Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อพยพ 23

บทบัญญัติของความยุติธรรมและความเมตตา

23 “อย่าเล่าลือเรื่องที่ไม่เป็นความจริง อย่าร่วมมือกับคนชั่วร้ายโดยการเป็นพยานเท็จ

“อย่าทำชั่วคล้อยตามคนหมู่มาก เมื่อเจ้าเป็นพยานในคดีความอย่าบิดเบือนความยุติธรรมโดยเข้าข้างคนหมู่มาก และอย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนในคดีของเขา

“หากเจ้าบังเอิญพบวัวหรือลาของศัตรูหลงมา จงนำมันไปคืนเจ้าของ หากเจ้าเห็นลาของคนที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าเมินเฉย จงเข้าไปช่วยเหลือ

“จงให้ความยุติธรรมแก่คนยากจนในคดีของเขา อย่ามีส่วนตั้งข้อกล่าวหาเท็จ และอย่าปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์หรือคนซื่อตรงต้องถูกประหาร เพราะเราจะไม่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล

“อย่ารับสินบน เพราะสินบนทำให้ตามืดบอดจากความจริง และบิดเบือนคำพูดของคนชอบธรรม

“อย่าข่มเหงคนต่างด้าว ตัวเจ้าเองรับรู้รสชาติการเป็นคนต่างด้าวมาแล้วเพราะเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในอียิปต์

บทบัญญัติเกี่ยวกับสะบาโต

10 “จงหว่านและเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ของเจ้าตลอดหกปี 11 แต่ในปีที่เจ็ดจงพักที่ดิน ไม่ต้องปลูกไม่ต้องหว่าน และให้คนยากจนมาเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ที่งอกขึ้นมา ส่วนที่เหลือปล่อยไว้ให้เป็นอาหารของสัตว์ป่า กฎข้อนี้ใช้กับสวนองุ่นและสวนมะกอกของเจ้าด้วย

12 “จงทำงานเพียงหกวัน แต่อย่าทำงานในวันที่เจ็ด เพื่อให้วัวและลาของเจ้าได้พัก ทั้งทาสที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าและคนต่างด้าวจะได้สดชื่นขึ้น

13 “จงตั้งใจทำตามทุกสิ่งที่เราได้บอกแก่เจ้าแล้ว และอย่าเอ่ยอ้างชื่อพระอื่นใด อย่าให้ได้ยินชื่อพระเหล่านั้นจากปากของเจ้าเลย

เทศกาลประจำปีสามเทศกาล

14 “เจ้าจงฉลองเทศกาลสำหรับเราปีละสามครั้ง

15 “จงฉลองเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ จงกินขนมปังไม่ใส่เชื้อตลอดเจ็ดวันตามที่เราได้สั่งพวกเจ้าไว้แล้ว จงทำอย่างนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในเดือนอาบีบ เพราะในเดือนนั้นเจ้าได้ออกจากอียิปต์

“อย่าให้ผู้ใดเข้าเฝ้าเรามือเปล่า

16 “จงฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยวเมื่อเจ้านำผลิตผลแรกที่เจ้าเก็บเกี่ยวมาให้เรา

“จงฉลองเทศกาลรวบรวมผลิตผลในตอนสิ้นปี เมื่อเจ้ารวบรวมผลิตผลจากไร่นาของเจ้ามาเก็บไว้

17 “ผู้ชายทุกคนจะต้องเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตปีละสามครั้ง

18 “อย่าถวายเลือดของเครื่องบูชาแก่เราพร้อมกับสิ่งใดๆ ที่ใส่เชื้อ

“อย่าเก็บไขมันของเครื่องบูชาที่ถวายแก่เราในเทศกาลไว้จนรุ่งเช้า

19 “จงนำส่วนที่ดีที่สุดของผลิตผลแรกจากแผ่นดินของเจ้ามายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

