M’Cheyne Bible Reading Plan
21 “ต่อไปนี้เป็นบทบัญญัติที่เจ้าจะต้องตราไว้ต่อหน้าพวกเขา คือ
ทาสฮีบรู(A)
2 “หากเจ้าซื้อทาสฮีบรูมาคนหนึ่ง เขาจะรับใช้เจ้าเป็นเวลาหกปี แต่ในปีที่เจ็ดเขาจะเป็นไทโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ใดๆ 3 ถ้าเขามาคนเดียวก็เป็นไทไปคนเดียว แต่หากเขามีภรรยามาด้วย ภรรยาของเขาจะเป็นไทพร้อมกับเขา 4 หากว่านายหาภรรยาให้ แล้วเขามีบุตรชายหรือบุตรสาว ทั้งภรรยาและบุตรจะยังคงเป็นของนาย ส่วนตัวเขาจะเป็นอิสระแต่ผู้เดียว
5 “แต่ถ้าทาสคนนั้นประกาศว่า ‘ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากเป็นไท’ 6 นายต้องพาเขามาหาตุลาการ[a] และนำเขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู แล้วใช้เหล็กหมาดเจาะหูเขา จากนั้นเขาจะเป็นทาสไปตลอดชีวิต
7 “ผู้ใดขายบุตรสาวของตนไปเป็นทาส นางจะไม่ได้รับการปลดปล่อยเหมือนทาสชาย 8 หากนางไม่เป็นที่ถูกใจนายที่เลือกซื้อนางไปสำหรับตัวเขาเอง[b] เขาจะต้องยินยอมให้ไถ่ตัวนาง เขาไม่มีสิทธิ์ขายนางให้คนต่างด้าวเพราะเขาได้ผิดสัญญาต่อนาง 9 หากเขาเลือกซื้อนางไว้สำหรับบุตรชายของตน เขาต้องให้สิทธิ์ของบุตรสาวแก่นาง 10 หากเขาได้ภรรยามาอีกคน เขาต้องไม่ลดอาหาร เครื่องนุ่งห่มหรือสิทธิ์ในฐานะภรรยาแก่นาง 11 หากเขาไม่ให้ทั้งสามสิ่งนี้ นางก็จะเป็นไทโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ใดๆ
การทำร้ายร่างกาย
12 “ผู้ใดทำร้ายร่างกายคนอื่นถึงแก่ความตายจะต้องมีโทษถึงตายแน่นอน 13 หากเขาทำไปโดยไม่เจตนาแต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น เราจะกำหนดสถานที่แห่งหนึ่งให้เขาหนีไปลี้ภัย 14 แต่หากผู้ใดวางแผนฆ่าคนโดยเจตนา จงนำตัวผู้นั้นออกไปจากแท่นบูชาของเราและประหารเขา
15 “ผู้ใดทำร้าย[c]บิดามารดาของตนจะต้องมีโทษถึงตาย
16 “ผู้ใดลักพาตัวผู้อื่นไปขายเป็นทาสหรือยังกักตัวไว้กับตนขณะที่ถูกจับได้จะต้องมีโทษถึงตาย
17 “ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย
18 “หากเกิดการทะเลาะวิวาท ฝ่ายหนึ่งใช้หินทำร้ายหรือชก[d]อีกฝ่ายให้บาดเจ็บ ต้องนอนซมแต่ไม่ตาย 19 ภายหลังผู้นั้นสามารถลุกเดินได้อีกโดยมีไม้เท้ายันกาย คนที่ทำร้ายย่อมพ้นผิด แต่เขาต้องชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียเวลาจนกว่าผู้นั้นจะหายเป็นปกติ
20 “ผู้ใดเฆี่ยนตีทาสชายหรือหญิงด้วยไม้จนถึงแก่ความตาย ผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษ 21 แต่หากทาสลุกขึ้นได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน นายก็ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะทาสเป็นสมบัติของนาย
22 “หากชายสองคนต่อสู้กัน เผอิญหญิงมีครรภ์ถูกลูกหลงเข้าถึงกับคลอดก่อนกำหนด[e] แต่ไม่บาดเจ็บสาหัส คนที่ทำร้ายนางจะต้องถูกปรับตามแต่สามีของนางจะเรียกร้องและตามที่ตุลาการตัดสิน 23 แต่หากนางบาดเจ็บสาหัส ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต 24 ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า 25 รอยไหม้แทนรอยไหม้ บาดแผลแทนบาดแผล รอยฟกช้ำแทนรอยฟกช้ำ
