M’Cheyne Bible Reading Plan
แท่นบูชา(A)
38 เขาทำแท่นเผาเครื่องบูชาจากไม้กระถินเทศ รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างยาวด้านละ 5 ศอก สูง 3 ศอก[a] 2 ทำเชิงงอนที่มุมทั้งสี่ของแท่นเป็นเนื้อเดียวกับตัวแท่น และใช้ทองสัมฤทธิ์หุ้มรอบแท่น 3 และทำภาชนะทุกชิ้นของแท่นบูชาด้วยทองสัมฤทธิ์ ทั้งหม้อใส่เถ้า ทัพพี อ่างประพรม ขอเกี่ยวเนื้อและถาดรองไฟ 4 เขาทำตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับวางที่ด้านในของแท่น ใต้ขอบบนอยู่ระดับกลางแท่น 5 เขาหล่อห่วงทองสัมฤทธิ์ที่มุมทั้งสี่ของตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับสอดคานหาม 6 เขาทำคานหามจากไม้กระถินเทศหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์ 7 และสอดคานนั้นไว้ในห่วงข้างแท่นเพื่อใช้หาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดาน ให้ภายในกลวง
อ่างสำหรับล้างชำระ
8 เขาทำอ่างทองสัมฤทธิ์และฐานรองทองสัมฤทธิ์จากกระจกเงาของพวกผู้หญิงที่ปรนนิบัติตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ
ลานพลับพลา(B)
9 จากนั้นเขาทำลานพลับพลา มีผ้าลินินเนื้อดีเป็นม่านปิดทางด้านทิศใต้ ม่านคลี่ออกกว้าง 100 ศอก[b] 10 มีเสายี่สิบต้นปักบนฐานรองรับยี่สิบฐานทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และมีตะขอเงินติดกับราวเงินสำหรับแขวนม่านติดอยู่กับเสา 11 ผนังด้านทิศเหนือยาว 100 ศอกเช่นกัน มีเสายี่สิบต้นพร้อมฐานรองรับทำจากทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน และมีตะขอเงินและราวเงินสำหรับแขวนม่านติดอยู่กับเสา
12 ด้านทิศตะวันตกมีม่านกว้าง 50 ศอก[c]และมีเสาสิบต้นปักบนฐานทั้งสิบ และมีตะขอเงินกับราวเงินสำหรับแขวนม่านติดอยู่กับเสา 13 ด้านทิศตะวันออกก็กว้าง 50 ศอกเช่นกัน 14 ด้านหนึ่งของทางเข้ามีม่านยาว 15 ศอก[d]เกี่ยวบนเสาสามต้นซึ่งปักบนฐานสามฐาน 15 อีกด้านหนึ่งของทางเข้าสู่ลานพลับพลามีม่านยาว 15 ศอกเกี่ยวบนเสาสามต้นซึ่งปักบนฐานสามฐาน 16 ม่านรอบลานพลับพลาทั้งหมดทอด้วยผ้าลินินเนื้อดี 17 ฐานรองรับเสาทำจากทองสัมฤทธิ์ ตะขอและราวขึงม่านล้วนทำจากเงิน หัวเสาก็หุ้มด้วยเงิน ดังนั้นเสาทุกต้นของลานพลับพลามีปลอกทำด้วยเงิน
18 ม่านกั้นทางเข้าลานพลับพลาทั้งหมดทำจากผ้าลินินเนื้อดี ปักอย่างวิจิตรด้วยด้ายสีน้ำเงิน ม่วง และแดง กว้าง 20 ศอก สูง 5 ศอก[e] เช่นเดียวกับผ้าม่านผนังลานพลับพลา 19 มีเสาค้ำสี่ต้นพร้อมฐานทองสัมฤทธิ์สี่ฐาน ตะขอและราวขึงม่านทำด้วยเงิน หัวเสาก็เป็นเงิน 20 หลักหมุดทั้งหมดของพลับพลาและลานพลับพลาโดยรอบทำด้วยทองสัมฤทธิ์
วัสดุที่ใช้
21 สิ่งเหล่านี้คือรายการวัสดุที่ใช้สำหรับพลับพลา ที่ตั้งของหีบพันธสัญญา ซึ่งโมเสสสั่งให้คนเลวีบันทึกไว้ ภายใต้การกำกับดูแลของอิธามาร์บุตรชายของปุโรหิตอาโรน 22 (เบซาเลลบุตรชายของอูรีซึ่งเป็นบุตรชายของเฮอร์จากเผ่ายูดาห์ได้ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส 23 ผู้ช่วยของเขาคือโอโฮลีอับบุตรชายของอาหิสะมัคจากเผ่าดาน เขาก็เป็นช่างฝีมือและนักออกแบบและเป็นช่างปักด้วยด้าย สีน้ำเงิน ม่วง และแดงลงบนผ้าลินินเนื้อดี) 24 ทองคำทั้งหมดจากเครื่องบูชายื่นถวายซึ่งใช้ในงานสถานนมัสการมีน้ำหนักประมาณ 1 ตัน[f]
25 เงินที่เก็บมาจากชุมชนหนักประมาณ 3.4 ตัน[g] 26 โดยเก็บจากผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไป ตามรายชื่อในทะเบียนสำมะโนประชากรรวม 603,550 คน คนละประมาณ 5.5 กรัม[h] 27 เงินหนักประมาณ 3.4 ตัน[i]ใช้ทำฐานรองรับสถานนมัสการและเสาค้ำม่าน 100 ฐาน แต่ละฐานใช้เงินหนักประมาณ 34 กิโลกรัม[j] 28 เงินอีกประมาณ 20 กิโลกรัม[k]ใช้ทำตะขอบนเสา หุ้มหัวเสา และทำราวยึดม่าน
