปุโรหิตของชาวยิวจึงคัดค้านปีลาตว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่เขียนว่าชายคนนี้อ้างตัวเป็นกษัตริย์ของชาวยิว”

22 ปีลาตตอบว่า “สิ่งที่เราได้เขียนแล้ว ก็ให้เป็นไปตามนั้น”

23 เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูที่ไม้กางเขนแล้วก็นำฉลองพระองค์มาแบ่งเป็นสี่ส่วน ได้ไปคนละส่วน เหลือไว้แต่ฉลองพระองค์ชั้นในซึ่งไม่มีตะเข็บทอเป็นผืนเดียวตั้งแต่บนจรดล่าง

24 เขาพูดกันว่า “อย่าฉีกแบ่งเลย ให้เราจับฉลากกันว่าใครจะได้เสื้อตัวนี้” ทั้งนี้เพื่อจะเป็นจริงตาม พระคัมภีร์ที่ว่า

“เขาทั้งหลายเอาเครื่องนุ่งห่มของข้าพระองค์มาแบ่งกัน
และเอาเสื้อผ้าของข้าพระองค์มาจับฉลาก”[a]

พวกทหารทำเช่นนี้แหละ

25 ผู้ที่ยืนอยู่ข้างไม้กางเขนของพระเยซูได้แก่มารดาของพระองค์ น้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของโคลปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 26 เมื่อพระเยซูทรงเห็นมารดาของพระองค์และสาวกที่ทรงรักยืนอยู่ใกล้ๆ พระองค์จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงที่รักเอ๋ย นี่คือบุตรชายของท่าน” 27 และตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” ตั้งแต่นั้นมาสาวกคนนี้ก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ที่บ้านของตน

พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์(C)

28 หลังจากนั้นเมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จครบถ้วนแล้วและเพื่อจะเป็นจริงตามพระคัมภีร์ พระเยซูจึงตรัสว่า “เรากระหายน้ำ” 29 ที่นั่นมีภาชนะใส่น้ำองุ่นเปรี้ยวตั้งอยู่ พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้หุสบชูขึ้นถึงพระโอษฐ์ของพระเยซู 30 เมื่อทรงรับน้ำนั้นแล้วพระเยซูก็ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้นพระองค์ก้มพระเศียรลงและสิ้นพระชนม์

31 วันนั้นเป็นวันเตรียมและรุ่งขึ้นจะเป็นวันสะบาโตพิเศษ เนื่องจากพวกยิวไม่ต้องการให้ศพค้างบนไม้กางเขนในช่วงวันสะบาโต จึงขอปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึงให้หักและเอาศพลงมา 32 ดังนั้นพวกทหารจึงมาทุบขาของชายคนแรกที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วยกันกับพระเยซูให้หัก แล้วทุบขาของอีกคนหนึ่งให้หักด้วย 33 แต่เมื่อมาถึงพระเยซูพวกเขาพบว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์ 34 แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระเยซูโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เป็นพยานและคำพยานของเขาเป็นความจริง เขารู้ว่าเขาพูดความจริงและเขาเป็นพยานเพื่อว่าท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย 36 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อจะเป็นจริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “กระดูกของเขาจะไม่ถูกหักสักชิ้นเดียว”[b] 37 และพระคัมภีร์อีกตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่พวกเขาได้แทง”[c]

การฝังพระศพพระเยซู(D)

38 หลังจากนั้นโยเซฟชาวอาริมาเธียได้ไปขอพระศพพระเยซูจากปีลาต โยเซฟเป็นสาวกของพระเยซูแต่ไม่กล้าแสดงตัวเพราะกลัวพวกยิว เมื่อปีลาตอนุญาตแล้วเขาก็มาเชิญพระศพไป 39 นิโคเดมัสผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมาเข้าเฝ้าพระเยซูในเวลากลางคืนก็มาร่วมด้วยพร้อมทั้งนำเครื่องหอม คือมดยอบผสมกับกฤษณาหนักประมาณ 34 กิโลกรัม[d]มา 40 ทั้งสองเชิญพระศพของพระเยซูลงมา แล้วเอาแถบผ้าลินินพันพระศพพร้อมกับเครื่องหอมตามธรรมเนียมการฝังศพของชาวยิว 41 สถานที่ซึ่งพระเยซูถูกตรึงไม้กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่งและในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่เคยฝังใครมาก่อน 42 เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิวและอุโมงค์ก็อยู่ใกล้ๆ เขาจึงวางพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น

