Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อพยพ 32

ลูกวัวทองคำ

32 เมื่อเหล่าประชากรเห็นว่าโมเสสล่าช้าไม่กลับลงมาจากภูเขา จึงพากันไปหาอาโรนและกล่าวว่า “มาเถิด ช่วยสร้างเทพเจ้าขึ้นมานำพวกเราไป เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสผู้ที่นำพวกเราออกมาจากอียิปต์”

อาโรนตอบพวกเขาว่า “ถอดตุ้มหูทองคำซึ่งภรรยา ลูกชาย และลูกสาวของพวกท่านสวมอยู่มาให้ข้าพเจ้าสิ” ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงนำตุ้มหูมามอบให้อาโรน เขาใช้ทองนั้นหล่อลูกวัวขึ้นมาตัวหนึ่ง คนทั้งหลายต่างพูดกันว่า “อิสราเอลเอ๋ย นี่คือเทพเจ้าของท่านผู้นำท่านออกมาจากอียิปต์”

เมื่ออาโรนเห็นเช่นนั้น จึงก่อแท่นบูชาขึ้นต่อหน้ารูปลูกวัวและประกาศว่า “วันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเหล่าประชาชนจึงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่มาถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องสันติบูชา แล้วนั่งล้อมวงกินดื่มและลุกขึ้นรื่นเริงในงานเลี้ยง

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงลงไปเถิด เพราะประชากรที่เจ้าพาออกมาจากอียิปต์เสื่อมทรามไปแล้ว พวกเขาละทิ้งคำบัญชาของเราอย่างรวดเร็วและหล่อรูปเคารพเป็นลูกวัวขึ้นมากราบไหว้และถวายเครื่องบูชา แล้วพูดกันว่า ‘อิสราเอลเอ๋ย นี่คือเทพเจ้าของท่านผู้นำท่านออกมาจากอียิปต์’”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “เราเห็นแล้วว่าคนเหล่านี้ดื้อด้านจริงๆ 10 ด้วยเหตุนี้จงปล่อยไว้ให้เป็นธุระของเราเอง เราจะระบายความโกรธทำลายล้างพวกเขาให้หมด แล้วเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่”

11 แต่โมเสสทูลวิงวอนขอพระเมตตาจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเหตุใดจึงทรงพระพิโรธต่อประชากรของพระองค์เอง ผู้ซึ่งพระองค์ทรงพาออกมาจากอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์? 12 เหตุใดจะให้ชาวอียิปต์พูดได้ว่า ‘พระเจ้าทรงล่อพวกเขาออกมาเพื่อฆ่าทิ้งที่ภูเขา และทำลายล้างให้สิ้นจากแผ่นดินโลก’? ขอทรงระงับพระพิโรธและอดกลั้นพระทัยไว้ ไม่ปล่อยให้ภัยพิบัติเกิดแก่ประชากรของพระองค์เอง 13 ขอทรงระลึกถึงอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับเขาเหล่านั้นโดยอ้างพระองค์เองว่า ‘เราจะทวีวงศ์วานของเจ้าให้มากมายดั่งดวงดาวบนท้องฟ้า และเราจะยกดินแดนทั้งหมดนี้ที่เราสัญญาไว้ให้วงศ์วานของเจ้าครอบครองตลอดไป’ ” 14 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเปลี่ยนพระทัยและไม่นำภัยพิบัติมาเหนือประชากรของพระองค์ตามที่ทรงดำริไว้

15 โมเสสก็ลงมาจากภูเขา นำศิลาสองแผ่นซึ่งจารึกพระบัญญัติสิบประการไว้ทั้งสองด้านลงมาด้วย 16 บทบัญญัติที่จารึกบนศิลาทั้งสองแผ่นนั้นเป็นลายพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง

17 เมื่อโยชูวาได้ยินเสียงคนข้างล่างโห่ร้องอึกทึกก็เอ่ยกับโมเสสว่า “ฟังดูเหมือนกำลังรบกันอยู่ในค่ายพัก”

18 แต่โมเสสตอบว่า

“นั่นไม่ใช่เสียงของคนชนะ
ไม่ใช่เสียงของคนแพ้
แต่ที่เราได้ยินนั้นเป็นเสียงร้องรำทำเพลง”

19 เมื่อลงมาใกล้ค่ายพัก โมเสสมองเห็นรูปลูกวัวและคนร่ายรำ โทสะของเขาก็พลุ่งขึ้นจึงทุ่มศิลาจารึกลงกับพื้นจนแตกกระจายอยู่ที่เชิงเขานั้นเอง 20 และเขาเอารูปลูกวัวนั้นมาเผาไฟ แล้วบดเป็นผงโรยลงน้ำและบังคับให้ชนอิสราเอลดื่ม

21 โมเสสถามอาโรนว่า “คนพวกนี้ทำอะไรท่านหรือ ท่านจึงนำพวกเขาเข้าสู่บาปที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้?”

