M’Cheyne Bible Reading Plan
แท่นบูชา(A)
27 “จงใช้ไม้กระถินเทศทำแท่นบูชา รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างยาวด้านละ 5 ศอก สูง 3 ศอก[a] 2 ทำเชิงงอนที่มุมทั้งสี่ของแท่นเป็นเนื้อเดียวกับตัวแท่น และใช้ทองสัมฤทธิ์หุ้มรอบแท่น 3 จงทำภาชนะทุกชิ้นของแท่นบูชาด้วยทองสัมฤทธิ์คือ หม้อใส่เถ้า ทัพพี อ่างประพรม ขอเกี่ยวเนื้อ และถาดรองไฟ 4 จงทำตะแกรงทองสัมฤทธิ์มีห่วงโลหะติดไว้ทั้งสี่มุม 5 วางตะแกรงนี้ที่ด้านในของแท่น ใต้ขอบบนอยู่ระดับกลางแท่น 6 จงทำคานจากไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์สำหรับการเคลื่อนย้ายแท่นบูชา 7 เวลาจะหามให้เอาคานสอดในห่วง ไม้คานอยู่ข้างแท่นข้างละอัน 8 จงทำแท่นนี้ด้วยไม้กระดาน ให้ภายในกลวงตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา
ลานพลับพลา(B)
9 “จงทำลานพลับพลา มีผ้าลินินเนื้อดีเป็นม่านปิดทางด้านทิศใต้ ม่านคลี่ออกกว้าง 100 ศอก[b] 10 มีเสายี่สิบต้นปักบนฐานรองรับยี่สิบฐานทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และมีตะขอเงินกับราวเงินสำหรับแขวนม่านติดอยู่กับเสา 11 ทางด้านทิศเหนือก็เช่นกันคือ ม่านกว้าง 100 ศอก มีเสายี่สิบต้น พร้อมฐานรองรับทำจากทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน และมีตะขอเงินและราวเงินสำหรับแขวนม่านติดอยู่กับเสา
12 “ด้านทิศตะวันตกของลานมีม่านกว้าง 50 ศอก[c]และมีเสาสิบต้นปักบนฐานทั้งสิบ 13 ด้านทิศตะวันออกก็มีม่านกว้าง 50 ศอกเช่นกัน 14 ด้านหนึ่งของทางเข้ามีม่านยาว 15 ศอก[d]เกี่ยวบนเสาสามต้นซึ่งปักบนฐานสามฐาน 15 อีกด้านหนึ่งก็มีม่านกว้าง 15 ศอกเกี่ยวบนเสาสามต้นซึ่งปักบนฐานสามฐาน
16 “ทางเข้าลานพลับพลานั้นจะเป็นม่านกว้าง 20 ศอก[e] ทำด้วยผ้าลินินเนื้อดีปักลวดลายงดงามจากด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง ยึดกับเสาสี่ต้นปักบนฐานสี่ฐาน 17 เสาทุกต้นรอบลานพลับพลาปักบนฐานทองสัมฤทธิ์ มีตะขอและราวทำด้วยเงิน 18 ฉะนั้นลานจะมีขนาดยาว 100 ศอก กว้าง 50 ศอกมีม่านโดยรอบสูง 5 ศอก[f] ทำจากผ้าลินินเนื้อดีและมีฐานทองสัมฤทธิ์ 19 เครื่องใช้ทั้งหมดในพลับพลา รวมทั้งหมุดตอกและหมุดสำหรับแขวนเครื่องใช้ต่างๆ ที่ฝาโดยรอบ ล้วนทำด้วยทองสัมฤทธิ์
น้ำมันสำหรับประทีป(C)
20 “จงบัญชาประชากรอิสราเอลให้นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์มาให้เจ้าสำหรับใช้จุดประทีป เพื่อคันประทีปจะได้ลุกอยู่ตลอดเวลา 21 สำหรับคันประทีปในเต็นท์นัดพบนอกม่านซึ่งอยู่ตรงหน้าหีบพันธสัญญา อาโรนกับบรรดาบุตรชายจะต้องคอยดูแลให้ไฟลุกอยู่เสมอต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่พลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสำหรับชนอิสราเอลสืบไปทุกชั่วอายุ
พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน(A)
6 ต่อมาพระเยซูทรงข้ามทะเลกาลิลี (คือทะเลทิเบเรียส) ไปยังอีกฟากหนึ่ง 2 ประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามพระองค์ไปเพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญที่ได้ทรงกระทำแก่คนป่วย 3 แล้วพระเยซูทรงขึ้นไปบนเนินเขาและประทับนั่งกับเหล่าสาวกของพระองค์ 4 ขณะนั้นใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิวแล้ว
5 เมื่อพระเยซูทรงมองไปเห็นคนหมู่ใหญ่มาหาพระองค์ก็ตรัสกับฟีลิปว่า “เราจะไปซื้อหาอาหารที่ไหนมาให้คนเหล่านี้รับประทาน?” 6 พระองค์ตรัสถามเช่นนี้เพียงเพื่อทดสอบฟีลิป เพราะพระองค์ทรงดำริไว้แล้วว่าจะทำอะไร
7 ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “เงินค่าแรงแปดเดือน[a]ยังซื้อขนมปังได้ไม่พอให้คนเหล่านี้กินกันคนละคำ!”