26 “หากนายทำร้ายทาสชายหรือหญิงถึงกับตาบอด เขาต้องปล่อยทาสนั้นให้เป็นอิสระเพื่อชดใช้แทนดวงตาของทาสนั้น 27 และหากนายทำให้ฟันของทาสชายหรือหญิงหัก เขาต้องปล่อยทาสนั้นเป็นอิสระเพื่อชดใช้แทนฟัน
28 “หากวัวตัวใดขวิดคนไม่ว่าชายหรือหญิงถึงแก่ความตาย จงเอาหินขว้างวัวให้ตาย และอย่ากินเนื้อมัน แต่เจ้าของวัวไม่ต้องรับผิดชอบ 29 แต่หากเป็นที่รู้กันว่าวัวนั้นมีนิสัยชอบขวิดคนและมีคนเตือนเจ้าของแล้ว แต่เจ้าของยังไม่ขังวัวของตนให้ดี ถ้ามันไปขวิดคนตายไม่ว่าชายหรือหญิง จงเอาหินขว้างวัวให้ตายและประหารเจ้าของวัวด้วย 30 อย่างไรก็ตามหากเขาถูกเรียกค่าปรับ เขาจะไถ่ชีวิตตัวเองโดยยอมจ่ายค่าปรับตามที่ถูกเรียกร้องก็ได้ 31 กฎข้อนี้ใช้ในกรณีที่วัวขวิดบุตรชายหรือบุตรสาวด้วย 32 แต่ถ้าขวิดทาส ไม่ว่าหญิงหรือชาย ก็ให้เจ้าของวัวจ่ายเงินหนัก 30 เชเขล[f] ให้กับเจ้าของทาส และจงเอาหินขว้างวัวให้ตาย
33 “ถ้าผู้ใดเปิดบ่อหรือขุดบ่อและไม่ปิดฝาบ่อ แล้วมีวัวหรือลาตกลงไป 34 เจ้าของบ่อจะต้องจ่ายค่าเสียหายให้เจ้าของสัตว์ และสัตว์ที่ตายจะตกเป็นของเจ้าของบ่อ
35 “หากวัวของใครไปขวิดวัวของคนอื่นตาย เจ้าของวัวทั้งสองจะขายวัวที่ยังมีชีวิต แล้วนำเงินที่ได้นั้นกับวัวที่ตายมาแบ่งเท่าๆ กัน 36 แต่หากเป็นที่รู้กันว่าวัวนั้นมีนิสัยชอบขวิดแต่เจ้าของไม่ขังให้ดี ก็ให้เจ้าของวัวชดใช้โดยยกวัวตัวนั้นให้อีกฝ่าย แล้วรับวัวตัวที่ตายไปเป็นของตน
การคืนพระชนม์(A)
24 เช้ามืดวันต้นสัปดาห์ พวกผู้หญิงนำเครื่องหอมที่เตรียมไว้มาที่อุโมงค์ 2 พวกนางพบว่าก้อนหินถูกกลิ้งออกจากปากอุโมงค์แล้ว 3 แต่เมื่อเข้าไป พวกนางก็ไม่พบพระศพขององค์พระเยซูเจ้า 4 ขณะที่กำลังแปลกใจในเรื่องนี้ ทันใดนั้นชายสองคนสวมเสื้อผ้าซึ่งส่องประกายเหมือนฟ้าแลบมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา 5 พวกผู้หญิงน้อมกายซบหน้าลงกับพื้นด้วยความตกใจ แต่ชายทั้งสองพูดกับพวกนางว่า “เหตุใดพวกท่านมามองหาคนเป็นในหมู่คนตาย? 6 พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว! จงระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงบอกพวกท่านไว้ขณะที่ยังอยู่ในแคว้นกาลิลีที่ว่า 7 ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน และในวันที่สามจะทรงให้เป็นขึ้นมาใหม่’ ” 8 แล้วพวกเขาจึงระลึกถึงพระดำรัสของพระองค์
9 เมื่อพวกนางกลับมาจากอุโมงค์แล้วพวกนางก็เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้สาวกสิบเอ็ดคนและคนอื่นๆ ทั้งปวงฟัง 10 ผู้ที่เล่าเรื่องนี้ให้เหล่าอัครทูตฟังคือ มารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่กับพวกเขา 11 แต่พวกเขาไม่เชื่อผู้หญิงเหล่านี้ เพราะฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล 12 แต่เปโตรลุกขึ้นวิ่งไปที่อุโมงค์แล้วก้มลงมอง เขาเห็นแต่แถบผ้าลินินกองอยู่ จึงกลับไปครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
บนเส้นทางไปเอมมาอูส