“อย่าต้มลูกแพะในน้ำนมแม่ของมัน

ทูตของพระเจ้าจัดเตรียมหนทาง

20 “ดูเถิด เราส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งของเรามานำหน้าเจ้า เพื่อคุ้มครองรักษาเจ้าไปตลอดทางจนถึงสถานที่ที่เราจัดเตรียมไว้ 21 จงใส่ใจฟังถ้อยคำที่เขากล่าว อย่ากบฏเพราะเขาจะไม่ให้อภัยเจ้า เพราะเขาทำในนามของเรา 22 หากเจ้าตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดและทำตามสิ่งที่เราพูดทุกอย่าง เราจะเป็นปฏิปักษ์กับศัตรูทั้งหลายของเจ้าและจะต่อต้านผู้ที่ต่อต้านเจ้า 23 ทูตของเราจะนำหน้าและพาเจ้าเข้าสู่ดินแดนของชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวคานาอัน ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส เราจะกวาดล้างพวกเขาออกไป 24 อย่ากราบไหว้หรือนมัสการพระทั้งหลายของชนชาติเหล่านั้นหรือทำตามเขา จงทำลายรูปเคารพของพวกเขาและทุบหินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาให้แหลก 25 จงนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า แล้วเราจะอวยพรเจ้าให้มีน้ำมีอาหารบริบูรณ์ เราจะขจัดโรคภัยไข้เจ็บไปจากพวกเจ้า 26 ทั่วดินแดนของเจ้าจะไม่มีการแท้งหรือเป็นหมัน และเราจะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาวตามอายุขัย

27 “เราจะส่งความหวาดหวั่นไปล่วงหน้าเจ้า ทำให้ชนทุกชาติที่เจ้าเผชิญหน้าสับสนอลหม่าน เราจะทำให้ศัตรูทั้งปวงของเจ้าหันหลังวิ่งหนีไป 28 เราจะส่งฝูงต่อล่วงหน้าเจ้าไปเพื่อขับไล่ชาวฮีไวต์ ชาวคานาอัน และชาวฮิตไทต์ไปให้พ้นทางของเจ้า 29 แต่เราจะไม่ไล่พวกเขาไปทั้งหมดในปีเดียว เพราะแผ่นดินจะรกร้างและสัตว์ป่าจะเพิ่มจำนวนเกินกว่าพวกเจ้าจะรับมือไหว 30 เราจะไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าเจ้าทีละเล็กทีละน้อย จนพวกเจ้ามีลูกหลานมากพอที่จะครอบครองแผ่นดิน

31 “เราจะกำหนดพรมแดนของเจ้าจากทะเลแดง[a]จดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[b] และจากทะเลทรายจดแม่น้ำยูเฟรติส เราจะมอบชนชาติต่างๆ ในดินแดนนั้นไว้ในมือพวกเจ้า และเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าเจ้า 32 เจ้าอย่าทำพันธสัญญาใดๆ กับพวกเขาหรือกับพระของเขา 33 อย่าให้พวกเขาอาศัยในดินแดนของเจ้า มิฉะนั้นแล้วเขาจะเป็นเหตุให้เจ้าทำบาปต่อเรา เพราะการนมัสการพระของเขาจะเป็นบ่วงแร้วดักเจ้าทั้งหลายอย่างแน่นอน”

ยอห์น 2

พระเยซูทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น

ในวันที่สาม มีงานสมรสที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี มารดาของพระเยซูอยู่ที่นั่น และพระเยซูกับสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปงานสมรสด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นเหลือแล้ว”

พระเยซูตรัสว่า “หญิงที่รักเอ๋ย ท่านให้เราไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม? ยังไม่ถึงเวลาของเรา”

มารดาของพระองค์บอกพวกคนรับใช้ว่า “จงทำทุกอย่างตามที่ท่านสั่ง”

ที่นั่นมีโอ่งหินอยู่หกใบ เป็นชนิดที่ใช้ในพิธีชำระของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณ 75 ถึง 115 ลิตร[a]

พระเยซูตรัสสั่งพวกคนรับใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” เขาจึงตักน้ำใส่จนเต็มเสมอปากโอ่ง