8 สาวกอีกคนหนึ่งคืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลขึ้นว่า 9 “เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆ สองตัว แต่จะพออะไรกับคนมากมายขนาดนี้?”
10 พระเยซูตรัสว่า “ให้ประชาชนนั่งลง” ที่นั่นมีหญ้ามาก พวกผู้ชายจึงนั่งลง พวกเขามีราวห้าพันคน 11 แล้วพระเยซูทรงรับขนมปังมา ขอบพระคุณพระเจ้า และแจกจ่ายให้ผู้ที่นั่งอยู่ได้กินกันมากเท่าที่เขาต้องการ พระองค์ทรงหยิบปลามาทำเช่นเดียวกัน
12 เมื่อทุกคนอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสสั่งเหล่าสาวกว่า “จงเก็บรวบรวมเศษที่เหลือ อย่าให้เสียของ” 13 พวกเขาจึงเก็บเศษที่เหลือจากขนมปังข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนได้เต็มสิบสองตะกร้า
14 หลังจากประชาชนเห็นหมายสำคัญที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ก็เริ่มพูดกันว่า “นี่คือผู้เผยพระวจนะนั้นที่จะเข้ามาในโลกอย่างแน่นอน” 15 พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาตั้งใจจะมาใช้กำลังบังคับให้พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงเสด็จเลี่ยงขึ้นไปบนภูเขาแต่ลำพังอีก
พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ(B)
16 พอพลบค่ำเหล่าสาวกของพระองค์มาที่ทะเลสาบ 17 แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูยังไม่ได้เสด็จไปสมทบกับพวกเขา 18 ทะเลปั่นป่วนเพราะลมพัดจัด 19 พวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณ 5 หรือ 6 กิโลเมตร[b] ก็เห็นพระเยซูทรงดำเนินบนน้ำเข้ามาหาเรือ พวกเขาจึงตกใจกลัว 20 แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21 แล้วพวกเขาจึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ และทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่กำลังมุ่งหน้าไป
22 วันรุ่งขึ้นประชาชนที่อยู่อีกฟากเห็นว่าก่อนหน้านั้นที่นั่นมีเรืออยู่ลำเดียว และพระเยซูก็ไม่ได้ลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก พวกสาวกไปกันเองตามลำพัง 23 มีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียสมาจอดใกล้ๆ ที่ซึ่งประชาชนได้กินขนมปังหลังจากพระเยซูได้ทรงขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 24 เมื่อพวกเขาเห็นว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น จึงลงเรือมายังเมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซู
พระเยซูคืออาหารแห่งชีวิต
25 เมื่อประชาชนพบพระองค์ที่อีกฟากของทะเลสาบก็ทูลถามพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาถึงที่นี่เมื่อใด?”
26 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม 27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่เน่าเสียได้ แต่จงหาอาหารที่คงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน พระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรมนุษย์แล้ว”
28 แล้วพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “พวกเราต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าทรงประสงค์?”