สุภาษิต 16

16 มนุษย์วางแผนงานในใจ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าให้ลิ้นกล่าวคำตอบที่ถูกต้อง

ทางทั้งสิ้นของมนุษย์ก็ดูบริสุทธิ์ในสายตาของเขา
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประเมินแรงจูงใจ

จงมอบการงานของเจ้าไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงรับรองแผนงานของเจ้า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ทุกสิ่งจบลงอย่างเหมาะสม
แม้แต่คนชั่วร้ายก็เพื่อวันแห่งภัยพิบัติ

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังทุกคนที่มีใจหยิ่งผยอง
มั่นใจเถิดว่าพวกเขาจะไม่ลอยนวลพ้นโทษ

บาปไถ่ถอนได้โดยความรักและความซื่อสัตย์
ความชั่วหลีกเลี่ยงได้โดยการยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า

เมื่อวิถีทางของผู้ใดเป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า
แม้แต่ศัตรู พระองค์ก็ยังทรงทำให้คืนดีกับเขา

ได้มาเล็กน้อยด้วยความชอบธรรม
ดีกว่าได้มามากมายด้วยความอยุติธรรม

มนุษย์วางแผนงานอยู่ในใจ
แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดแต่ละย่างก้าวของเขา

10 คำชี้ขาดอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ริมฝีปากของกษัตริย์
และปากของกษัตริย์จะไม่ตัดสินอย่างอยุติธรรม

11 ตราชูและตาชั่งเที่ยงตรงมาจาก[a]องค์พระผู้เป็นเจ้า
ลูกตุ้มทั้งสิ้นในถุงเป็นพระราชกิจของพระองค์

12 กษัตริย์ทั้งหลายทรงชิงชังการกระทำผิด
เพราะพระราชบัลลังก์สถาปนาขึ้นด้วยความชอบธรรม

13 เหล่ากษัตริย์ทรงชื่นชมวาจาอันซื่อตรง
ทรงรักผู้ที่พูดความจริง

14 เมื่อกษัตริย์พิโรธผู้ใด ยมทูตก็มาเยือนผู้นั้น
แต่คนฉลาดจะระงับมันไว้ได้

15 เมื่อพระพักตร์ของกษัตริย์แจ่มใสก็หมายถึงชีวิต
ความโปรดปรานของพระองค์เป็นดั่งเมฆฝนในฤดูใบไม้ผลิ

16 ได้สติปัญญาดีกว่าได้ทองคำ
ได้ความเข้าใจดีกว่าได้เงิน!

17 ทางหลวงของคนเที่ยงธรรมหลีกห่างจากความชั่ว
ผู้ที่ระแวดระวังทางของตนก็ถนอมชีวิตของตน

18 ความยโสโอหังจะทำให้พินาศ
และใจหยิ่งผยองจะทำให้ล้มคว่ำ

19 มีใจถ่อมอยู่ในหมู่คนแร้นแค้น
ดีกว่าแบ่งของที่ริบมาได้กับคนเย่อหยิ่ง

20 ผู้ที่ใส่ใจในคำสั่งสอนจะเจริญ
ผู้ที่วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับพร

21 คนจิตใจฉลาดได้ชื่อว่า “สุขุมมองการณ์ไกล”
และคำพูดที่อ่อนหวานเพิ่มความน่าเชื่อถือ[b]

22 ความสุขุมรอบคอบเป็นน้ำพุแห่งชีวิตสำหรับผู้เป็นเจ้าของ
แต่ความโง่เขลานำโทษทัณฑ์มาให้คนโง่

23 ใจของคนฉลาดทำให้เขาระวังปาก
และริมฝีปากของเขาส่งเสริมการสั่งสอน[c]

24 วาจาอ่อนโยนเปรียบเหมือนน้ำผึ้ง
หวานชื่นแก่จิตวิญญาณและเป็นยารักษาชีวิต[d]

25 มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูกต้อง
แต่จุดจบของทางเหล่านี้คือความตาย

