M’Cheyne Bible Reading Plan
36 1 ดังนั้นเบซาเลล โอโฮลีอับ และช่างฝีมือทุกคนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความเชี่ยวชาญและความสามารถที่จะทำการทุกอย่างในการสร้างสถานนมัสการจะต้องปฏิบัติงานตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาไว้ทุกประการ”
2 โมเสสจึงเรียกเบซาเลล โอโฮลีอับ และช่างฝีมือทุกคนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสามารถและผู้ที่เต็มใจนั้นให้ลงมือทำงาน 3 โมเสสมอบวัสดุต่างๆ ซึ่งชนอิสราเอลนำมาถวายให้พวกเขานำไปใช้ในการสร้างสถานนมัสการ ประชาชนยังคงนำของมาถวายเพิ่มทุกๆ เช้าด้วยความสมัครใจ 4 ดังนั้นช่างผู้ชำนาญงานทุกคนที่กำลังทำงานทุกอย่างเพื่อสร้างสถานนมัสการได้วางมือจากงาน 5 และพากันมาบอกโมเสสว่า “ประชาชนนำของมาถวายมากเกินพอแล้วสำหรับการทำงานตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา”
6 แล้วโมเสสจึงให้ประกาศไปทั่วค่ายพักว่า “ชายหญิงทุกคนไม่ต้องนำของมาถวายสำหรับสถานนมัสการแล้ว” ดังนั้นประชากรทั้งปวงจึงหยุดนำของมาถวาย 7 เพราะของที่มีอยู่มากเกินพอแล้วสำหรับงานที่จะต้องทำทั้งหมด
พลับพลา(A)
8 ช่างผู้ชำนาญทุกคนทำพลับพลาด้วยม่านผ้าลินินเนื้อดีสิบผืน ให้ช่างฝีมือผู้ชำนาญผู้หนึ่งปักลวดลายด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงเป็นภาพเหล่าเครูบไว้บนม่านเหล่านั้น 9 ม่านทุกผืนมีขนาดเดียวกันคือ กว้าง 4 ศอก ยาว 28 ศอก[a] 10 พวกเขาต่อม่านเป็นสองแถบ แถบละห้าผืน 11 ต่อจากนั้นใช้ผ้าสีน้ำเงินทำหูที่ขอบของผ้าม่านทั้งสองแถบ 12 แถบละห้าสิบหูตรงกัน 13 แล้วพวกเขาทำตะขอทองคำห้าสิบอันเกี่ยวหูของแถบม่านทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นพลับพลาเดียวกัน
14 พวกเขาทำม่านขนแพะอีกสิบเอ็ดผืนสำหรับทำเป็นเต็นท์เพื่อคลุมพลับพลาไว้ 15 ม่านทุกผืนมีขนาดเดียวกันคือ กว้าง 4 ศอก ยาว 30 ศอก[b] 16 พวกเขาต่อม่านเป็นสองแถบ แถบหนึ่งใช้ห้าผืน อีกแถบหนึ่งใช้หกผืน 17 จากนั้นพวกเขาทำหูห้าสิบหูติดที่ขอบของแถบผ้าม่านทั้งสองแถบ 18 และทำตะขอทองสัมฤทธิ์เกี่ยวหูเต็นท์ให้เข้าเป็นเต็นท์เดียวกัน 19 และพวกเขาคลุมเต็นท์ด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงและใช้หนังพะยูนคลุมทับไว้อีกชั้นหนึ่ง
20 พวกเขาทำฝาผนังพลับพลาจากไม้กระถินเทศ 21 ไม้ฝาแต่ละแผ่นกว้าง 1.5 ศอก ยาว 10 ศอก[c] 22 ไม้ฝาแต่ละแผ่นมีสลักสองชุดขนานกันสำหรับประกบเข้าด้วยกัน พวกเขาทำฝาผนังพลับพลาทั้งหมดแบบนี้ 23 พวกเขาทำไม้ฝายี่สิบแผ่นสำหรับด้านทิศใต้ของพลับพลา 24 และทำฐานของไม้ฝาแต่ละแผ่นด้วยเงินแผ่นละสองฐาน รวมสี่สิบฐาน แต่ละฐานรองรับสลักแต่ละอัน 25 พวกเขาตั้งไม้ฝายี่สิบแผ่นไว้ทางด้านทิศเหนือของพลับพลา 26 และมีฐานเงินรองรับไม้ฝาแผ่นละสองฐาน รวมสี่สิบฐาน 27 พวกเขาทำไม้ฝาหกแผ่นสำหรับด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหลังของพลับพลา 28 และทำไม้ฝาอีกสองแผ่นสำหรับมุมทั้งสองข้างของส่วนหลัง 29 ไม้ฝาหัวมุมทั้งสองด้านต้องประกบกันสนิทตั้งแต่บนจรดล่าง และด้านบนสุดยึดด้วยห่วงหนึ่งวง ไม้ฝาหัวมุมทั้งสองด้านก็ทำแบบเดียวกัน 30 ฉะนั้นที่ส่วนหลังของพลับพลาจึงมีไม้ฝาทั้งหมดแปดแผ่นและมีฐานเงินรองรับสิบหกฐาน แผ่นละสองฐาน
