M’Cheyne Bible Reading Plan
ยาโคบพบเอซาว
33 ยาโคบเงยหน้าขึ้นเห็นเอซาวมากับชายสี่ร้อยคน เขาจึงแบ่งลูกๆ ระหว่างเลอาห์ ราเชล และเมียทาสทั้งสอง 2 เขาให้เมียทาสทั้งสองกับลูกของพวกนางอยู่ข้างหน้า ถัดมาคือเลอาห์กับลูกๆ ส่วนราเชลกับโยเซฟอยู่ท้ายสุด 3 ตัวยาโคบเองเดินขึ้นไปข้างหน้า และขณะที่เข้าไปใกล้พี่ชาย เขาก็น้อมคำนับจนหน้าถึงพื้นเจ็ดครั้ง
4 แต่เอซาววิ่งเข้ามาหาและกอดยาโคบไว้ เขาโอบคอและจูบยาโคบ พวกเขาต่างร่ำไห้ 5 แล้วเอซาวเงยหน้าขึ้นเห็นพวกผู้หญิงและเด็ก เขาถามว่า “คนที่อยู่กับเจ้านี้เป็นใคร?”
ยาโคบตอบว่า “เป็นลูกๆ ที่พระเจ้าทรงเมตตาประทานให้ผู้รับใช้ของท่าน”
6 จากนั้นเมียทาสทั้งสองพร้อมกับลูกๆ ก้าวมาข้างหน้าและน้อมคำนับ 7 ต่อมาเลอาห์และลูกๆ ของนางก็เข้ามาและน้อมคำนับ และท้ายสุดโยเซฟกับราเชลก็เข้ามาน้อมคำนับด้วย
8 เอซาวถามว่า “เจ้าส่งฝูงสัตว์ทั้งหลายมาให้เราทำไม?”
ยาโคบตอบว่า “เพื่อให้ท่านเมตตาข้าพเจ้า”
9 แต่เอซาวกล่าวว่า “น้องเอ๋ย เรามีมากมายอยู่แล้ว เก็บสิ่งที่เจ้ามีเอาไว้เองเถิด”
10 ยาโคบกล่าวว่า “อย่าปฏิเสธเลย ได้โปรดเถิด ถ้าท่านเมตตาข้าพเจ้า ขอโปรดรับของขวัญนี้จากข้าพเจ้า เพราะที่ได้เห็นหน้าท่านก็เหมือนได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า ในเมื่อท่านยอมรับข้าพเจ้า 11 โปรดรับพรที่นำมาให้ท่านเถิด เพราะว่าพระเจ้าทรงกรุณาต่อข้าพเจ้าและข้าพเจ้ามีทุกสิ่งที่จำเป็น” และเพราะยาโคบคะยั้นคะยอ เอซาวจึงรับเอาไว้
12 แล้วเอซาวกล่าวว่า “ให้เราออกเดินทางกันเถิด ตัวเราจะไปกับเจ้าด้วย”
13 แต่ยาโคบกล่าวกับเขาว่า “นายของข้าพเจ้าก็รู้ว่าลูกๆ ยังเล็กอยู่ และข้าพเจ้าต้องดูแลแกะและวัวตัวเมียที่ให้นมลูก ถ้าไล่ต้อนมันอย่างหนักในวันเดียว สัตว์ทั้งหมดนี้ก็จะตายหมด 14 ฉะนั้นขอนายของข้าพเจ้าล่วงหน้าคนรับใช้ของท่านไปก่อน ขณะที่ข้าพเจ้าจะค่อยๆ เดินทางไปตามกำลังของฝูงสัตว์และลูกๆ จนกว่าจะไปพบนายของข้าพเจ้าที่เสอีร์”
15 เอซาวกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นให้เราทิ้งคนของเราบางคนไว้กับเจ้า”
ยาโคบถามว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ขอเพียงแค่ท่านเมตตาข้าพเจ้าก็พอแล้ว”
16 ดังนั้นในวันนั้นเอง เอซาวจึงออกเดินทางกลับไปเสอีร์ 17 แต่ยาโคบเดินทางไปถึงสุคคท เขาสร้างที่พักสำหรับตนเองและฝูงสัตว์ขึ้นที่นั่น สถานที่ตรงนั้นจึงได้ชื่อว่าสุคคท[a]
18 หลังจากยาโคบมาจากปัดดานอารัม เขามาถึง[b]เมืองเชเคมในแผ่นดินคานาอันอย่างปลอดภัยและตั้งค่ายพักอยู่ใกล้เมืองนั้น 19 เขาซื้อที่ดินที่ตั้งเต็นท์จากบรรดาบุตรของฮาโมร์บิดาของเชเคมในราคา 100 เคสิทาห์[c] 20 เขาตั้งแท่นบูชาที่นั่นและขนานนามว่าเอลเอโลเฮอิสราเอล[d]
คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน(A)
4 แล้วพระเยซูทรงสอนที่ริมทะเลสาบอีก ฝูงชนรุมล้อมพระองค์แน่นขนัดจนพระองค์ต้องเสด็จลงไปประทับนั่งในเรือ ขณะที่ประชาชนอยู่ที่ชายฝั่ง 2 พระองค์ทรงยกคำอุปมาสอนหลายสิ่งแก่พวกเขาว่า 3 “ฟังเถิด! ชาวนาผู้หนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่านบางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหินซึ่งมีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินตื้น 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม ต้นหนามก็งอกคลุมจึงไม่เกิดผล 8 แต่ยังมีเมล็ดบางส่วนตกบนดินดี งอกขึ้นมา เติบโตและเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อยเท่า”