29 ทองสัมฤทธิ์ซึ่งนำมาจากเครื่องบูชายื่นถวายหนักประมาณ 2.4 ตัน[l] 30 ใช้ในการหล่อฐานรองรับเสาตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์พร้อมกับตะแกรงทองสัมฤทธิ์ และภาชนะใช้สอยทั้งหมดสำหรับแท่น 31 ฐานรองรับเสาลานพลับพลาโดยรอบ ทางเข้าและหลักหมุดที่ใช้ในการสร้างพลับพลาและลานพลับพลาโดยรอบ
พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อพระองค์เอง
17 หลังจากพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้แล้ว พระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์และอธิษฐานว่า
“พระบิดาเจ้าข้า ถึงเวลาแล้ว ขอทรงให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติสิริเพื่อว่าพระบุตรจะได้ถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ 2 เพราะพระองค์ทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือคนทั้งปวง เพื่อพระบุตรจะได้ให้ชีวิตนิรันดร์แก่คนทั้งปวงที่พระองค์ได้ประทานแก่พระบุตร 3 นี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา 4 ข้าพระองค์ได้ถวายเกียรติสิริแด่พระองค์ในโลกโดยกระทำกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้แก่ข้าพระองค์จนสำเร็จครบถ้วน 5 และบัดนี้ ข้าแต่พระบิดา ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติสิริต่อหน้าพระองค์ คือเกียรติสิริซึ่งข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ตั้งแต่ก่อนโลกเริ่มขึ้น
พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวก
6 “ข้าพระองค์ได้สำแดงพระองค์[a]แก่บรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์จากโลกนี้ พวกเขาเป็นของพระองค์ พระองค์ได้ประทานพวกเขาแก่ข้าพระองค์และพวกเขาได้เชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ 7 บัดนี้พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์ 8 เพราะข้าพระองค์ได้ให้พระดำรัสที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นแก่พวกเขาและพวกเขารับไว้ เขาทั้งหลายรู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจากพระองค์และเชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 9 ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้กำลังอธิษฐานเพื่อโลกแต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์เพราะพวกเขาเป็นของพระองค์ 10 ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์มีก็เป็นของพระองค์และทุกสิ่งที่พระองค์มีก็เป็นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ได้รับเกียรติสิริผ่านทางพวกเขา 11 ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกอีกต่อไปแต่พวกเขายังอยู่ในโลกและข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอทรงปกป้องคุ้มครองพวกเขาไว้โดยฤทธานุภาพแห่งพระนามของพระองค์ พระนามซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน 12 ขณะข้าพระองค์อยู่กับพวกเขาข้าพระองค์ได้ปกป้องและรักษาพวกเขาไว้ให้ปลอดภัยโดยนามซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ไม่มีสักคนที่สูญเสียไป ยกเว้นผู้เดียวนั้นที่จะต้องพินาศเพื่อจะเป็นจริงตามพระคัมภีร์
13 “บัดนี้ข้าพระองค์กำลังไปหาพระองค์ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวสิ่งเหล่านี้ขณะยังอยู่ในโลก เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่ยมอยู่ภายในพวกเขา 14 ข้าพระองค์ได้มอบพระดำรัสของพระองค์แก่พวกเขา และโลกได้เกลียดชังพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นของโลกเหมือนที่ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นของโลก 15 ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงเอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้พระองค์ทรงปกป้องพวกเขาให้พ้นจากผู้ชั่วร้าย 16 พวกเขาไม่เป็นของโลกเหมือนที่ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นของโลก 17 ขอทรงชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์[b]โดยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง 18 ข้าพระองค์ได้ส่งพวกเขาเข้าไปในโลกเหมือนที่พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์เข้ามาในโลก 19 เพราะเห็นแก่พวกเขาข้าพระองค์จึงชำระตนให้บริสุทธิ์ เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงด้วย
พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อผู้เชื่อทั้งปวง
20 “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์ผ่านทางถ้อยคำของพวกเขาด้วย 21 เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้าพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์และอยู่ในข้าพระองค์อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 22 เกียรติสิริซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันคือ 23 ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มาและทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์
24 “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้บรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นอยู่กับข้าพระองค์ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่ และให้พวกเขาเห็นเกียรติสิริของข้าพระองค์ คือเกียรติสิริซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างโลก
25 “ข้าแต่พระบิดาผู้ชอบธรรม แม้โลกไม่รู้จักพระองค์แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และพวกเขาก็รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา 26 ข้าพระองค์ได้ทำให้พวกเขารู้จักพระองค์และจะทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักต่อไปอีก เพื่อความรักซึ่งพระองค์ทรงมีต่อข้าพระองค์จะอยู่ในพวกเขาและเพื่อข้าพระองค์เองจะอยู่ในพวกเขา”
14 หญิงฉลาดสร้างเรือนของตนขึ้น
ส่วนหญิงโง่รื้อมันลงด้วยมือของตน
2 คนที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เดินอย่างเที่ยงตรง
แต่คนที่ดูหมิ่นพระองค์ก็เดินในทางคดเคี้ยวของตน
3 วาจายโสของคนโง่นำโทษทัณฑ์มาสู่ตนเอง
แต่คำพูดของคนฉลาดจะปกป้องเขาไว้
4 ที่ไหนไม่มีวัว ยุ้งฉางก็ว่างเปล่า
แต่แรงวัวให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์
5 พยานซื่อสัตย์ไม่โกหก
แต่พยานเท็จโกหกอยู่เรื่อย
6 คนชอบเยาะเย้ยแสวงหาปัญญาแต่ไม่เคยพบ
แต่ผู้ที่มีความเข้าใจก็พบความรู้ได้อย่างง่ายดาย
7 อย่าเฉียดใกล้คนโง่
เพราะเจ้าจะไม่พบความรู้จากปากของเขา
8 ปัญญาของคนฉลาดหลักแหลมคือการเข้าใจทางของตน
แต่ความโง่ของคนโง่คือการหลอกตัวเอง
9 คนโง่ล้อเล่นกับความผิดบาป
แต่ในหมู่คนเที่ยงธรรมมีแต่ความปรารถนาดี
10 มีแต่ใจตนเองที่รู้ถึงความขมขื่น
และไม่มีใครร่วมรับรู้สันติสุขในใจ
11 บ้านของคนชั่วจะถูกทำลายราบคาบ
แต่เพิงของคนเที่ยงธรรมจะเจริญขึ้น
12 มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูกต้อง
แต่จุดจบของทางเหล่านี้คือความตาย
13 แม้ขณะหัวเราะ จิตใจอาจปวดร้าว
และความชื่นชมยินดีอาจจบลงด้วยความโศกเศร้า
14 คนละทิ้งความเชื่อจะถูกลงโทษอย่างสาสมเพราะทางของเขา
แต่คนดีก็ได้รับบำเหน็จของตน
15 คนอ่อนต่อโลกเชื่อไปหมดทุกอย่าง
แต่คนสุขุมรอบคอบรู้จักยั้งคิดในแต่ละย่างก้าว
16 คนฉลาดยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและหลีกห่างจากความชั่ว
ส่วนคนโง่หุนหันพลันแล่นแต่หลงคิดว่าตนเองมั่นคงปลอดภัย
17 คนวู่วามทำอะไรโง่ๆ
และคนเจ้าเล่ห์เป็นที่เกลียดชัง
18 คนอ่อนต่อโลกรับความโง่เป็นมรดก
แต่คนสุขุมรอบคอบรับความรู้เป็นมงกุฎ
19 คนชั่วจะก้มกราบลงต่อหน้าคนดี
และคนเลวจะกราบลงที่ประตูรั้วของคนชอบธรรม
20 คนจนนั้นแม้แต่เพื่อนบ้านก็ยังเมินหนี
แต่คนร่ำรวยมีเพื่อนฝูงมากมาย
21 ผู้ที่ดูถูกเพื่อนบ้านก็บาป
ความสุขมีแก่ผู้ที่ช่วยเหลือคนยากไร้
22 ผู้วางแผนชั่วร้ายก็หลงเตลิดไม่ใช่หรือ?