29 พระเยซูตรัสตอบว่า “งานของพระเจ้าคือ จงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”
30 ดังนั้นพวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อเราจะได้เห็นและเชื่อท่าน? ท่านจะทำอะไรบ้าง? 31 บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นกันดารตามที่มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ประทานอาหารจากสวรรค์ให้พวกเขารับประทาน’[c]”
32 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานอาหารแท้จากสวรรค์แก่ท่าน 33 เพราะอาหารจากพระเจ้า คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และให้ชีวิตแก่โลก”
34 พวกเขาทูลว่า “ท่านเจ้าข้า จากนี้ไปโปรดให้อาหารนี้แก่เราเถิด”
35 แล้วพระเยซูประกาศว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิวโหยและผู้ที่เชื่อในเราจะไม่มีวันกระหายอีกเลย 36 แต่ตามที่เราได้บอกท่านไว้แล้ว ท่านได้เห็นเราแต่ก็ยังไม่เชื่อ 37 คนทั้งปวงที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่มีวันขับไล่เขาไป 38 เพราะเราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามใจของเราเองแต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 39 และพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาคือ ไม่ให้เราสูญเสียคนทั้งปวงที่พระองค์ประทานแก่เราไปแม้สักคนเดียว แต่จะให้คนเหล่านี้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 40 เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตรมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”
41 แล้วพวกยิวจึงเริ่มพากันบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์” 42 พวกเขาพูดว่า “นี่คือเยซูลูกชายของโยเซฟไม่ใช่หรือ? เราก็รู้จักพ่อแม่ของเขา เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?”
43 พระเยซูตรัสตอบว่า “หยุดบ่นกันได้แล้ว 44 ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงชักนำเขามาหาเรา และเราจะให้เขาเป็นขึ้นในวันสุดท้าย 45 มีเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘เขาทั้งหลายจะรับการสอนจากพระเจ้า’[d] ทุกคนที่ฟังพระบิดาและเรียนรู้จากพระองค์ก็มาหาเรา 46 ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา 47 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ 48 เราเป็นอาหารแห่งชีวิต 49 บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นกันดาร ถึงกระนั้นพวกเขาก็ตาย 50 แต่นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ซึ่งคนใดได้กินแล้วจะไม่ตาย 51 เราเป็นอาหารซึ่งให้ชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดได้กินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป อาหารนี้คือเนื้อ[e]ของเราซึ่งเราจะให้เพื่อโลกนี้จะได้มีชีวิต”
52 แล้วชาวยิวจึงเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรงว่า “ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?”
53 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากท่านไม่กินเนื้อของบุตรมนุษย์และดื่มโลหิตของพระองค์ ท่านก็ไม่มีชีวิตอยู่ภายในตัวท่าน 54 ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 55 เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ 56 ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา 57 พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตอยู่เพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเราก็จะมีชีวิตอยู่เพราะเราฉันนั้น 58 นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ บรรพบุรุษของท่านกินมานาและตายไป แต่ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” 59 พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านี้ขณะทรงสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลาในเมืองคาเปอรนาอุม
สาวกหลายคนเลิกติดตามพระเยซู
60 สาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูด ว่า “คำสอนนี้ยากจริง ใครจะรับได้?”
61 พระเยซูทรงทราบว่าเหล่าสาวกของพระองค์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านขุ่นเคืองใจหรือ? 62 จะว่าอย่างไรถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นสู่สถานที่ซึ่งพระองค์เคยอยู่มาก่อน! 63 พระวิญญาณประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สำคัญอะไรเลย ถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่านเป็นวิญญาณ[f]และเป็นชีวิต 64 ถึงกระนั้นก็มีบางคนในพวกท่านที่ไม่เชื่อ” เนื่องจากพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกว่าคนใดในพวกเขาที่ไม่เชื่อและใครจะทรยศพระองค์ 65 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงได้บอกท่านว่า ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดให้เขามา”
66 ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็หันกลับและเลิกติดตามพระองค์
67 พระเยซูตรัสถามสาวกทั้งสิบสองคนว่า “แล้วพวกท่านจะจากไปด้วยหรือ?”