9 แล้วพระเยซูตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”
10 เมื่อทรงอยู่ตามลำพัง สาวกทั้งสิบสองคนกับคนอื่นที่แวดล้อมพระองค์อยู่ทูลถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมาเหล่านั้น 11 พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้พวกท่านรู้ ส่วนคนนอกนั้นทุกอย่างจะใช้คำอุปมา 12 เพื่อว่า
“ ‘พวกเขาจะดูแล้วดูเล่าแต่จะไม่มีวันประจักษ์
และจะฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่มีวันเข้าใจ
มิฉะนั้นแล้วเขาจะหันกลับมาและได้รับการอภัย!’[a]”
13 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจคำอุปมานี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นจะเข้าใจคำอุปมาทั้งหลายได้อย่างไร? 14 ชาวนาได้หว่านพระวจนะ 15 บางคนก็เป็นเหมือนเมล็ดพืชที่ตกตามทาง ทันทีที่เขาได้ยิน ซาตานก็มาฉวยเอาพระวจนะที่หว่านลงในเขาไป 16 บางคนก็เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงบนพื้นหิน เมื่อได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 17 แต่เนื่องจากไม่ได้หยั่งรากลึกจึงคงอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นพวกเขาก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 18 บางคนเหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงกลางพงหนาม คือได้ยินพระวจนะ 19 แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ ความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ และความอยากได้ใคร่มีในสิ่งต่างๆ เข้ามารัดพระวจนะนั้นทำให้ไม่เกิดผล 20 คนอื่นๆ เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงบนดินดี คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้และเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อยเท่าของที่หว่านลงไป”
ตะเกียงบนเชิงตะเกียง
21 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านไม่เอาตะเกียงวางไว้ใต้ถังหรือวางไว้ใต้เตียงใช่ไหม? ตรงกันข้าม ท่านย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงไม่ใช่หรือ? 22 เพราะสิ่งที่ซ่อนเร้นจะถูกเปิดเผย สิ่งที่ปิดบังไว้จะถูกเปิดโปง 23 ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”
24 พระองค์ตรัสอีกว่า “จงพิจารณาสิ่งที่ท่านได้ยินอย่างถี่ถ้วน ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใดท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น และได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก 25 ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ที่เขามีอยู่ก็จะถูกริบเอาไปจากเขา”
คำอุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่งอกขึ้น
