M’Cheyne Bible Reading Plan
พลับพลา(A)
26 “จงทำพลับพลาด้วยม่านผ้าลินินเนื้อดีสิบผืน ให้ช่างฝีมือผู้ชำนาญคนหนึ่งปักลวดลายด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงเป็นภาพเหล่าเครูบไว้บนม่านเหล่านั้น 2 ม่านทุกผืนมีขนาดเดียวกันคือกว้าง 4 ศอก ยาว 28 ศอก[a] 3 ต่อม่านเป็นสองแถบ แถบละห้าผืน 4 จงใช้ผ้าสีน้ำเงินทำหูที่ขอบของผ้าม่านทั้งสองแถบ 5 แถบละห้าสิบหูตรงกัน 6 แล้วทำตะขอทองคำห้าสิบอันเกี่ยวหูของแถบม่านทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นพลับพลาเดียวกัน
7 “ให้ทำม่านขนแพะสิบเอ็ดผืนสำหรับทำเป็นเต็นท์เพื่อคลุมพลับพลาไว้ 8 ม่านทุกผืนมีขนาดเดียวกัน คือ กว้าง 4 ศอก ยาว 30 ศอก[b] 9 ต่อม่านเป็นสองแถบ แถบหนึ่งใช้ห้าผืน อีกแถบหนึ่งใช้หกผืน ให้พับผืนที่หกทบไว้ด้านหน้าเต็นท์ 10 จงทำหูห้าสิบหูติดที่ขอบของแถบผ้าม่านทั้งสองแถบ 11 แล้วใช้ตะขอทองสัมฤทธิ์เกี่ยวหูเต็นท์ให้เข้าเป็นเต็นท์เดียวกัน 12 ส่วนความยาวที่เหลือ ครึ่งหนึ่งของผ้าเต็นท์ให้ห้อยไว้ทางด้านหลังของพลับพลา 13 ผ้าเต็นท์นี้จะมีความยาวยื่นออกมาข้างละ 1 ศอก[c]เพื่อคลุมพลับพลาไว้ 14 จงคลุมเต็นท์ด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงและใช้หนังพะยูนคลุมทับไว้อีกชั้นหนึ่ง
15 “จงตั้งฝาผนังพลับพลาซึ่งทำจากไม้กระถินเทศ 16 ไม้ฝาแต่ละแผ่นกว้าง 1.5 ศอก สูง 10 ศอก[d] 17 ไม้ฝาแต่ละแผ่นมีสลักสองชุดขนานกันสำหรับประกบเข้าด้วยกัน จงทำฝาผนังพลับพลาทั้งหมดแบบนี้ 18 จงทำไม้ฝายี่สิบแผ่นสำหรับด้านทิศใต้ของพลับพลา 19 และทำฐานของไม้ฝาแต่ละแผ่นด้วยเงินแผ่นละสองฐาน รวมสี่สิบฐาน แต่ละฐานรองรับสลักแต่ละอัน 20 ทางด้านทิศเหนือของพลับพลาให้ตั้งไม้ฝาขึ้นยี่สิบแผ่น 21 และมีฐานเงินรองรับไม้ฝาแผ่นละสองฐาน รวมสี่สิบฐาน 22 จงทำไม้ฝาหกแผ่นสำหรับด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหลังของพลับพลา 23 และทำไม้ฝาอีกสองแผ่นสำหรับมุมทั้งสองข้างของส่วนหลัง 24 ไม้ฝาหัวมุมทั้งสองด้านต้องประกบกันสนิทตั้งแต่บนจรดล่าง และด้านบนสุดยึดด้วยห่วงหนึ่งวง ไม้ฝาหัวมุมทั้งสองด้านจะต้องทำอย่างนี้ 25 ฉะนั้นที่ส่วนหลังของพลับพลาจะมีไม้ฝาทั้งหมดแปดแผ่น และมีฐานเงินรองรับสิบหกฐาน แผ่นละสองฐาน
26 “จงทำคานขวางด้วยไม้กระถินเทศ พาดขวางฝาผนังพลับพลาด้านทิศเหนือห้าเส้น 27 ด้านทิศใต้ห้าเส้นและอีกห้าเส้นสำหรับด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นส่วนหลังของพลับพลา 28 คานขวางอันกลางพาดผ่านตรงกลางฝาผนังตลอดแนว 29 จงหุ้มไม้ฝาทุกแผ่นด้วยทองคำและทำห่วงทองคำยึดคานขวางเหล่านั้นไว้ ไม้คานเหล่านั้นให้หุ้มด้วยทองคำเช่นกัน
