M’Cheyne Bible Reading Plan
เครื่องแต่งกายปุโรหิต
39 เขาใช้ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงทอเครื่องแต่งกายเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในสถานนมัสการและเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
เอโฟด(A)
2 พวกเขา[a]ทำเอโฟดโดยใช้ทองคำ ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดี 3 พวกเขาเอาทองมาตีแผ่จนบาง ตัดเป็นเส้นๆ เพื่อจะทอเข้าไปกับผ้าลินินเนื้อดี ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง นี่เป็นผลงานของช่างฝีมือผู้ชำนาญ 4 พวกเขาทำแถบสองชิ้นที่บ่าสำหรับเอโฟดไว้โยงมุมสำหรับผูกเข้าด้วยกัน 5 ทำสายคาดเอวอย่างประณีตด้วยทองคำ ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดีทอเข้าเป็นชิ้นเดียวกับเอโฟดตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
6 พวกเขานำโกเมนสองชิ้นฝังบนเรือนทองและสลักชื่อบุตรชายทั้งหลายของอิสราเอลเหมือนกรรมวิธีสลักแหวนตรา 7 แล้วพวกเขาติดเข้ากับแถบบ่าของเอโฟด เป็นหินอนุสรณ์ถึงประชากรอิสราเอลตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
ทับทรวง(B)
8 พวกเขาทำทับทรวงโดยช่างฝีมือผู้ชำนาญโดยใช้ทองคำ ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดีเหมือนกับที่ใช้ทำเอโฟด 9 เป็นผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างยาวด้านละหนึ่งคืบ[b] พับเป็นสองทบ 10 แล้วพวกเขาฝังอัญมณีสี่แถวเข้ากับทับทรวง แถวแรกได้แก่ ทับทิม บุษราคัม และนิล 11 แถวที่สองได้แก่ พลอยขี้นกการเวก ไพฑูรย์ และมรกต 12 แถวที่สามได้แก่ พลอยสีม่วง โมรา และเพทายม่วง 13 แถวที่สี่ได้แก่ เพทาย โกเมน และมณีโชติ ทั้งหมดนี้ฝังไว้บนเรือนทอง 14 อัญมณีสิบสองเม็ดนี้แต่ละเม็ดสลักชื่อบุตรชายแต่ละคนของอิสราเอลแทนทั้งสิบสองเผ่าเหมือนสลักตรา
15 พวกเขายังได้ทำสร้อยเกลียวทองคำบริสุทธิ์ลักษณะคล้ายเชือกสำหรับทับทรวง 16 และทำเรือนทองสองเรือนกับห่วงทองคำสองห่วง ติดห่วงทองคำทั้งสองเข้ากับมุมทั้งสองของทับทรวง 17 เขาคล้องสร้อยเกลียวทองสองสายเข้ากับห่วงที่มุมทับทรวง 18 และติดปลายอีกด้านของสร้อยเกลียวเข้ากับเรือนทองทั้งสอง แล้วติดเข้ากับแถบบ่าทั้งสองของเอโฟดตรงด้านหน้า 19 เขาทำห่วงทองคำสองห่วงติดกับอีกสองมุมของทับทรวงตรงขอบด้านในชิดกับเอโฟด 20 และทำห่วงทองคำอีกสองห่วงติดที่ปลายล่างของแถบบ่าตรงด้านหน้าของเอโฟด ชิดกับตะเข็บเหนือสายคาดเอวของเอโฟด 21 เขาผูกห่วงของทับทรวงเข้ากับห่วงของเอโฟดโดยใช้ด้ายถักสีน้ำเงินติดเข้ากับสายคาดเอว เพื่อไม่ให้ทับทรวงเลื่อนหลุดจากเอโฟด ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
เครื่องแต่งกายของปุโรหิตชิ้นอื่นๆ(C)
22 พวกเขาทอเสื้อคลุมเข้าชุดกับเอโฟดด้วยผ้าสีน้ำเงินทั้งตัว 23 มีช่องตรงกลางเป็นคอเสื้อ[c]สำหรับสวมหัว มีแถบทอขลิบริมเพื่อไม่ให้ขาดลุ่ย 24 แล้วทำผลทับทิมด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง และผ้าลินินเนื้อดีไว้รอบชายเสื้อคลุม 25 และเขาทำลูกพรวนทองคำบริสุทธิ์ติดสลับกับผลทับทิมรอบชายเสื้อคลุม 26 เสื้อคลุมที่ชายล่างติดผลทับทิมสลับลูกพรวนนี้ สำหรับอาโรนใช้สวมเวลาปฏิบัติหน้าที่ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
