M’Cheyne Bible Reading Plan
ภัยพิบัติที่แปด: ตั๊กแตน
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำจิตใจของเขาและของข้าราชบริพารของเขาให้แข็งกระด้างแล้ว เพื่อเราจะได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์เหล่านี้ของเราแก่พวกเขา 2 และเจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานของเจ้าฟังได้ว่า เราพอใจเพียงไรที่ทำให้ชาวอียิปต์ดูเป็นคนโง่เขลา และให้พวกเขารู้ว่าเราได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์อะไรบ้าง พวกเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า”
3 ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงไปหาฟาโรห์และพูดกับท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของชาวฮีบรูกล่าวว่า ‘เจ้าจะปฏิเสธไม่ยอมนอบน้อมต่อเราอีกนานแค่ไหน จงปล่อยให้ชนชาติของเราไป พวกเขาจะได้นมัสการเรา 4 เพราะถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอมให้ชนชาติของเราไป ดูเถิด พรุ่งนี้เราจะให้ฝูงตั๊กแตนบินเข้ามาในประเทศของเจ้า 5 และมันจะมาลงเต็มทั่วแผ่นดิน จนไม่มีใครสามารถมองเห็นพื้นดินได้เลย พวกตั๊กแตนก็จะกินทุกสิ่งที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลายจนเกลี้ยง พวกมันจะกินต้นไม้ของเจ้าทุกต้นในทุ่งนา 6 พวกมันจะเกาะอยู่เต็มบ้านของเจ้า ของข้าราชบริพารของเจ้า และของชาวอียิปต์ทุกคน อย่างที่บิดาและบรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่พวกเขาเกิดมาจนถึงวันนี้’” ครั้นแล้วท่านก็หันกลับออกไปจากฟาโรห์
7 ข้าราชบริพารของฟาโรห์จึงถามท่านว่า “ชายผู้นี้จะนำความลำบากมาให้พวกเราอีกนานแค่ไหน ปล่อยพวกเขาไปเถิด เพื่อจะได้ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา ท่านไม่ตระหนักเลยหรือว่าอียิปต์พังพินาศแล้ว” 8 ดังนั้น โมเสสและอาโรนจึงถูกพาตัวกลับเข้ามาหาฟาโรห์อีก และท่านกล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “จงไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า แต่ใครบ้างที่จะไป” 9 โมเสสตอบว่า “พวกเราจะไปกับคนหนุ่มและคนแก่ เราจะไปกับบุตรชายบุตรหญิงของเรา ฝูงแพะแกะ และโคของเรา เพราะเราต้องมีพิธีเลี้ยงฉลองเพื่อพระผู้เป็นเจ้า” 10 ฟาโรห์กล่าวกับท่านทั้งสองว่า “ถ้าเรายอมให้เจ้าและพวกเด็กเล็กของเจ้าไป ก็ขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเจ้าเถิด ดูสิ พวกเจ้าคิดประสงค์ร้าย 11 เอาอย่างนี้ ผู้ชายเท่านั้นที่จะไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า เพราะนั่นเป็นความต้องการของพวกเจ้า” แล้วท่านทั้งสองก็ถูกขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าฟาโรห์