30 “จงตั้งพลับพลาขึ้นตามแบบที่เราได้แจ้งแก่เจ้าบนภูเขา
31 “จงทำม่านด้วยผ้าลินินเนื้อดี ให้ช่างฝีมือผู้ชำนาญปักลวดลายจากด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงเป็นภาพเหล่าเครูบไว้บนม่านนั้น 32 จงแขวนม่านนี้ด้วยตะขอซึ่งทำจากทองคำบนเสาไม้กระถินเทศสี่ต้นหุ้มทองคำ เสาเหล่านี้ตั้งอยู่บนฐานรองรับทำด้วยเงินสี่ฐาน 33 หลังม่านซึ่งแขวนบนตะขอทองคำนี้เป็นที่ตั้งหีบพันธสัญญา ม่านนี้จะกั้นระหว่างวิสุทธิสถานและอภิสุทธิสถาน 34 แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณาไว้บนหีบพันธสัญญาในอภิสุทธิสถาน 35 โต๊ะและคันประทีปให้วางแยกกันคนละด้านอยู่นอกม่าน คันประทีปจะอยู่ทางด้านทิศใต้ของพลับพลา ส่วนโต๊ะนั้นจะอยู่ทางด้านทิศเหนือ
36 “จงทำม่านอีกผืนจากผ้าลินินเนื้อดี ปักอย่างวิจิตรด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงสำหรับกั้นทางเข้าเต็นท์ 37 จงทำตะขอทองคำสำหรับแขวนม่านผืนนี้บนเสาไม้กระถินเทศห้าต้นหุ้มด้วยทองคำ มีตะขอทองคำและมีฐานรองรับห้าฐานทำด้วยทองสัมฤทธิ์
การรักษาโรคที่สระน้ำ
5 ต่อมาพระเยซูเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมเทศกาลของชาวยิว 2 ในกรุงเยรูซาเล็ม ใกล้ประตูแกะมีสระน้ำแห่งหนึ่ง เรียกตามภาษาอารเมคว่า เบเธสดา[a] สระนี้รายล้อมด้วยศาลาห้าหลัง 3 ที่นี่มีคนพิการมากมายนอนอยู่ ไม่ว่าคนตาบอด คนง่อย คนเป็นอัมพาต[b] 5 ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมา 38 ปีแล้ว 6 เมื่อพระเยซูทรงเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาตกอยู่ในสภาพนี้มานาน ก็ตรัสกับเขาว่า “ท่านต้องการจะหายโรคหรือไม่?”
7 คนป่วยนั้นทูลว่า “ท่านเจ้าข้า เวลาน้ำกระเพื่อมไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าลงสระ ขณะที่ข้าพเจ้าพยายามจะลงไป คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว”
8 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น! ยกที่นอนเดินไปเถิด” 9 ชายผู้นี้ก็หายโรคทันที เขายกที่นอนเดินไป
วันที่เกิดเหตุการณ์นี้เป็นวันสะบาโต 10 พวกยิวจึงพูดกับคนที่หายโรคนั้นว่า “นี่เป็นวันสะบาโต บทบัญญัติห้ามเจ้าแบกที่นอน”
11 แต่เขาตอบว่า “ชายผู้ที่รักษาข้าพเจ้าให้หายบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงยกที่นอนเดินไปเถิด’ ”
12 พวกเขาจึงถามว่า “คนที่บอกให้เจ้ายกที่นอนเดินไปนั้นคือใคร?”
13 คนที่หายโรคไม่ทราบว่าพระองค์คือใคร เพราะพระเยซูได้เสด็จปะปนหายไปในฝูงชนที่นั่น
14 ต่อมาพระเยซูทรงพบเขาที่พระวิหารและตรัสว่า “ดูเถิด ท่านสบายดีแล้ว จงเลิกทำบาป มิฉะนั้นสิ่งเลวร้ายกว่าเดิมอาจจะเกิดกับท่าน” 15 เขาก็ไปและบอกพวกยิวว่า พระเยซูคือผู้ที่รักษาเขาให้หายโรค
ชีวิตที่ผ่านมาทางพระบุตร
16 ฉะนั้นพวกยิวจึงข่มเหงพระเยซูเพราะพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านั้นในวันสะบาโต 17 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พระบิดาของเราทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์เสมอตราบจนทุกวันนี้ และเราก็กำลังทำงานเช่นกัน” 18 ด้วยเหตุนี้พวกยิวจึงยิ่งพยายามทุกวิถีทางที่จะฆ่าพระเยซู เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ทรงละเมิดบทบัญญัติวันสะบาโต แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาของตนอันเป็นการยกตนเองเสมอพระเจ้า
19 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พระบุตรไม่อาจทำสิ่งใดโดยลำพังพระองค์เอง พระองค์สามารถทำได้แต่เพียงสิ่งที่เห็นพระบิดาของพระองค์ทรงกระทำ เพราะพระบิดาทรงกระทำสิ่งใด พระบุตรก็กระทำสิ่งนั้นด้วย 20 เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และสำแดงทุกสิ่งที่ทรงกระทำให้พระบุตรเห็น ท่านจะประหลาดใจที่พระองค์จะสำแดงให้พระบุตรเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ กว่านี้อีก 21 เพราะพระบิดาทรงให้คนที่ตายแล้วกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อย่างไร พระบุตรก็จะให้ชีวิตแก่ผู้ที่พระบุตรพอพระทัยอย่างนั้น 22 ยิ่งกว่านั้นพระบิดาไม่ได้ทรงพิพากษาใครแต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดแก่พระบุตร 23 เพื่อคนทั้งปวงจะได้ถวายเกียรติแด่พระบุตรเหมือนที่ได้ถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระบุตรก็ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงส่งพระบุตรมา
24 “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดฟังคำของเราและเชื่อพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และจะไม่ถูกลงโทษ เขาได้ผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิตแล้ว 25 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่คนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้าและบรรดาผู้ที่ได้ยินจะมีชีวิต 26 เพราะพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองฉันใด พระองค์ก็ทรงให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์เองฉันนั้น 27 และพระองค์ทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะพิพากษาเพราะว่าพระองค์คือบุตรมนุษย์
28 “อย่าประหลาดใจในข้อนี้ เพราะจะถึงเวลาที่คนทั้งปวงซึ่งอยู่ในหลุมฝังศพของตนจะได้ยินเสียงของพระบุตร 29 และจะออกมา ผู้ที่ทำดีจะฟื้นขึ้นสู่ชีวิต ผู้ที่ทำชั่วจะฟื้นขึ้นรับการลงโทษ 30 เราทำสิ่งใดโดยลำพังตัวเราเองไม่ได้เลย เราพิพากษาตามที่เราได้ยินเท่านั้น และคำพิพากษาของเรายุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งทำให้ตนเองพอใจแต่มุ่งให้พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาพอพระทัย
พยานรับรองพระเยซู
31 “ถ้าเราเป็นพยานให้ตนเอง คำพยานของเราก็ไม่น่าเชื่อถือ 32 มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานให้เรา และเรารู้ว่าคำพยานของผู้นั้นเกี่ยวกับเราก็เชื่อถือได้
33 “ท่านส่งคนไปหายอห์น และยอห์นได้เป็นพยานถึงความจริง 34 ไม่ใช่ว่าเรายอมรับคำพยานของมนุษย์ แต่เราเอ่ยถึงเรื่องนี้เพื่อท่านจะรอด 35 ยอห์นเป็นตะเกียงที่ลุกอยู่และให้แสงสว่าง และพวกท่านเลือกที่จะชื่นชมความสว่างของยอห์นชั่วขณะหนึ่ง
36 “เรามีคำพยานที่หนักแน่นยิ่งกว่าคำพยานของยอห์น เพราะงานที่พระบิดาทรงมอบหมายให้เราทำให้สำเร็จและเรากำลังทำอยู่นั้นเองเป็นพยานว่าพระบิดาทรงส่งเรามา 37 ทั้งพระบิดาผู้ทรงส่งเรามาพระองค์เองได้ทรงเป็นพยานให้เรา ท่านไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงหรือเห็นรูปพรรณสัณฐานของพระองค์ 38 ทั้งพระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในท่านเพราะท่านไม่เชื่อผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา 39 ท่านขยันศึกษา[c]พระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าโดยพระคัมภีร์ท่านจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระธรรมเหล่านั้นคือพระคัมภีร์ที่เป็นพยานเกี่ยวกับเรา 40 กระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต
41 “เราไม่ยอมรับการสรรเสริญจากมนุษย์ 42 แต่เรารู้จักพวกท่าน เรารู้ว่าท่านไม่ได้มีความรักของพระเจ้าอยู่ในใจ 43 เราได้มาในพระนามของพระบิดาของเราและท่านไม่ยอมรับเรา แต่ถ้าผู้อื่นมาในนามของเขาเอง ท่านจะยอมรับผู้นั้น 44 ท่านจะเชื่อได้อย่างไร ถ้าหากท่านยอมรับคำสรรเสริญกันเอง แต่ไม่ขวนขวายหาคำสรรเสริญจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว[d]?
45 “แต่อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านต่อพระบิดา ผู้ที่ฟ้องท่านคือโมเสสซึ่งท่านได้ตั้งความหวังไว้กับเขา 46 หากท่านเชื่อโมเสส ท่านควรจะเชื่อเราเพราะโมเสสได้เขียนเกี่ยวกับเรา 47 แต่เพราะท่านไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนไว้ ท่านจะเชื่อสิ่งที่เราพูดได้อย่างไร?”
ข้อดีของปัญญา
2 ลูกเอ๋ย หากเจ้ารับถ้อยคำของเรา
และสะสมคำบัญชาของเราไว้กับตัว
2 หากเจ้าเงี่ยหูฟังปัญญา
ใจจดใจจ่อเพื่อที่จะเข้าใจ
3 หากเจ้าเรียกหาวิจารณญาณ
และร้องหาความเข้าใจ
4 และหากเจ้าดั้นด้นหาสิ่งนี้ดั่งหาเงิน
ขวนขวายหาถ้อยคำของเราประหนึ่งค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่
5 แล้วเจ้าจะเข้าใจความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
และพบความรู้ของพระเจ้า
6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานปัญญา
ความรู้และความเข้าใจออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์
7 พระองค์ทรงสะสมดุลยพินิจ[a]ไว้ให้คนเที่ยงธรรม
ทรงเป็นโล่ให้ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างไร้ที่ติ
8 เพราะพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาวิถีทางของผู้เที่ยงธรรม
และทรงคุ้มครองหนทางของผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์
9 แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งใดถูกต้อง ยุติธรรม
และเที่ยงธรรม คือเข้าใจวิถีอันดีทุกทาง
10 เพราะสติปัญญาจะเข้าสู่จิตใจของเจ้า
และความรู้จะเป็นที่รื่นรมย์แก่จิตวิญญาณของเจ้า
11 ความสุขุมรอบคอบจะคุ้มครองเจ้า
ความเข้าใจจะพิทักษ์รักษาเจ้า
12 ปัญญาจะช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากทางของคนชั่ว
จากคนที่พูดตลบตะแลง
13 ผู้ที่ละทิ้งวิถีอันเที่ยงตรง
ไปเดินในทางมืด
14 ผู้หลงใหลในการทำชั่ว
และชื่นชอบความวิปริตชั่วร้าย
15 ทางของเขาลดเลี้ยวเคี้ยวคด
เขาเป็นคนคดในข้องอในกระดูก
16 ปัญญายังจะช่วยเจ้าให้พ้นจากหญิงแพศยา
จากผู้หญิงข้างถนนซึ่งออดอ้อนเย้ายวน
17 ผู้ทอดทิ้งคู่ครองที่อยู่กินด้วยกันมาตั้งแต่ยังสาวๆ
และไม่ไยดีต่อคำสัญญาที่นางให้ไว้
ต่อหน้าต่อตาพระเจ้า[b]
18 บ้านของนางนำลงสู่ความตาย
ทางของนางพาไปหาชาวเมืองผี
19 ไม่มีสักคนที่ไปหานางแล้วได้กลับมา
หรือหวนเข้าสู่หนทางแห่งชีวิตได้อีก
20 ดังนั้นเจ้าควรจะเดินในทางของคนด
และยึดมั่นในวิถีอันชอบธรรม
21 เพราะคนเที่ยงธรรมจะได้อาศัยในแผ่นดินนั้น
และคนที่ไร้ที่ติจะคงอยู่ที่นั่น
22 แต่คนชั่วร้ายจะถูกตัดขาดจากแผ่นดินนั้น
และคนอสัตย์จะถูกถอนรากถอนโคนจากที่นั่น