26 พระองค์ตรัสด้วยว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนคนหนึ่งหว่านเมล็ดพืชลงในดิน 27 ทั้งวันทั้งคืนไม่ว่าเขาหลับหรือตื่น เมล็ดพืชก็งอกและเติบโตขึ้นแม้เขาไม่รู้ว่ามันงอกขึ้นได้อย่างไร 28 ดินทำให้มันงอกเป็นต้นอ่อนแล้วออกรวง จากนั้นมีเมล็ดข้าวเต็มรวง 29 เมื่อข้าวสุกแล้ว เขาก็ใช้เคียวเกี่ยวเพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”
คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด(B)
30 พระองค์ตรัสอีกว่า “พวกเราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไรดี หรือจะยกอุปมาใดมาอธิบาย? 31 อาณาจักรของพระเจ้านั้นก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดเมื่อเพาะลงในดิน 32 แต่เมื่องอกขึ้นก็เป็นต้นใหญ่ที่สุดในสวน แผ่กิ่งก้านสาขาจนนกในอากาศมาพักอาศัยในร่มเงาได้”
33 พระเยซูทรงยกคำอุปมาที่คล้ายกันนี้อีกหลายเรื่องมาตรัสกับพวกเขาเท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้ 34 พระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นคำอุปมาทั้งสิ้น แต่เมื่อพระองค์ทรงอยู่กับเหล่าสาวกตามลำพังก็ทรงอธิบายทุกสิ่ง
พระเยซูทรงห้ามพายุ(C)
35 เย็นวันนั้นพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เราข้ามไปอีกฟากหนึ่งเถิด” 36 พวกเขาก็พาพระองค์ไปในเรือที่ประทับอยู่นั้น โดยละฝูงชนไว้ข้างหลังและมีเรืออื่นๆ หลายลำตามพระองค์ไปด้วย 37 เกิดพายุร้าย คลื่นซัดท่วมจนเรือจวนจะจมแล้ว 38 พระเยซูทรงหนุนหมอนบรรทมอยู่ท้ายเรือ เหล่าสาวกมาปลุกพระองค์และทูลว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงห่วงว่าเราจะจมน้ำตายหรือ?”
39 พระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและคลื่นว่า “เงียบ! จงสงบนิ่งเดี๋ยวนี้!” แล้วลมก็หยุดพัด ทุกอย่างก็สงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง
40 พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ทำไมจึงกลัวนัก? พวกท่านยังไม่มีความเชื่ออีกหรือ?”
41 เหล่าสาวกแตกตื่นตกใจ ต่างถามกันว่า “พระองค์ทรงเป็นใครหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยังเชื่อฟังพระองค์!”
9 ในวันที่สิบสามเดือนที่สิบสองคือเดือนอาดาร์ วันซึ่งพระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ เป็นวันซึ่งศัตรูของชาวยิวได้คาดหวังไว้ว่าจะกวาดล้างพวกเขา แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร ชาวยิวกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบผู้ที่เกลียดชังเขา 2 ชาวยิวชุมนุมกันในเมืองของตนทั่วทุกมณฑลของกษัตริย์เซอร์ซีสเพื่อต่อสู้ผู้ที่มุ่งจะทำลายล้างพวกตน ไม่มีใครต่อต้านพวกเขาได้เพราะทุกชนชาติล้วนหวาดกลัวชาวยิว 3 และบรรดาขุนนางของมณฑลต่างๆ เจ้าหน้าที่ ผู้ว่าการ และข้าราชบริพารล้วนให้ความช่วยเหลือชาวยิวเพราะเกรงกลัวโมรเดคัยจับใจ 4 โมรเดคัยมีอำนาจมากในพระราชวัง ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่วทุกมณฑล เขามีอำนาจมากขึ้นทุกที