68 ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า เราจะไปหาใคร? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ 69 ข้าพระองค์ทั้งหลายเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”
70 แล้วพระเยซูจึงตรัสตอบว่า “เราได้เลือกพวกท่านทั้งสิบสองคนไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้นคนหนึ่งในพวกท่านคือมารร้าย!” 71 (พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสผู้เป็นบุตรของซีโมนอิสคาริโอท ถึงแม้ยูดาสเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน แต่ภายหลังเขาก็ทรยศพระองค์)
ข้อดีอื่นๆ ของปัญญา
3 ลูกเอ๋ย อย่าลืมคำสอนของเรา
แต่จงรักษาคำบัญชาของเราไว้ในใจของเจ้า
2 เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยต่ออายุของเจ้าให้ยืนยาว
และนำสันติสุขกับความเจริญรุ่งเรืองมาให้
3 อย่าให้ความรักและความซื่อสัตย์ละจากเจ้าไป
จงผูกมันไว้รอบคอ
จงจารึกไว้บนแผ่นดวงใจของเจ้า
4 แล้วเจ้าจะได้รับความโปรดปรานและมีชื่อเสียงดี
ทั้งในสายพระเนตรพระเจ้าและในสายตามนุษย์
5 จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ
อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง
6 จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ[a]
7 อย่าคิดว่าตนฉลาด
จงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและหลีกหนีจากความชั่ว
8 เพราะสิ่งนี้จะรักษาร่างกายของเจ้า
และหล่อเลี้ยงกระดูกของเจ้า
9 จงถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยทรัพย์สมบัติของเจ้า
ด้วยผลแรกจากผลผลิตทั้งปวงของเจ้า
10 แล้วยุ้งฉางของเจ้าจะเต็มล้น
และถังของเจ้าจะเปี่ยมล้นด้วยเหล้าองุ่นใหม่
11 ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสั่งสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อย่าขุ่นข้องหมองใจเมื่อพระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือน
12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสั่งสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก
ดั่งพ่อตีสั่งสอนลูกที่ตนชื่นชม[b]
13 ความสุขมีแก่ผู้ที่พบปัญญา
ผู้ที่ได้รับความเข้าใจ
14 เพราะปัญญาให้ประโยชน์ยิ่งกว่าเงิน
และให้ผลตอบแทนยิ่งกว่าทองคำ
15 ปัญญาล้ำค่ายิ่งกว่าทับทิม
สิ่งใดๆ ที่เจ้าปรารถนาก็ไม่สามารถเทียบได้
16 ในมือขวาของปัญญามีชีวิตอันยืนยาว
ในมือซ้ายมีความมั่งคั่งและเกียรติ
17 หนทางของปัญญาคือทางอันรื่นรมย์
วิถีทั้งสิ้นของปัญญาคือสันติสุข
18 ปัญญาเป็นต้นไม้แห่งชีวิตแก่ผู้ที่กอดนางไว้
ความสุขมีแก่ผู้ที่ยึดนางไว้มั่น
19 โดยปัญญา องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงวางฐานรากของโลก
โดยความเข้าใจ ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์
20 โดยความรู้ของพระองค์ ห้วงลึกก็แยกออก
และเมฆก็หยาดน้ำค้างลงมา
21 ลูกเอ๋ย อย่าให้สิ่งเหล่านี้คลาดไปจากสายตาของเจ้า
จงรักษาดุลยพินิจและความสุขุมรอบคอบไว้
22 สิ่งเหล่านี้จะเป็นชีวิตสำหรับเจ้า
และเป็นอาภรณ์ประดับคอของเจ้า
23 แล้วเจ้าจะดำเนินไปตามทางของตนอย่างปลอดภัย
และเท้าของเจ้าจะไม่สะดุด
24 เมื่อเจ้าเอนกายลง เจ้าจะไม่กลัว
เมื่อเจ้านอนลง เจ้าจะหลับสบาย
25 ไม่ต้องหวั่นเกรงภัยพิบัติฉับพลัน
หรือหายนะซึ่งจู่โจมคนชั่ว
26 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า[c]
และจะทรงป้องกันไม่ให้เท้าของเจ้าติดกับ
27 อย่าหน่วงเหนี่ยวสิ่งดีไว้จากผู้ที่สมควรได้รับ
เมื่ออยู่ในอำนาจของเจ้าที่จะจัดการได้
28 อย่าพูดกับเพื่อนบ้านว่า
“กลับมาพรุ่งนี้แล้วกัน แล้วฉันจะให้”
ในเมื่อเจ้าสามารถให้ได้ทันที
29 อย่าคิดปองร้ายเพื่อนบ้านของเจ้า
ผู้อาศัยอยู่ใกล้ๆ เจ้าอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ
30 อย่ากล่าวหาผู้ใดโดยไม่มีมูลเหตุ
ในเมื่อเขาไม่ได้ทำร้ายเจ้า
31 อย่าอิจฉาคนโหดเหี้ยม
หรือเลือกวิถีทางใดๆ ของเขา
32 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังคนคดในข้องอในกระดูก
แต่ทรงเชื่อใจคนเที่ยงธรรม
33 คำสาปแช่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าตกอยู่บนบ้านของคนชั่ว
แต่พระองค์ทรงอวยพรครัวเรือนของคนชอบธรรม
