M’Cheyne Bible Reading Plan
พิธีชำระปุโรหิต(A)
29 “เจ้าจงทำดังนี้เพื่อชำระอาโรนและบรรดาบุตรชายและแยกพวกเขาไว้เพื่อพวกเขาจะได้รับใช้เราในฐานะปุโรหิตคือ จงนำวัวหนุ่มหนึ่งตัวและแกะผู้ซึ่งไม่มีตำหนิมาสองตัว 2 พร้อมทั้งขนมปังไม่ใส่เชื้อและขนมปังไม่ใส่เชื้อคลุกน้ำมัน และขนมปังไม่ใส่เชื้อแผ่นบางทาน้ำมัน ขนมปังเหล่านี้ล้วนทำจากแป้งสาลีอย่างดี 3 วางขนมปังไว้ในกระจาดและนำมาถวายที่ทางเข้าพลับพลาพร้อมด้วยวัวหนุ่มและแกะผู้ทั้งสองตัว 4 จงใช้น้ำชำระตัวอาโรนและบรรดาบุตรชายที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ 5 แล้วสวมเครื่องแต่งกายให้อาโรน ทั้งเสื้อตัวใน เสื้อคลุม เอโฟด ทับทรวง และสายคาดเอว 6 โพกผ้าโพกศีรษะซึ่งมีแผ่นทองคำติดอยู่นั้นให้อาโรน 7 แล้วเอาน้ำมันสำหรับเจิมรินลงบนศีรษะของเขา 8 จากนั้นสวมเสื้อตัวในให้บุตรชายของอาโรน 9 พร้อมทั้งคาดสายคาดเอวและโพกผ้าโพกศีรษะให้อาโรนและบรรดาบุตรของเขา เขาเหล่านั้นจะเป็นปุโรหิตตามข้อปฏิบัติถาวร นี่เป็นพิธีสถาปนาอาโรนและบรรดาบุตรชาย
10 “จากนั้นจงนำวัวหนุ่มมาที่หน้าเต็นท์นัดพบ อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาจะเอามือวางบนหัวของมัน 11 เจ้าจงฆ่ามันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 12 เอานิ้วจุ่มเลือดวัวทาที่เชิงงอนของแท่นบูชาและรินส่วนที่เหลือตรงเชิงแท่นบูชา 13 แล้วจงเอาไขมันซึ่งหุ้มเครื่องใน พังผืดที่หุ้มตับ ไตทั้งสองลูกกับไขมันที่หุ้มไตเผาบนแท่นบูชา 14 แต่จงเอาเนื้อของมันทั้งหนังและไส้ออกไปเผานอกบริเวณค่ายพัก นี่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
15 “จากนั้นอาโรนและบุตรชายจะวางมือบนหัวแกะผู้ตัวหนึ่ง 16 จงฆ่าแกะตัวนั้น รองเลือดของมันมาพรมรอบแท่นบูชา 17 จงชำแหละแกะผู้ตัวนั้นแล้วล้างเครื่องในและขาให้สะอาด วางรวมกับหัวและส่วนอื่นๆ 18 จากนั้นจงเผาแกะผู้ตัวนั้นทั้งหมดบนแท่นบูชาเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
19 “จากนั้นเอาแกะผู้อีกตัวหนึ่งมา อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาจะวางมือบนหัวแกะ 20 จงฆ่าแกะนั้น รองเลือดมาส่วนหนึ่งเจิมที่ติ่งหูข้างขวา นิ้วหัวแม่มือขวา กับนิ้วหัวแม่เท้าขวาของอาโรนและบรรดาบุตรชาย จากนั้นจงพรมเลือดส่วนที่เหลือรอบแท่นบูชา 21 แล้วปาดเลือดจากแท่นบูชา เอามาผสมกับน้ำมันสำหรับเจิม แล้วพรมที่ตัวอาโรนและบรรดาบุตรชายกับที่เสื้อผ้าของพวกเขา เป็นการชำระตัวและเครื่องแต่งกายของพวกเขาให้บริสุทธิ์
22 “จากนั้นเอาไขมัน ไขมันส่วนหาง ไขมันหุ้มเครื่องใน พังผืดหุ้มตับ ไตทั้งสองลูกกับไขมันหุ้มไตและโคนขาขวาของแกะนั้น (นี่เป็นแกะสำหรับการสถาปนาอาโรนกับบรรดาบุตรชาย) 23 และเอาขนมปังก้อนหนึ่ง ขนมปังคลุกน้ำมัน และขนมปังแผ่นบางจากกระจาดที่บรรจุขนมปังไม่ใส่เชื้อซึ่งวางไว้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 24 เอาของทั้งหมดนี้ให้อาโรนและบรรดาบุตรชายยื่นถวายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย 25 แล้วจงรับของเหล่านั้นจากมือของพวกเขา นำไปเผาบนแท่นบูชาพร้อมกับเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 26 จากนั้นเอาอกของแกะสำหรับพิธีสถาปนาอาโรนยื่นถวายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย เสร็จแล้วเก็บไว้เป็นส่วนของเจ้า
27 “จงชำระส่วนต่างๆ ของแกะผู้ที่ใช้ในการสถาปนา ซึ่งเป็นของอาโรนและบรรดาบุตรชาย คือเนื้อส่วนอกและโคนขาที่ยื่นถวาย 28 ประชากรอิสราเอลจะต้องยกส่วนนี้ของเครื่องบูชาให้อาโรนและบุตรชายเสมอ เป็นส่วนที่ชนอิสราเอลถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจากเครื่องสันติบูชาของพวกเขา
29 “เครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ของอาโรนจะตกทอดไปถึงลูกหลานของเขาเพื่อใส่เมื่อรับการเจิมและการสถาปนา 30 บุตรชายที่จะรับตำแหน่งปุโรหิตสืบต่อจากอาโรนจะต้องสวมเครื่องแต่งกายเต็มยศเป็นเวลาเจ็ดวัน เมื่อเข้าปฏิบัติหน้าที่ในพลับพลาและวิสุทธิสถาน
31 “จงเอาเนื้อของแกะผู้ที่ใช้ในพิธีสถาปนาต้มในที่ศักดิ์สิทธิ์ 32 อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาจะกินเนื้อนั้น พร้อมทั้งขนมปังในกระจาดตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 33 พวกเขาจะกินของเหล่านี้ซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบบาปที่ใช้ในพิธีสถาปนาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพวกเขา คนอื่นๆ ห้ามกินเพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ 34 และถ้ามีเนื้อแกะผู้สำหรับสถาปนาหรือขนมปังเหลือค้างถึงรุ่งเช้า อย่ากินแต่จงเผาทิ้งเพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์
35 “จงประกอบพิธีสถาปนาอาโรนกับบรรดาบุตรชายตามที่เราบัญชาเจ้าไว้ทุกอย่างโดยใช้เวลาเจ็ดวัน 36 ทุกๆ วันเจ้าจงถวายวัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป หลังจากนั้นจงชำระแท่นบูชาโดยทำการลบมลทิน และเจิมแท่นนั้นเพื่อชำระให้บริสุทธิ์ 37 ตลอดเจ็ดวันจงลบมลทินแท่นบูชาและชำระให้บริสุทธิ์ แล้วแท่นบูชาจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และไม่ว่าสิ่งใดแตะต้องแท่นนั้น สิ่งนั้นจะบริสุทธิ์
38 “จงถวายลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบบนแท่นบูชาวันละสองตัว 39 ตัวหนึ่งถวายตอนเช้า ส่วนอีกตัวถวายตอนเย็น 40 จงถวายแป้งละเอียดประมาณ 2 ลิตร[a] ผสมน้ำมันมะกอกประมาณ 1 ลิตร[b]และเหล้าองุ่นประมาณ 1 ลิตร[c]เป็นเครื่องดื่มบูชาพร้อมกับแกะตัวแรก 41 ส่วนแกะอีกตัวถวายในตอนเย็นพร้อมเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาเช่นเดียวกับตอนเช้า เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
42 “นี่คือเครื่องเผาบูชาประจำวันเสมอไปทุกชั่วอายุที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเราจะมาพบเจ้าและสนทนากับเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบนี้ 43 เราจะพบกับชาวอิสราเอลที่นั่นด้วย และเกียรติสิริของเราจะทำให้พลับพลาเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
44 “ดังนั้นเราจะชำระเต็นท์นัดพบและแท่นบูชาให้บริสุทธิ์ ทั้งจะชำระอาโรนและบรรดาบุตรชายให้บริสุทธิ์และแยกพวกเขาไว้เพื่อเป็นปุโรหิตรับใช้เรา 45 แล้วเราจะสถิตท่ามกลางชนอิสราเอล และเป็นพระเจ้าของพวกเขา 46 พวกเขาจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้นำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ เพื่อเราจะได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา
8 1 แต่พระเยซูเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ 2 พอรุ่งสางพระองค์ทรงมาที่ลานพระวิหารอีก คนทั้งปวงพากันมาชุมนุมอยู่รอบพระองค์และพระเยซูประทับนั่งเพื่อสั่งสอนพวกเขา 3 เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสีนำตัวหญิงคนหนึ่งมา นางถูกจับฐานล่วงประเวณี พวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าคนกลุ่มนั้น 4 แล้วทูลพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ หญิงผู้นี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี 5 ในหนังสือบทบัญญัติโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างหญิงที่ทำอย่างนี้ ท่านจะว่าอย่างไร?” 6 เขาใช้คำถามนี้เป็นกับดักเพื่อหาเหตุกล่าวโทษพระองค์
แต่พระเยซูทรงโน้มพระกายลงและทรงใช้นิ้วพระหัตถ์เขียนที่พื้น 7 เมื่อพวกเขายังถามไม่หยุด พระองค์ก็ทรงยืดพระกายขึ้นแล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านไม่มีบาป ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างนางเป็นคนแรก” 8 แล้วทรงโน้มพระกายลงเขียนที่พื้นอีก
9 ถึงตรงนี้พวกที่ได้ยินก็ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนเหลือแต่พระเยซูกับหญิงคนนั้นซึ่งยังคงยืนอยู่ 10 พระเยซูก็ทรงยืดพระกายขึ้นตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนกันหมด? ไม่มีใครเอาโทษเจ้าเลยหรือ?”
11 นางทูลว่า “ไม่มีเลย พระเจ้าข้า”
พระเยซูประกาศว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเช่นกัน บัดนี้จงไปเถิด และจงทิ้งวิถีชีวิตที่ผิดบาปของเจ้า”
คำพยานของพระเยซูเชื่อถือได้
12 เมื่อพระเยซูตรัสกับประชาชนอีก พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดเลยแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”
13 พวกฟาริสีจึงท้าทายพระองค์ว่า “นั่นไง ท่านเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของท่านเชื่อถือไม่ได้”
14 พระเยซูตรัสตอบว่า “แม้เราเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของเราก็เชื่อถือได้ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปไหน แต่พวกท่านไม่รู้เลยว่าเรามาจากไหนหรือจะไปไหน 15 ท่านตัดสินตามมาตรฐานของมนุษย์ ส่วนเราไม่ตัดสินใคร 16 แต่ถ้าเราตัดสิน คำตัดสินของเราก็ถูกต้องเพราะเราไม่ได้ทำไปโดยลำพัง พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา 17 ในหนังสือบทบัญญัติของท่านเองก็เขียนไว้ว่าคำพยานของคนสองคนเชื่อถือได้ 18 เราเป็นพยานให้ตัวเอง และพยานอีกผู้หนึ่งของเราคือพระบิดาผู้ทรงส่งเรามา”
19 พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “บิดาของท่านอยู่ที่ไหน?”
พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเรา ถ้าท่านรู้จักเรา ท่านย่อมรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 20 พระเยซูตรัสดังนี้ขณะทรงสอนอยู่ในบริเวณพระวิหารใกล้กับที่วางของถวาย แต่ก็ไม่มีใครจับพระองค์เพราะยังไม่ถึงเวลาของพระองค์
21 พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เรากำลังจะไป พวกท่านจะหาเรา และพวกท่านจะตายในบาปของพวกท่าน ที่ซึ่งเราไปนั้นพวกท่านไม่สามารถไปได้”
22 คำตรัสนี้ทำให้พวกยิวถามกันว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เพราะเหตุนั้นใช่ไหมเขาจึงพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราไปนั้นพวกท่านไม่สามารถไปได้’?”
23 แต่พระองค์ตรัสต่อไปว่า “พวกท่านมาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24 เราบอกแล้วว่าท่านจะตายในบาปของท่าน ถ้าท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น[a] ท่านจะตายในบาปของท่านอย่างแน่นอน”
25 พวกเขาทูลถามว่า “ท่านเป็นใคร?”
พระเยซูตรัสตอบว่า “ก็อย่างที่เราอ้างมาโดยตลอด 26 เรามีหลายอย่างที่จะพูดในการตัดสินท่าน แต่พระองค์ผู้ทรงส่งเรามานั้นเชื่อถือได้ และสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระองค์นั้นเราก็แจ้งแก่โลก”
27 พวกเขาไม่เข้าใจที่พระองค์กำลังบอกพวกเขา เกี่ยวกับพระบิดาของพระองค์ 28 ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสว่า “เมื่อท่านยก[b]บุตรมนุษย์ขึ้นตรึงบนไม้กางเขนแล้ว แล้วท่านจะรู้ว่าเราเป็นผู้ที่เราอ้างว่าเราเป็น และเราไม่ได้ทำอะไรโดยลำพังแต่พูดตามที่พระบิดาได้ทรงสอนไว้ 29 พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาสถิตกับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพังเพราะเราทำสิ่งที่พระองค์พอพระทัยเสมอ” 30 เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ หลายคนก็มีความเชื่อในพระองค์
ลูกหลานของอับราฮัม
31 พระเยซูตรัสกับชาวยิวที่ได้เชื่อพระองค์ว่า “ถ้าท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราจริงๆ 32 แล้วท่านจะรู้จักความจริงและความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท”
33 พวกเขาตอบว่า “เราเป็นลูกหลานของอับราฮัม[c]ไม่เคยเป็นทาสใคร ท่านพูดมาได้อย่างไรว่าเราจะเป็นไท?”
34 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป 35 ทาสไม่ได้อยู่ในครอบครัวตลอดไปแต่บุตรต่างหากที่เป็นของครอบครัวตลอดไป 36 ฉะนั้นหากพระบุตรช่วยให้ท่านเป็นไท ท่านก็จะเป็นไทอย่างแท้จริง 37 เรารู้ว่าท่านเป็นลูกหลานของอับราฮัม กระนั้นท่านก็พร้อมที่จะฆ่าเราเพราะท่านไม่เชื่อคำพูดของเราเลย 38 เรากำลังบอกท่านถึงสิ่งที่เราได้เห็นเมื่ออยู่กับพระบิดา และท่านก็ทำสิ่งที่ท่านได้ยินจากบิดาของท่าน[d]”
39 พวกเขาทูลตอบว่า “อับราฮัมคือบิดาของเรา”
พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านเป็นลูกหลานของอับราฮัม ท่านคงจะ[e]ทำสิ่งที่อับราฮัมได้ทำ 40 แต่นี่ท่านตั้งใจแน่วแน่จะฆ่าเราผู้บอกความจริงซึ่งเราได้ยินจากพระเจ้าแก่ท่าน อับราฮัมไม่ทำเช่นนี้ 41 ท่านกำลังทำสิ่งที่บิดาของท่านเองทำ”
พวกเขาคัดค้านว่า “เราไม่ใช่ลูกนอกสมรส เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้าเท่านั้น”
ลูกของมาร
42 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “หากพระเจ้าเป็นพระบิดาของท่าน ท่านก็คงจะรักเราเพราะเรามาจากพระเจ้าและบัดนี้เราอยู่ที่นี่แล้ว เราไม่ได้มาเองแต่พระองค์ทรงส่งเรามา 43 ทำไมท่านจึงไม่เข้าใจคำพูดของเรา? ก็เพราะท่านไม่สามารถรับฟังสิ่งที่เราพูด 44 ท่านเป็นของมารผู้เป็นบิดาของท่านและท่านต้องการทำตามความประสงค์ของบิดาของท่าน มารเป็นผู้ฆ่าคนมาตั้งแต่แรก มันไม่ได้ยึดมั่นในความจริงเพราะไม่มีความจริงอยู่ในมาร เมื่อพูดโกหกมันก็พูดตามสันดานของมันเพราะมารเป็นผู้มุสาและเป็นบิดาแห่งคำมุสา 45 แต่เพราะเราพูดความจริง ท่านจึงไม่เชื่อเรา! 46 มีใครในพวกท่านที่พิสูจน์ได้ว่าเราทำผิดบาป? ถ้าเราพูดความจริงทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา? 47 ผู้ที่เป็นคนของพระเจ้าย่อมรับฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส เหตุที่พวกท่านไม่ยอมรับฟังก็เพราะพวกท่านไม่ได้เป็นของพระเจ้า”
พระเยซูตรัสเกี่ยวกับพระองค์เอง
48 พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราพูดถูกไม่ใช่หรือว่าท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิง?”
49 พระเยซูตรัสว่า “เราไม่ได้ถูกผีสิง แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเราและท่านหลู่เกียรติเรา 50 เราไม่ได้แสวงหาเกียรติให้ตัวเองแต่มีผู้หนึ่งหาให้เราและพระองค์ทรงเป็นผู้ตัดสิน 51 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา ผู้นั้นก็จะไม่พบกับความตายเลย”
52 เมื่อพวกยิวได้ยินเช่นนี้ก็ร้องว่า “เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าท่านถูกผีสิง! อับราฮัมตายไปแล้ว เหล่าผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเช่นกัน กระนั้นท่านยังมาพูดว่าถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของท่านผู้นั้นจะไม่ลิ้มรสความตายเลย 53 ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราหรือ? อับราฮัมตายไปแล้ว เหล่าผู้เผยพระวจนะก็เช่นกัน แล้วท่านคิดว่าตัวเองเป็นใคร?”
54 พระเยซูตรัสตอบว่า “หากเรายกย่องตัวเองเกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระบิดาของเราซึ่งท่านบอกว่าเป็นพระเจ้าของท่านคือผู้ที่ยกย่องเรา 55 ถึงแม้ว่าท่านไม่รู้จักพระองค์แต่เรารู้จักพระองค์ หากเราพูดว่าเราไม่รู้จักเราก็เป็นคนโกหกเหมือนท่าน แต่นี่เรารู้จักพระองค์และทำตามพระดำรัสของพระองค์ 56 อับราฮัมบิดาของท่านปีติยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา เขาก็ได้เห็นแล้วและมีความยินดี”
57 พวกยิวทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปีและท่านได้เห็นอับราฮัมแล้วเชียวหรือ!”
