Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
อพยพ 20

บัญญัติสิบประการ(A)

20 พระเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านี้ว่า

“เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์ ออกจากแดนทาส

“อย่ามีพระเจ้าอื่นใดต่อหน้าเรา[a]

“อย่าสร้างแบบจำลองให้กับตนเอง เป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน แผ่นดินโลกเบื้องล่าง หรือท้องน้ำเบื้องลึก อย่ากราบไหว้หรือนมัสการสิ่งเหล่านั้น เพราะเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าผู้หึงหวง เราจะลงโทษลูกหลานของผู้ที่เกลียดชังเราไปสามสี่ชั่วอายุเพราะบาปของเขา แต่เราจะรักลูกหลานของผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามคำสั่งของเราตลอดพันชั่วอายุคน

“อย่ายกพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้ามาอ้างอย่างไม่สมควร เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษผู้ที่อ้างพระนามของพระองค์เช่นนั้น

“จงระลึกถึงวันสะบาโตโดยการทำให้วันนั้นบริสุทธิ์ จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าในหกวัน 10 แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต[b]แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า อย่าทำงานใดๆ ในวันนั้นไม่ว่าตัวเจ้า บุตรชาย บุตรสาว ทาสชายหญิง วัว ลา สัตว์ใดๆ แม้แต่คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้า เพื่อทาสชายหญิงของเจ้าจะได้พักเช่นเดียวกับเจ้า 11 เพราะในหกวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างฟ้าและโลก ทะเลและสรรพสิ่งในนั้น แต่ทรงหยุดพักในวันที่เจ็ด ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงอวยพรวันสะบาโตและตั้งให้เป็นวันบริสุทธิ์

12 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนยาวในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้ากำลังยกให้เจ้า

13 “อย่าฆ่าคน

14 “อย่าล่วงประเวณี

15 “อย่าลักขโมย

16 “อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

17 “อย่าโลภอยากได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภอยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้านหรือคนรับใช้ชายหญิงของเขา วัวหรือลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ที่เป็นของเพื่อนบ้านของเจ้า”

18 เมื่อประชากรทั้งปวงเห็นฟ้าแลบฟ้าร้องและควันทึบพุ่งขึ้นจากภูเขา ได้ยินเสียงฟ้าคำรนและเสียงเป่าแตร ก็ยืนอยู่แต่ไกล หวาดกลัวจนตัวสั่น 19 และกล่าวกับโมเสสว่า “ขอให้ท่านแจ้งสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เราเถิด เราจะรับฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกเราตรงๆ เลย ไม่เช่นนั้นเราคงต้องตาย”

20 โมเสสกล่าวกับประชากรว่า “อย่ากลัวเลย พระเจ้าเสด็จมาทดสอบท่าน เพื่อที่ความยำเกรงพระเจ้าจะอยู่กับท่าน เพื่อปกป้องท่านจากการทำบาป”

21 ขณะที่เหล่าประชากรยืนอยู่ห่างๆ โมเสสก้าวเข้าไปใกล้ที่มืดทึบซึ่งพระเจ้าประทับอยู่

รูปเคารพกับแท่นบูชา

22 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘พวกเจ้าเองก็เห็นแล้วว่าเราได้พูดกับเจ้าจากฟ้าสวรรค์ 23 เจ้าอย่าสร้างรูปเคารพใดๆ ขึ้นมาเทียบเคียงเรา อย่าสร้างรูปเคารพที่ทำด้วยเงินหรือทองไว้สำหรับตนเอง

24 “ ‘จงสร้างแท่นบูชาสำหรับเราด้วยดิน เพื่อถวายแกะ แพะ และวัวเป็นเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาแก่เราบนแท่นนั้น ที่ใดซึ่งเรากำหนดให้เป็นที่เทิดทูนนามของเรา เราจะมาหาและอวยพรเจ้าทั้งหลายที่นั่น 25 ถ้าเจ้าทำแท่นบูชาสำหรับเราด้วยหิน อย่าใช้หินที่ตัดแต่งแล้ว อย่าตัดหรือแต่งก้อนหินด้วยเครื่องมือ เพราะจะทำให้แท่นเป็นมลทิน 26 อย่าขึ้นไปยังแท่นของเราทางบันได เกรงว่าบางคนอาจจะเงยหน้าขึ้นมองเห็นความเปลือยของเจ้า’

ลูกา 23

23 จากนั้นที่ประชุมทั้งหมดจึงลุกขึ้น นำพระองค์มาพบปีลาต และฟ้องว่า “เราพบว่าชายผู้นี้ยุยงคนในชาติของเรา เขาคัดค้าน การเสียภาษีให้ซีซาร์และอ้างตัวเป็นพระคริสต์[a]กษัตริย์องค์หนึ่ง”

ดังนั้นปีลาตจึงถามพระเยซูว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?”