12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือของเจ้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ ให้ฝูงตั๊กแตนมาลงที่แผ่นดินอียิปต์ ให้มันกินพืชทุกต้นที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลาย” 13 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของตนออกไปเหนือแผ่นดินอียิปต์ แล้วพระผู้เป็นเจ้าให้ลมตะวันออกพัดมาบนแผ่นดินในวันนั้นตลอดทั้งวันและคืน พอรุ่งเช้าลมตะวันออกก็พัดพาเอาตั๊กแตนมา 14 ฝูงตั๊กแตนบินมาลงทั่วดินแดนอียิปต์ มันปักหลักกันอยู่ทุกแห่งหนทุกซอกทุกมุมของอียิปต์ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะไม่มีวันเป็นเช่นนี้อีกในอนาคต 15 มันกระจายไปเกาะทั่วผิวแผ่นดินจนมืด มันกัดกินพืชที่ขึ้นอยู่ในแผ่นดิน ผลไม้บนต้นที่ลูกเห็บไม่ได้ทำลาย ไม่มีพืชไม้ใบเขียวชนิดใดหลงเหลืออยู่เลย ไม่มีต้นไม้หรือพืชใดๆ ในแผ่นดินอียิปต์ 16 ฟาโรห์จึงรีบเรียกโมเสสและอาโรนมาหาและกล่าวว่า “เราได้กระทำผิดบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้า และต่อพวกเจ้าด้วย 17 ฉะนั้นเราขอให้เจ้าอภัยบาปเราครั้งนี้อีกครั้งเดียว จงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าให้เราหลุดพ้นจากความตายครั้งนี้เถิด” 18 โมเสสจึงจากฟาโรห์ไป และไปอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า 19 พระผู้เป็นเจ้าจึงให้ลมตะวันตกพัดแรงจนหอบเอาฝูงตั๊กแตนออกไปลงในทะเลแดง ไม่มีตั๊กแตนเหลืออยู่บนแผ่นดินอียิปต์แม้แต่สักตัวเดียว 20 แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง ท่านจึงไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลไป
ภัยพิบัติที่เก้า: ความมืด
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือของเจ้าขึ้นสู่ฟ้า จะได้เกิดความมืดที่สัมผัสได้ทั่วแผ่นดินอียิปต์” 22 โมเสสจึงยื่นมือขึ้นสู่ฟ้า เกิดความมืดครอบคลุมทั่วแผ่นดินอียิปต์เป็นเวลา 3 วัน 23 ผู้คนไม่สามารถมองเห็นใครได้ และไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานถึง 3 วัน ส่วนชาวอิสราเอลมีแสงสว่างในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ 24 ฟาโรห์จึงเรียกโมเสสมาพบและกล่าวว่า “ไปเถิด ไปนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ลูกหลานของเจ้าจะไปกับเจ้าด้วยก็ได้ แต่ทิ้งฝูงแพะแกะ และโคของเจ้าไว้ที่นี่แหละ” 25 แต่โมเสสตอบว่า “ท่านต้องให้พวกเรามีเครื่องสักการะและสัตว์ที่เผาเป็นของถวายด้วย เพื่อสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา 26 ฝูงปศุสัตว์ของเราต้องไปกับเราด้วย จะทิ้งไว้ที่นี่แม้แต่กีบหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะเราต้องเลือกสัตว์จากฝูงที่เป็นของเราเพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา และเราไม่ทราบว่าจะต้องนมัสการพระผู้เป็นเจ้าด้วยอะไรจนกว่าเราจะถึงที่นั่นก่อน” 27 แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ทำจิตใจของฟาโรห์ให้แข็งกระด้าง และท่านจะไม่ยอมให้พวกเขาไป 28 ฟาโรห์จึงพูดกับโมเสสว่า “ไปให้พ้นหน้าเรา เจ้าระวังตัวให้ดี อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก เพราะในวันที่เจ้ามาให้เห็นหน้าอีก เจ้าจะต้องตาย” 29 โมเสสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่โผล่หน้ามาให้ท่านเห็นอีกตามที่ท่านต้องการ”