5 ชาวยิวฆ่าฟันและทำลายล้างศัตรูผู้เกลียดชังตนได้ตามใจชอบ 6 ชาวยิวฆ่าฟันและทำลายศัตรูไปห้าร้อยคนในป้อมเมืองสุสา 7 พวกเขายังฆ่าปารชันดาธา ดาลโฟน อัสปาธา 8 โปราธา อาดัลยา อารีดาธา 9 ปารมัชทา อารีสัย อารีดัย ไวซาธา 10 ซึ่งเป็นบุตรชายทั้งสิบของฮามานบุตรฮัมเมดาธาศัตรูของชาวยิว แต่พวกเขาไม่ได้ริบข้าวของ
11 ในวันเดียวกันนั้นมีผู้กราบทูลรายงานจำนวนผู้ถูกฆ่าในป้อมเมืองสุสาแก่กษัตริย์ 12 พระองค์จึงตรัสกับพระนางเอสเธอร์ว่า “ชาวยิวได้เข่นฆ่าทำลายล้างคนห้าร้อยคนในป้อมเมืองสุสานี้ รวมทั้งบุตรชายสิบคนของฮามานด้วย พวกเขาทำอะไรกับมณฑลอื่นๆ ของเรา? ตอนนี้เจ้าจะขออะไรอีก? เราจะให้ บอกมาเถิดเจ้าปรารถนาอะไร? เราจะให้”
13 เอสเธอร์ทูลว่า “หากฝ่าพระบาทจะทรงกรุณา ขออนุญาตให้ชาวยิวที่ป้อมเมืองสุสานี้ทำตามพระราชโองการอย่างวันนี้อีกในวันพรุ่งนี้และขอให้แขวนบุตรชายทั้งสิบคนของฮามานบนตะแลงแกง”
14 ฉะนั้นกษัตริย์ทรงมีพระราชโองการที่ป้อมเมืองสุสา ร่างบุตรชายทั้งสิบของฮามานก็ถูกแขวนบนตะแลงแกง 15 ชาวยิวในป้อมเมืองสุสารวมตัวกันอีกในวันที่สิบสี่เดือนอาดาร์และสังหารศัตรูอีกสามร้อยคน แต่ไม่ได้ริบข้าวของ
16 ในขณะเดียวกันชาวยิวอื่นๆ ทั่วจักรวรรดิรวมตัวกันปกป้องชีวิตของตนเองและทำลายศัตรูทั้งปวง สังหารพวกนั้นไป 75,000 คน แต่ไม่ได้ริบข้าวของ 17 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่สิบสามเดือนอาดาร์ และพวกเขาหยุดพักในวันที่สิบสี่ และตั้งเป็นวันฉลองรื่นเริงยินดี
18 ส่วนชาวยิวที่ป้อมเมืองสุสาชุมนุมกันในวันที่สิบสามและวันที่สิบสี่ แล้วหยุดพักในวันที่สิบห้า และตั้งเป็นวันฉลองรื่นเริงยินดี
19 ด้วยเหตุนี้ชาวยิวในชนบทผู้อาศัยในหมู่บ้านต่างๆ ฉลองกันในวันที่สิบสี่เดือนอาดาร์ เป็นวันฉลองรื่นเริงยินดีและมอบของขวัญแก่กันและกัน
การฉลองเทศกาลปูริม
20 โมรเดคัยบันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ และเขียนจดหมายไปถึงชาวยิวทั้งใกล้และไกล ทั่วทุกมณฑลของกษัตริย์เซอร์ซีส 21 ให้เฉลิมฉลองประจำปีในวันที่สิบสี่และสิบห้าเดือนอาดาร์ 22 เป็นโอกาสที่ชาวยิวปลอดพ้นจากศัตรู เดือนที่ความโศกเศร้ากลับกลายเป็นความรื่นเริงยินดี และการคร่ำครวญไว้ทุกข์กลับกลายเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลอง จึงให้ถือเป็นวันฉลองรื่นเริง มอบอาหารให้แก่กันและกัน และให้ของขวัญแก่คนยากจน
23 ชาวยิวจึงเห็นพ้องต้องกันที่จะยึดถือการเฉลิมฉลองสืบไปตามที่โมรเดคัยเขียนบอก 24 ด้วยว่าฮามานบุตรฮัมเมดาธาชาวอากักศัตรูของชาวยิวทั้งปวงได้วางแผนจะทำลายพวกตนตามเวลาซึ่งกำหนดโดยการทอดสลากที่เรียกว่าเปอร์ 25 แต่เมื่อแผนการนี้รู้ถึงองค์กษัตริย์[a] พระองค์ทรงประกาศพระราชโองการที่ทำให้แผนการอันชั่วร้ายของฮามานหวนกลับไปเล่นงานตัวเขาเอง ตัวฮามานและบุตรต้องถูกแขวนบนตะแลงแกง 26 (เทศกาลนี้จึงได้ชื่อว่าปูริม มาจากคำว่า “เปอร์”) เนื่องด้วยทุกสิ่งที่เขียนไว้ในจดหมายนั้น และเนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาได้เห็นและได้เกิดขึ้นกับพวกเขา 27 ชาวยิวเห็นชอบที่จะตั้งธรรมเนียมขึ้นซึ่งพวกเขาและลูกหลาน ตลอดจนทุกคนที่มาเข้าเป็นพวกจะฉลองทั้งสองวันนี้ตามวิธีและวาระที่กำหนดทุกปีไม่ให้ขาด 28 วันเหล่านี้จะเป็นวันรำลึกซึ่งยึดถือกันตลอดไปทุกชั่วอายุ ทุกครอบครัว ในทุกหัวเมือง และในทุกมณฑล ชาวยิวจะฉลองเทศกาลปูริมสองวันนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ตลอดไปตราบชั่วลูกหลาน
29 พระราชินีเอสเธอร์ธิดาอาบีฮายิลจึงร่วมกับโมรเดคัยชาวยิวเขียนจดหมายรับรองด้วยสิทธิอำนาจเต็มที่ ยืนยันจดหมายฉบับที่สองนี้ซึ่งเกี่ยวกับปูริม 30 และโมรเดคัยส่งสาส์นไปถึงชาวยิวทั้งปวงทั่ว 127 มณฑลในจักรวรรดิของกษัตริย์เซอร์ซีส อวยพรให้อยู่ดีมีสุขและมั่นคง 31 ให้ยึดถือสองวันนี้เป็นเทศกาลปูริมประจำปี เป็นคำสั่งของโมรเดคัยชาวยิวและเป็นพระราชเสาวนีย์ของพระราชินีเอสเธอร์ ชาวยิวเองก็ได้ลงมติให้ประเพณีนี้เป็นอนุสรณ์สืบทอดไปถึงลูกหลาน รำลึกถึงวาระที่ชนทั้งชาติร่วมกันถืออดอาหารและคร่ำครวญ 32 พระราชเสาวนีย์ของเอสเธอร์รับรองกฎระเบียบเกี่ยวกับปูริม และมีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
ความยิ่งใหญ่ของโมรเดคัย
10 กษัตริย์เซอร์ซีสทรงเก็บส่วยอากรจากทั่วจักรวรรดิ ตลอดจนชายฝั่งทะเลห่างไกล 2 พระราชกิจและแสนยานุภาพของพระองค์ และเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของโมรเดคัยซึ่งกษัตริย์ทรงตั้งให้มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งมีเดียและเปอร์เซียไม่ใช่หรือ? 3 โมรเดคัยชาวยิวเป็นอัครมหาเสนาบดี มีอำนาจรองจากกษัตริย์เซอร์ซีส เขาจึงยิ่งใหญ่และเป็นที่นับถืออย่างสูงในหมู่ชาวยิว เพราะเขาบำเพ็ญประโยชน์เพื่อพี่น้องร่วมชาติ และเป็นปากเสียงเพื่อความสุขสวัสดีของชาวยิวทั้งมวล
อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ
4 แล้วเราจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับอับราฮัมบรรพบุรุษของเราในเรื่องนี้? 2 อันที่จริงถ้านับว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมโดยการประพฤติ เขาก็มีข้อที่จะอวดได้ แต่ไม่เป็นเช่นนั้นเลยต่อหน้าพระเจ้า 3 พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร? “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา”[a]
4 เมื่อคนคนหนึ่งทำงาน ค่าจ้างของเขาย่อมไม่ถือว่าเป็นของขวัญ แต่เป็นสิ่งที่เขาพึงได้รับ 5 ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่วางใจพระเจ้าผู้ทรงทำให้คนชั่วเป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ทรงถือว่าความเชื่อของเขาเป็นความชอบธรรม 6 ดาวิดกล่าวเช่นเดียวกันนี้ เมื่อเขาพูดถึงความสุขของผู้ที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นคนชอบธรรมโดยไม่ได้อาศัยการประพฤติว่า
7 “ความสุขมีแก่
ผู้ที่ได้รับการอภัยในการล่วงละเมิดของพวกเขา
ผู้ที่บาปทั้งหลายของเขาได้รับการกลบเกลื่อน
8 ความสุขมีแก่
ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ถือโทษบาปของเขาอีก”[b]
9 ความสุขนี้มีแก่ผู้ที่ได้เข้าสุหนัตเท่านั้นหรือ? หรือมีแก่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย? เราได้กล่าวแล้วว่าพระเจ้าทรงถือว่าความเชื่อของอับราฮัมเป็นความชอบธรรมของเขา 10 สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อใด? ก่อนหรือหลังจากที่เขาเข้าสุหนัต? ไม่ใช่หลังเข้าสุหนัต แต่เกิดขึ้นก่อนเข้าสุหนัตต่างหาก! 11 และเขาได้เข้าสุหนัตเป็นเครื่องหมาย ซึ่งเป็นตราแห่งความชอบธรรมที่เขาได้มาโดยความเชื่อขณะที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อแต่ยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อพระเจ้าจะทรงถือว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ชอบธรรมด้วย 12 และเขายังเป็นบิดาของผู้ที่เข้าสุหนัตแล้ว คนเหล่านี้ไม่เพียงเข้าสุหนัตเท่านั้น แต่ยังดำเนินตามรอยความเชื่อที่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรามีตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าสุหนัต
13 ไม่ใช่โดยบทบัญญัติ แต่โดยความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของเขาจึงได้รับพระสัญญาให้เป็นทายาทที่จะได้รับโลกนี้เป็นมรดก 14 เพราะถ้าบรรดาผู้ที่ยึดถือบทบัญญัติได้เป็นทายาท ความเชื่อก็ไร้ค่าและพระสัญญาก็เปล่าประโยชน์ 15 เพราะบทบัญญัติย่อมนำพระพิโรธมาถึง และที่ใดไม่มีบทบัญญัติ ที่นั่นก็ไม่มีการล่วงละเมิด
16 เหตุฉะนั้นพระสัญญาจึงมาทางความเชื่อ เพื่อพระสัญญาจะได้เป็นไปโดยพระคุณ และเพื่อพงศ์พันธุ์ทุกคนของอับราฮัมจะได้รับตามพระสัญญาอย่างแน่นอน ไม่เพียงผู้ที่ถือบทบัญญัติเท่านั้น แต่ผู้ที่มีความเชื่อแบบเดียวกับอับราฮัมด้วย เขาเป็นบิดาของพวกเราทั้งหมด 17 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของหลายชนชาติ”[c] เขาเป็นบิดาของเราในสายพระเนตรพระเจ้าผู้ที่เขาเชื่อ คือพระเจ้าผู้ประทานชีวิตแก่คนที่ตายแล้วและทรงเรียกสิ่งที่ไม่มีเสมือนว่าสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว
18 ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะมีความหวังใดๆ อับราฮัมก็ยังเชื่อ เพราะเขามีความหวัง เขาจึงได้เป็นบิดาของหลายชนชาติ เหมือนที่ได้ตรัสกับเขาไว้แล้วว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเป็นเช่นนั้นแหละ”[d] 19 ความเชื่อของเขาไม่ได้ถดถอยเลยเมื่อเขาเผชิญกับความจริงที่ว่าร่างกายของเขาเหมือนได้ตายไปแล้ว เพราะเขามีอายุราวร้อยปีแล้ว และความจริงที่ว่าซาราห์ก็ไม่สามารถมีบุตร 20 กระนั้นเขาก็ไม่ได้หวั่นไหวคลางแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่มั่นคงในความเชื่อและถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า 21 เพราะเชื่อมั่นเต็มที่ว่าพระเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะทำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ 22 นี่คือเหตุผลที่ “พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 23 คำว่า “ถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” นี้ ไม่ใช่เขียนไว้สำหรับเขาเพียงคนเดียว 24 แต่สำหรับเราทั้งหลายผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงถือว่าเป็นผู้ชอบธรรมด้วย สำหรับเราผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นขึ้นจากตาย 25 พระเยซูทรงถูกมอบไว้ให้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา และทรงคืนพระชนม์เพื่อให้เราเป็นผู้ชอบธรรม
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.