พระเยซูตรัสว่า “ใช่อย่างที่ท่านว่า”

แล้วปีลาตจึงประกาศแก่พวกหัวหน้าปุโรหิตและฝูงชนว่า “เราไม่พบมูลเหตุใดๆ ว่าชายผู้นี้ทำผิดตามข้อกล่าวหา”

แต่พวกนั้นยืนกรานว่า “เขาใช้คำสอนปลุกปั่นประชาชนทั่วแคว้นยูเดีย[b] เริ่มตั้งแต่กาลิลีตลอดทางมาจนถึงที่นี่”

ปีลาตได้ฟังเช่นนั้นจึงถามว่าชายผู้นี้เป็นชาวกาลิลีหรือ เมื่อทราบว่าพระเยซูเป็นคนในท้องที่ของเฮโรด เขาจึงส่งพระองค์ไปพบเฮโรด ซึ่งเวลานั้นอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มด้วย

เมื่อเฮโรดเห็นพระเยซูก็ดีใจมาก เพราะอยากเห็นพระองค์มานานแล้ว จากที่ได้ยินมาเฮโรดหวังจะเห็นพระองค์ทำการอัศจรรย์บ้าง เฮโรดซักถามพระองค์หลายประการ แต่พระเยซูไม่ได้ตรัสตอบเลย 10 พวกหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ยืนอยู่ที่นั่นและฟ้องร้องพระองค์อย่างเอาเป็นเอาตาย 11 จากนั้นเฮโรดกับเหล่าทหารก็เยาะเย้ยดูหมิ่นพระองค์ เอาเสื้อชุดงามสง่ามาให้พระองค์สวม แล้วส่งพระองค์กลับมาหาปีลาต 12 ในวันนั้นเฮโรดกับปีลาตกลายเป็นมิตรกันทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเป็นศัตรูกัน

13 ปีลาตเรียกพวกหัวหน้าปุโรหิต พวกผู้นำ และประชาชนมาพร้อมหน้ากัน 14 แล้วกล่าวกับพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายนำตัวชายผู้นี้มาพบเราในฐานะผู้ยุยงประชาชนให้กบฏ เราได้ไต่สวนต่อหน้าพวกท่านแล้ว และไม่พบมูลเหตุใดๆ ว่าชายผู้นี้ผิดตามข้อกล่าวหาของพวกท่าน 15 เฮโรดก็เช่นกัน เพราะเฮโรดส่งเขากลับมาหาเราดังที่ท่านเห็นอยู่ เขาไม่ได้ทำอะไรที่สมควรรับโทษถึงตาย 16 ฉะนั้น เราจะลงโทษเขาและปล่อยเขาไป”[c]

18 พวกนั้นร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า “กำจัดคนนี้เสีย! ปล่อยบารับบัสให้เรา!” 19 (บารับบัสถูกจับเข้าคุก ข้อหาก่อการจลาจลในกรุงเยรูซาเล็มและฆ่าคน)

20 ปีลาตอยากปล่อยพระเยซูจึงพูดโน้มน้าวพวกเขาอีก 21 แต่พวกนั้นเฝ้าร้องตะโกนว่า “ตรึงเขาที่ไม้กางเขน! ตรึงเขาที่ไม้กางเขน!”