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูต ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากมนุษย์หรือโดยมนุษย์ แต่โดยพระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย 2 และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้า
ถึงคริสตจักรต่างๆ ในแคว้นกาลาเทีย
3 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย 4 พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพื่อบาปของเราทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อช่วยเราจากยุคอันชั่วร้ายนี้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าและพระบิดาของเรา 5 ขอถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน
ไม่มีข่าวประเสริฐอื่น
6 ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านโดยพระคุณของพระคริสต์ไปอย่างรวดเร็ว และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่น 7 ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐเลย เห็นได้ชัดว่าบางคนกำลังทำให้ท่านสับสนวุ่นวายและพยายามบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ 8 ไม่ว่าเราหรือทูตสวรรค์ หากประกาศข่าวประเสริฐอื่นซึ่งต่างจากข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์! 9 ดังที่เราได้บอกไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่าหากใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่านนอกเหนือจากที่ท่านได้รับไว้แล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!
10 นี่ข้าพเจ้ากำลังมุ่งให้มนุษย์หรือพระเจ้ายอมรับกันแน่? หรือว่าข้าพเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์พอใจ? หากข้าพเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์พอใจ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์
พระเจ้าทรงเรียกเปาโล
11 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้นไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์แต่งขึ้น 12 ข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนี้จากมนุษย์คนใดหรือมีคนมาสอน แต่รับการทรงสำแดงจากพระเยซูคริสต์
13 ในเมื่อท่านก็ทราบว่าเมื่อก่อนขณะยังถือศาสนายิวข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรงและพยายามจะทำลายให้สิ้น 14 เมื่ออยู่ในศาสนายิวข้าพเจ้าก้าวหน้ากว่าพี่น้องยิวหลายคนในรุ่นเดียวกัน และหัวรุนแรงอย่างยิ่งในการยึดถือประเพณีตามบรรพบุรุษของข้าพเจ้า 15 แต่เมื่อพระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่กำเนิด[a] และทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ พระองค์พอพระทัย 16 ที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรนั้นท่ามกลางชาวต่างชาติ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษามนุษย์คนใด 17 ทั้งไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อพบบรรดาคนที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าตรงไปยังประเทศอาระเบียทันที และภายหลังได้กลับมายังเมืองดามัสกัส
18 สามปีต่อมาข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำความรู้จักกับเปโตร[b] และพักอยู่กับเขาสิบห้าวัน 19 ข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่นๆ เลยนอกจากยากอบน้องขององค์พระผู้เป็นเจ้า 20 ข้าพเจ้าขอยืนยันต่อหน้าพระเจ้าว่าที่เขียนมานี้ไม่ได้โกหก 21 หลังจากนั้นข้าพเจ้าไปยังเขตแดนซีเรียและซิลีเซีย 22 คริสตจักรต่างๆ ในพระคริสต์ที่แคว้นยูเดียไม่รู้จักข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว 23 พวกเขาเพียงแต่ได้ข่าวว่า “คนที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเราเดี๋ยวนี้ประกาศความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามทำลาย” 24 และพวกเขาสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยข้าพเจ้า
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.