Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อพยพ 24

การยืนยันพันธสัญญา

24 แล้วพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นมาเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับอาโรน นาดับ อาบีฮู และผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนของอิสราเอล พวกเจ้าทุกคนจะนมัสการอยู่ห่างๆ แต่โมเสสคนเดียวเท่านั้นจะขึ้นมาเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างใกล้ชิด ส่วนคนอื่นๆ อย่าเข้ามาใกล้ ห้ามประชาชนทั่วไปขึ้นมาด้วย”

โมเสสจึงแจ้งให้เหล่าประชากรทราบถึงบทบัญญัติและพระดำรัสทั้งสิ้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าเขาทั้งปวงก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่า “เราจะปฏิบัติตามทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้” โมเสสจึงบันทึกทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นโมเสสก่อแท่นบูชาที่เชิงเขาและตั้งเสาหินสิบสองต้นเป็นตัวแทนสิบสองเผ่าของอิสราเอล แล้วเขาสั่งให้ชายหนุ่มชาวอิสราเอลถวายเครื่องเผาบูชาและถวายวัวหนุ่มจำนวนหนึ่งเป็นเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า โมเสสแบ่งเลือดจากสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชามาครึ่งหนึ่งใส่ลงในอ่าง อีกครึ่งหนึ่งเขาพรมลงบนแท่นบูชา แล้วโมเสสอ่านหนังสือพันธสัญญานั้นให้ประชาชนฟัง พวกเขาก็ตอบว่า “เราจะปฏิบัติตามทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ เราจะเชื่อฟัง”

โมเสสจึงนำเลือดในอ่างพรมประชาชนและกล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำไว้กับท่านทั้งหลายตามพระดำรัสทั้งสิ้นนี้”

จากนั้นโมเสส อาโรน นาดับ อาบีฮู และผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคนของอิสราเอลขึ้นไปบนภูเขา 10 และเห็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล พื้นใต้พระบาทเป็นแนวเจิดจรัสราวกับแก้วไพฑูรย์สุกปลั่งแจ่มจ้าเหมือนท้องฟ้า 11 ถึงแม้ผู้นำเหล่านี้ของอิสราเอลเห็นพระเจ้า พระองค์ก็ไม่ได้ทรงทำลายพวกเขา และเขาทั้งหมดกินดื่มร่วมกัน

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นมาหาเราบนภูเขา รออยู่ที่นี่ แล้วเราจะมอบบทบัญญัติและพระบัญชาซึ่งเราจารึกบนแผ่นศิลาให้เจ้าเพื่อไว้สั่งสอนประชากร”

13 ดังนั้นโมเสสและโยชูวาผู้ช่วยของเขาจึงขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า 14 โมเสสกล่าวกับผู้อาวุโสเหล่านั้นว่า “ขอให้ท่านรออยู่ที่นี่จนกว่าพวกเราจะกลับมา อาโรนและเฮอร์อยู่กับพวกท่าน ใครมีเรื่องมีราวให้ไปหาเขาทั้งสองได้”

15 โมเสสจึงขึ้นไปบนภูเขา แล้วกลุ่มเมฆก็ปกคลุมภูเขานั้น 16 และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่บนภูเขาซีนาย มีเมฆปกคลุมอยู่ตลอดหกวัน ในวันที่เจ็ดองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกโมเสสจากเมฆ 17 ชนอิสราเอลเห็นพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนยอดเขา แลดูเหมือนไฟลุกจ้า 18 แล้วโมเสสก็เข้าไปในกลุ่มเมฆบนยอดเขา และอยู่ที่นั่นตลอดสี่สิบวันสี่สิบคืน

ยอห์น 3

พระเยซูทรงสอนนิโคเดมัส

มีฟาริสีคนหนึ่งชื่อนิโคเดมัส เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครูผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา”

พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่[a]

นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองเพื่อเกิดออกมาใหม่!”

พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ มนุษย์[b]ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณ[c] ให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่าน[d] ต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”

นิโคเดมัสทูลถามว่า “สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?”