22 ปีลาตกล่าวกับพวกเขาเป็นครั้งที่สามว่า “ทำไม? เขาทำผิดอะไร? เราไม่พบว่าเขาทำผิดอะไรที่สมควรมีโทษถึงตาย ฉะนั้นเราจะลงโทษและปล่อยเขา”

23 แต่พวกเขายังยืนกราน ตะโกนเรียกร้องเสียงดังให้ตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขน และเสียงตะโกนของพวกเขาชนะ 24 ดังนั้นปีลาตจึงตัดสินใจที่จะทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา 25 เขาปล่อยคนที่พวกเขาขอ คือนักโทษที่ก่อการกบฏและฆ่าคน แล้วมอบพระเยซูให้พวกเขาไปจัดการตามใจชอบ

การตรึงที่ไม้กางเขน(A)

26 ขณะพวกเขานำพระเยซูออกไป เขาเกณฑ์ซีโมนจากไซรีนที่เดินทางมาจากชนบทให้แบกไม้กางเขนตามหลังพระเยซู 27 ผู้คนมากมายติดตามพระองค์มา รวมทั้งพวกผู้หญิงซึ่งร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังเพราะพระองค์ 28 พระเยซูทรงหันมาตรัสกับพวกผู้หญิงนั้นว่า “ธิดาแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้เพื่อเราเลย จงร้องไห้เพื่อตนเองและเพื่อลูกๆ ของตนเถิด 29 เพราะวาระนั้นจะมาถึงเมื่อพวกท่านจะกล่าวว่า ‘ความสุขมีแก่หญิงผู้เป็นหมัน แก่ครรภ์ที่ไม่ได้คลอด และอกที่ไม่ได้ให้นมลูก!’ 30 เมื่อนั้น

“ ‘เขาจะกล่าวแก่ภูเขาทั้งหลายว่า
“ล้มมาทับเราเถิด!”
และบอกเนินเขาทั้งหลายว่า “ปกคลุมเราไว้เถิด!” ’[d]

31 เพราะถ้าเขายังทำอย่างนี้กับต้นไม้เขียวสด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งเล่า?”

32 มีอาชญากรอีกสองคนถูกนำตัวมาประหารพร้อมกับพระองค์ 33 เมื่อมาถึงที่ซึ่งเรียกว่า หัวกะโหลก เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่ไม้กางเขนพร้อมกับอาชญากรสองคน คนหนึ่งอยู่ข้างซ้าย อีกคนหนึ่งอยู่ข้างขวาของพระองค์ 34 พระเยซูตรัสว่า “พระบิดา ขอทรงยกโทษให้พวกเขา เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”[e] และพวกเขาเอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน

35 ประชาชนพากันยืนดูและพวกผู้นำพูดถากถางพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า เป็นผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้ก็ให้เขาช่วยตนเองให้รอดเถิด”

36 พวกทหารก็มาเยาะเย้ยพระองค์ด้วย พวกเขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งให้พระองค์ 37 แล้วพูดว่า “ถ้าท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวก็จงช่วยตนเองให้รอดเถิด”

38 เหนือพระองค์มีป้ายเขียนติดไว้ว่า “นี่คือกษัตริย์ของชาวยิว”

39 อาชญากรคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่ที่นั่นพูดสบประมาทพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตนเองกับเราให้รอด!”

40 แต่อีกคนตำหนิเขาว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือในเมื่อเจ้าเองก็ต้องโทษสถานเดียวกัน? 41 เราถูกลงโทษอย่างยุติธรรมเพราะเราได้รับสิ่งที่สมควรกับการกระทำของเราแล้ว แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำอะไรผิด”

42 แล้วเขาทูลว่า “พระเยซูเจ้าข้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”[f]

43 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู(B)

44 เวลานั้นประมาณเที่ยงวัน เกิดมืดมัวไปทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 45 เพราะดวงอาทิตย์หยุดส่องแสงและม่านในพระวิหารขาดเป็นสองท่อน 46 พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “พระบิดา ข้าพระองค์ขอมอบจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสดังนี้แล้วก็สิ้นพระชนม์

47 นายร้อยได้เห็นเหตุการณ์ก็สรรเสริญพระเจ้าและกล่าวว่า “แน่ทีเดียว ท่านผู้นี้เป็นผู้ชอบธรรม” 48 เมื่อคนทั้งปวงที่มาชุมนุมกันเพื่อเป็นพยานในเหตุการณ์นี้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ทุบตีอกด้วยความเสียใจและจากไป 49 แต่คนทั้งปวงที่รู้จักพระองค์ รวมทั้งพวกผู้หญิงที่ติดตามพระองค์มาจากกาลิลี ยืนเฝ้าดูสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างๆ

การฝังพระศพพระเยซู(C)