22 อาโรนตอบว่า “โอ เจ้านาย อย่าเพิ่งโมโหเลย ท่านก็รู้จักคนพวกนี้ดีว่าเขาโน้มเอียงไปทางชั่วแค่ไหน 23 พวกเขากล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘ช่วยสร้างเทพเจ้าขึ้นมานำพวกเราไป เพราะเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสผู้ที่นำเราออกมาจากอียิปต์’ 24 ข้าพเจ้าจึงบอกพวกเขาว่า ‘ใครมีเครื่องทองก็จงถอดออกมา’ พวกเขาก็เอาทองมาให้ ข้าพเจ้าโยนทองลงไปในไฟก็ได้ออกมาเป็นลูกวัวนี่แหละ!”

25 เมื่อโมเสสเห็นว่าประชากรเตลิดไปโดยแรงสนับสนุนจากอาโรน เป็นที่น่าเย้ยหยันสำหรับศัตรู 26 ดังนั้นเขาจึงไปยืนตรงทางเข้าค่ายและกล่าวว่า “ทุกคนที่อยู่ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าจงมาหาเรา” แล้วคนเลวีทั้งหมดก็มา

27 แล้วเขากล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘แต่ละคนจงถือดาบตะลุยไปทั่วค่าย ฆ่าทุกคนแม้ว่าจะเป็นพี่น้อง เพื่อน หรือเพื่อนบ้านก็ตาม’ ” 28 พวกเลวีก็ปฏิบัติตามที่โมเสสบัญชา โดยได้สังหารคนถึงสามพันคนในวันนั้น 29 โมเสสกล่าวว่า “ในวันนี้พวกท่านได้แยกตัวเองออกมาเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะท่านเชื่อฟังพระองค์ ถึงแม้ว่าต้องต่อสู้กับลูกหรือพี่น้องของตัวเอง พระองค์ทรงอวยพรท่านทั้งหลายในวันนี้”

30 วันรุ่งขึ้นโมเสสกล่าวกับเหล่าประชากรว่า “ท่านได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง แต่บัดนี้เราจะขึ้นไปเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อบางทีจะทูลขอการอภัยโทษบาปของท่านได้”

31 โมเสสจึงกลับไปเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกราบทูลว่า “ประชากรเหล่านี้ทำบาปร้ายแรงอะไรเช่นนี้! พวกเขาได้สร้างรูปเคารพทองคำ 32 ถึงกระนั้นขอทรงกรุณาอภัยโทษบาปของพวกเขา หาไม่แล้วขอทรงลบข้าพระองค์ออกจากหนังสือที่ทรงเขียนไว้”

33 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “ผู้ใดก็ตามที่ทำบาปต่อเรา เราจะลบออกจากหนังสือของเรา 34 บัดนี้จงไปเถิด นำเหล่าประชากรนี้ไปยังสถานที่ซึ่งเราบอกเจ้าไว้แล้ว ทูตของเราจะนำหน้าพวกเจ้าไป อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลา เราจะลงโทษบาปของพวกเขา”

35 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เกิดภัยพิบัติแก่ประชากร เพราะพวกเขานมัสการลูกวัวซึ่งอาโรนทำขึ้น

ยอห์น 11

ลาซารัสสิ้นชีวิต

11 ชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสป่วยอยู่ เขามาจากเบธานี หมู่บ้านที่มารีย์กับมารธาพี่สาวของนางอยู่ มารีย์ซึ่งลาซารัสน้องชายของนางป่วยอยู่นี้ เป็นคนเดียวกับหญิงที่รินน้ำมันหอมชโลมพระเยซูและใช้ผมของนางเช็ดพระบาทของพระองค์ ดังนั้นพี่สาวทั้งสองจึงให้คนมาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่”