10 พระเยซูตรัสว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล แล้วท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ? 11 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราพูดสิ่งที่เรารู้ และเราเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็นมา แต่ถึงกระนั้นพวกท่านก็ไม่ยอมรับคำพยานของเรา 12 เราได้พูดกับท่านถึงสิ่งในโลกนี้และท่านไม่เชื่อ แล้วถ้าเราพูดถึงสิ่งในสวรรค์ท่านจะเชื่อได้อย่างไร? 13 ไม่มีใครเคยขึ้นไปบนสวรรค์ เว้นแต่ผู้ที่มาจากสวรรค์คือบุตรมนุษย์[e] 14 โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์ก็ต้องถูกยกขึ้น[f]อย่างนั้น 15 เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร์[g]

16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์ 17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลกเพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยทางพระบุตรนั้น 18 ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า 19 คำตัดสินเป็นดังนี้คือ ความสว่างได้เข้ามาในโลก แต่มนุษย์รักความมืดแทนที่จะรักความสว่าง เพราะการกระทำของพวกเขาชั่วร้าย 20 ทุกคนที่ทำชั่วก็เกลียดความสว่าง และจะไม่เข้ามาในความสว่างเพราะกลัวว่าการกระทำของตนจะถูกเปิดโปง 21 แต่ผู้ใดที่มีชีวิตอยู่โดยความจริงย่อมมาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ตนทำนั้นได้ทำไปโดยพึ่งพระเจ้า”[h]

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นพยานเรื่องพระเยซู

22 หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปยังแถบชนบทของแคว้นยูเดียพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์ ที่นั่นพระองค์ทรงใช้เวลาอยู่กับพวกเขาและให้บัพติศมา 23 ยอห์นก็กำลังให้บัพติศมาอยู่เช่นกันที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิมเพราะที่นั่นมีน้ำมาก และประชาชนมารับบัพติศมาไม่ขาดสาย 24 (นี่เป็นช่วงก่อนที่ยอห์นจะถูกขังคุก) 25 เกิดการโต้เถียงขึ้นระหว่างสาวกบางคนของยอห์นกับชาวยิวคนหนึ่ง[i] เรื่องการชำระตามระเบียบพิธี 26 พวกเขามาหายอห์นและกล่าวแก่เขาว่า “รับบี ชายผู้ซึ่งเคยอยู่กับท่านที่อีกฟากแม่น้ำจอร์แดน ชายคนที่ท่านเป็นพยานถึงนั้นกำลังให้บัพติศมาอยู่ และทุกคนกำลังไปหาเขา”

27 ยอห์นตอบคำกล่าวนี้ว่า “มนุษย์ได้รับก็แต่เพียงสิ่งที่ประทานให้เขาจากสวรรค์ 28 พวกท่านเองก็เป็นพยานได้ถึงคำพูดของเราที่ว่า ‘เราไม่ใช่พระคริสต์[j] แต่เราถูกส่งมานำเสด็จพระองค์’ 29 เจ้าสาวย่อมเป็นของเจ้าบ่าว เพื่อนผู้ดูแลเจ้าบ่าวก็คอยฟังเขาอยู่ และเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เราก็มีความชื่นชมยินดีเช่นนั้น และบัดนี้ความชื่นชมยินดีนั้นก็เต็มบริบูรณ์แล้ว 30 พระองค์จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนเราต้องด้อยลง

31 “ผู้มาจากเบื้องบนนั้นย่อมอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง ผู้ที่มาจากโลกย่อมเป็นของโลกและพูดอย่างคนที่มาจากโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง 32 พระองค์ทรงเป็นพยานถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นและทรงสดับ แต่ไม่มีใครรับคำพยานของพระองค์ 33 ผู้ที่รับคำพยานนั้นก็ให้การรับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง 34 เพราะผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาย่อมกล่าวพระวจนะของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้า[k]ประทานพระวิญญาณโดยไม่จำกัด 35 พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระบุตร 36 ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา”[l]