50 มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นสมาชิกสภา เขาเป็นคนดีและเที่ยงธรรม 51 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของคนเหล่านั้น เขามาจากอาริมาเธียแคว้นยูเดีย และเขากำลังรอคอยอาณาจักรของพระเจ้า 52 โยเซฟไปพบปีลาตเพื่อขอพระศพของพระเยซู 53 จากนั้นเขาเชิญพระศพลงมา เอาผ้าลินินพัน และวางพระศพไว้ในอุโมงค์ซึ่งสกัดไว้ในศิลา และอุโมงค์ฝังศพนี้ยังไม่เคยวางศพของใครเลย 54 วันนั้นเป็นวันเตรียม และวันสะบาโตกำลังจะเริ่มขึ้น

55 พวกผู้หญิงจากกาลิลีที่มากับพระเยซูตามโยเซฟมาและได้เห็นอุโมงค์ ตลอดจนได้เห็นว่าเขาวางพระศพไว้ในอุโมงค์อย่างไร 56 จากนั้นพวกเขาก็กลับบ้านไปเตรียมเครื่องหอมกับน้ำมันหอม แต่พวกเขาหยุดพักในวันสะบาโตอันเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติ

โยบ 38

องค์พระผู้เป็นเจ้า

38 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบโยบออกมาจากพายุว่า

“นี่ใครหนอที่บดบังคำปรึกษาของเรา
ด้วยถ้อยคำที่ปราศจากความรู้?
จงคาดเอวอย่างลูกผู้ชาย
เราจะถาม แล้วเจ้าจงตอบ

“เจ้าอยู่ที่ไหนเมื่อเราวางฐานรากของโลก?
หากเจ้าเข้าใจ จงบอกเรามาเถิด
ใครที่กำหนดขนาดให้โลก? เจ้าย่อมรู้แน่นอน!
ใครหนอเป็นผู้ขึงเชือกวัดรอบโลก?
อะไรที่ค้ำจุนฐานรากของมันไว้
และใครเป็นผู้วางศิลามุมเอกของมัน
ขณะที่เหล่าดวงดาวแห่งรุ่งอรุณขับขานบทเพลงด้วยกัน
และทูตสวรรค์ทั้งมวล[a]โห่ร้องด้วยความชื่นชมยินดี?

“ใครเป็นผู้ปิดประตูกั้นทะเล
เมื่อมันพุ่งขึ้นมาเหมือนออกจากครรภ์
เมื่อเราใช้เมฆเป็นอาภรณ์ของมัน
ใช้ความมืดทึบห่อหุ้มมัน
10 เมื่อเรากำหนดขอบเขตจำกัดมันไว้
ตั้งประตูและดาลกั้นไว้
11 เมื่อเราพูดว่า ‘เจ้าไปได้ไกลแค่นี้ จะไปไกลกว่านี้ไม่ได้
คลื่นคะนองของเจ้าจะหยุดอยู่ตรงนี้แหละ’?

12 “เจ้าเคยบงการรุ่งอรุณ
หรือกำหนดตำแหน่งให้แก่รุ่งสาง
13 เพื่อให้มันสาดแสงไปถึงชายขอบแผ่นดิน
และสลัดคนชั่วออกไปใช่ไหม?
14 แผ่นดินเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเหมือนดินเหนียวซึ่งถูกประทับตรา
ลักษณะของมันโดดเด่นออกมาเหมือนของเสื้อผ้าอาภรณ์
15 คนชั่วร้ายไม่ได้รับความสว่าง
และแขนที่เงื้อง่าของเขาก็ถูกหัก

16 “เจ้าเคยเดินทางไปถึงที่ตาน้ำของห้วงสมุทร
หรือเดินในห้วงลึกของมันไหม?
17 ประตูของความตายเคยเผยให้เจ้าเห็นบ้างไหม?
เคยเห็นประตูแห่งเงามัจจุราช[b]ไหม?
18 เจ้าหยั่งรู้ความกว้างใหญ่ของโลกหรือไม่?
หากเจ้ารู้ทุกสิ่งนี้ จงบอกเรามาเถิด

19 “หนทางที่นำไปสู่ที่อยู่ของความสว่างอยู่ที่ไหน?
และความมืดพำนักอยู่ที่ไหน?
20 เจ้านำพวกมันกลับไปยังที่ของพวกมันได้หรือ?
เจ้ารู้จักเส้นทางไปยังที่อยู่ของพวกมันหรือ?
21 แน่ละ เจ้าย่อมรู้ เพราะเจ้าเกิดมาแล้ว!
และอยู่มานานหลายปีแล้ว!