แล้วพระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “จงตักส่งให้เจ้าภาพเถิด”

พวกเขาก็ทำตาม และเจ้าภาพก็ชิมน้ำซึ่งกลายเป็นเหล้าองุ่น เขาไม่รู้เลยว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่พวกคนรับใช้ที่ตักน้ำรู้ว่ามาจากไหน เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 10 และพูดว่า “ใครๆ ก็เอาเหล้าองุ่นชั้นดีมาให้ดื่มก่อน พอแขกเหรื่อดื่มกันมากแล้วจึงค่อยเอาเหล้าองุ่นราคาถูกกว่ามาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดไว้จนถึงบัดนี้”

11 พระเยซูทรงกระทำสิ่งนี้ซึ่งเป็นหมายสำคัญครั้งแรกของพระองค์ที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ทรงสำแดงพระเกียรติสิริของพระองค์ และเหล่าสาวกของพระองค์ก็มีความเชื่อในพระองค์

พระเยซูทรงชำระพระวิหาร(A)

12 หลังจากนี้พระองค์เสด็จไปยังเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับมารดา น้องชาย และเหล่าสาวกของพระองค์ พวกเขาพักอยู่ที่นั่นสองสามวัน

13 เมื่อใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว พระเยซูเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 14 ในลานพระวิหารพระองค์ทรงพบคนขายวัว แกะ และนกพิราบ และมีบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแลกเงิน 15 พระองค์จึงทรงใช้เชือกทำเป็นแส้ แล้วทรงไล่พวกเขาทั้งหมดรวมทั้งแกะและวัวออกจากบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงเทเหรียญและคว่ำโต๊ะของคนรับแลกเงิน 16 พระองค์ตรัสกับคนขายนกพิราบว่า “เอาของพวกนี้ออกไปจากที่นี่! ท่านกล้าดีอย่างไรมาทำให้นิเวศของพระบิดาของเรากลายเป็นตลาด!”

17 เหล่าสาวกนึกถึงคำที่เขียนไว้ว่า “ความร้อนใจเพื่อพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้าพระองค์”[b]

18 แล้วพวกยิวเรียกร้องกับพระองค์ว่า “ท่านมีหมายสำคัญอะไรที่แสดงให้เราเห็นเพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีสิทธิอำนาจที่จะทำสิ่งทั้งปวงนี้?”

19 พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ทำลายวิหารนี้ แล้วเราจะยกขึ้นมาใหม่ในสามวัน”

20 พวกยิวทูลตอบว่า “วิหารนี้ต้องใช้เวลาสร้างถึงสี่สิบหกปี ท่านจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?” 21 แต่วิหารที่ทรงกล่าวถึงคือพระกายของพระองค์ 22 หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้วเหล่าสาวกจึงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ แล้วพวกเขาจึงเชื่อพระคัมภีร์และถ้อยคำที่พระเยซูตรัส

23 ขณะพระองค์ประทับที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกา ผู้คนมากมายเห็นหมายสำคัญที่ทรงกระทำและเชื่อในพระนามของพระองค์[c] 24 แต่พระเยซูไม่ได้ทรงไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขาเพราะพระองค์ทรงรู้จักมวลมนุษย์ 25 พระองค์ไม่จำเป็นต้องให้คนมาเป็นพยานเรื่องมนุษย์เพราะพระองค์ทรงทราบว่าอะไรอยู่ในมนุษย์