13 ในวันนั้นสาวกสองคนกำลังจะไปหมู่บ้านเอมมาอูสซึ่งห่างจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร[a] 14 ทั้งสองสนทนากันเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น 15 ขณะที่เขากำลังพูดคุยเรื่องต่างๆ กันอยู่นั้น พระเยซูเองได้เสด็จมาและทรงดำเนินไปกับพวกเขา 16 แต่ทรงบันดาลให้ทั้งคู่จำพระองค์ไม่ได้
17 พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ระหว่างเดินมาตามทาง พวกท่านถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่หรือ?” ทั้งสองยืนนิ่งหน้าตาโศกเศร้า 18 คนหนึ่งชื่อเคลโอปัสทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นเพียงแขกเมืองมากรุงเยรูซาเล็มหรือ จึงไม่รู้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่นั่นในช่วงนี้?”
19 “เรื่องอะไรหรือ?” พระองค์ตรัสถาม
ทั้งสองจึงทูลว่า “เรื่องพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ พระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะ ทรงฤทธิ์อำนาจในวาจาและการกระทำทั้งต่อหน้าพระเจ้า และต่อหน้าประชาชนทั้งปวง 20 พวกหัวหน้าปุโรหิตกับผู้นำของเรามอบพระองค์ให้รับโทษประหาร พวกเขาตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขน 21 แต่พวกเราหวังไว้ว่าพระองค์คือผู้ที่จะมาไถ่ชนชาติอิสราเอล และยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นวันที่สามนับตั้งแต่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น 22 นอกจากนั้นผู้หญิงบางคนในพวกเรายังทำให้เราประหลาดใจ คือเช้ามืดวันนี้พวกนางไปที่อุโมงค์ 23 แต่ไม่พบพระศพของพระองค์ พวกนางกลับมาบอกเราว่าเห็นนิมิตมีทูตสวรรค์มาบอกว่าพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ 24 แล้วเพื่อนของเราบางคนไปที่อุโมงค์และได้พบเหมือนอย่างที่พวกผู้หญิงบอกไว้แต่ไม่เห็นพระองค์”
25 พระเยซูตรัสกับทั้งสองว่า “พวกท่านช่างเขลาจริงหนอ และจิตใจช่างเชื่องช้าที่จะเชื่อสิ่งทั้งปวงซึ่งบรรดาผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้! 26 พระคริสต์[b]ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยสิ่งเหล่านั้น แล้วเข้าสู่พระเกียรติสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?” 27 จากนั้นพระองค์ทรงอธิบายทุกอย่างที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระองค์เองให้เขาทั้งสองฟังตั้งแต่โมเสสตลอดจนผู้เผยพระวจนะทั้งปวง
28 เมื่อเข้ามาใกล้หมู่บ้านที่เขาทั้งสองจะไปนั้น พระเยซูทรงทำทีว่าจะเลยไป 29 แต่ทั้งคู่ทูลคะยั้นคะยอว่า “แวะอยู่กับเราก่อนเถิด เพราะใกล้ค่ำจวนจะหมดวันแล้ว” ดังนั้นพระองค์จึงทรงพักอยู่กับพวกเขา
30 เมื่อพระองค์ทรงร่วมโต๊ะกับพวกเขา ทรงหยิบขนมปัง ขอบพระคุณพระเจ้าและหักส่งให้พวกเขา 31 แล้วตาของพวกเขาก็สว่างและจำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ทรงหายไปจากสายตาของพวกเขา 32 พวกเขาจึงพูดกันว่า “ใจของเราเร่าร้อนอยู่ภายในไม่ใช่หรือขณะพระองค์ตรัสกับเรากลางทางและยกพระคัมภีร์มาอธิบายให้เราฟัง?”