หากไม่กลับใจก็จะพินาศ
13 ในขณะนั้นมีคนบอกพระเยซูเรื่องที่ปีลาตใช้โลหิตของชาวกาลิลีผสมกับเครื่องสักการะ 2 พระเยซูตอบว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลีพวกนี้เป็นคนบาปหนายิ่งกว่าชาวกาลิลีอื่นๆ จึงได้รับความทุกข์ทรมานขนาดนี้หรือ 3 เราขอบอกท่านว่า ไม่ใช่ หากว่าท่านไม่กลับใจ ท่านเองก็จะพินาศไปด้วย 4 ส่วนผู้ที่เสียชีวิตทั้ง 18 คนเพราะถูกหอคอยที่สิโลอัมล้มทับตายนั้น ท่านคิดว่าพวกเขาผิดบาปมากกว่าคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มหรือ 5 เราขอบอกท่านว่า ไม่ใช่ ถ้าท่านไม่กลับใจ พวกท่านก็จะพินาศไปด้วย”
6 แล้วพระองค์กล่าวเป็นอุปมาว่า “ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อไว้ในสวนองุ่น เมื่อไปหาลูกมะเดื่อ กลับไม่พบ 7 เขาจึงพูดกับคนดูแลสวนองุ่นว่า ‘สามปีแล้วที่เรามามองหาลูกมะเดื่อที่ต้นนี้แต่ไม่เห็นเลย ตัดมันทิ้งเสียเถิด ให้มันใช้ดินโดยเปล่าประโยชน์ทำไม’ 8 คนสวนตอบว่า ‘นายท่าน ปล่อยมันไว้อีก 1 ปีเถิด จะพรวนดินรอบๆ ต้น และลงปุ๋ยให้ 9 ถ้าปีหน้ามันให้ผล ก็ดีไป ถ้าไม่ ก็ตัดมันทิ้งเสีย’”
รักษาหญิงง่อยในวันสะบาโต
10 ในวันสะบาโต ขณะที่พระเยซูสอนในศาลาที่ประชุมแห่งหนึ่ง 11 มีหญิงผู้หนึ่งมีวิญญาณง่อยสิงอยู่ 18 ปี ทำให้นางหลังค่อม และไม่อาจยืนตัวตรงได้ 12 เมื่อพระเยซูเห็นเธอ ก็เรียกให้มาหาและกล่าวว่า “หญิงเอ๋ย เจ้าพ้นจากโรคของเจ้าแล้ว” 13 แล้ววางมือทั้งสองบนตัวหญิงนั้น ทันใดนั้นเธอก็ยืนตัวตรงได้ พลางกล่าวสรรเสริญพระเจ้า 14 ด้วยเหตุว่าพระเยซูได้รักษาคนในวันสะบาโต ผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมโกรธจึงพูดกับประชาชนว่า “มีวันสำหรับทำงานอยู่ 6 วัน จงมารับการรักษาในวันทำงาน ไม่ใช่ในวันสะบาโต” 15 พระเยซูเจ้าตอบเขาว่า “พวกหน้าไหว้หลังหลอก พวกท่านเองแต่ละคนไม่ได้ปล่อยโคหรือลาออกจากคอก แล้วพาไปกินน้ำในวันสะบาโตหรอกหรือ 16 แล้วหญิงคนนี้ซึ่งเป็นลูกสาวคนหนึ่งของอับราฮัมที่ซาตานได้ครอบงำเป็นเวลายาวนานถึง 18 ปี ไม่ควรหรือที่เธอจะได้รับการปลดปล่อยในวันสะบาโต” 17 เมื่อพระองค์กล่าวดังนี้ ผู้ต่อต้านจึงเสียหน้า ขณะที่ผู้คนกลับยินดียิ่งที่พระองค์ทำสิ่งประเสริฐ
อุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์จิ๋ว และเชื้อยีสต์
18 แล้วพระเยซูถามว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นอย่างไร แล้วเราจะเปรียบเทียบกับสิ่งใดดีหนอ 19 ก็เสมือนกับเมล็ดพันธุ์จิ๋วที่ชายคนหนึ่งเอาไปปลูกในสวนของเขา เมล็ดพืชเติบโตขึ้นจนกลายเป็นต้นไม้ ฝูงนกจึงเข้าพักพิงอาศัยได้ตามกิ่งของมัน”
20 แล้วพระองค์ถามอีกว่า “เราจะเปรียบเทียบอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใด 21 ก็เปรียบเสมือนเชื้อยีสต์ที่หญิงคนหนึ่งเอาไปผสมในแป้ง 3 ถังจนแป้งขึ้นฟูทั้งหมด”
ประตูแคบ