โยบ 41

41 “เจ้าจับเลวีอาธาน[a]ด้วยเบ็ดได้หรือ?
เอาบ่วงคล้องลิ้นมันได้หรือเปล่า?
เจ้าสามารถเอาเชือกสนตะพายจมูกของมัน
เอาตะขอแทงขากรรไกรของมันได้หรือ?
มันจะวอนขอความเมตตาจากเจ้าหรือ?
จะพูดกับเจ้าอย่างนุ่มนวลหรือ?
มันจะตกลงยินยอม
เป็นทาสรับใช้ของเจ้าตลอดชีวิตหรือ?
เจ้าจะสามารถเลี้ยงดูมันเหมือนนก
และยกมันให้เป็นเพื่อนเล่นของลูกสาวของเจ้าหรือ?
พ่อค้าจะมาต่อราคาซื้อมัน
และแบ่งขายกันหรือ?
หลาวจะระคายผิวของมันหรือ?
ฉมวกจะระคายหัวของมันหรือ?
หากเจ้าลงมือจับมันสักครั้ง
เจ้าจะจดจำการต่อสู้และเข็ดขยาดไม่กล้าทำอีกเลย!
เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ที่คิดจะปราบมัน
แค่เห็นมันก็ใจฝ่อแล้ว
10 ไม่มีใครดุร้ายพอที่จะไปยั่วมัน
ก็แล้วใครเล่ากล้ายืนขึ้นต่อหน้าเรา?
11 ใครเล่าจะมาเอ่ยอ้างฟ้องร้องเราซึ่งเราต้องชดใช้ให้?
ทุกสิ่งภายใต้ฟ้าสวรรค์เป็นของเรา

12 “เราจะไม่งดกล่าวถึงแข้งขา
กำลังและเรือนร่างอันสง่างามของมัน
13 ใครสามารถถลกผิวหนังของมัน?
ใครสามารถคล้องบังเหียนให้มัน?
14 ใครจะกล้าเปิดปากของมัน
ซึ่งมีฟันน่ากลัวเรียงรายอยู่?
15 หลังของมันมีเกล็ดเหมือนโล่[b]
ซ้อนถี่แนบกันเป็นแถว
16 ผนึกเรียงกันแน่น
จนอากาศผ่านเข้าไม่ได้
17 มันเกาะติดกันสนิท
ยึดแน่นจนไม่อาจแยกจากกันได้
18 เวลามันจาม มีแสงแวบวาบออกมา
ดวงตาของมันดั่งแสงอรุณ
19 เปลวเพลิงพ่นออกจากปากของมัน
มีประกายไฟแลบออกมา
20 ควันคละคลุ้งจากรูจมูกของมัน
เหมือนไอพวยพุ่งจากกาน้ำเดือดซึ่งใช้ต้นกกเป็นฟืน
21 ลมหายใจของมันจุดถ่านหินให้ลุกโชน
และเปลวไฟพุ่งขึ้นมาจากปากของมัน
22 คอของมันมีกำลังมหาศาล
ความอกสั่นขวัญแขวนนำหน้ามันไป
23 เนื้อของมันเกาะติดกันแน่น
แข็งหนาและขยับไม่ได้
24 หน้าอกของมันแข็งดั่งศิลา
แกร่งดั่งแท่นของหินโม่
25 เมื่อมันลุกขึ้น คนแข็งแรงที่สุดก็ขวัญหนีดีฝ่อ
พอมันขยับตัว พวกเขาก็ถอยหนี
26 ดาบ หอก หลาว แหลน
อาวุธใดๆ ไม่มีผลต่อมัน
27 สำหรับมัน เหล็กก็ไม่ต่างอะไรกับฟาง
และทองสัมฤทธิ์คือไม้ผุๆ
28 ลูกศรไม่สามารถทำให้มันหนีเตลิด
สำหรับมัน หินสลิงก็เหมือนแกลบ
29 กระบองก็เป็นเพียงฟางเส้นหนึ่ง
และมันหัวเราะเยาะหอกที่พุ่งเข้าใส่
30 ท้องของมันปกคลุมด้วยเกล็ดแหลมเหมือนเศษหม้อแตก
ทิ้งรอยไว้ในโคลนเหมือนเลื่อนนวดข้าว
31 มันทำให้ห้วงลึกปั่นป่วนเหมือนหม้อน้ำเดือด
ท้องทะเลพลุ่งพล่านเหมือนหม้อน้ำมันเดือด
32 มันทิ้งระลอกฟองผุดประกายอยู่ข้างหลัง
ใครเห็นคงนึกว่าทะเลมีผมหงอก
33 ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้วในโลกที่เหมือนมัน
เป็นสัตว์ซึ่งไม่รู้จักความกลัว
34 มันดูถูกสัตว์ที่เย่อหยิ่งทั้งปวง
มันเป็นราชาเหนือสรรพสิ่งที่ทรนง”