22 “เจ้าเคยไปเยือนคลังหิมะหรือ?
เคยเห็นแหล่งลูกเห็บใช่ไหม?
23 ซึ่งเราสงวนไว้เพื่อยามมีปัญหา
สำหรับใช้ในศึกสงคราม
24 ทางไปสู่จุดที่ฟ้าแลบกระจายตัวอยู่ที่ไหน?
หรือที่ลมตะวันออกพัดกระจายไปทั่วโลกอยู่ที่ไหน?
25 ใครขุดช่องให้ห่าฝน
และทำทางให้พายุฟ้าคะนอง
26 เพื่อรดดินแดนซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัย
รดถิ่นกันดารซึ่งไม่มีใครอยู่
27 เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดินแดนอันแห้งแล้งแตกระแหง
และให้หญ้าอ่อนผลิขึ้นมา?
28 ฝนมีพ่อหรือ?
ใครให้กำเนิดหยาดน้ำค้าง?
29 น้ำแข็งออกมาจากครรภ์ของผู้ใด?
ใครให้กำเนิดน้ำค้างแข็งแห่งฟ้าสวรรค์?
30 น้ำนั้นแข็งตัวเหมือนศิลาเมื่อใด?
พื้นผิวแห่งห้วงน้ำลึกแข็งตัวเมื่อใด?

31 “เจ้ามัดดาวลูกไก่ที่สวยงาม[c]ให้เป็นกลุ่มก้อนได้หรือ?
หรือคลายเชือกให้ดาวไถได้หรือ?
32 เจ้าสามารถนำหมู่ดาวต่างๆ มาตามฤดูกาลของมัน[d]ได้หรือ?
หรือนำกลุ่มดาวจระเข้พร้อมทั้งบริวารของมันให้โคจรได้หรือ?
33 เจ้ารู้กฎระเบียบของจักรวาลหรือ?
เจ้าตั้งอาณาจักรของพระเจ้า[e]เหนือโลกได้หรือ?

34 “เจ้าสามารถร้องบอกเมฆ
และทำให้มันรินฝนลงมาจนตัวเจ้าเปียกชุ่มได้หรือ?
35 เจ้าบันดาลให้เกิดฟ้าแลบได้หรือ?
มันรายงานต่อเจ้าหรือว่า ‘พวกเราอยู่ที่นี่’?
36 ใครเป็นผู้ให้สติปัญญาแก่จิตใจ[f]
หรือให้ความเข้าใจแก่ความคิด[g]?
37 ใครมีปัญญาพอที่จะนับจำนวนเมฆได้ครบ?
ใครเป็นผู้คว่ำคนโทน้ำแห่งฟ้าสวรรค์ลงมา
38 เมื่อฝุ่นธุลีแห้งกรัง
และก้อนดินเกาะกันแน่น?

39 “เจ้าล่าเหยื่อให้นางสิงห์
และเลี้ยงดูสิงโตที่หิวโหยหรือ?
40 เมื่อมันนอนอยู่ในถ้ำ
หรือซุ่มรออยู่ในพงรก
41 ใครหาอาหารให้นกกา
เมื่อลูกอ่อนของมันร้องต่อพระเจ้า
และกระเสือกกระสนเพราะขาดอาหาร?

2 โครินธ์ 8

ส่งเสริมให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

และบัดนี้พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านทราบถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่บรรดาคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนีย จากการทดลองอย่างหนักหน่วงที่สุด ความชื่นชมยินดีอันล้นพ้นและความยากไร้เป็นอย่างยิ่งของพวกเขานั้นก็เอ่อล้นเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายสุดความสามารถ ที่จริงเกินความสามารถก็ว่าได้ และด้วยความสมัครใจของเขาเอง เขาได้คะยั้นคะยอขอรับสิทธิพิเศษที่จะมีส่วนร่วมในการรับใช้นี้เพื่อประชากรของพระเจ้า และเขาไม่ได้ทำอย่างที่เราคาดคิดไว้ แต่เขาถวายตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนและจากนั้นอุทิศตัวให้เราตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงกระตุ้นทิตัสซึ่งเป็นผู้ริเริ่มงานนี้ให้สานต่อการจุนเจือด้วยใจเมตตาในส่วนของพวกท่านจนลุล่วง แต่เหมือนที่ท่านเป็นเลิศในทุกด้าน ไม่ว่าในความเชื่อ ในวาจา ในความรู้ ในความกระตือรือร้นอย่างเต็มเปี่ยมและในความรักที่ท่านมีต่อเรา[a] ก็ขอให้ท่านเป็นเลิศในการให้ด้วยใจเมตตานี้เช่นกัน

ข้าพเจ้าไม่ได้สั่งท่าน แต่ข้าพเจ้าต้องการทดสอบความจริงใจในความรักของท่านโดยการเปรียบเทียบกับความกระตือรือร้นของคนอื่น เพราะท่านย่อมทราบถึงพระคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่งก็ทรงยอมยากไร้ เพราะเห็นแก่พวกท่านเพื่อว่าท่านจะได้มั่งคั่งโดยทางความยากไร้ของพระองค์

10 และข้าพเจ้าขอแนะนำสิ่งดีที่สุดในเรื่องนี้แก่ท่าน คือปีที่แล้วท่านทั้งหลายไม่เพียงแต่เป็นพวกแรกที่ถวาย แต่ยังเป็นพวกแรกซึ่งมีใจที่จะถวาย 11 บัดนี้จงทำให้สำเร็จสมกับใจร้อนรนที่จะถวายโดยทำตามความสามารถของท่าน 12 เพราะถ้ามีความเต็มใจพร้อมอยู่แล้ว ของถวายก็เป็นที่ยอมรับตามที่เขามีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี

13 เราไม่ปรารถนาที่จะลดภาระของคนอื่น แล้วมาให้ภาระหนักหน่วงแก่ท่าน แต่เพื่อที่จะให้มีความเท่าเทียมกัน 14 ขณะนี้ท่านมีบริบูรณ์ก็ควรเกื้อกูลสิ่งที่พวกเขาขัดสน เพื่อว่าในคราวที่เขามีบริบูรณ์ก็จะเกื้อกูลสิ่งที่พวกท่านขัดสน แล้วจะได้มีความเท่าเทียมกัน 15 เหมือนที่มีเขียนไว้ว่า “ผู้ที่เก็บมากก็ไม่มีเหลือ และผู้ที่เก็บน้อยก็ไม่ขาด”[b]

ส่งทิตัสไปเมืองโครินธ์

16 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงให้ทิตัสมีใจเป็นห่วงพวกท่านเหมือนกับที่ข้าพเจ้ามี 17 เพราะทิตัสไม่เพียงแต่ตอบรับคำขอร้องของเรา แต่เขายังมาหาท่านด้วยใจกระตือรือร้นอย่างมากและด้วยความคิดริเริ่มของเขาเอง 18 นอกจากนี้เราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งมากับทิตัสด้วย เขาได้รับการยกย่องจากคริสตจักรทั้งปวงในด้านการประกาศข่าวประเสริฐ 19 ยิ่งกว่านั้นคริสตจักรต่างๆ ได้เลือกพี่น้องคนนี้ให้ร่วมเดินทางกับเราขณะนำเงินถวายไป เราได้ดูแลรับผิดชอบเงินถวายนี้เพื่อเทิดพระเกียรติองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อแสดงว่าเราเองก็มีใจกระตือรือร้นที่จะช่วย 20 เราต้องการป้องกันไม่ให้ใครมาติเตียนวิธีจัดการแจกจ่ายของบริจาคอันมากมายนี้ได้ 21 เพราะเราพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่เพียงในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในสายตาของคนทั้งปวงด้วย

22 นอกจากนี้เรายังส่งพี่น้องอีกคนหนึ่งร่วมคณะมาด้วย พี่น้องผู้นี้ได้พิสูจน์ให้เราเห็นในหลายๆ ด้านแล้วว่า เขากระตือรือร้นยิ่งนักและบัดนี้ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้นเพราะเขามั่นใจในพวกท่านมาก 23 สำหรับทิตัส เขาเป็นหุ้นส่วนและเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าท่ามกลางพวกท่าน ส่วนพี่น้องเหล่านั้นของเรา พวกเขาเป็นตัวแทนของบรรดาคริสตจักรและเป็นเกียรติแด่พระคริสต์ 24 เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์ให้คนเหล่านั้นเห็นถึงความรักของท่าน และเห็นถึงสาเหตุที่พวกเราภาคภูมิใจในพวกท่าน เพื่อว่าคริสตจักรทั้งหลายจะได้เห็นถึงสิ่งนี้ด้วย

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.