โยบ 42

โยบ

42 โยบจึงทูลตอบองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

“ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งได้
แผนการของพระองค์ไม่มีอะไรขวางได้
พระองค์ตรัสถามว่า ‘ใครหนอที่บดบังคำปรึกษาของเราไว้โดยปราศจากความรู้?’
แน่ทีเดียว ข้าพระองค์พูดสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ
สิ่งที่อัศจรรย์เกินความรู้ของข้าพระองค์

“พระองค์ตรัสว่า ‘ฟังเถิด เราจะพูด
เราจะถาม
แล้วเจ้าจงตอบ’
หูของข้าพระองค์เคยได้ยินถึงเรื่องของพระองค์มาก่อน
แต่บัดนี้ตาของข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์แล้ว
ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดชังตัวเอง
และสำนึกผิดใน[a]กองธุลีและขี้เถ้า”

บทส่งท้าย

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยบจบแล้ว พระองค์ก็ตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “เราโกรธเจ้ากับเพื่อนอีกสองคนของเจ้า เพราะเจ้าไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้องเหมือนดั่งโยบผู้รับใช้ของเรา บัดนี้จงนำวัวผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัวไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องเผาบูชาสำหรับพวกเจ้าเอง แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเผื่อเจ้า เราจะรับคำอธิษฐานของโยบ และไม่ลงมือกับเจ้าตามความโง่เขลาของเจ้า เจ้าไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้องเหมือนโยบผู้รับใช้ของเรา” ฉะนั้นเอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอามาห์ จึงทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับคำอธิษฐานของโยบ

10 หลังจากที่โยบอธิษฐานเผื่อเพื่อนๆ แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้เขาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่งและประทานสิ่งต่างๆ ให้เขามากกว่าเดิมเป็นสองเท่า 11 แล้วพี่น้องชายหญิงและทุกคนที่รู้จักกันมาก่อนพากันมาร่วมเลี้ยงฉลองในบ้านของโยบ ปลอบใจเขาเกี่ยวกับความทุกข์ลำเค็ญต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำมาถึงโยบ แต่ละคนนำเงินหนึ่งแผ่น[b]และแหวนทองคำหนึ่งวงมามอบให้เขา

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรโยบในบั้นปลายของชีวิตมากยิ่งกว่าตอนต้น บัดนี้เขามีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลา 1,000 ตัว 13 เขายังมีบุตรชายเจ็ดคน บุตรสาวสามคนด้วย 14 บุตรสาวคนแรกของเขาชื่อเยมีมาห์ คนที่สองชื่อเคสิยาห์ คนที่สามชื่อเคเรนหัปปุค 15 ตลอดทั่วแดนนั้นไม่มีหญิงสาวคนใดงามเท่าบรรดาบุตรสาวของโยบ เขาได้จัดแบ่งมรดกให้แก่พวกนางเหมือนที่ให้กับบุตรชาย

16 หลังจากนั้นโยบมีอายุยืนยาวต่อไปอีก 140 ปี มีชีวิตอยู่เห็นหลานเหลนถึงสี่รุ่น 17 แล้วในที่สุดเขาก็สิ้นชีวิต เป็นคนชรามากทีเดียว

2 โครินธ์ 12

นิมิตและหนามยอกกายเปาโล

12 ข้าพเจ้าต้องโอ้อวดต่อไปถึงแม้จะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา ข้าพเจ้าก็ขอเล่าถึงนิมิตและการทรงสำแดงต่างๆ จากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งในพระคริสต์ ผู้ซึ่งสิบสี่ปีที่แล้วถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม จะไปในกายหรือนอกกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าเขาไปในกายนี้หรือนอกกาย พระเจ้าทรงทราบ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าชายผู้นี้ ถูกรับขึ้นไปถึงเมืองบรมสุขเกษม เขาได้ยินสิ่งต่างๆ ซึ่งไม่อาจจะพรรณนาได้ สิ่งซึ่งไม่อนุญาตให้มนุษย์บอกเล่า ข้าพเจ้าจะอวดถึงคนเช่นนี้แหละ แต่ข้าพเจ้าจะไม่อวดตนเอง เว้นแต่เรื่องความอ่อนแอของข้าพเจ้า ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเลือกที่จะอวด ข้าพเจ้าก็จะไม่เป็นเช่นคนโง่ เพราะข้าพเจ้าจะพูดความจริง แต่ข้าพเจ้ายับยั้งไว้เพื่อไม่ให้ใครยกย่องข้าพเจ้าเกินเลยจากสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดหรือทำ

เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าผยองเนื่องด้วยการทรงสำแดงอันยิ่งใหญ่เลิศล้ำเหล่านี้ จึงทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า เป็นทูตของซาตานคอยทรมานข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง

เปาโลห่วงใยพี่น้องชาวโครินธ์

11 ข้าพเจ้าได้ทำตนเองให้เป็นคนโง่ไปแล้วสิ แต่พวกท่านก็เป็นผู้ผลักดันให้ข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายน่าจะชมเชยข้าพเจ้า เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่มีอะไรดีเด่น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า “ยอดอัครทูต” เหล่านั้น 12 สิ่งต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นอัครทูตเช่น หมายสำคัญ การอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ต่างๆ ก็ทำแล้วท่ามกลางพวกท่านด้วยความพากเพียรอดทนบากบั่น 13 ท่าน

ด้อยกว่าคริสตจักรอื่นๆ ตรงไหน? ยกเว้นที่ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นภาระแก่ท่าน โปรดอภัยข้าพเจ้าในความผิดข้อนี้!

14 บัดนี้ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม และข้าพเจ้าจะไม่เป็นภาระแก่ท่าน เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการคือตัวท่านไม่ใช่ทรัพย์สินของท่าน ควรหรือที่ลูกๆ จะเก็บออมให้พ่อแม่? พ่อแม่ต่างหากที่ควรสะสมไว้ให้ลูก 15 ดังนั้นข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะใช้ทุกสิ่งที่มีและทุ่มเทตัวเองเพื่อท่าน ถ้าข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้น ท่านจะรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ? 16 อย่างที่เป็นมาข้าพเจ้าไม่เคยเป็นภาระแก่พวกท่าน แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างข้าพเจ้าใช้กลเม็ดดักจับท่าน! 17 ข้าพเจ้าฉกฉวยประโยชน์จากพวกท่านผ่านทางใครคนใดที่ข้าพเจ้าได้ส่งมาหรือ? 18 ข้าพเจ้าขอให้ทิตัสมาหาท่านและข้าพเจ้าก็ส่งพี่น้องคนหนึ่งมากับเขาด้วย ทิตัสไม่ได้ฉกฉวยอะไรจากท่านใช่ไหม? เราไม่ได้ทำหน้าที่ด้วยใจแบบเดียวกันและดำเนินตามแนวทางเดียวกันหรอกหรือ? 19 ตลอดมานี้ท่านคิดว่าเราแก้ตัวอยู่ใช่ไหม? ที่จริงเราพูดในสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างคนที่อยู่ในพระคริสต์ ท่านที่รักทุกสิ่งที่เราทำก็ทำเพื่อเสริมสร้างพวกท่าน 20 เนื่องจากข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อมาถึงข้าพเจ้าจะไม่เห็นท่านเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าอยากให้เป็น และท่านก็จะไม่เห็นข้าพเจ้าเป็นอย่างที่ท่านอยากให้เป็น ข้าพเจ้ากลัวว่าอาจจะมีการทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยา ฉุนเฉียว แตกแยก นินทาว่าร้าย หยิ่งลำพองและความวุ่นวาย 21 ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามาอีกครั้ง พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงทำให้ข้าพเจ้าต่ำลงต่อหน้าพวกท่าน และข้าพเจ้าจะเศร้าเสียใจเนื่องด้วยหลายคนที่ได้ทำบาปและยังไม่ยอมกลับใจละทิ้งความเสื่อมทราม ความบาปทางเพศ และการเสเพลซึ่งเขาได้ปล่อยตัวลุ่มหลง

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.