2 โครินธ์ 11

เปาโลกับอัครทูตเท็จ

11 ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะอดทนกับความเขลาของข้าพเจ้าสักหน่อยหนึ่ง ที่จริงท่านก็ทนอยู่แล้ว เพราะข้าพเจ้าหวงแหนท่านด้วยความหวงแหนที่มาจากพระเจ้า ข้าพเจ้าหมั้นหมายท่านไว้สำหรับสามีคนเดียวคือพระคริสต์ เพื่อจะได้ถวายท่านในฐานะที่เป็นพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระองค์ แต่ข้าพเจ้าเกรงว่าใจท่านจะถูกชักจูงให้เขวไปจากความจงรักภักดีต่อพระคริสต์อย่างจริงใจและบริสุทธิ์ เหมือนที่เอวาถูกล่อลวงด้วยอุบายของงูนั้น เพราะถ้าใครมาเทศนาเรื่องพระเยซูต่างจากที่เราได้เทศนาไว้ ให้ท่านรับวิญญาณอื่นต่างจากที่ท่านเคยได้รับ และให้ยึดข่าวประเสริฐอื่นต่างจากที่ท่านเคยยอมรับ ท่านก็ทนรับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายดายเสียจริง แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดว่าตัวเองด้อยกว่า “ยอดอัครทูต” เหล่านั้นแม้แต่น้อย ถึงจะไม่ใช่นักพูดที่ได้รับการฝึกฝน แต่ข้าพเจ้านั้นมีความรู้ซึ่งเราก็ได้แสดงแก่พวกท่านอย่างแจ่มชัดแล้วในทุกทาง

ผิดหรือที่ข้าพเจ้าลดตัวลงเพื่อยกชูท่านขึ้นด้วยการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ท่านโดยไม่คิดมูลค่า? ข้าพเจ้าปล้นคริสตจักรอื่นๆ ด้วยการรับเงินสนับสนุนจากเขาเพื่อมารับใช้พวกท่าน และเมื่ออยู่กับท่าน เวลาขาดแคลนสิ่งใดข้าพเจ้าก็ไม่เป็นภาระแก่ใคร เพราะพี่น้องผู้มาจากแคว้นมาซิโดเนียได้เกื้อกูลสิ่งจำเป็นให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ระวังตัวไม่ให้เป็นภาระใดๆ แก่พวกท่านและจะทำเช่นนั้นต่อไป 10 ความจริงของพระคริสต์อยู่ในข้าพเจ้าแน่นอนฉันใด ข้าพเจ้าก็ไม่ให้สิ่งใดมาหยุดการโอ้อวดเรื่องนี้ในแคว้นอาคายาฉันนั้น 11 เพราะอะไร? เพราะข้าพเจ้าไม่รักพวกท่านหรือ? พระเจ้าทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักท่าน! 12 ข้าพเจ้าจะทำเหมือนที่ทำอยู่นี้ต่อไป เพื่อหยุดยั้งคนเหล่านั้นที่กำลังหาโอกาสให้ได้รับการยอมรับเสมอกับเราในสิ่งที่เขาโอ้อวด

13 เพราะพวกนั้นเป็นอัครทูตเท็จ เป็นคนงานที่ล่อลวง ผู้ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์ 14 ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อซาตานเองยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้ 15 จึงไม่แปลกที่สมุนของซาตานจะปลอมตัวเป็นผู้รับใช้แห่งความชอบธรรมด้วย จุดจบของพวกเขาจะสาสมกับการกระทำของเขา