27 เขาทอเสื้อตัวในด้วยผ้าลินินเนื้อดีสำหรับอาโรนและบรรดาบุตรชาย 28 แถบคาดหน้าผาก ผ้าโพกศีรษะ และเครื่องแต่งกายชั้นใน ล้วนทำจากผ้าลินินเนื้อดีแบบเดียวกันนี้ 29 สายคาดเอวทำด้วยผ้าลินินเนื้อดี ปักอย่างวิจิตรโดยใช้ด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
30 เขาทำแผ่นทองคำบริสุทธิ์สำหรับคาดหน้าผากสลักข้อความเหมือนสลักตราว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” 31 แล้วเขาใช้ด้ายสีน้ำเงินผูกแผ่นทองคำนี้ติดกับผ้าโพกศีรษะ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส
โมเสสตรวจงานพลับพลา(D)
32 ดังนั้นงานทุกชิ้นสำหรับการสร้างพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบก็สำเร็จสมบูรณ์ ชนอิสราเอลได้ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ทุกประการ 33 พวกเขานำส่วนประกอบทั้งหมดมามอบแก่โมเสสดังนี้คือ พลับพลา อุปกรณ์ประกอบทุกอย่าง ตะขอ ไม้ฝาพลับพลา คานขวาง เสา ฐานรองรับ 34 เครื่องคลุมพลับพลาที่ทำจากหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงและที่ทำจากหนังพะยูน ม่านกั้นทางเข้า 35 หีบพันธสัญญาพร้อมคานหาม และพระที่นั่งกรุณา 36 โต๊ะพร้อมภาชนะทุกอย่างและขนมปังเบื้องพระพักตร์ 37 คันประทีปทองคำบริสุทธิ์พร้อมตะเกียง เครื่องใช้ประกอบทุกอย่าง และน้ำมันสำหรับจุดประทีป 38 แท่นทองคำ น้ำมันเจิม เครื่องหอม ม่านกั้นทางเข้าเต็นท์ 39 แท่นทองสัมฤทธิ์พร้อมตะแกรงทองสัมฤทธิ์ และคานหาม และเครื่องใช้ทุกอย่าง อ่างชำระพร้อมฐานรอง 40 ม่านกั้นลานพลับพลาพร้อมเสาและฐานรองรับ และม่านกั้นทางเข้าลานพลับพลา เชือก และหลักหมุด สำหรับลานพลับพลา เครื่องตบแต่งทั้งหมด สำหรับพลับพลาหรือเต็นท์นัดพบ 41 ทั้งเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ที่ทอขึ้นสวมใส่เมื่อรับใช้ในสถานนมัสการสำหรับปุโรหิตอาโรนและบรรดาบุตรชายสวมขณะปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิต
42 ชนอิสราเอลทั้งปวงปฏิบัติตามทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส 43 โมเสสตรวจตราผลงานทั้งหมดและกล่าวอวยพรพวกเขา เพราะทุกสิ่งเรียบร้อยตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พระเยซูถูกจับกุม(A)
18 เมื่อพระองค์อธิษฐานจบแล้วพระเยซูทรงไปกับเหล่าสาวก ข้ามหุบเขาขิดโรนไปยังสวนมะกอกเทศแห่งหนึ่ง พระองค์ทรงเข้าไปใน สวนนั้นพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์
2 ฝ่ายยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็รู้จักที่แห่งนี้เพราะพระเยซูทรงมาพบเหล่าสาวกที่นี่บ่อยๆ 3 ดังนั้นยูดาสจึงนำกองทหารกับเจ้าหน้าที่จากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีมาที่สวนนี้ พวกเขาถือคบไฟ ตะเกียง และอาวุธมาด้วย
4 พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงเสด็จออกมาและตรัสถามพวกเขาว่า “พวกท่านต้องการตัวใคร?”