58 พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราก็เป็นอยู่แล้ว!” 59 เมื่อได้ยินเช่นนี้พวกเขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นจะขว้างพระองค์แต่พระเยซูทรงเลี่ยงหลบและเสด็จออกไปจากบริเวณพระวิหาร
อย่าสำส่อน
5 ลูกเอ๋ย จงตั้งใจฟังปัญญาของเรา
จงเงี่ยหูฟังถ้อยคำแห่งความเข้าใจอันลึกซึ้งของเรา
2 เพื่อเจ้าจะได้รักษาความสุขุมรอบคอบ
และริมฝีปากของเจ้าจะสงวนความรู้ไว้
3 เพราะริมฝีปากของหญิงแพศยาหวานปานน้ำผึ้ง
และคำพูดของนางก็ลื่นยิ่งกว่าน้ำมัน
4 แต่ท้ายที่สุด นางขมยิ่งกว่าบอระเพ็ด
คมยิ่งกว่าดาบสองคม
5 เท้าของนางนำไปสู่ความตาย
ย่างก้าวของนางตรงดิ่งไปยังหลุมฝังศพ
6 นางไม่สนใจทางแห่งชีวิต
วิถีของนางวกวนไร้จุดหมาย แต่นางไม่รู้เลย
7 ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้จงฟังเรา
และอย่าหันหนีจากถ้อยคำของเรา
8 จงให้วิถีของเจ้าห่างไกลจากนาง
อย่าเฉียดกรายไปใกล้ประตูบ้านของนาง
9 เกรงว่าเจ้าจะสูญเสียเกียรติให้แก่คนอื่น
และให้ศักดิ์ศรี[a]ของเจ้าแก่คนโหดร้าย
10 เกรงว่าคนแปลกหน้าจะมาเสวยสุขอยู่บนทรัพย์สินความสามารถของเจ้า
และน้ำพักน้ำแรงของเจ้าจะตกแก่บ้านของคนอื่น
11 ในบั้นปลายชีวิต เจ้าจะร้องโอดครวญ
เมื่อกำลังและร่างกายของเจ้าถูกกัดกินจนเสื่อมโทรมไป
12 เจ้าจะกล่าวว่า “เราเคยเกลียดการตีสั่งสอนยิ่งนัก!
และไม่แยแสคำตักเตือน!
13 เราไม่ยอมเชื่อฟังครูอาจารย์
หรือรับฟังผู้สั่งสอนของเรา
14 เราจวนเจียนจะถลำสู่หายนะ
ต่อหน้าสาธารณชน”
15 จงดื่มน้ำจากบ่อเก็บของเจ้า
น้ำที่ไหลจากบ่อของเจ้าเอง
16 ควรหรือที่จะให้น้ำพุของเจ้าไหลล้นออกไปตามถนน
หรือให้ธารน้ำของเจ้าไหลไปยังย่านชุมชน?
17 จงให้มันเป็นของเจ้าแต่ผู้เดียว
ไม่ใช่แบ่งปันกับคนแปลกหน้า
18 จงให้ธารน้ำพุของเจ้าได้รับพร
จงปีติยินดีในภรรยาคู่ชีวิตที่ได้มาในวัยหนุ่ม
19 ดั่งนางกวางที่น่ารัก เลียงผาที่น่าชม
จงให้อ้อมอกของนางเป็นที่หนำใจเจ้าเสมอ
จงหลงใหลในความรักของนางตลอดไป
20 ลูกเอ๋ย เหตุใดเจ้าจึงไปหลงใหลภรรยาของชายอื่น?
เหตุใดเจ้าจึงไปซบอกหญิงแพศยา?