22 แล้วพระเยซูออกไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ เพื่อสั่งสอน ขณะที่พระองค์เดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 23 ได้มีคนถามว่า “พระองค์ท่าน คนจำนวนน้อยนิดเท่านั้นหรือที่จะรอดพ้น” พระองค์ตอบพวกเขาว่า 24 “จงบากบั่นเพื่อจะผ่านเข้าประตูแคบ เราขอบอกท่านทั้งหลายว่า มีคนมากมายที่พยายามจะผ่านเข้าและไม่สามารถเข้าได้ 25 เมื่อเจ้าของบ้านลุกขึ้นและปิดประตู ท่านได้เพียงยืนอยู่ข้างนอก ทั้งเคาะและอ้อนวอนว่า ‘นายท่าน ช่วยเปิดประตูให้พวกเราด้วย’ แต่เขาจะตอบว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า และไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน’ 26 แล้วท่านจะพูดว่า ‘พวกเราดื่มกินอยู่กับท่าน และท่านได้สั่งสอนที่ถนนของพวกเรา’ 27 เขาตอบว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้า และไม่รู้ว่าเจ้ามาจากไหน ไปเสียให้พ้นหน้าเรา เจ้าคนทำชั่ว’ 28 ณ ที่นั้นจะมีการร่ำไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เมื่อท่านเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าทุกท่านอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ขณะที่พวกท่านกลับถูกโยนออกมา 29 ผู้คนจะมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อเอนกายลงรับประทานอาหารในอาณาจักรของพระเจ้า 30 จงดูเถิด มีบางคนที่เป็นคนสุดท้ายซึ่งจะเป็นคนแรก และคนแรกจะเป็นคนสุดท้าย”
พระเยซูอยากจะปกป้องเยรูซาเล็ม
31 ในเวลานั้นบางคนในกลุ่มฟาริสีได้พูดกับพระเยซูว่า “จงออกไปจากที่นี่เถิด เฮโรดต้องการประหารชีวิตท่าน” 32 พระองค์ตอบว่า “จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า ‘เราจะขับไล่มารทั้งหลาย และรักษาผู้คนในวันนี้และพรุ่งนี้ และในวันที่สามเราจะบรรลุผลดังที่เราคาดหมายไว้’ 33 อย่างไรก็ตาม เราต้องก้าวไปในวันนี้ พรุ่งนี้ และวันรุ่งขึ้น เพราะว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจะตายนอกเมืองเยรูซาเล็มไม่ได้แน่ 34 โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และได้เอาหินขว้างผู้ที่พระเจ้าส่งมาให้เจ้า หลายต่อหลายครั้งที่เราอยากจะปกป้องลูกๆ ของเจ้าไว้เหมือนกับแม่ไก่โอบลูกไก่ไว้ใต้ปีก พวกเจ้านั่นแหละที่ไม่ยินยอม 35 ดูเถิด บ้านของเจ้าถูกทิ้งร้างไว้ เราขอบอกว่า เจ้าจะไม่เห็นเราจนกว่าเจ้าจะพูดว่า ‘ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุขเถิด’”[a]
โยบพูดต่อไป: สติปัญญาอยู่ที่ไหน
28 มีเหมืองเงินอย่างแน่นอน
และมีแหล่งทองคำที่คนถลุงให้บริสุทธิ์
2 ธาตุเหล็กถูกขุดขึ้นมาจากดิน
และทองแดงถูกถลุงจากสินแร่
3 คนส่องไฟในความมืด
และค้นหาสินแร่ได้สุดไกลแสนไกล
ในที่มืดมนและมืดมิด
4 เขาขุดเหมืองในหุบเขาซึ่งไกลจากที่อยู่อาศัยของผู้คน
พวกคนเดินทางไม่ได้คำนึงถึงพวกเขา
พวกเขาโหนตัวแกว่งไปมาในอากาศห่างไกลจากผู้คน
5 มีสิ่งที่งอกจากพื้นดินเป็นอาหารได้
แต่ภายใต้ดินดูเหมือนว่าไฟได้ผันเปลี่ยนทุกสิ่ง
6 นิลสีครามหาพบได้ในหิน
และพบทองคำคละอยู่กับฝุ่น