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วพระเยซูก็ตรัสว่า “ความเจ็บป่วยนี้ไม่ถึงตายแต่เกิดขึ้นเพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระเจ้าได้รับเกียรติสิริโดยการนี้” พระเยซูทรงรักมารธากับน้องสาวของนางและลาซารัส กระนั้นเมื่อทรงได้ข่าวว่าลาซารัสป่วยก็ยังประทับอยู่ที่เดิมอีกสองวัน

จากนั้นพระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เรากลับไปที่แคว้นยูเดียกันเถิด”

พวกเขาทูลว่า “แต่รับบี เมื่อไม่นานมานี้เองพวกยิวพยายามจะเอาหินขว้างพระองค์แล้วพระองค์ยังจะทรงกลับไปที่นั่นอีกหรือ?”

พระเยซูตรัสตอบว่า “กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ? ผู้ที่เดินในเวลากลางวันจะไม่สะดุดเพราะเขามองเห็นโดยความสว่างของโลกนี้ 10 เขาสะดุดเมื่อเขาเดินตอนกลางคืนเพราะเขาไม่มีความสว่าง”

11 หลังจากที่พระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ตรัสบอกพวกเขาต่อไปว่า “ลาซารัสเพื่อนของเราหลับไปแล้วแต่เราจะไปที่นั่นเพื่อปลุกเขาขึ้นมา”

12 เหล่าสาวกของพระองค์ทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า หากเขาหลับอาการก็คงจะดีขึ้น” 13 พระเยซูได้ตรัสถึงความตายของลาซารัสแต่พวกสาวกคิดว่าทรงหมายถึงการนอนหลับธรรมดา

14 ดังนั้นพระองค์จึงทรงบอกพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15 เพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึงดีใจที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ แต่ให้พวกเราไปหาเขากันเถิด”

16 โธมัสที่เรียกกันว่า ดิไดมัส[a] พูดกับเหล่าสาวกคนอื่นๆ ว่า “ให้เราไปด้วยกันเถิด เพื่อเราจะได้ตายกับพระองค์”

พระเยซูทรงปลอบใจพี่สาวทั้งสองของลาซารัส

17 เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงก็พบว่าลาซารัสอยู่ในหลุมฝังศพสี่วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีห่างจากกรุงเยรูซาเล็มไม่ถึง 3 กิโลเมตร[b] 19 ชาวยิวหลายคนมาหามารธากับมารีย์เพื่อปลอบใจพวกนางที่สูญเสียน้องชาย 20 เมื่อมารธาได้ยินว่าพระเยซูกำลังเสด็จมาก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์ยังอยู่ที่บ้าน

21 มารธาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพระองค์ทรงอยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย 22 แต่ข้าพระองค์รู้ว่าแม้ขณะนี้สิ่งใดๆ ที่ทรงขอ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์”

23 พระเยซูตรัสกับนางว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก”

24 มารธาทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในการเป็นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย”

25 พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตายและให้ชีวิตแก่เขา ผู้ที่เชื่อในเราจะมีชีวิตอยู่แม้ว่าเขาตายไป 26 และไม่ว่าใครที่มีชีวิตอยู่และเชื่อในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้หรือไม่?”

27 นางทูลว่า “เชื่อพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์คือพระคริสต์[c]พระบุตรของพระเจ้าผู้เสด็จเข้ามาในโลก”

28 หลังจากทูลดังนั้นแล้วนางก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาวและบอกว่า “พระอาจารย์มาที่นี่แล้วและกำลังทรงถามหาเจ้า” 29 เมื่อมารีย์ได้ฟังเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นมาหาพระองค์ 30 ขณะนั้นพระเยซูยังไม่ได้เข้ามาในหมู่บ้านแต่ยังทรงอยู่ในที่ซึ่งมารธามาพบพระองค์ 31 เมื่อพวกยิวที่คอยปลอบใจมารีย์อยู่ที่บ้านเห็นว่านางรีบลุกขึ้นออกไป พวกเขาก็ตามนางมาเพราะคิดว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ

32 เมื่อมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับและเห็นพระองค์ นางก็หมอบลงแทบพระบาทและทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า หากพระองค์ทรงอยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์คงไม่ตาย”

33 เมื่อพระเยซูทรงเห็นนางร้องไห้และพวกยิวที่มากับนางร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์และสะเทือนพระทัยยิ่งนัก 34 และตรัสถามว่า “พวกท่านวางเขาไว้ที่ไหน?”

พวกเขาทูลว่า “มาทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าข้า”

35 พระเยซูทรงร้องไห้

36 แล้วพวกยิวจึงพูดว่า “ดูสิ พระองค์ทรงรักเขามากแค่ไหน!”

37 แต่บางคนพูดว่า “พระองค์ผู้ทำให้คนตาบอดเห็นได้ จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”

พระเยซูทรงให้ลาซารัสเป็นขึ้นจากตาย

38 อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงสะเทือนพระทัยยิ่งนัก พระองค์เสด็จมาที่อุโมงค์ฝังศพซึ่งเป็นถ้ำที่มีหินก้อนหนึ่งปิดทางเข้า 39 พระองค์ตรัสว่า “เอาหินออก”

มารธาพี่สาวของผู้ตายทูลว่า “แต่พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้คงมีกลิ่นเหม็นแล้วเพราะเขาอยู่ในอุโมงค์มาสี่วันแล้ว”

40 จากนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า “เราบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า?”

41 ดังนั้นพวกเขาจึงเอาหินออก แล้วพระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นและตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสดับฟังข้าพระองค์ 42 ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์เสมอ แต่ที่ทูลเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของผู้คนซึ่งยืนอยู่ที่นี่ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา”

43 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระเยซูทรงเรียกด้วยเสียงอันดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด!” 44 ผู้ตายก็ออกมามีแถบผ้าลินินพันมือและเท้าของเขาและมีผ้าผืนหนึ่งคลุมศีรษะเว้นแต่ใบหน้าของเขาไว้

พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เอาผ้าพันศพออกและปล่อยเขาเถิด”

แผนสังหารพระเยซู

45 ดังนั้นชาวยิวหลายคนที่มาเยี่ยมมารีย์และได้เห็นสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำก็เชื่อพระองค์ 46 แต่พวกเขาบางคนไปพบพวกฟาริสีและเล่าสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้พวกนั้นฟัง 47 แล้วบรรดาหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีจึงเรียกประชุมสภาแซนเฮดริน

พวกเขาถามกันว่า “เราทำอะไรได้บ้าง? ชายคนนี้กำลังทำหมายสำคัญหลายอย่าง 48 ถ้าเราขืนปล่อยให้เขาทำแบบนี้ต่อไปทุกคนก็จะพากันเชื่อเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาเอาทั้งพระวิหารและชาติของเราไป”

49 จากนั้นคนหนึ่งในพวกเขาชื่อคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้นจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านไม่รู้อะไรเลย! 50 พวกท่านไม่ได้ตระหนักว่า สำหรับพวกท่านแล้ว การให้คนหนึ่งตายเพื่อประชาชนยังดียิ่งกว่าให้ทั้งชาติต้องพินาศ”

51 เขาไม่ได้กล่าวดังนี้ตามความคิดของเขาเองแต่ในฐานะมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น เขาพยากรณ์ว่าพระเยซูจะตายเพื่อชนชาติยิว 52 และไม่เพียงแต่ชนชาตินั้นแต่ยังตายเพื่อบุตรของพระเจ้าที่กระจัดกระจายอยู่เพื่อนำพวกเขาเข้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียว 53 ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นมาพวกเขาจึงวางแผนจะเอาชีวิตของพระองค์

54 เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จในหมู่ชาวยิวอย่างเปิดเผยอีกต่อไปแต่ทรงปลีกตัวไปอยู่ที่หมู่บ้านเอฟราอิมใกล้ถิ่นกันดาร พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นกับเหล่าสาวกของพระองค์

55 เมื่อใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิว ผู้คนมากมายจากชนบทเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมชำระตนตามระเบียบพิธีก่อนเทศกาลปัสกา 56 เขาทั้งหลายเฝ้ามองหาพระเยซู ขณะยืนอยู่ในบริเวณพระวิหารพวกเขาถามกันว่า “ท่านคิดเห็นอย่างไร? พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้เลยหรือ?” 57 ฝ่ายพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกฟาริสีสั่งไว้ว่าถ้าผู้ใดรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่ไหนให้มารายงาน พวกเขาจะได้ไปจับพระองค์

สุภาษิต 8

เสียงเรียกของปัญญา

ปัญญาไม่ได้ส่งเสียงเรียกอยู่หรือ?
ความเข้าใจไม่ได้ร้องเรียกอยู่หรือ?
ปัญญายืนอยู่บนที่สูง ริมทางเดิน
และตรงทางแยก
ปัญญาร้องเสียงดัง
อยู่ที่ข้างประตูเข้าเมืองว่า
“มนุษย์ทั้งหลายเอ๋ย เราร้องเรียกพวกเจ้า
เราป่าวร้องแก่มนุษย์ทั้งปวง
เจ้าคนอ่อนต่อโลก จงมีความสุขุมรอบคอบ
เจ้าคนโง่ จงใส่ใจในสิ่งนี้
ฟังเถิด เรามีเรื่องสำคัญมากจะบอก
เราเอ่ยปากเพื่อกล่าวสิ่งที่ถูกต้อง
ปากของเรากล่าวความจริง
ริมฝีปากของเราชิงชังความชั่ว
วาจาทั้งสิ้นของเราเที่ยงธรรม
ไม่มีการลดเลี้ยวหรือบิดเบือน
คำพูดของเราตรงไปตรงมาสำหรับผู้มีความเข้าใจ
และถูกทำนองคลองธรรมสำหรับผู้มีความรู้
10 จงเลือกคำสอนของเราแทนที่จะเลือกเงิน
เลือกความรู้แทนที่จะเลือกทองเนื้อเก้า
11 เพราะปัญญาสูงค่ากว่าทับทิม
สิ่งที่เจ้าปรารถนาไม่มีอะไรเปรียบกับนางได้

12 “เรา ปัญญา อยู่คู่ความสุขุมรอบคอบ
เรามีความรู้และความเฉลียวฉลาด
13 ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการเกลียดชังความชั่ว
เราชิงชังความหยิ่งยโส ความจองหอง
การประพฤติชั่ว และวาจาตลบตะแลง
14 คำปรึกษาและดุลยพินิจเป็นของเรา
เรามีความเข้าใจและอำนาจ
15 โดยเรา บรรดากษัตริย์จึงครอบครอง
และชนชั้นปกครองก็ตรากฎหมายที่ยุติธรรม
16 โดยเรา บรรดาเจ้านายจึงปกครอง
และบรรดาขุนนาง คือคนทั้งปวงที่ปกครองอยู่ในโลก[a]
17 เรารักผู้ที่รักเรา
คนที่เสาะหาเราก็พบเรา
18 ทรัพย์สมบัติและเกียรติยศอยู่กับเรา
ความมั่งคั่งและความเจริญรุ่งเรืองอันยั่งยืนด้วย
19 ผลของเราดียิ่งกว่าทองแท้
สิ่งที่เราให้ล้ำค่ายิ่งกว่าเงินบริสุทธิ์
20 เราดำเนินในวิถีแห่งความชอบธรรม
ตามเส้นทางแห่งความยุติธรรม
21 เราให้ความมั่งคั่งเป็นมรดกแก่ผู้ที่รักเรา
ทำให้คลังสมบัติของเขาเต็มบริบูรณ์

22 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้กำเนิดเราเป็นสิ่งแรกก่อนสิ่งอื่นที่พระองค์ทรงกระทำ[b]
ก่อนบรรดาพระราชกิจของพระองค์ตั้งแต่ครั้งโบราณ
23 ตั้งแต่โบราณกาลเราถูกสร้างขึ้น
ตั้งแต่ปฐมกาลก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น
24 เราถือกำเนิดตั้งแต่ยังไม่มีมหาสมุทร
ก่อนน้ำพุพุ่งขึ้นมาสู่ผิวโลก
25 ก่อนภูเขาและเนินเขาถูกสร้างขึ้น
เราก็เกิดแล้ว
26 ก่อนที่พระเจ้าทรงสร้างโลกและท้องทุ่ง
ก่อนผงธุลีใดๆ ของโลก
27 เราอยู่ที่นั่น เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์
เมื่อพระองค์ทรงกำหนดเส้นขอบฟ้าบนพื้นผิวของมหาสมุทร
28 เมื่อพระองค์ทรงวางตำแหน่งของเมฆเบื้องบน
และทรงกำหนดตาน้ำแห่งห้วงบาดาล
29 เมื่อพระองค์ทรงขีดพรมแดนของทะเล
เพื่อไม่ให้น้ำล้ำเขตตามพระบัญชาของพระองค์
และเมื่อพระองค์ทรงปักผังวางฐานรากของโลก
30 ในตอนนั้นเราอยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดเวลา[c]
เปี่ยมด้วยความปีติยินดีวันแล้ววันเล่า
ชื่นชมยินดีอยู่ต่อหน้าพระองค์เสมอ
31 ชื่นชมยินดีกับโลกที่พระองค์ทรงสร้าง
และเปรมปรีดิ์ในมนุษยชาติ