21 เพราะว่าทางทั้งสิ้นของมนุษย์อยู่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ทรงพิเคราะห์ดูทุกวิถีของเขา
22 คนชั่วติดกับเพราะบาปของตน
และบาปนั้นก็เป็นบ่วงรัดเขาไว้แน่น
23 เขาจะตายเพราะขาดวินัย
และหลงเตลิดไปเพราะความโง่มหันต์ของตน
4 สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวอยู่นี้ก็คือ ตราบใดที่ทายาทยังเด็กอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับทาส แม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด 2 เขาก็ยังอยู่ในบังคับของผู้ปกครองและผู้ดูแลทรัพย์สิน จนกว่าจะถึงเวลาที่บิดากำหนด 3 เช่นกันเมื่อเรายังเด็ก เราเป็นทาสอยู่ใต้บังคับของหลักการพื้นฐานทั้งหลายของโลก 4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวงซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์ 6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา[a] พ่อ” 7 ฉะนั้นท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย
เปาโลห่วงใยพี่น้องชาวกาลาเทีย
8 เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของผู้ซึ่งโดยสภาพแล้วไม่ใช่เทพเจ้าเลย 9 แต่เดี๋ยวนี้ท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกคือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว ท่านยังจะหวนกลับไปหาหลักการเก่าๆ ซึ่งอ่อนแอและน่าสังเวชหรือ? ท่านอยากตกเป็นทาสด้วยสิ่งทั้งปวงนี้อีกหรือ? 10 ท่านกำลังถือวันเดือนฤดูและปี! 11 ข้าพเจ้าหวาดหวั่นแทนท่าน เกรงว่าที่ข้าพเจ้าบากบั่นทุ่มเทให้ท่านนั้นจะเปล่าประโยชน์
12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ขอให้เป็นเหมือนข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าได้เป็นเหมือนท่าน ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรต่อข้าพเจ้า 13 ท่านก็ทราบอยู่ตอนแรกที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้นก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้าเป็นการทดลองสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูกหรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว 16 บัดนี้ข้าพเจ้าได้กลายเป็นศัตรูของท่านเพราะบอกความจริงแก่ท่านหรือ?
17 คนพวกนั้นร้อนรนเพื่อชนะใจท่าน แต่ไม่ใช่เพราะหวังดี สิ่งที่เขาต้องการคือแยกท่านออกไปจากเรา เพื่อให้ท่านร้อนรนเพื่อพวกเขา 18 ถ้าร้อนรนเพราะหวังดีก็ดีอยู่ ขอให้เป็นเช่นนั้นตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่าน 19 ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตรเพื่อท่านอีกจนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน 20 ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะอยู่กับท่านตอนนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าข้องใจในตัวท่าน!
นางฮาการ์กับนางซาราห์
21 ท่านที่อยากอยู่ใต้บทบัญญัติ บอกข้าพเจ้าเถิด ท่านไม่ตระหนักถึงสิ่งที่บทบัญญัติกล่าวไว้หรือ? 22 เพราะมีเขียนไว้ว่าอับราฮัมมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นทาส อีกคนเกิดจากหญิงที่เป็นไท 23 บุตรจากหญิงที่เป็นทาสเกิดตามปกติธรรมดา ส่วนบุตรจากหญิงที่เป็นไทเกิดตามพระสัญญา
24 เรื่องนี้ถือเป็นการเปรียบเทียบได้ หญิงทั้งสองหมายถึงสองพันธสัญญา พันธสัญญาหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คือ นางฮาการ์ให้กำเนิดลูกทาส 25 นางฮาการ์หมายถึงภูเขาซีนายในประเทศอาระเบีย เล็งถึงกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะนางกับบรรดาบุตรของนางเป็นทาสอยู่ 26 ส่วนเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท เป็นมารดาของเราทั้งหลาย 27 ตามที่มีเขียนไว้ว่า
“จงยินดีเถิด หญิงหมันเอ๋ย
ผู้ไม่เคยมีลูก
จงเปล่งเสียงโห่ร้องเถิด
เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์
เพราะลูกของหญิงที่โดดเดี่ยว
ก็ยังมีมากกว่าลูกของหญิงผู้มีสามี”[b]
28 พี่น้องทั้งหลาย ฝ่ายท่านเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค 29 ครั้งนั้นบุตรที่เกิดตามปกติธรรมดารังแกบุตรที่เกิดโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ บัดนี้ก็เช่นกัน 30 แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าอย่างไร? “ขอให้ไล่เมียทาสกับลูกของนางไปเถิด เพราะลูกของเมียทาสนั้นจะไม่มีวันมีส่วนร่วมในมรดกกับลูกของหญิงที่เป็นไท”[c] 31 ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงที่เป็นทาส แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไท
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.