แต่คนที่คิดอ่านการดีก็พบ[a]ความเมตตากรุณาและความซื่อสัตย์
23 การพากเพียรทำงานล้วนให้ผลกำไร
ถ้าดีแต่พูดก็ยากจน
24 ความมั่งคั่งเป็นมงกุฎของคนฉลาด
แต่ความโง่ของคนโง่ก็คือความโง่
25 พยานที่พูดความจริงช่วยชีวิตคน
แต่พยานเท็จใส่ร้ายป้ายสี
26 ผู้ที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้ามีป้อมปราการมั่นคง
ซึ่งจะเป็นที่ลี้ภัยให้แก่ลูกหลานของเขา
27 ความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นน้ำพุแห่งชีวิต
ช่วยให้คนพ้นจากบ่วงความตาย
28 ศักดิ์ศรีของกษัตริย์อยู่ที่จำนวนประชากรที่จงรักภักดี
ถ้าไม่มีประชาชน เจ้านายก็อยู่ไม่ได้
29 ความใจเย็นเป็นคุณลักษณะที่ยิ่งใหญ่
ความใจร้อนส่งเสริมความโง่เขลา
30 ใจสงบเยือกเย็นให้ชีวิตกับร่างกาย
แต่ความอิจฉาริษยากัดกร่อนกระดูก
31 ผู้ที่รังแกคนยากจนก็หมิ่นประมาทพระผู้สร้างของพวกเขา
แต่ผู้ที่เมตตาคนขัดสนก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
32 เมื่อภัยพิบัติมาถึง คนชั่วก็ถูกโค่นล้ม
แต่คนชอบธรรมลี้ภัยในพระเจ้าแม้ในความตาย
33 สติปัญญาพักอยู่ในใจของคนที่มีวิจารณญาณ
และเป็นที่ประจักษ์แจ้งแม้ในหมู่คนโง่[b]
34 ความชอบธรรมเชิดชูชาติ
แต่บาปทำให้ชนชาติต่างๆ ถูกพิพากษา
35 กษัตริย์โปรดปรานคนรับใช้ที่ฉลาด
แต่ทรงพระพิโรธคนรับใช้ที่ไม่ได้ความ
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโลกับทิโมธีผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์
ถึงประชากรทุกคนของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ที่เมืองฟีลิปปี ตลอดจนคณะผู้ปกครอง[a] และคณะมัคนายก
2 ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่พวกท่าน
ขอบพระคุณและทูลขอ
3 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าทุกครั้งที่ระลึกถึงพวกท่าน 4 ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเผื่อพวกท่านทั้งปวง ข้าพเจ้าก็อธิษฐานด้วยความชื่นชมยินดีเสมอ 5 เพราะท่านมีส่วนร่วมในข่าวประเสริฐตั้งแต่แรกจวบจนบัดนี้ 6 ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้นจะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์
7 สมควรแล้วที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้เกี่ยวกับพวกท่านทุกคน เนื่องจากพวกท่านอยู่ในดวงใจของข้าพเจ้า เพราะไม่ว่าข้าพเจ้าจะถูกจองจำหรือกำลังกล่าวปกป้องและยืนยันข่าวประเสริฐนั้น พวกท่านก็มีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในงานที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ 8 พระเจ้าทรงเป็นพยานได้ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะพบพวกท่านทั้งปวงมากเพียงใด ข้าพเจ้ารักท่านด้วยความรักของพระเยซูคริสต์
9 และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอให้ความรักของท่านทวียิ่งๆ ขึ้น มีความรู้และความเข้าใจอันลึกซึ้ง 10 เพื่อท่านจะสามารถแยกแยะได้ว่าอะไรดีที่สุด และเพื่อท่านจะได้บริสุทธิ์ปราศจากที่ติจนกว่าจะถึงวันแห่งพระคริสต์ 11 และเปี่ยมด้วยผลแห่งความชอบธรรมซึ่งมาทางพระเยซูคริสต์ อันเป็นการถวายพระเกียรติสิริและการสรรเสริญแด่พระเจ้า
การถูกจองจำของเปาโลทำให้ข่าวประเสริฐแพร่ออกไป