5 พวกเขาตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ”
พระเยซูตรัสว่า “เราคือผู้นั้น” (และยูดาสผู้ทรยศยืนอยู่กับพวกนั้น) 6 เมื่อพระเยซูตรัสว่า “เราคือผู้นั้น” พวกเขาก็ผงะถอยล้มลงกับพื้น
7 พระเยซูตรัสถามพวกเขาอีกครั้งว่า “พวกท่านต้องการตัวใคร?”
และเขาทั้งหลายทูลว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ”
8 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกท่านแล้วว่าเราคือผู้นั้น หากท่านกำลังหาตัวเราก็ปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด” 9 ทั้งนี้เพื่อจะเป็นจริงตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “เราไม่ได้สูญเสียคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่เราไปแม้สักคนเดียว”[a]
10 แล้วซีโมนเปโตรก็ชักดาบของเขาออกมาฟันบ่าวของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาด (บ่าวคนนั้นชื่อมัลคัส)
11 พระเยซูตรัสสั่งเปโตรว่า “เก็บดาบของท่าน! เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระบิดาได้ประทานแก่เราหรือ?”
พระเยซูทรงถูกนำตัวไปพบอันนาส(B)
12 แล้วกองทหารกับผู้บังคับกองและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้ 13 และนำพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เขาเป็นพ่อตาของคายาฟาสผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น 14 คายาฟาสคือผู้ที่เคยแนะนำพวกยิวว่า จะเป็นการดีถ้าให้ชายคนเดียวตายเพื่อประชาชน
เปโตรปฏิเสธพระเยซูครั้งแรก(C)
15 ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งตามพระเยซูมา สาวกผู้นี้ตามพระเยซูไปจนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิตเพราะเขารู้จักกับมหาปุโรหิต 16 แต่เปโตรต้องคอยอยู่ข้างนอกที่ประตู สาวกคนนี้ที่รู้จักกับมหาปุโรหิตกลับออกมาพูดกับหญิงซึ่งทำหน้าที่อยู่ที่ประตูและพาเปโตรเข้าไปข้างใน
17 หญิงที่ประตูคนนั้นถามเปโตรว่า “เจ้าเป็นสาวกคนหนึ่งของเขามิใช่หรือ?”
เขาตอบว่า “ไม่ ข้าไม่ได้เป็น”
18 ขณะนั้นอากาศหนาวเย็น พวกคนรับใช้กับพวกเจ้าหน้าที่ยืนอยู่รอบกองไฟที่จุดขึ้นเพื่อให้อุ่น เปโตรก็ยืนผิงไฟกับพวกเขาด้วย
มหาปุโรหิตไต่สวนพระเยซู(D)
19 ขณะเดียวกันมหาปุโรหิตถามพระเยซูเกี่ยวกับเหล่าสาวกและคำสอนของพระองค์
20 พระเยซูตรัสตอบว่า “เรากล่าวกับโลกอย่างเปิดเผย เราสอนในธรรมศาลาหรือในพระวิหารเสมอ สถานที่เหล่านี้เป็นที่ซึ่งคนยิวทั้งปวงมาชุมนุมกัน เราไม่ได้พูดสิ่งใดอย่างลับๆ เลย 21 มาสอบสวนเราทำไม? ถามคนที่ฟังเราเถิด แน่นอน พวกเขาย่อมรู้ว่าเราพูดอะไรบ้าง”
22 เมื่อพระเยซูตรัสเช่นนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตบพระพักตร์พระองค์และถามว่า “เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนี้หรือ?”
23 พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเราพูดอะไรผิดก็จงเป็นพยานสิว่าผิดตรงไหน แต่ถ้าเราพูดความจริงท่านตบเราทำไม?” 24 แล้วอันนาสจึงให้นำพระเยซูซึ่งยังถูกมัดอยู่ไปพบมหาปุโรหิตคายาฟาส[b]
เปโตรปฏิเสธพระเยซูอีก(E)
25 ขณะซีโมนเปโตรยืนผิงไฟอยู่ มีคนถามว่า “เจ้าเป็นสาวกคนหนึ่งของเขามิใช่หรือ?” เปโตรปฏิเสธว่า “ข้าไม่ได้เป็น”
26 คนรับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นญาติกับคนที่ถูกเปโตรฟันหูขาดก็ยืนยันว่า “ข้าเห็นเจ้าอยู่กับเขาในสวนมะกอกเทศมิใช่หรือ?” 27 เปโตรปฏิเสธอีกและทันใดนั้นไก่ก็เริ่มขัน
พระเยซูต่อหน้าปีลาต(F)
28 จากนั้นพวกยิวนำพระเยซูจากบ้านคายาฟาสไปยังวังของผู้ว่าการชาวโรมัน เมื่อถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเช้าตรู่พวกยิวจึงไม่เข้าไปในวังเพื่อจะได้ไม่เป็นมลทินตามระเบียบพิธี พวกเขาต้องการให้ตนเองเข้าร่วมรับประทานปัสกาได้ 29 ดังนั้นปีลาตจึงออกมาพบพวกเขาและถามว่า “พวกท่านฟ้องร้องชายผู้นี้ด้วยข้อหาอะไร?”