34 พระองค์ทรงเยาะเย้ยคนที่ชอบเยาะเย้ย
แต่สำแดงพระคุณแก่คนถ่อมใจที่ถูกรังแก
35 คนฉลาดได้รับเกียรติยศเป็นมรดก
ส่วนคนโง่จะได้รับแต่ความอัปยศ
เหล่าอัครทูตยอมรับเปาโล
2 สิบสี่ปีต่อมาข้าพเจ้าไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส ข้าพเจ้าพาทิตัสไปด้วย 2 ข้าพเจ้าไปตามการทรงสำแดง และได้ชี้แจงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างชาติให้พวกเขาฟัง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงเป็นการส่วนตัวให้บรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นผู้นำฟัง เนื่องจากเกรงว่าที่ข้าพเจ้ากำลังวิ่งแข่งหรือได้วิ่งแข่งไปแล้วจะเปล่าประโยชน์ 3 แต่กระนั้นทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า แม้เขาจะเป็นกรีกก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต 4 เรื่องนี้ลุกลามขึ้นมาเพราะพี่น้องจอมปลอมบางคนที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่เรา เพื่อสืบดูเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์และเพื่อจะทำให้เราเป็นทาส 5 แต่เราไม่อ่อนข้อให้เขาแม้สักขณะหนึ่ง เพื่อความจริงของข่าวประเสริฐจะได้คงอยู่กับท่าน
6 สำหรับบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ ซึ่งเขาจะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาที่รูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาไม่ได้เพิ่มเติมอะไรแก่ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้เลย 7 ตรงกันข้ามเขาเห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบหมายภารกิจในการประกาศข่าวประเสริฐแก่คนต่างชาติ[a]เช่นเดียวกับที่เปโตรประกาศแก่คนยิว[b] 8 เพราะพระเจ้าผู้ทรงดำเนินการในพันธกิจของเปโตรผู้เป็นอัครทูตไปยังคนยิวก็ทรงดำเนินการในพันธกิจของข้าพเจ้าผู้เป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติด้วย 9 เมื่อยากอบ เปโตร[c]และยอห์นซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัสเพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขาเหล่านี้เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว 10 เขาทั้งสามขอแต่เพียงให้เราคิดถึงคนจนเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะทำอยู่แล้ว
เปาโลคัดค้านเปโตร
11 เมื่อเปโตรมาที่อันทิโอก ข้าพเจ้าคัดค้านเขาซึ่งๆ หน้าเนื่องจากเขาได้ทำผิดอย่างชัดเจน 12 คือก่อนที่คนของยากอบบางคนจะมาถึง เปโตรเคยร่วมรับประทานอาหารกับคนต่างชาติเสมอ แต่เมื่อพวกนั้นมาถึง เขาก็ถอยห่างและปลีกตัวจากคนต่างชาติเพราะกลัวพวกที่เข้าสุหนัต 13 ชาวยิวอื่นๆ พลอยหน้าซื่อใจคดไปกับเขาด้วย และด้วยความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา แม้บารนาบัสเองก็ยังถูกชักจูงให้หลงทำตามด้วย
14 เมื่อข้าพเจ้าเห็นพวกเขาทำตัวไม่สอดคล้องกับความจริงของข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าจึงพูดกับเปโตรต่อหน้าพวกเขาทั้งปวงว่า “ท่านเป็นยิวยังใช้ชีวิตเหมือนคนต่างชาติ ไม่เหมือนชาวยิว แล้วทำไมจึงบังคับคนต่างชาติให้ถือธรรมเนียมยิวเล่า?
15 “เราซึ่งเป็นคนยิวโดยกำเนิด ไม่ใช่ ‘คนบาปต่างชาติ’ 16 ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยการถือรักษาบทบัญญัติ แต่เป็นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้นเราเองจึงเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยการทำตามบทบัญญัติเลย
17 “ถ้าขณะที่เรามุ่งจะให้พระเจ้าทรงนับเราเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์ ก็ปรากฏชัดว่าเราเองเป็นคนบาป นั่นหมายความว่าพระคริสต์ส่งเสริมบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! 18 หากข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำลายลงแล้วขึ้นใหม่ ก็แสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนละเมิดบทบัญญัติ 19 เพราะโดยทางบทบัญญัติข้าพเจ้าได้ตายต่อบทบัญญัติแล้ว เพื่อว่าจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มาโดยทางบทบัญญัติ พระคริสต์ก็วายพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์!”[d]
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.