7 ไม่มีนกเหยี่ยวตัวใดที่รู้จักทางนั้น
และตาของเหยี่ยวนกเขาก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน
8 พวกสัตว์ป่าที่หยิ่งยโสไม่เคยเหยียบย่ำที่นั่น
สิงโตก็ไม่เคยผ่านไปทางนั้น
9 มนุษย์ขุดหินแกรนิตอันแข็งแกร่ง
และขุดภูเขาได้ลึกถึงฐานราก
10 เขาขุดอุโมงค์หิน
และเขาได้เห็นสิ่งมีค่าทุกชนิด
11 เขากั้นน้ำไม่ให้ไหลซึม
และนำสิ่งที่ซ่อนเร้นออกมาให้คนอื่นเห็น
12 แต่จะพบสติปัญญาได้ที่ไหน
และความเข้าใจอยู่ที่ไหน
13 มนุษย์ไม่รู้จักค่าของมัน
และหาไม่พบในดินแดนของคนเป็น
14 ห้วงน้ำลึกพูดว่า ‘ไม่อยู่ในที่ฉัน’
และทะเลพูดว่า ‘ไม่ได้อยู่กับฉัน’
15 สติปัญญาจะซื้อด้วยทองคำบริสุทธิ์ไม่ได้
และจะชั่งเงินเพื่อกำหนดราคาของสติปัญญาก็ไม่ได้
16 จะตีค่าสติปัญญาเป็นทองคำแห่งโอฟีร์ หรือจะเป็นพลอยหลากสี
และนิลสีครามก็ไม่ได้
17 ทองคำและแก้วใสก็เทียมเท่าไม่ได้
หรือจะแลกเปลี่ยนเป็นภาชนะทองคำเนื้อแท้ก็ไม่ได้
18 ไม่ต้องเอ่ยถึงกัลปังหาหรือมณีสีเขียวเลย
ค่าของสติปัญญาล้ำกว่าไข่มุก
19 เอาบุษราคัมแห่งคูชเทียบเทียมไม่ได้
และตั้งค่าเทียบเท่าทองคำบริสุทธิ์ก็ไม่ได้
20 ฉะนั้นแล้ว สติปัญญามาจากไหน
และความเข้าใจอยู่ที่ไหน
21 สติปัญญาถูกซ่อนเสียจากสายตาของมนุษย์ทุกคน
และปิดบังเสียจากนกในอากาศ
22 อาบัดโดนและความตายพูดว่า
‘พวกเราได้ยินเขาพูดกันเรื่องสติปัญญาด้วยหูของเรา’
23 พระเจ้าทราบทางไปถึงสติปัญญา
และพระองค์ทราบว่าอยู่ที่ไหน
24 เพราะพระองค์มองถึงสุดขอบโลก
และเห็นทุกสิ่งที่อยู่ใต้ฟ้าสวรรค์
25 เมื่อพระองค์ตั้งความแรงของลมที่พัด
และกำหนดปริมาตรของแหล่งน้ำ
26 เมื่อพระองค์กำหนดกฎเกณฑ์ของฝน
และกำหนดทางของฟ้าแลบฟ้าร้อง
27 ฉะนั้น สติปัญญาเป็นที่ประจักษ์แก่พระองค์ และพระองค์ประกาศ
พระองค์สร้างสติปัญญา และพระองค์วิจัยมันออกมาอย่างรอบคอบด้วย
28 พระเจ้ากล่าวกับมนุษย์ว่า
‘ดูเถิด ความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า คือสติปัญญา
และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว คือความเข้าใจ’”
การเผยคำกล่าวของพระเจ้า และการพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก
14 จงมุ่งหาความรัก และมุ่งมั่นในของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยคำกล่าวของพระเจ้า 2 ถ้าผู้ใดพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ผู้นั้นไม่ได้พูดต่อมนุษย์แต่พูดต่อพระเจ้าเพราะว่าไม่มีคนเข้าใจ เขาพูดถึงสิ่งลึกลับซับซ้อนในฝ่ายวิญญาณ 3 แต่ทุกคนที่เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดต่อมนุษย์เพื่อการเสริมสร้าง การให้กำลังใจ และการปลอบโยน 4 คนที่พูดภาษาที่ตนไม่รู้จักก็เสริมสร้างตนเอง แต่คนที่เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เสริมสร้างคริสตจักร 5 ข้าพเจ้าอยากให้ทุกท่านพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก แต่ข้าพเจ้าก็อยากให้ท่านเผยคำกล่าวของพระเจ้ามากกว่า คนที่เผยคำกล่าวของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก นอกจากว่าเขาจะแปลได้ด้วย เพื่อจะได้เสริมสร้างคริสตจักร