26 ความอยากของคนงานทำให้เขาทำงาน
แน่นอน ปากท้องจะผลักดันให้เขาทำต่อไป

27 คนอันธพาลเตรียมการชั่ว
และวาจาของเขาเหมือนไฟแผดเผา

28 คนปลิ้นปล้อนยั่วยุการวิวาท
คนยุแยงตะแคงรั่วทำให้เพื่อนสนิทแตกคอกัน

29 คนโหดเหี้ยมล่อลวงเพื่อนบ้าน
และนำเขาไปในทางที่ไม่ดี

30 ผู้ที่ขยิบตากำลังคิดแผน
เขาปิดปากเงียบขณะวางแผนร้าย

31 ผมหงอกเป็นมงกุฎแห่งศักดิ์ศรี
ได้มาโดยชีวิตอันชอบธรรม

32 เป็นคนอดทนก็ดีกว่าเป็นวีรบุรุษสงคราม
คนที่ควบคุมใจของตนก็ดีกว่าคนที่ตีเมืองได้

33 เขาโยนสลากเสี่ยงทายลงบนตัก
แต่ผลชี้ขาดมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ฟีลิปปี 3

อย่ามั่นใจในเนื้อหนัง

สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า! ไม่ลำบากสำหรับข้าพเจ้าเลยที่จะเขียนเรื่องเดียวกันถึงท่านอีก ทั้งสิ่งนี้ยังเป็นการป้องกันท่านด้วย จงระวังพวกสุนัข จงระวังพวกคนทำชั่ว จงระวังพวกเชือดเนื้อเถือหนัง เพราะว่าพวกเราคือผู้เข้าสุหนัตแท้ เรารับใช้[a]พระเจ้าด้วยพระวิญญาณของพระองค์ เราอวดอ้างพระเยซูคริสต์ และเราไม่มั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย แม้ข้าพเจ้ามีเหตุผลหลายประการที่มั่นใจเช่นนั้น

ถ้าคนใดคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะมั่นใจในเนื้อหนังร่างกาย ข้าพเจ้าก็มีมากยิ่งกว่าคือ ข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นคนอิสราเอลตระกูลเบนยามิน เป็นชาวฮีบรูแท้ ในด้านบทบัญญัติข้าพเจ้าเป็นฟาริสี ในด้านความเคร่งศาสนาข้าพเจ้าเคยข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมตามบทบัญญัติข้าพเจ้าก็ไม่มีที่ติ

แต่สิ่งใดๆ ที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าถือว่าขาดทุนเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ยิ่งกว่านั้นอีกข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไร้ค่าเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ล้ำเลิศในการที่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพื่อพระองค์ข้าพเจ้าได้สละทุกสิ่ง ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเศษขยะเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ และอยู่ในพระองค์ ตัวข้าพเจ้าเองไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาโดยบทบัญญัติ มีแต่ความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าและได้มาโดยความเชื่อ 10 ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระคริสต์และมีประสบการณ์ในฤทธิ์อำนาจแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์และร่วมสามัคคีธรรมในการทนทุกข์ของพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์ในการสิ้นพระชนม์ 11 เพื่อจะได้เป็นขึ้นจากตายโดยทางใดทางหนึ่ง

บากบั่นสู่หลักชัย

12 ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้ทั้งหมดนี้แล้วหรือได้รับการปรับปรุงให้เป็นคนดีพร้อมแล้ว แต่ข้าพเจ้ารุดหน้าไปเพื่อฉวยเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งไว้สำหรับข้าพเจ้าเมื่อทรงฉวยข้าพเจ้ามาเป็นของพระองค์ 13 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าตนเองฉวยสิ่งนี้มาได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านมาและโน้มตัวไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 14 ข้าพเจ้ารุดหน้าไปสู่หลักชัยเพื่อคว้ารางวัลซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกข้าพเจ้าจากสวรรค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้ไปรับ

15 พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วควรมีทัศนะเช่นนี้ และถ้าท่านคิดเห็นแตกต่างไปในบางประเด็น พระเจ้าจะทรงให้ท่านเข้าใจเรื่องนั้นอย่างแจ่มแจ้งด้วย 16 ขอแต่เพียงให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับสิ่งที่เราได้รับมาแล้ว

17 พี่น้องทั้งหลายจงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้าและเลียนแบบผู้ที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่เราได้ให้ท่านไว้ 18 เพราะว่าดังที่ข้าพเจ้าเคยพร่ำเตือนท่านและบัดนี้ก็เตือนอีกด้วยน้ำตาว่า มีหลายคนที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นศัตรูต่อไม้กางเขนของพระคริสต์ 19 ปลายทางของพวกเขาคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขาภูมิใจในสิ่งที่ควรอับอาย ปักใจอยู่แต่กับสิ่งฝ่ายโลก 20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเราให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.