33 ทั้งสองลุกขึ้นกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มทันที พวกเขาพบสาวกสิบเอ็ดคนกับพวกชุมนุมกันอยู่ 34 และกำลังพูดกันว่า “เป็นความจริง! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นขึ้นแล้ว ทรงปรากฏแก่ซีโมน” 35 ทั้งสองจึงเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลางทางและที่พวกเขาจำพระเยซูได้เมื่อทรงหักขนมปัง
พระเยซูทรงปรากฏแก่เหล่าสาวก
36 ขณะพวกเขากำลังพูดเรื่องนี้อยู่ พระเยซูเองทรงมายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาและตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย”
37 พวกเขาสะดุ้งตกใจกลัว คิดว่าเห็นผี 38 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุใดพวกท่านจึงวุ่นวายใจ? ทำไมเกิดข้อสงสัยขึ้นในใจ? 39 จงดูมือและเท้าของเรา นี่เราเอง! มาจับต้องเราดู ผีไม่มีเนื้อและกระดูกอย่างที่ท่านเห็นอยู่ว่าเรามี”
40 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงให้พวกเขาดูพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ 41 และขณะที่พวกเขายังไม่เชื่อเพราะความตื่นเต้นยินดีและประหลาดใจ พระองค์ก็ตรัสถามพวกเขาว่า “ที่นี่มีอะไรให้กินไหม?” 42 พวกเขาก็นำปลาย่างชิ้นหนึ่งมาถวาย 43 และพระองค์ทรงรับมาเสวยต่อหน้าเขาทั้งหลาย
44 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เราบอกไว้เมื่อยังอยู่กับท่านทั้งหลาย คือทุกสิ่งต้องสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับเราในหนังสือบัญญัติของโมเสส หนังสือผู้เผยพระวจนะ และในหนังสือสดุดี”
45 จากนั้นพระองค์ทรงเปิดใจเขาเพื่อพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ 46 พระองค์ตรัสบอกพวกเขาว่า “นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ คือพระคริสต์ต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม 47 และให้ประกาศการกลับใจใหม่และการอภัยบาปในพระนามของพระองค์แก่มวลประชาชาติเริ่มตั้งแต่ที่เยรูซาเล็ม 48 ท่านทั้งหลายคือพยานของสิ่งเหล่านี้ 49 เรากำลังจะส่งสิ่งที่พระบิดาของเราทรงสัญญาไว้มาให้พวกท่าน แต่จงคอยอยู่ในกรุงนี้จนกว่าท่านจะได้รับฤทธิ์อำนาจจากเบื้องบน”
การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์
50 เมื่อพระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาที่ละแวกเบธานีแล้ว ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอวยพรเขาทั้งหลาย 51 ขณะที่ทรงอวยพรอยู่ พระองค์ก็เสด็จจากพวกเขาไปและทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ 52 เขาทั้งหลายจึงนมัสการพระองค์และกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความชื่นชมยินดีอย่างใหญ่หลวง 53 และพวกเขาอยู่ที่พระวิหารเป็นประจำ พากันสรรเสริญพระเจ้า
39 “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแพะภูเขาตกลูกเมื่อใด?
เจ้าเฝ้าดูกวางตัวเมียคลอดลูกอ่อนหรือ?
2 เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันตั้งท้องกี่เดือน?
เจ้ารู้เวลาที่มันตกลูกหรือ?
3 พวกมันหมอบตัวลงให้กำเนิดลูกอ่อน
การเจ็บท้องคลอดของมันสิ้นสุดลง
4 ลูกอ่อนของมันเติบโตและแข็งแรงขึ้นในป่า
แล้วก็จากไปไม่กลับมาอีก
5 “ใครปล่อยลาป่าให้เป็นอิสระ?
ใครแก้เชือกที่ผูกมันไว้?
6 เราได้ให้ที่กันดารไว้เป็นบ้านของมัน
และให้ย่านดินโป่งเป็นที่อาศัยของมัน
7 มันหัวเราะเยาะเสียงอึกทึกของตัวเมือง
และมันไม่ได้ยินเสียงตะโกนของผู้ขับขี่
8 แนวเขาเป็นทุ่งหญ้าของมัน
ที่นั่นมันเสาะหาหญ้าเขียวทุกยอด
9 “วัวป่าจะยอมรับใช้เจ้าหรือ?
มันจะอยู่ข้างๆ รางหญ้าของเจ้าในยามค่ำคืนหรือ?
10 เจ้าสามารถจับมันสนตะพายมาลากไถให้เจ้าหรือ?
มันจะยอมไถที่ลุ่มตามเจ้าไปหรือ?
11 เจ้าจะพึ่งพากำลังมหาศาลของมันหรือ?
เจ้าจะมอบงานหนักให้มันทำหรือ?
12 เจ้าจะเชื่อใจให้มันนำเมล็ดข้าวของเจ้า
มายังลานนวดข้าวหรือ?
13 “นกกระจอกเทศกระพือปีกอย่างร่าเริง
แต่ปีกของมันไม่อาจเทียบกับปีกและขนของนกกระสาดำได้
14 มันวางไข่ที่พื้น
และปล่อยให้อุ่นอยู่ในทราย
15 ไม่สนใจว่าอาจจะถูกเหยียบแตก
หรือสัตว์ป่าจะมาเหยียบย่ำ
16 มันทำกับลูกอ่อนอย่างดุดัน ราวกับว่านั่นไม่ใช่ลูก
และมันไม่ใส่ใจแม้ว่าจะเหนื่อยเปล่า
17 เพราะพระเจ้าไม่ได้ให้สติปัญญาแก่มัน
หรือให้มันรู้จักคิด
18 แต่เมื่อมันกางปีกวิ่งไป
มันก็ยิ้มเยาะม้าและผู้ขี่
19 “เจ้าให้พละกำลังแก่ม้า
และให้แผงคอปลิวไสวแก่มันหรือ?
20 เจ้าให้มันเผ่นโผนเหมือนตั๊กแตนหรือ?
เสียงหายใจของมันน่าสะพรึงกลัว
21 มันตะกุยดิน ปีติยินดีในพละกำลังของมัน
และตรงเข้าไปในการต่อสู้
22 มันหัวเราะเยาะความกลัว ไม่เกรงสิ่งใด
และมันไม่วิ่งหนีคมดาบ
23 ลูกธนูพุ่งมาทางด้านข้าง
พร้อมกับทวนและหอกที่ส่องประกายวาววับ
24 มันตะกุยพื้นดินอย่างดุเดือด
และยืนนิ่งอยู่ไม่ได้เมื่อเสียงแตรดังขึ้น
25 เมื่อได้ยินเสียงแตร มันร้อง ‘ฮี่แฮ่!’
มันได้กลิ่นสงครามแต่ไกล
เสียงโห่ร้องออกศึก เสียงตะโกนของนายทัพ
26 “เหยี่ยวบินขึ้นฟ้าและคลี่ปีกบินไปทางใต้
ด้วยปัญญาของเจ้าหรือ?
27 นกอินทรีทะยานขึ้นและสร้างรังบนที่สูง
ตามคำสั่งของเจ้าหรือ?