32 “ดังนั้นลูกเอ๋ย จงฟังเรา
ความสุขมีแก่ผู้ที่รักษาวิถีทางของเรา
33 จงฟังคำสอนของเรา แล้วจงฉลาดขึ้น
อย่าเพิกเฉยละเลย
34 ความสุขมีแก่ผู้ที่ฟังเรา
เฝ้ารอเราทุกวันที่ริมประตู
คอยท่าที่หน้าบ้านของเรา
35 เพราะผู้ใดก็ตามที่พบเราย่อมพบชีวิต
และได้รับความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
36 ส่วนผู้ที่พลาดจากเราก็ทำร้ายตัวเอง
ทุกคนที่เกลียดเราก็รักความตาย”

เอเฟซัส 1

จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ถึงประชากรของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส[a] ผู้สัตย์ซื่อใน[b]พระเยซูคริสต์

ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย

พระพรฝ่ายจิตวิญญาณในพระคริสต์

สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์[c]ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก พระองค์[d]ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าที่จะรับเราเป็นบุตรของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์อันดีของพระองค์ เพื่อเป็นการสรรเสริญพระคุณสูงส่งซึ่งพระองค์ประทานให้เราเปล่าๆ อย่างเหลือล้นในพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า ในพระเยซู เราได้รับการไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปตามพระคุณอันอุดมของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่เราอย่างเหลือล้นด้วยสติปัญญาและความเข้าใจทั้งปวง และพระองค์[e]ทรงให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระดำริของพระองค์ตามที่พอพระทัยซึ่งทรงมุ่งหมายไว้ในพระคริสต์ 10 พระดำริของพระองค์ก็คือ เมื่อถึงกำหนดเวลา พระองค์จะทรงรวมสิ่งสารพัดทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกไว้ภายใต้พระคริสต์ผู้ทรงเป็นศีรษะ

11 ในพระองค์ เรายังได้รับการทรงเลือก[f] ตามที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าตามแผนการของพระองค์ผู้ทรงกระทำให้ทุกสิ่งเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของพระประสงค์ของพระองค์ 12 เพื่อเราทั้งหลายซึ่งเป็นพวกแรกที่มีความหวังในพระคริสต์จะได้สรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์ 13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตราคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ 14 ผู้เป็นมัดจำค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเราจนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์

ขอบพระคุณและทูลขอ

15 ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูเจ้า และความรักของท่านที่มีต่อประชากรทุกคนของพระเจ้า 16 ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้งเพราะท่านและเฝ้าอธิษฐานเผื่อท่าน 17 ข้าพเจ้าเพียรทูลขอให้พระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราคือพระบิดาผู้ทรงพระเกียรติสิริ ทรงให้ท่านมีพระวิญญาณ[g]แห่งสติปัญญาและการสำแดงเพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ดียิ่งขึ้น 18 ข้าพเจ้ายังขอให้ตาใจของท่านสว่าง เพื่อท่านจะได้รู้ถึงความหวังที่ทรงเรียกท่านมานั้น รู้ถึงความมั่งคั่งแห่งมรดกอันรุ่งเรืองของพระองค์สำหรับประชากรของพระองค์ 19 และรู้ถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สุดหาใดเทียบสำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ฤทธานุภาพนี้เป็นเหมือนพระราชกิจแห่งพลังอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 20 ซึ่งทรงกระทำในพระคริสต์เมื่อทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และให้ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน 21 สูงส่งยิ่งเหนือเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพ และเทพผู้ครองอาณาจักรทั้งสิ้น และเหนือทุกนามที่เขาเอ่ยขึ้น ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคหน้าด้วย 22 และพระเจ้าทรงให้สิ่งสารพัดอยู่ใต้พระบาทพระคริสต์ และทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือทุกสิ่งเพื่อคริสตจักร 23 อันเป็นพระกายของพระองค์ ซึ่งบริบูรณ์ด้วยพระองค์ผู้ทรงให้ทุกสิ่งบริบูรณ์ในทุกทาง

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.