30 พวกนั้นตอบว่า “ถ้าเขาไม่ใช่อาชญากร เราคงไม่นำตัวเขามามอบให้แก่ท่าน”
31 ปีลาตกล่าวว่า “พวกท่านนำตัวเขาไปตัดสินตามกฎหมายของท่านเองเถิด”
พวกยิวคัดค้านว่า “แต่เราไม่มีสิทธิ์ประหารใคร” 32 สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะเป็นจริงตามที่พระเยซูตรัสไว้ว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร
33 ปีลาตจึงกลับเข้าไปในวังแล้วสั่งให้นำตัวพระเยซูมา และถามว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”
34 พระเยซูตรัสถามว่า “นั่นเป็นความคิดของท่านเองหรือคนอื่นมาบอกท่านเกี่ยวกับเรา?”
35 ปีลาตตอบว่า “เราเป็นยิวหรือ? คนร่วมชาติของท่านกับพวกหัวหน้าปุโรหิตของท่านนำตัวท่านมามอบให้แก่เรา ท่านไปทำอะไรมา?”
36 พระเยซูตรัสว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ มิฉะนั้นคนของเราย่อมต่อสู้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกยิวจับกุมเรา แต่นี่อาณาจักรของเรามาจากที่อื่น”
37 ปีลาตกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นกษัตริย์น่ะสิ!”
พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดถูกที่ว่าเราเป็นกษัตริย์ อันที่จริงเพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเราเข้ามาในโลกเพื่อเป็นพยานถึงความจริง ทุกคนที่อยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเรา”
38 ปีลาตถามว่า “อะไรคือความจริง?” แล้วก็กลับออกมาหาพวกยิวอีกครั้งและกล่าวว่า “เราพบว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดตามข้อกล่าวหา 39 แต่ธรรมเนียมของพวกท่านกำหนดให้เราปล่อยตัวนักโทษหนึ่งคนให้แก่พวกท่านในเทศกาลปัสกา ท่านต้องการให้เราปล่อยตัว ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ หรือ?”
40 พวกเขาตะโกนกลับไปว่า “ไม่ ไม่ใช่คนนี้! ปล่อยบารับบัสให้เรา!” บารับบัสนั้นได้มีส่วนร่วมในการกบฏ
15 คำตอบอ่อนหวานช่วยระงับความโกรธ
แต่ถ้อยคำเผ็ดร้อนยั่วโทสะ
2 ลิ้นของคนฉลาดส่งเสริมความรู้
แต่ปากของคนโง่พรั่งพรูความโง่ออกมา
3 พระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ทรงจับตาดูทั้งคนชั่วและคนดี
4 ถ้อยคำที่ช่วยเยียวยาเป็นต้นไม้แห่งชีวิต
แต่ลิ้นที่ตลบตะแลงทำให้จิตใจแตกสลาย
5 คนโง่ดูหมิ่นคำสั่งสอนของพ่อแม่
ผู้ที่รับฟังคำตักเตือนแสดงถึงความฉลาด
6 บ้านของคนชอบธรรมมีทรัพย์มหาศาล
แต่รายได้ของคนชั่วคือความล่มจม
7 ปากของคนฉลาดเผยแพร่ความรู้
แต่จิตใจของคนโง่ไม่ซื่อตรง
8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังเครื่องบูชาของคนชั่ว
แต่พอพระทัยคำอธิษฐานของคนชอบธรรม
9 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังวิถีทางของคนชั่ว
แต่ทรงรักผู้ที่ติดตามความชอบธรรม
10 ผู้ที่ละทิ้งทางแห่งชีวิตจะถูกลงโทษแสนสาหัส
ผู้ที่เกลียดชังคำตักเตือนจะพบความตาย
11 แม้แดนมรณาและแดนพินาศก็ประจักษ์แจ้งต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
จิตใจมนุษย์จะยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด!
12 คนชอบเยาะเย้ยไม่ชอบการตักเตือน
เขาจึงไม่ไปหาคนฉลาด
13 จิตใจที่เป็นสุขทำให้หน้าตาสดใส
จิตใจที่ร้าวรานทำให้ดวงวิญญาณแหลกสลาย
14 ใจสุขุมใฝ่หาความรู้
แต่คนโง่กินความโง่เป็นอาหาร
15 ทุกวันของผู้ทุกข์ใจล้วนแต่เลวร้าย
แต่จิตใจร่าเริงมีงานฉลองไม่ขาดสาย
16 มีน้อยแต่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า
ดีกว่ามีมากแต่เดือดร้อนวุ่นวาย
17 ได้กินผักนิดเดียวในที่ซึ่งมีความรัก
ดีกว่ากินเนื้อวัวขุนพร้อมกับความเกลียดชัง
18 คนใจร้อนสร้างความแตกแยก
แต่คนใจเย็นยุติการวิวาท
19 ทางของคนเกียจคร้านมีแต่ขวากหนาม
แต่วิถีของคนเที่ยงธรรมราบรื่น
20 บุตรที่ฉลาดทำให้พ่อสุขใจ
แต่บุตรที่โง่เขลาดูหมิ่นแม่ของตน
21 คนไร้สามัญสำนึกชื่นชอบความโง่เขลา
แต่คนที่มีความเข้าใจรักษาทางของตนให้ตรง
22 ขาดคำปรึกษาแผนงานต่างๆ ก็ล้มเหลว
แต่มีที่ปรึกษาหลายคนทำให้ประสบผลสำเร็จ
23 ผู้ให้คำตอบที่เหมาะสมก็พบความยินดี
ถ้อยคำที่ถูกกาลเทศะก็ดีเหลือหลาย
24 เส้นทางชีวิตของคนสุขุมรอบคอบนำขึ้นสู่เบื้องบน
เพื่อป้องกันไม่ให้ดิ่งลงสู่หลุมฝังศพ
25 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรื้อบ้านของคนหยิ่งยโส
แต่ทรงปักเขตที่ดินให้หญิงม่าย
26 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังแผนการของคนชั่ว
แต่พอพระทัยถ้อยคำที่เหมาะสมดีงาม
27 คนโลภทำให้ครอบครัวเดือดร้อน
แต่คนที่ชิงชังสินบนจะมีชีวิตอยู่
28 คนชอบธรรมชั่งใจก่อนตอบ
แต่ปากของคนชั่วพรั่งพรูคำชั่วออกมา
29 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ห่างไกลคนชั่วร้าย
แต่ทรงสดับฟังคำอธิษฐานของคนชอบธรรม
30 แววตาสดใสของผู้ส่งข่าวทำให้จิตใจยินดี
และข่าวดีทำให้กายใจแข็งแรง
31 ผู้ที่ฟังคำตักเตือนซึ่งให้ชีวิต
จะอยู่ร่วมกับคนฉลาดอย่างสบายใจ
32 ผู้ที่ละเลยคำสั่งสอนก็ดูหมิ่นตนเอง
แต่ผู้ที่รับฟังคำตักเตือนก็ได้ความเข้าใจ
33 ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าคือคำสอนที่ให้ปัญญา
และความถ่อมใจนำหน้าเกียรติยศ
ถ่อมใจอย่างพระคริสต์
2 ในเมื่อท่านได้รับกำลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ได้รับการปลอบโยนจากความรักของพระองค์ ได้สามัคคีธรรมกับพระวิญญาณ ได้รับความอ่อนโยนและความสงสาร 2 ก็จงทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างบริบูรณ์โดยมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจเดียวกัน และมีเป้าหมายเดียวกัน 3 อย่าทำสิ่งใดด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว หรือด้วยความถือดี แต่จงทำด้วยความถ่อมใจ ถือว่าคนอื่นดีกว่าตน 4 แต่ละคนไม่ควรมุ่งหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย
5 ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์
6 ผู้ทรงสภาพ[a]พระเจ้า
แต่ไม่ได้ทรงยึดติดในความเท่าเทียมกับพระเจ้า
7 พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง
มารับสภาพ[b]ทาส
บังเกิดเป็นมนุษย์
8 และเมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์
พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง
และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน!
9 ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นสู่ที่สูงสุด
และประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงแก่พระองค์
10 เพื่อทุกชีวิต[c]ในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก
และใต้แผ่นดินโลก
จะคุกเข่าลงนมัสการพระนามของพระเยซู
11 และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าพระบิดา
ส่องสว่างดั่งดวงดาว
12 ฉะนั้นเพื่อนที่รักทั้งหลาย ในเมื่อท่านได้เชื่อฟังเสมอมา ไม่เพียงขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วย แต่ยิ่งเชื่อฟังมากขึ้นขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย ก็จงบากบั่นต่อไปด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่นจนกระทั่งความรอดของท่านบรรลุผล 13 เพราะพระเจ้าคือผู้ทรงกระทำกิจภายในท่าน ให้ท่านตั้งใจและทำตามพระประสงค์อันดีของพระองค์
14 จงทำทุกสิ่งโดยปราศจากการบ่นว่าหรือทุ่มเถียงกัน 15 เพื่อท่านจะปราศจากตำหนิและบริสุทธิ์ เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ปราศจากข้อบกพร่องในยุคอันคดโกงและเสื่อมทราม ส่องสว่างท่ามกลางพวกเขาดั่งดวงดาวในจักรวาล 16 ขณะที่ท่านยึดมั่นในพระวจนะแห่งชีวิตเพื่อข้าพเจ้าจะอวดได้ในวันแห่งพระคริสต์ว่าข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งหรือลงแรงโดยเปล่าประโยชน์ 17 ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ากำลังถูกเทลงบนเครื่องบูชาและการรับใช้ที่มาจากความเชื่อของท่านดั่งเป็นเครื่องดื่มบูชา ข้าพเจ้าก็ยังดีใจและชื่นชมยินดีร่วมกับพวกท่านทั้งปวง 18 ดังนั้นท่านเองก็ควรจะดีใจและชื่นชมยินดีร่วมกับข้าพเจ้าด้วย
ทิโมธีกับเอปาโฟรดิทัส
19 ข้าพเจ้าคาดหวังในองค์พระเยซูเจ้าว่าอีกไม่นานจะส่งทิโมธีไปหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าเองจะได้ชื่นใจเมื่อได้รับข่าวเกี่ยวกับท่าน 20 ข้าพเจ้าไม่มีใครอื่นที่เหมือนทิโมธีผู้ซึ่งเอาใจใส่ทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง 21 เพราะทุกคนมุ่งหาประโยชน์ของตนเอง ไม่ได้คำนึงถึงพระเยซูคริสต์ 22 แต่ท่านทราบอยู่ว่าทิโมธีได้พิสูจน์ตนเองแล้วเพราะเขาได้ร่วมรับใช้กับข้าพเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐเหมือนบุตรรับใช้บิดา 23 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงหวังจะส่งเขามาทันทีที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าจะลงเอยอย่างไร 24 และข้าพเจ้ามั่นใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าข้าพเจ้าเองจะมาหาท่านในไม่ช้า
25 แต่ข้าพเจ้าคิดว่าจำเป็นต้องส่งเอปาโฟรดิทัสกลับมาหาท่าน เขาเป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน และเป็นเพื่อนทหารของข้าพเจ้า ทั้งยังเป็นผู้ที่พวกท่านส่งมาเพื่อปรนนิบัติข้าพเจ้าในยามขัดสน 26 เนื่องจากเขาคิดถึงพวกท่านทั้งปวงมากและทุกข์ใจเพราะท่านได้ข่าวว่าเขาป่วย 27 ที่จริงเขาป่วยหนักเกือบตาย แต่พระเจ้าทรงเมตตาเขา และไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังทรงเมตตาข้าพเจ้าด้วยเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ 28 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยิ่งรีบส่งเขามาเพื่อพวกท่านจะได้ดีใจที่เจอเขาอีกและข้าพเจ้าเองจะได้คลายความกระวนกระวายใจ 29 ขอให้ท่านต้อนรับเขาในองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง และจงให้เกียรติคนเช่นนี้ 30 เพราะเขาเกือบตายเพื่องานของพระคริสต์ เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือข้าพเจ้าในสิ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.