31 พวกเขายังได้ทำคานขวางด้วยไม้กระถินเทศ พาดขวางฝาผนังพลับพลาด้านทิศเหนือห้าเส้น 32 ด้านทิศใต้ห้าเส้นและอีกห้าเส้นสำหรับด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหลังของพลับพลา 33 พวกเขาได้ทำคานขวางอันกลางพาดผ่านตรงกลางฝาผนังตลอดแนว 34 พวกเขาหุ้มไม้ฝาทุกแผ่นด้วยทองคำและทำห่วงทองคำยึดคานขวางเหล่านั้นไว้ พวกเขาหุ้มคานขวางเหล่านั้นด้วยทองคำเช่นกัน
35 พวกเขาทำม่านด้วยผ้าลินินเนื้อดี และช่างฝีมือผู้ชำนาญผู้หนึ่งปักลวดลายด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงเป็นภาพเหล่าเครูบไว้บนม่านนั้น 36 พวกเขาทำเสาไม้กระถินเทศหุ้มทองคำสี่ต้นพร้อมตะขอทองคำสี่อันสำหรับแขวนม่านนั้น และหล่อฐานรองรับด้วยเงินสี่ฐาน 37 แล้วพวกเขาทำม่านอีกผืนจากผ้าลินินเนื้อดี ปักอย่างวิจิตรด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสำหรับกั้นทางเข้าเต็นท์ 38 พวกเขาทำเสาห้าต้นพร้อมตะขอและหุ้มหัวเสาและราวม่านด้วยทองคำ และทำฐานทั้งห้าของเสาจากทองสัมฤทธิ์
เถาองุ่นกับแขนง
15 “เราเป็นเถาองุ่นแท้และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา 2 พระองค์ทรงตัดทุกแขนงในเราที่ไม่เกิดผลทิ้ง ส่วนทุกแขนงที่ เกิดผลพระองค์ทรงลิด[a]เพื่อให้เกิดผลมากยิ่งขึ้น 3 ท่านทั้งหลายสะอาดแล้วเพราะถ้อยคำที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน 4 จงคงอยู่ในเราและเราจะคงอยู่ในพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้มันต้องติดอยู่กับเถาองุ่น ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน จะเกิดผลเองไม่ได้นอกจากจะคงอยู่ในเรา
5 “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ถ้าผู้ใดคงอยู่ในเราและเราคงอยู่ในเขาผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย 6 ถ้าผู้ใดไม่ได้คงอยู่ในเราผู้นั้นจะเป็นเหมือนแขนงที่ถูกโยนทิ้งและเหี่ยวเฉา แขนงเหล่านี้จะถูกเก็บไปโยนทิ้งให้ไฟเผา 7 ถ้าพวกท่านคงอยู่ในเราและถ้อยคำของเราคงอยู่ในพวกท่าน จงขอสิ่งใดๆ ที่พวกท่านปรารถนาแล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น 8 เมื่อท่านทั้งหลายเกิดผลมากก็เป็นการถวายเกียรติสิริแด่พระบิดาของเราและเป็นการสำแดงว่าตัวท่านเองคือสาวกของเรา
9 “พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น บัดนี้จงคงอยู่ในความรักของเรา 10 ถ้าพวกท่านเชื่อฟังคำบัญชาของเราพวกท่านก็จะคงอยู่ในความรักของเรา ดังที่เราได้เชื่อฟังพระบัญชาของพระบิดาของเราและคงอยู่ในความรักของพระองค์ 11 เราบอกท่านไว้เช่นนี้เพื่อว่าความชื่นชมยินดีของเราจะอยู่ในพวกท่าน และเพื่อว่าความชื่นชมยินดีของพวกท่านจะเต็มบริบูรณ์ 12 คำบัญชาของเราก็คือ จงรักซึ่งกันและกันเหมือนที่เราได้รักพวกท่าน 13 ไม่มีผู้ใดมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้คือ การที่เขายอมสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตนเอง 14 ถ้าพวกท่านทำตามสิ่งที่เราบัญชาพวกท่านก็เป็นมิตรสหายของเรา 15 เราไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีกต่อไปเพราะบ่าวไม่รู้ว่านายทำอะไร ตรงกันข้ามเรากลับเรียกพวกท่านว่ามิตรสหาย เพราะทุกสิ่งที่เราเรียนรู้จากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงให้พวกท่านรู้แล้ว 16 พวกท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกพวกท่านและแต่งตั้งให้พวกท่านไปและเกิดผล เป็นผลซึ่งจะอยู่ถาวร แล้วสิ่งใดที่พวกท่านทูลขอในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่พวกท่าน 17 นี่คือคำบัญชาของเรา คือจงรักซึ่งกันและกัน
โลกเกลียดชังเหล่าสาวก
18 “ถ้าโลกเกลียดชังพวกท่าน จงจำไว้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน 19 ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็จะรักพวกท่านในฐานะที่เป็นของโลก แต่ตามที่เป็นอยู่พวกท่านไม่ได้เป็นของโลกเพราะเราได้เลือกพวกท่านออกมาจากโลกแล้ว ฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังพวกท่าน 20 จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่พวกท่านไว้ว่า ‘บ่าวย่อมไม่เหนือกว่านายของตน’[b] ถ้าเขาข่มเหงเราพวกเขาย่อมจะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าพวกเขาเชื่อฟังคำสอนของเราพวกเขาย่อมจะเชื่อฟังคำสอนของพวกท่านด้วย 21 พวกเขาจะปฏิบัติต่อพวกท่านเช่นนี้เนื่องด้วยนามของเรา เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 22 หากเราไม่ได้มาบอกกล่าวแก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวให้กับบาปของตนแล้ว 23 ผู้ที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย 24 เราได้ทำการงานต่างๆ ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อนท่ามกลางพวกเขา ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้พวกเขาก็คงจะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์เหล่านี้แล้ว กระนั้นพวกเขายังเกลียดชังทั้งเรากับพระบิดาของเรา 25 แต่นี่เพื่อให้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติของพวกเขาที่ว่า ‘พวกเขาได้เกลียดชังเราโดยไม่มีเหตุผล’[c]
26 “เราจะส่งองค์ที่ปรึกษาจากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งออกมาจากพระบิดา เมื่อพระองค์มาแล้ว พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา 27 และท่านทั้งหลายก็ต้องเป็นพยานด้วยเพราะท่านได้อยู่กับเรามาตั้งแต่ต้น
12 ผู้ที่รักคำสั่งสอนก็รักความรู้
ส่วนผู้ที่เกลียดชังคำตักเตือนก็โง่เขลา
2 คนดีย่อมได้รับความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่พระองค์ทรงประณามคนเจ้าเล่ห์
3 ไม่มีใครยั่งยืนอยู่ได้ด้วยความชั่ว
แต่รากฐานของคนชอบธรรมจะไม่คลอนแคลน
4 ภรรยาที่ดีเป็นมงกุฎของสามี
ส่วนภรรยาที่ทำให้ขายหน้าเป็นความผุกร่อนในกระดูกของเขา
5 แผนการของคนชอบธรรมนั้นยุติธรรม
ส่วนคำแนะนำของคนชั่วนั้นหลอกลวง
6 วาจาของคนชั่วซุ่มดักเอาชีวิต
ส่วนถ้อยคำของคนเที่ยงธรรมช่วยกอบกู้เขา
7 คนอธรรมจะย่อยยับและสูญสิ้น
แต่บ้านของคนชอบธรรมตั้งมั่นคง
8 คนเราได้รับการยกย่องตามไหวพริบปฏิภาณของตน
ส่วนคนหัวทึบย่อมเป็นที่ดูหมิ่น
9 เป็นคนที่ไม่สำคัญอะไรแต่มีบริวารใช้สอย
ก็ดีกว่าทำท่าวางโตแต่ไม่มีจะกิน
10 คนชอบธรรมห่วงใยแม้แต่ความเป็นอยู่ของสัตว์ที่เขาเลี้ยง
ส่วนความกรุณาของคนอธรรมก็ยังโหดเหี้ยม
11 ผู้ซึ่งไถพรวนที่ดินของตนจะมีอาหารอุดมสมบูรณ์
ส่วนคนที่เอาแต่เพ้อฝันก็ไร้สามัญสำนึก
12 คนชั่วโลภอยากได้ของโจร
แต่รากฐานของคนชอบธรรมเจริญงอกงาม
13 คนชั่วจะติดกับเพราะวาจาชั่วของตน
ส่วนคนชอบธรรมหลุดพ้นจากความทุกข์ร้อน
14 ผลจากวาจาทำให้คนเราได้รับสิ่งดีๆ
เหมือนที่ได้รับรางวัลจากการกระทำของตน
15 คนโง่คิดว่าทางของตนถูกต้อง
ส่วนคนฉลาดยอมรับฟังคำแนะนำ
16 คนโง่เขลาระเบิดอารมณ์
ส่วนคนฉลาดไม่ใส่ใจคำสบประมาท
17 พยานที่ซื่อสัตย์พูดความจริง
ส่วนพยานเท็จพูดโกหก
18 คำพูดพล่อยๆ ทิ่มแทงเหมือนดาบ
แต่วาจาของคนเฉลียวฉลาดก็เยียวยารักษา
19 คำพูดที่สัตย์จริงไม่มีวันสูญสลาย
ส่วนคำโกหกไม่ช้าก็ถูกจับได้
20 ใจที่กะการชั่วร้ายเต็มไปด้วยอุบายล่อลวง
ส่วนผู้ที่ส่งเสริมความสงบสุขมีแต่ความยินดี
21 ไม่มีภยันตรายตกแก่ผู้ชอบธรรม
แต่คนชั่วจะทุกข์ร้อนแสนสาหัส
22 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังปากที่มุสาหลอกลวง
แต่ทรงชื่นชมผู้ที่ซื่อสัตย์
23 คนฉลาดหลักแหลมไม่อวดรู้
แต่ใจของคนโง่ป่าวร้องความโง่เขลาออกมา
24 มือที่ขยันขันแข็งจะครอบครอง
แต่ความเกียจคร้านจบลงด้วยการเป็นทาสแรงงาน
25 ความวิตกกังวลทำให้หนักใจ
แต่คำปลอบโยนทำให้ใจพองโต
26 คนชอบธรรมเลือกคบเพื่อน[a]
ส่วนทางของคนชั่วพาตนเองหลงเตลิดไป
27 คนเกียจคร้านไม่ยอมแม้แต่จะปิ้งเนื้อที่คนอื่นหามาให้
แต่คนขยันปิ้งเนื้อที่ตนเองหามาได้[b]
28 ทางแห่งความชอบธรรมนำไปสู่ชีวิต
ทางนั้นนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์
5 เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเลียนแบบพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก 2 และจงดำเนินชีวิตในความรักเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลาย และประทานพระองค์เองเพื่อเราเป็นเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอมและเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
3 แต่อย่าเอ่ยถึงสิ่งที่ส่อถึงการผิดศีลธรรมทางเพศและความไม่บริสุทธิ์ใดๆ หรือความโลภในหมู่ท่านทั้งหลาย เพราะเป็นสิ่งไม่เหมาะสมสำหรับประชากรบริสุทธิ์ของพระเจ้า 4 ทั้งอย่าพูดหยาบโลนลามก เฮฮาไร้สาระ หรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า 5 ท่านแน่ใจได้เลยว่าคนผิดศีลธรรม คนไม่บริสุทธิ์ หรือคนโลภ คนเช่นนี้เป็นผู้กราบไหว้รูปเคารพ เขาจะไม่ได้รับมรดกใดๆ ในอาณาจักรของพระคริสต์และของพระเจ้า[a] 6 อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยวาจาไร้สาระ เพราะเนื่องด้วยสิ่งเหล่านั้นพระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง 7 ฉะนั้นอย่าเป็นหุ้นส่วนกับคนเหล่านั้นเลย
8 เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง 9 (เพราะผลของความสว่างประกอบด้วยความดีทั้งปวง ความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น) 10 จงหาให้พบว่าอะไรเป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11 อย่าเข้าส่วนใดๆ กับกิจกรรมของความมืดอันไร้ผล แต่จงเปิดเผยการเหล่านั้นดีกว่า 12 เพราะเพียงเอ่ยถึงสิ่งซึ่งพวกที่ไม่ยอมเชื่อฟังแอบทำกันนั้นก็ยังน่าอาย 13 แต่ทุกสิ่งที่ถูกเปิดเผยโดยความสว่างก็เห็นกันแจ่มแจ้ง 14 เนื่องจากความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่งชัดแจ้ง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกันว่า
“โอ ผู้ที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น
จงฟื้นขึ้นจากความตาย
และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน”
15 เพราะฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิต อย่าดำเนินชีวิตแบบคนไร้ปัญญา แต่จงดำเนินชีวิตแบบคนมีปัญญา 16 จงรู้จักใช้ทุกโอกาสเพราะเวลานี้เป็นยุคอันเลวร้าย 17 ฉะนั้นจงอย่าโง่เขลา แต่จงเข้าใจพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นเช่นใด 18 และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ 19 จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญและบทเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ จงร้องและบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า 20 จงขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดาสำหรับทุกสิ่งอยู่เสมอในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
21 จงยอมเชื่อฟังกันและกันเนื่องด้วยใจเคารพยำเกรงพระคริสต์
สามีภรรยา(A)
22 ผู้ที่เป็นภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามีเหมือนที่ยอมเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า 23 เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ ทั้งพระองค์ยังทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักรด้วย 24 คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์อย่างไร ภรรยาก็ควรยอมเชื่อฟังสามีทุกเรื่องอย่างนั้น
25 ผู้ที่เป็นสามีจงรักภรรยาของตนเช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองแก่คริสตจักร 26 เพื่อทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระ[b]ด้วยน้ำผ่านทางพระวจนะ 27 และเพื่อพระองค์จะได้มีคริสตจักรอันงามผ่องแผ้วปราศจากมลทินหรือริ้วรอยหรือตำหนิใดๆ แต่บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ 28 เช่นนั้นแหละสามีจึงควรรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาก็รักตนเอง 29 ท้ายที่สุดไม่มีใครเกลียดชังกายของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูทะนุถนอมเหมือนที่พระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร 30 เพราะเราทั้งหลายเป็นอวัยวะในพระกายพระองค์ 31 “เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน”[c] 32 ตรงนี้เป็นความลึกลับอันลึกซึ้ง แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงพระคริสต์กับคริสตจักร 33 อย่างไรก็ตามพวกท่านแต่ละคนต้องรักภรรยาของตนเหมือนที่รักตนเองด้วย และภรรยาก็ต้องเคารพสามีของตน
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.