เปาโลอวดเรื่องการทนทุกข์

16 ข้าพเจ้าขอย้ำว่าอย่าคิดว่าข้าพเจ้าโง่ แต่ถ้าท่านคิดเช่นนั้นก็ขอให้รับข้าพเจ้าเหมือนที่ท่านรับคนโง่ เพื่อข้าพเจ้าจะได้อวดบ้าง 17 เมื่อข้าพเจ้าอวดอย่างมั่นใจในตัวเองเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้ทำตามอย่างองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ข้าพเจ้าทำอย่างคนโง่ 18 ในเมื่อหลายคนโอ้อวดแบบชาวโลก ข้าพเจ้าก็ขออวดบ้าง 19 ที่ท่านทนรับคนโง่เหล่านี้เพราะท่านช่างฉลาดเสียจริง! 20 อันที่จริงท่านถึงกับทนรับคนที่มาเอาท่านไปเป็นทาส คนที่ขูดรีดท่าน คนที่เอารัดเอาเปรียบท่าน คนที่ยกตนเป็นใหญ่เหนือท่าน หรือแม้แต่คนที่ตบหน้าท่าน 21 ข้าพเจ้าละอายใจที่ต้องยอมรับว่าเราอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำเช่นนี้!

ใครกล้าอวดเรื่องอะไร ข้าพเจ้าขอพูดอย่างคนโง่ว่าข้าพเจ้าก็กล้าอวดเรื่องนั้นเช่นกัน 22 เขาเป็นชาวฮีบรูหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน เขาเป็นชนอิสราเอลหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน เขาเป็นวงศ์วานของอับราฮัมหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน 23 เขาเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์หรือ? (ข้าพเจ้าเสียสติที่พูดเช่นนี้) ข้าพเจ้าเป็นยิ่งกว่าเสียอีก ข้าพเจ้าตรากตรำทำงานหนักกว่า ติดคุกบ่อยกว่า ถูกเฆี่ยนตีสาหัสกว่า และเผชิญกับความตายครั้งแล้วครั้งเล่า 24 ข้าพเจ้าถูกพวกยิวเฆี่ยนห้าครั้ง ครั้งละสามสิบเก้าที 25 ถูกฟาดด้วยไม้ตะบองสามครั้ง ถูกเอาหินขว้างหนึ่งครั้ง เรือแตกสามครั้ง ลอยคออยู่กลางทะเลหนึ่งคืนหนึ่งวัน 26 ข้าพเจ้าย้ายที่อยู่เสมอๆ เผชิญภัยในแม่น้ำ ภัยจากโจรผู้ร้าย ภัยจากพี่น้องร่วมชาติของตัวเอง ภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในเมือง ภัยนอกเมือง ภัยในทะเล และภัยจากพี่น้องจอมปลอม 27 ข้าพเจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย ทำงานด้วยความยากลำบาก อดหลับอดนอนอยู่เรื่อย ต้องหิวโหย อดข้าวอดน้ำบ่อยๆ ต้องหนาวเหน็บและเปลือยกาย 28 นอกจากทั้งหมดนี้แล้วข้าพเจ้ายังเผชิญความกดดันจากความห่วงใยที่ข้าพเจ้ามีต่อคริสตจักรทั้งปวงอยู่ทุกวัน 29 ใครบ้างอ่อนกำลังแล้วข้าพเจ้าไม่อ่อนกำลังไปด้วย? ใครบ้างถูกชักนำให้ทำบาปแล้วข้าพเจ้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจ?

30 ถ้าข้าพเจ้าต้องอวด ข้าพเจ้าก็จะอวดสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอของข้าพเจ้า 31 พระเจ้าและพระบิดาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นที่สรรเสริญตลอดนิรันดร์ทรงทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้โกหก 32 ที่เมืองดามัสกัส เจ้าเมืองผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของกษัตริย์อาเรทัสได้ให้ทหารเฝ้าไว้ทั่วเมืองเพื่อจะจับกุมข้าพเจ้า 33 แต่เขาเอาข้าพเจ้าใส่เข่งหย่อนลงมาจากช่องกำแพงเมือง ข้าพเจ้าจึงรอดพ้นเงื้อมมือเขามาได้

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.