12 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่เกิดกับข้าพเจ้ากลับทำให้ข่าวประเสริฐแพร่ออกไป 13 จนทหารทั้งปวงที่รักษาวัง[b] และคนอื่นๆ ทุกคนประจักษ์ทั่วกันว่าข้าพเจ้าถูกจองจำเพื่อพระคริสต์ 14 เพราะการที่ข้าพเจ้าถูกจองจำทำให้พี่น้องส่วนใหญ่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับกำลังใจให้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าอย่างกล้าหาญและไม่หวั่นเกรงมากขึ้น
15 จริงอยู่บางคนประกาศพระคริสต์ด้วยจิตใจที่อิจฉาและชิงดีชิงเด่น แต่คนอื่นๆ ประกาศด้วยเจตนาดี 16 คนกลุ่มหลังทำด้วยความรักโดยรู้ว่าข้าพเจ้าถูกจับมาที่นี่ก็เพราะปกป้องข่าวประเสริฐ 17 ส่วนพวกแรกนั้นประกาศพระคริสต์ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ด้วยใจจริง หวังสร้างความเดือดร้อนให้ข้าพเจ้าขณะถูกจองจำ[c] 18 แต่จะเป็นไรเล่า? ไม่ว่าจะทำด้วยแรงจูงใจที่ผิดหรือถูก สิ่งสำคัญคือเขาได้ประกาศพระคริสต์ก็แล้วกัน เพราะสิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี
และข้าพเจ้าจะชื่นชมยินดีต่อไป 19 เพราะรู้ว่าโดยคำอธิษฐานของท่านและโดยความช่วยเหลือที่พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ประทาน สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าจะทำให้ข้าพเจ้ารอดพ้น 20 ข้าพเจ้ามาดมั่นและมุ่งหวังไว้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งใดให้เป็นที่ละอายเลย แต่จะมีความกล้าหาญเพียงพอ เพื่อบัดนี้พระคริสต์จะได้รับเกียรติเพราะกายของข้าพเจ้าเหมือนที่เคยได้รับเสมอมา ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่หรือจะตาย 21 เพราะสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์และการตายก็ได้กำไร 22 ถ้ายังมีชีวิตอยู่ในกายนี้ต่อไปก็หมายความว่าข้าพเจ้าจะทำงานอย่างเกิดผล แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี? 23 ยังลังเลใจอยู่ระหว่างสองทาง ใจหนึ่งอยากจากไปเพื่ออยู่กับพระคริสต์ซึ่งประเสริฐกว่ามากนัก 24 แต่การที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็จำเป็นสำหรับพวกท่านมากกว่า 25 เมื่อแน่ใจอย่างนี้ข้าพเจ้าก็รู้ว่าจะยังอยู่กับพวกท่านทั้งปวงต่อไป เพื่อความก้าวหน้าและความชื่นชมยินดีของท่านในความเชื่อ 26 เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับพวกท่านอีก พวกท่านก็จะชื่นชมยินดีในพระเยซูคริสต์อย่างเปี่ยมล้นเนื่องด้วยข้าพเจ้า
27 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจงประพฤติตนให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แล้วไม่ว่าข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือเพียงแต่ได้ยินข่าวของท่าน ข้าพเจ้าก็รู้ว่าท่านยืนหยัดมั่นคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนเป็นคนเดียวกันเพื่อความเชื่อแห่งข่าวประเสริฐ 28 และการที่ท่านไม่หวาดกลัวผู้ที่ต่อต้านท่านเลยนั้นก็จะเป็นเครื่องหมายให้พวกนั้นรู้ว่าพวกเขาจะถูกทำลาย แต่พระเจ้าจะทรงช่วยพวกท่านให้รอด 29 เพราะพระเจ้าได้ประทานสิทธิพิเศษแก่ท่านเพื่อปรนนิบัติพระคริสต์ ไม่เพียงให้ท่านเชื่อในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ทนทุกข์เพื่อพระองค์ด้วย 30 เพราะท่านเองก็กำลังต่อสู้ฝ่าฟันแบบเดียวกับที่ท่านได้เห็นข้าพเจ้าฝ่าฟันมาแล้ว และบัดนี้ท่านก็ได้ยินว่าข้าพเจ้ายังต่อสู้อยู่
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.