28 มันอาศัยอยู่บนหน้าผาและพักอยู่ที่นั่นยามค่ำคืน
ชะโงกผาคือที่กำบังแข็งแกร่งของมัน
29 จากที่นั่นมันเสาะหาอาหาร
ตาของมันมองเห็นเหยื่อแต่ไกล
30 ลูกของมันขยอกเลือดลงไปในคอ
มันไปทุกแห่งที่มีคนถูกเข่นฆ่า”
9 ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับการรับใช้เพื่อประชากรของพระเจ้าครั้งนี้ 2 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกระตือรือร้นอยู่แล้วที่จะช่วย และข้าพเจ้าได้อวดเรื่องนี้ต่อชาวมาซิโดเนียว่า ตั้งแต่ปีที่แล้วพวกท่านที่แคว้นอาคายาก็พร้อมจะถวายแล้ว และความกระตือรือร้นของท่านทั้งหลายได้กระตุ้นพวกเขาส่วนใหญ่ให้ลงมือทำตาม 3 แต่ที่ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านั้นมา เพื่อว่าสิ่งที่เราอวดไว้เกี่ยวกับท่านในเรื่องนี้จะไม่สูญเปล่า แต่เพื่อท่านก็จะได้พร้อมอยู่สมกับที่ข้าพเจ้าได้บอกไว้ 4 เพราะถ้าชาวมาซิโดเนียคนใดที่มากับข้าพเจ้าพบว่าพวกท่านไม่พร้อม อย่าว่าแต่ท่านเลย เราเองก็จะอับอายที่มีความมั่นใจเสียเหลือเกิน 5 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าจำเป็นต้องกำชับพี่น้องเหล่านั้นให้มาหาท่านล่วงหน้า และจัดเตรียมของบริจาคด้วยใจกว้างขวางตามที่ท่านได้สัญญาไว้ให้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาก็มีของบริจาคไว้พร้อม เป็นของที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นของที่ให้ด้วยการฝืนใจ
หว่านด้วยใจกว้างขวาง
6 จงจำไว้ว่าผู้ที่หว่านอย่างตระหนี่ก็จะเก็บเกี่ยวได้น้อย ผู้ที่หว่านด้วยใจกว้างขวางก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก 7 แต่ละคนควรให้ตามที่คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่อย่างลังเลหรือเพราะถูกผลักดัน เพราะพระเจ้าทรงรักผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าทรงสามารถประทานพระคุณทุกประการอย่างล้นเหลือแก่ท่าน เพื่อว่าท่านจะมีทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ทุกเวลา และท่านจะมีล้นเหลือสำหรับการดีทุกอย่าง 9 เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า
“เขาได้แจกจ่ายให้คนยากจน
ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่นิรันดร์”[a]
10 บัดนี้พระองค์ผู้ประทานเมล็ดแก่ผู้หว่านประทานอาหารแก่ผู้คน จะประทานและเพิ่มพูนยุ้งฉางของท่านเช่นกัน และจะทรงขยายการเก็บเกี่ยวความชอบธรรมของท่าน 11 พระองค์จะทรงให้ท่านมั่งคั่งในทุกด้านเพื่อท่านจะสามารถเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้ในทุกโอกาส และโดยทางเราความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านส่งผลให้มีการขอบพระคุณพระเจ้า
12 การรับใช้ที่ท่านทำอยู่นี้ไม่เพียงจุนเจือประชากรของพระเจ้าเท่านั้น ยังเป็นเหตุให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างล้นพ้นด้วย 13 ท่านได้พิสูจน์ตนเองด้วยการรับใช้นี้ และเพราะการรับใช้นี้ ผู้คนจะสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยการเชื่อฟังของท่านซึ่งมาพร้อมกับการประกาศตัวว่าเชื่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และเนื่องด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของท่านในการแบ่งปันแก่พวกเขาและแก่คนอื่นๆ ทั้งปวง 14 และใจของพวกเขาจะคิดถึงพวกท่านขณะอธิษฐานเพื่อท่าน เนื่องด้วยพระคุณล้นพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน 15 ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับของประทานอันสุดจะพรรณนาของพระองค์!
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.