6 พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ามาหาท่านโดยพูดภาษาที่ไม่รู้จัก แล้วจะเป็นผลดีอย่างไรกับท่านเล่า นอกจากว่าข้าพเจ้าจะนำความจากพระเจ้ามาเผยแก่ท่าน นำความรู้ คำพยากรณ์หรือคำสั่งสอนมายังท่าน 7 แม้ในกรณีของเครื่องประกอบเสียงที่ไม่มีชีวิต เช่นขลุ่ยหรือพิณ จะมีใครทราบได้อย่างไรว่าเล่นทำนองอะไร ถ้าเสียงสูงต่ำของเครื่องดนตรีออกมาไม่ชัดเจน 8 ถ้าเสียงของแตรเดี่ยวไม่ชัด ใครจะเตรียมตัวให้พร้อมศึกได้ 9 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ถ้าท่านไม่ใช้คำพูดเป็นภาษาที่ชัดเจน แล้วใครจะทราบได้อย่างไรว่าท่านพูดอะไร ด้วยว่าเสียงที่ท่านพูดจะลอยหายไปกับลม 10 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้มีภาษาที่หลากหลายในโลกนี้ แต่ไม่มีภาษาใดที่ปราศจากความหมาย 11 ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่คนพูด ข้าพเจ้าและเขาก็เป็นคนต่างชาติต่างภาษาต่อกัน 12 ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น ในเมื่อท่านปรารถนาที่จะได้ของประทานจากพระวิญญาณ ก็จงมุ่งมั่นที่จะได้ของประทานที่เสริมสร้างคริสตจักรมากขึ้น
13 ด้วยเหตุนี้ผู้พูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ควรอธิษฐานขอให้แปลได้ด้วย 14 ถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยภาษาที่ไม่รู้จัก วิญญาณของข้าพเจ้าก็อธิษฐาน แต่ไม่มีผลต่อความคิดเลย 15 แล้วข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานทางฝ่ายวิญญาณและทางความคิดด้วย ข้าพเจ้าจะร้องเพลงฝ่ายวิญญาณและจะร้องเพลงทางความคิดด้วย 16 ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าฝ่ายวิญญาณโดยกล่าวขอบคุณพระเจ้า แล้วคนที่ตกในที่นั่งของผู้ไม่มีของประทานจะพูดว่า “อาเมน” ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ทราบว่าท่านพูดอะไรไป 17 ท่านอาจจะกล่าวขอบคุณพระเจ้าได้ดีพอ แต่อีกคนไม่ได้รับการเสริมสร้าง 18 ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาที่ไม่รู้จักมากกว่าท่านทั้งหลาย 19 แต่เวลาอยู่ในคริสตจักร ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวผ่านทางความคิดเพียง 5 คำ เพื่อสั่งสอนคนมากกว่าพูดภาษาที่ไม่รู้จักนับหมื่นคำ
20 พี่น้องทั้งหลาย อย่าคิดแบบเด็ก แต่จงไม่ประสีประสาในความชั่วร้าย และคิดแบบผู้ใหญ่เถิด 21 ในกฎบัญญัติบันทึกไว้ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราจะพูดกับชนชาตินี้ โดยใช้คนที่พูดภาษาต่างแดนและโดยริมฝีปากของชนต่างชาติ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็จะไม่ฟังเรา”[a] 22 ฉะนั้นภาษาที่ตนไม่รู้จักจะเป็นปรากฏการณ์สำคัญสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า มิใช่สำหรับผู้ที่เชื่อ และการเผยคำกล่าวของพระเจ้านั้นก็สำหรับผู้ที่เชื่อ มิใช่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ อย่างนั้นหรือ 23 ถ้าเป็นเช่นนั้น หากว่าทั้งคริสตจักรมาประชุมกัน และทุกคนต่างก็พูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก บางคนที่ไม่เข้าใจ หรือผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าซึ่งเข้ามาในคริสตจักรจะไม่พูดว่า ท่านเสียสติไปแล้วหรือ 24 แล้วถ้าคนที่ไม่เชื่อ หรือบางคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาในคริสตจักร ขณะที่ทุกคนกำลังเผยคำกล่าวของพระเจ้าอยู่ ทุกสิ่งที่เขาได้ยินก็จะทำให้รู้สำนึกว่าเขาเป็นคนบาป และทุกสิ่งก็ตำหนิเขา 25 ความลับในใจของเขาจะเปิดออก แล้วเขาจะก้มลงกราบนมัสการพระเจ้าและแจ้งว่า “พระเจ้าสถิตท่ามกลางท่านทั้งหลายจริง”
ระเบียบในคริสตจักร
26 พี่น้องทั้งหลาย เราจะว่าอย่างไรดีเวลาที่ท่านมาประชุมกัน บางคนมีเพลงสดุดี หรือคำสั่งสอน บางคนนำความจากพระเจ้ามาเผย บางคนพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก หรือแปลภาษาที่ตนไม่รู้จัก จงให้ทุกสิ่งเป็นไปเพื่อเสริมสร้างคริสตจักรเถิด 27 ถ้ามีคนพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ควรมีเพียง 2 คน หรือไม่ก็ 3 คนเป็นอย่างมาก และให้พูดทีละคนโดยต้องมีคนแปล 28 ถ้าไม่มีคนแปล คนที่พูดได้ควรเงียบไว้ในคริสตจักร แล้วพูดกับตนเองและต่อพระเจ้า 29 ให้ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 2 หรือ 3 คนพูด และให้คนอื่นพิจารณาอย่างระมัดระวัง 30 ถ้าผู้ที่นั่งอยู่มีการเผยความซึ่งมาจากพระเจ้า คนกำลังพูดอยู่จึงต้องเงียบก่อน 31 เพราะท่านทุกคนเผยความจากพระเจ้าได้ทีละคน เพื่อว่าทุกคนจะได้เรียนรู้และได้รับกำลังใจ 32 วิญญาณของผู้เผยคำกล่าวอยู่ในการควบคุมของผู้เผยคำกล่าวเอง 33 ด้วยเหตุว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความยุ่งเหยิง แต่เป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข
ตามที่เป็นไปในทุกคริสตจักรของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 34 ผู้หญิงควรนิ่งเงียบในคริสตจักร ด้วยว่าพวกนางไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ควรยอมเชื่อฟังตามที่กฎบัญญัติกล่าวไว้ 35 ถ้าผู้หญิงต้องการจะถามสิ่งใดก็ควรถามสามีที่บ้าน เพราะเป็นสิ่งที่น่าละอายที่ผู้หญิงจะพูดในคริสตจักร
36 คำกล่าวของพระเจ้าเริ่มมาจากพวกท่านหรือ หรือว่าพวกท่านเป็นผู้เดียวที่ได้รับคำกล่าว 37 ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า หรือมีความสามารถพิเศษจากพระวิญญาณ ก็จงยอมรับด้วยว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า 38 ถ้าผู้ใดเพิกเฉยเรื่องนี้ เขาเองก็จะถูกเมิน 39 ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ท่านจงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเผยคำกล่าวของพระเจ้าเถิด และถ้ามีคนพูดภาษาที่ตนไม่รู้จักก็อย่าห้ามเขา 40 แต่ทุกสิ่งควรกระทำให้เหมาะสมและด้วยความเป็นระเบียบ
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation