M’Cheyne Bible Reading Plan
ถ้วยเงินในถุง
44 โยเซฟสั่งหัวหน้าคุมงานของเขาว่า “จงบรรจุอาหารใส่ถุงของชายเหล่านี้ให้เต็มเท่าที่เขาจะแบกได้ และเอาเงินของเขาแต่ละคนใส่ที่ปากถุง 2 ใส่ถ้วยเงินของเราที่ปากถุงของคนสุดท้อง พร้อมกับเงินของเขาที่เอามาซื้อข้าวด้วย” เขาก็ทำตามที่โยเซฟสั่ง
3 ทันทีที่ฟ้าสางชายเหล่านั้นก็เริ่มออกเดินทางไปกับลาของเขา 4 เมื่อออกไปจากเมืองได้เพียงระยะสั้น โยเซฟบอกหัวหน้าคุมงานของเขาว่า “รีบตามชายพวกนั้นไป พอตามจับทันก็ให้พูดกับเขาว่า ‘ทำไมพวกท่านจึงทำชั่วตอบแทนความดีเล่า ทำไมพวกท่านจึงขโมยถ้วยเงินของเราไป 5 มันเป็นถ้วยที่เจ้านายใช้ดื่มนี่นา และท่านก็ใช้ในการทำนาย สิ่งที่พวกท่านทำนั้นเป็นความผิดมหันต์’”
6 เมื่อเขาตามจับทันแล้ว เขาก็พูดไปตามนั้น 7 ชายเหล่านั้นพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงพูดอย่างนั้น ผู้รับใช้ทั้งหลายของท่านไม่มีวันทำตัวแบบนั้นแน่ 8 ก็ดูสิ เงินที่พวกเราพบที่ปากถุงของเราก็นำกลับมาจากดินแดนคานาอัน แล้วเราจะขโมยเงินหรือทองคำจากบ้านเจ้านายของท่านได้อย่างไร 9 ถ้าหากถ้วยอยู่กับผู้รับใช้ของท่านคนใด ก็ฆ่าให้คนนั้นตาย และเราจะยอมเป็นทาสของเจ้านายของท่านด้วย” 10 เขาตอบว่า “ให้เป็นไปตามที่ท่านพูดเถิด ถ้าถ้วยอยู่กับสิ่งของๆ ผู้ใด ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสของเรา ส่วนคนอื่นๆ ก็จะเป็นอิสระ” 11 ดังนั้น ทุกคนจึงหย่อนถุงลงบนพื้นดินโดยเร็ว และต่างก็เปิดถุงของตน 12 แล้วเขาค้นโดยเริ่มจากคนโตสุด ลงท้ายที่คนสุดท้อง และพบถ้วยในถุงของเบนยามิน 13 พวกเขาจึงฉีกเสื้อผ้าของตน และต่างก็บรรทุกของขึ้นลากลับเข้าไปในเมือง
14 เมื่อยูดาห์และพวกพี่น้องมาถึงบ้านโยเซฟ เขายังอยู่ที่บ้าน พวกเขาก็ทิ้งตัวลงราบกับพื้น ณ เบื้องหน้าเขา 15 โยเซฟพูดกับเขาทั้งปวงว่า “พวกเจ้าทำอะไรลงไป เจ้าไม่รู้หรือว่า คนอย่างเราสามารถรู้อะไรต่อมิอะไรได้จากการทำนาย” 16 ยูดาห์พูดว่า “พวกเราจะพูดอะไรต่อนายท่านของเราได้เล่า เราจะโต้กลับได้อย่างไร เราจะแก้ตัวได้อย่างไร พระเจ้าได้เผยให้เห็นความผิดของผู้รับใช้ของท่านแล้ว พวกเราเป็นทาสของนายท่านของเรา คือไม่เป็นเพียงคนที่ถูกค้นพบว่า มีถ้วยอยู่ในครอบครอง แต่เป็นพวกเราทุกคนด้วย” 17 แต่โยเซฟพูดว่า “เราไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ คนที่มีถ้วยอยู่ในครอบครองเท่านั้นที่จะเป็นทาสของเรา ส่วนพวกเจ้าก็กลับขึ้นไปหาบิดาของเจ้าได้อย่างปลอดภัย”
18 ยูดาห์จึงเข้าไปใกล้โยเซฟและพูดว่า “โอ นายท่าน ข้าพเจ้าขอร้อง โปรดให้ผู้รับใช้ของท่านได้พูดให้นายท่านฟังเถิด และอย่าโกรธผู้รับใช้ของท่านเลย เพราะท่านเสมือนเป็นฟาโรห์กระนั้น 19 นายท่านถามผู้รับใช้ทั้งหลายว่า ‘พวกเจ้ามีบิดาหรือน้องชายหรือไม่’ 20 และพวกเราตอบนายท่านว่า ‘เรามีบิดาผู้ชราคนหนึ่งกับน้องชายผู้เยาว์เกิดครั้งบิดามีอายุมากแล้ว และพี่ชายของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว เขาไม่มีใครอีกแล้วที่เกิดจากมารดาเดียวกัน บิดาของเขาก็รักเขามากด้วย’ 21 แล้วท่านบอกผู้รับใช้ทั้งปวงของท่านว่า ‘พาเขาลงมาหาเรา เราจะได้เห็นตัวเขา’ 22 พวกเราบอกนายท่านว่า ‘เด็กหนุ่มจะจากบิดาของเขาไปไม่ได้ เพราะถ้าเขาจากไป บิดาของเขาก็จะตาย’ 23 แล้วท่านบอกผู้รับใช้ของท่านว่า ‘อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก จนกว่าน้องชายคนเล็กของเจ้าจะลงมากับเจ้า’
24 เมื่อพวกเรากลับไปหาบิดาของเรา เราก็บอกให้ฟังว่าท่านพูดอย่างไร 25 ครั้นบิดาของเราพูดว่า ‘ไปอีก ไปซื้ออาหารให้พวกเราอีกหน่อย’ 26 เราบอกว่า ‘พวกเราลงไปไม่ได้ ถ้าน้องชายคนสุดท้องลงไปด้วย เราจึงจะลงไป เพราะพวกเราจะไปให้ชายผู้นั้นเห็นหน้าเราอีกไม่ได้ จนกว่าน้องชายคนสุดท้องของเราจะไปกับเรา’ 27 บิดาของเราผู้รับใช้ของท่านพูดว่า ‘เจ้าก็รู้ว่าภรรยาพ่อให้กำเนิดลูกชาย 2 คน 28 คนหนึ่งไม่อยู่แล้ว เขาคงถูกสัตว์ขม้ำ และจนบัดนี้พ่อก็ไม่ได้เห็นเขาอีก 29 ถ้าเจ้าเอาตัวคนนี้ไปจากพ่ออีก ถ้าเกิดมีอันตรายกับเขา ความโศกเศร้าจะทำให้คนแก่อย่างพ่อขาดใจตาย’
30 ฉะนั้น ณ บัดนี้เวลาข้าพเจ้าไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่าน แล้วเด็กหนุ่มไม่ได้อยู่กับพวกเรา โอ ชีวิตท่านผูกพันอยู่กับชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ 31 เมื่อท่านเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้อยู่กับพวกเรา ท่านก็จะตาย พวกผู้รับใช้ของท่านจะทำให้ความโศกเศร้าเป็นเหตุให้คนแก่อย่างบิดาของเราที่เป็นผู้รับใช้ของท่านขาดใจตาย 32 ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพเจ้าได้เอาชีวิตข้าพเจ้าเป็นประกันตัวเด็กไว้กับบิดาข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าไม่พาตัวเด็กกลับไป ข้าพเจ้าจะรับผิดไปตลอดชีวิต 33 ฉะนั้น ณ บัดนี้ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ผู้รับใช้ของท่านอยู่แทนตัวเด็กหนุ่มในฐานะทาสของนายท่าน และปล่อยให้เด็กกลับไปกับพวกพี่ๆ ของเขาเถิด 34 ข้าพเจ้าจะกลับไปหาบิดาของข้าพเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเด็กหนุ่มไม่อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถทนดูเหตุร้ายเกิดขึ้นกับบิดาของข้าพเจ้าได้”
น้ำมันหอมชโลมศีรษะ
14 อีก 2 วันก็ถึงเทศกาลปัสกา[a] และเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เหล่ามหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติพยายามหาทางว่า จะจับกุมและฆ่าพระองค์อย่างลับๆ ได้อย่างไร 2 พวกเขาพูดว่า “ต้องไม่ทำในระหว่างเทศกาล มิฉะนั้นจะเกิดการจลาจลในหมู่ผู้คน”
3 ขณะที่พระองค์เอนกายอยู่ที่บ้านของซีโมนชายโรคเรื้อนในหมู่บ้านเบธานี หญิงคนหนึ่งเอาผอบหินซึ่งบรรจุด้วยน้ำมันหอมนาราดาบริสุทธิ์ราคาแพงมากมา แล้วนางก็ทุบผอบให้เปิดออก และชโลมน้ำมันบนศีรษะของพระองค์ 4 แต่บางคนก็พูดต่อกันและกันด้วยความโกรธว่า “ทำไมจึงทำให้น้ำหอมนี้เสียของเปล่าๆ 5 เพราะว่าน้ำหอมนี้อาจจะขายได้มากกว่า 300 เหรียญเดนาริอัน[b] และเอาเงินไปแจกแก่ผู้ยากไร้ได้” แล้วพวกเขาก็ดุว่านาง 6 แต่พระเยซูกล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด ทำไมเจ้าจึงยุ่งกับนางด้วย นางได้ทำสิ่งดีให้เรา 7 พวกเจ้ามีผู้ยากไร้อยู่ด้วยเสมอ เมื่อไรก็ตามที่เจ้าปรารถนาจะช่วยพวกเขา เจ้าก็ทำได้ แต่เราจะไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป 8 นางได้กระทำเท่าที่นางจะทำได้ นางได้ชโลมกายของเราก่อนพิธีฝังศพ 9 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ไม่ว่าข่าวประเสริฐนี้จะถูกประกาศไปที่ใดในโลกก็ตาม สิ่งที่นางได้ทำจะเป็นที่กล่าวขวัญถึง เพื่อเป็นการระลึกถึงนาง”
10 ครั้นแล้วยูดาสอิสคาริโอทผู้เป็นหนึ่งในสาวกทั้งสิบสอง ก็ไปหาพวกมหาปุโรหิต เพื่อที่จะมอบพระองค์ให้แก่พวกเขา 11 พวกเขายินดีเมื่อได้ยินดังนั้น และสัญญาที่จะให้เงินแก่ยูดาส และเขาก็รอโอกาสที่จะทรยศพระองค์
ฉลองวันปัสกา
12 ในวันแรกของเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อลูกแกะปัสกาถูกสังเวย เหล่าสาวกของพระเยซูพูดว่า “พระองค์ประสงค์จะให้พวกเราไปเตรียมอาหารวันปัสกาเพื่อให้พระองค์รับประทานที่ไหน” 13 พระองค์ส่งสาวก 2 คนไปโดยกล่าวว่า “จงเข้าไปในเมือง และจะมีชายผู้หนึ่งแบกโถน้ำมาพบเจ้า จงตามเขาไป 14 ที่ใดก็ตามที่เขาเข้าไป จงพูดกับเจ้าของบ้านว่า ‘อาจารย์ถามว่า “ห้องรับรองของเราที่เราจะรับประทานอาหารวันปัสกากับเหล่าสาวกของเราอยู่ที่ไหน”’ 15 และเขาจะชี้ให้เจ้าดูห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้พร้อมแล้ว จงเตรียมไว้ให้พวกเราที่นั่น” 16 สาวกทั้งสองจึงเดินเข้าไปในเมืองและพบสิ่งต่างๆ ตามที่พระองค์ได้บอกพวกเขาไว้ เขาจึงเตรียมอาหารวันปัสกากัน
17 เมื่อถึงเวลาเย็นพระองค์จึงมากับสาวกทั้งสิบสอง 18 ขณะที่เอนกายลงรับประทานกันที่โต๊ะ พระเยซูกล่าวว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า คนหนึ่งในพวกเจ้าจะทรยศเรา เขาคือคนที่กำลังรับประทานร่วมกับเรา” 19 พวกเขาเริ่มเศร้าใจและพูดกับพระองค์ทีละคนว่า “เป็นข้าพเจ้าหรือเปล่า” 20 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “เป็น 1 ใน 12 คนที่จิ้มขนมปังร่วมกับเราในถ้วยนี้ 21 เพราะว่าบุตรมนุษย์ต้องไปตามที่มีบันทึกไว้เกี่ยวกับท่าน แต่วิบัติจะเกิดกับคนที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นไม่ได้มาเกิดก็จะดีกว่า”
22 ขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังรับประทานกันอยู่ พระองค์หยิบขนมปังมา กล่าวขอบคุณพระเจ้า แล้วก็บิเป็นชิ้น ยื่นให้แก่พวกเขาพลางกล่าวว่า “จงรับเถิด นี่เป็นกายของเรา” 23 เมื่อพระองค์หยิบถ้วยและกล่าวขอบคุณพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงยื่นให้แก่พวกสาวก และเขาทุกคนก็ดื่มกัน 24 และพระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาของเรา ซึ่งหลั่งออกให้แก่คนจำนวนมาก 25 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลของเถาองุ่นอีกจนกว่าจะถึงวันนั้น คือวันที่เราจะดื่มใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า”
26 หลังจากที่ได้ร้องเพลงสรรเสริญกันแล้วก็พากันออกไปยังภูเขามะกอก
สาวกปฏิเสธคำพยากรณ์
27 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าทุกคนจะละทิ้งเรา เพราะมีบันทึกไว้ว่า
‘เราจะฟาดฟันผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ
และบรรดาแกะจะกระจัดกระจายไป’[c]
28 แต่หลังจากที่เราได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว เราจะไปล่วงหน้าพวกเจ้ายังแคว้นกาลิลี”
29 แต่เปโตรพูดกับพระองค์ว่า “ถึงแม้ว่าทุกคนจะละทิ้งพระองค์ ข้าพเจ้าก็จะไม่ทำเช่นนั้น” 30 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ในคืนวันนี้เองก่อนไก่จะขัน 2 ครั้ง เจ้าจะปฏิเสธ 3 ครั้งว่าเจ้าไม่รู้จักเรา” 31 แต่เปโตรพูดอย่างหนักแน่นว่า “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะต้องตายไปด้วยกับพระองค์ ข้าพเจ้าก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์” และต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันอย่างนั้นทุกคน
เกทเสมนี
32 พระเยซูและเหล่าสาวกมายังที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าเกทเสมนี พระองค์กล่าวกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงนั่งลงที่นี่ขณะที่เราอธิษฐาน” 33 พระองค์พาเปโตร ยากอบและยอห์นไปด้วย และพระองค์เจ็บปวดรวดร้าวและหนักใจมาก 34 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “จิตใจของเราเป็นทุกข์เจียนตาย จงอยู่ตรงนี้ และเฝ้าคอยเถิด”
35 พระองค์เดินเลยพวกเขาไปเล็กน้อยแล้วซบหน้าลงที่พื้นดิน แล้วอธิษฐานว่าถ้าเป็นไปได้ ขอให้เวลานั้นล่วงพ้นไปจากพระองค์ 36 พระเยซูกล่าวว่า “อับบา[d] พระบิดา ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระองค์ โปรดเอาถ้วยนี้ไปจากข้าพเจ้าเถิด ถึงกระนั้น ขออย่าให้เป็นไปตามความประสงค์ของข้าพเจ้า แต่ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์เถิด” 37 พระองค์มาพบว่าพวกเขากำลังนอนหลับกัน จึงกล่าวกับเปโตรว่า “ซีโมน เจ้านอนหลับหรือ เจ้าจะคอยเฝ้าสักชั่วโมงเดียวไม่ได้หรือ 38 จงคอยเฝ้าและอธิษฐานเถิดว่า พวกเจ้าจะไม่ตกอยู่ในสิ่งยั่วยุ ฝ่ายวิญญาณมีความตั้งใจดี แต่ฝ่ายเนื้อหนังกลับอ่อนแอ”[e]
39 พระองค์เดินออกไปอธิษฐานอีก กล่าวคำอธิษฐานเหมือนเดิม 40 แล้วพระองค์กลับมาอีกก็พบว่าพวกเขานอนหลับกัน เพราะง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นเลยและไม่รู้ว่าจะตอบพระองค์อย่างไร 41 พระองค์กลับมาเป็นครั้งที่สาม และกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ายังนอนหลับและพักผ่อนอยู่หรือ พอแล้ว ถึงเวลาแล้ว ดูเถิด บุตรมนุษย์กำลังถูกทรยศส่งมอบไว้ในมือของพวกคนบาป 42 จงลุกขึ้น ไปกันเถิด ดูสิ คนทรยศเราเข้ามาใกล้แล้ว”
พระเยซูถูกจับกุม
43 พระองค์ยังกล่าวไม่ทันขาดคำ ยูดาสหนึ่งในสาวกทั้งสิบสองก็เดินมาทันที พร้อมกับกลุ่มคนจากบรรดามหาปุโรหิต อาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ และพวกผู้ใหญ่ ต่างก็ถือดาบและไม้ตะบองมาด้วย 44 ผู้ทรยศนั้นได้ให้สัญญาณแก่พวกเขาโดยกล่าวว่า “เป็นคนที่เราจะจูบแก้ม[f]นั่นแหละ จงจับกุมเขาได้เลย และพาเขาไปโดยคุมตัวไว้” 45 เมื่อเขามาถึงแล้วก็ไปหาพระองค์ทันที พูดว่า “รับบี” แล้วก็จูบแก้มพระองค์ 46 พวกเขาลงมือจับกุมพระองค์ 47 แต่มีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ชักดาบออกฟันหูผู้รับใช้ของหัวหน้ามหาปุโรหิตขาด 48 พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาว่า “พวกท่านเอาดาบและไม้ตะบองแล้วพากันมาจับกุมเรา เหมือนกับว่าเราเป็นโจรอย่างนั้นหรือ 49 ทุกวันเราเคยอยู่กับท่านในบริเวณพระวิหาร และสั่งสอน แต่ท่านก็ไม่ได้จับกุมเรา แต่นี่เกิดขึ้นเพื่อเป็นไปตามพระคัมภีร์” 50 แล้วเหล่าสาวกก็ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป
51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามพระเยซูไป เขาไม่ได้สวมเสื้อผ้า มีเพียงผ้าผืนคลุมตัวไว้ และพวกเขาก็ดึงตัวจะจับชายคนนั้น 52 แต่เขากลับสลัดผ้าทิ้งแล้วเปลือยกายหนีไป
พระเยซูถูกปรักปรำที่ศาสนสภา
53 พวกเขานำพระเยซูไปยังหัวหน้ามหาปุโรหิต ฝ่ายมหาปุโรหิตทั้งปวง พวกผู้ใหญ่ และอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติก็ชุมนุมร่วมกัน 54 แล้วเปโตรได้ติดตามพระองค์ไปอยู่ห่างๆ เปโตรอยู่ในบริเวณลานบ้านของหัวหน้ามหาปุโรหิต เขานั่งผิงไฟอยู่ร่วมกับพวกเจ้าหน้าที่ 55 พวกมหาปุโรหิตและสมาชิกทั้งหมดในศาสนสภา[g]พยายามหาพยานปรักปรำพระเยซู เพื่อทำให้พระองค์ได้รับโทษถึงตาย แต่ก็ไม่สามารถหาพยานได้ 56 มีคนจำนวนมากที่เป็นพยานเท็จต่อต้านพระองค์ แต่คำยืนยันของพวกเขาไม่ตรงกัน 57 มีบางคนที่ยืนเป็นพยานเท็จต่อต้านพระองค์ว่า 58 “พวกเราได้ยินเขาพูดว่า ‘เราจะทำลายพระวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์นี้ลง และใน 3 วันเราจะสร้างอีกวิหารหนึ่งขึ้นโดยไม่ใช้มือมนุษย์เลย’” 59 แม้กระนั้น คำยืนยันของพวกเขาก็ยังไม่ตรงกัน
60 หัวหน้ามหาปุโรหิตยืนขึ้นต่อหน้าเขาเหล่านั้น และถามพระเยซูว่า “ท่านไม่ตอบอะไรหรือ ท่านจะว่าอย่างไรกับคำให้การที่กล่าวหาท่านมานี้” 61 แต่พระองค์นิ่งเงียบไม่ตอบ หัวหน้ามหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า “ท่านเป็นพระคริสต์บุตรขององค์ผู้ได้รับการสรรเสริญหรือ” 62 พระเยซูกล่าวว่า “เราเป็น และพวกท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาขององค์ผู้มีอานุภาพ และมาพร้อมเมฆแห่งสวรรค์”
63 หัวหน้ามหาปุโรหิตก็ฉีกเสื้อตัวในของตนจนขาดและกล่าวว่า “พวกเราจำต้องมีพยานอะไรมากกว่านี้ 64 พวกท่านก็ได้ยินคำพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว พวกท่านเห็นว่าอย่างไร” แล้วเขาทุกคนก็กล่าวโทษพระองค์ให้รับโทษถึงตาย 65 บางคนถ่มน้ำลายใส่พระองค์ โพกผ้าปิดตา ตบตีและพูดกับพระองค์ว่า “พยากรณ์ซิ” และพวกเจ้าหน้าที่ก็ตบพระองค์ด้วย
เปโตรปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซู
66 ขณะที่เปโตรอยู่เบื้องล่างที่ลานบ้าน หญิงรับใช้คนหนึ่งของหัวหน้ามหาปุโรหิตเดินมา 67 นางเห็นเปโตรกำลังผิงไฟอยู่ก็มองดูเขา และพูดว่า “ท่านก็ด้วย ท่านอยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธ” 68 แต่เขาปฏิเสธว่า “เราไม่รู้และไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” และเปโตรก็เดินออกไปทางลานบ้าน 69 เมื่อสาวใช้คนนั้นเห็นเขาอยู่ที่นั่นจึงพูดกับพวกที่ยืนอยู่อีกว่า “ชายคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับเขา” 70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก และต่อมาไม่นานพวกที่ยืนอยู่จึงพูดกับเปโตรอีกว่า “ใช่แน่แล้ว ท่านเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา เพราะเป็นชาวกาลิลี” 71 แต่เปโตรก็สบถสาบานอย่างจริงจังว่า “เราไม่รู้จักชายผู้ที่ท่านพูดถึงนี้” 72 ในทันใดนั้น ไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง และเปโตรนึกถึงคำซึ่งพระเยซูได้กล่าวกับเขาไว้ว่า “ก่อนไก่จะขัน 2 ครั้ง เจ้าจะปฏิเสธ 3 ครั้งว่าเจ้าไม่รู้จักเรา” เปโตรจึงร้องไห้
โยบพูดต่อไป: วิงวอนต่อพระเจ้า
10 ฉันเกลียดชีวิตของฉัน
ฉันจะพร่ำบ่นโดยไม่ระงับ
ฉันจะพูดด้วยความขมขื่นของจิตวิญญาณของฉัน
2 ฉันจะพูดกับพระเจ้าว่า ‘อย่ากล่าวโทษข้าพเจ้า
ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทราบว่า เหตุใดพระองค์จึงมีข้อกล่าวหาข้าพเจ้า
3 พระองค์คิดว่าดีหรือ ที่พระองค์จะกดขี่ข่มเหง
เหยียดหยามสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น
และพอใจในสิ่งที่คนชั่วทำ
4 พระองค์มองที่เพียงภายนอกหรือ
พระองค์เข้าใจอย่างที่มนุษย์เข้าใจหรือ
5 วันเวลาของพระองค์เป็นเหมือนของมนุษย์หรือ
จำนวนปีของพระองค์เป็นเหมือนของมนุษย์หรือ
6 ที่พระองค์ค้นหาความผิดของข้าพเจ้า
และเสาะหาบาปของข้าพเจ้า
7 แม้พระองค์ทราบว่าข้าพเจ้าไม่มีความผิด
และไม่มีใครที่จะช่วยให้พ้นจากมือของพระองค์ได้
8 มือของพระองค์ปั้นและสร้างข้าพเจ้า
แต่มาบัดนี้พระองค์ได้ทำให้ข้าพเจ้าพินาศ
9 ขอพระองค์ระลึกเถิดว่า พระองค์ได้สร้างข้าพเจ้าขึ้นจากดิน
และพระองค์จะให้ข้าพเจ้ากลับไปเป็นผงธุลีอีกหรือ
10 พระองค์เทข้าพเจ้าออกดั่งน้ำนม
และทำข้าพเจ้าให้แข็งตัวดั่งเนยแข็งมิใช่หรือ
11 พระองค์ปกคลุมข้าพเจ้าด้วยผิวหนังและเนื้อหนัง
และสานกระดูกและกล้ามเนื้อเข้าด้วยกัน
12 พระองค์ได้มอบชีวิตและความรักอันมั่นคงแก่ข้าพเจ้า
และการดูแลของพระองค์เก็บรักษาวิญญาณของข้าพเจ้า
13 พระองค์ซ่อนสิ่งต่อไปนี้ไว้ในใจของพระองค์
ซึ่งข้าพเจ้าก็ทราบว่าเป็นจุดประสงค์ของพระองค์
14 ถ้าข้าพเจ้าทำบาป ขอพระองค์เฝ้าดูข้าพเจ้าไว้
และไม่ปล่อยให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากข้อหาของข้าพเจ้า
15 ถ้าข้าพเจ้ามีความผิด ข้าพเจ้าก็วิบัติ
แต่ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าไม่ผิด ข้าพเจ้าก็ยังเงยหน้าขึ้นไม่ได้
เพราะตัวข้าพเจ้ามีแต่ความอัปยศ
และรู้ตัวดีว่า ข้าพเจ้าจมอยู่ในความทุกข์
16 และถ้าข้าพเจ้ายกศีรษะขึ้นได้ พระองค์ก็จะปราบข้าพเจ้าอย่างสิงห์
และต่อต้านข้าพเจ้าอย่างไม่น่าเชื่อ
17 พระองค์สร้างพวกพยานคนต่อๆ ไปขึ้นมาต่อต้านข้าพเจ้าอีก
และโกรธข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น
พระองค์ส่งกำลังเสริมเข้ามาโจมตีข้าพเจ้า
18 เหตุใดพระองค์จึงนำข้าพเจ้าออกจากครรภ์
ข้าพเจ้าอยากตายก่อนที่ใครจะเห็นข้าพเจ้า
19 ข้าพเจ้าไม่ควรมีชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้เลย
และน่าจะถูกอุ้มจากครรภ์ไปยังหลุมศพ’
20 วันเวลาของข้าพเจ้าสั้นมิใช่หรือ
ถ้าเช่นนั้น ขอพระองค์ยุติเถิด ปล่อยข้าพเจ้าตามลำพัง เพื่อข้าพเจ้าจะได้พบกับความรื่นเริงสักนิด
21 ก่อนที่ข้าพเจ้าจะไป ไปแล้วจะไม่กลับมาอีก
ไปยังดินแดนแห่งความมืดและเงาแห่งความตาย
22 ดินแดนแห่งความมืดมิด
ดั่งเงาแห่งความตายและสับสน
ซึ่งเป็นความสว่างของคืนที่มืดสนิท”
อย่ากล่าวโทษผู้ใด
14 จงรับผู้ที่ยังมีความเชื่ออ่อนแอ แต่อย่าโต้เถียงกับเขาในเรื่องความคิดเห็นส่วนตัว 2 คนหนึ่งเชื่อว่าจะรับประทานอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ผู้ที่ยังมีความเชื่ออ่อนแอรับประทานแต่ผักเท่านั้น 3 อย่าให้คนที่รับประทานทุกสิ่งดูหมิ่นคนที่ไม่รับประทาน และอย่าให้คนที่ไม่รับประทานกล่าวโทษคนที่รับประทาน เพราะพระเจ้าได้รับเขาไว้แล้ว 4 ท่านเป็นใครที่จะกล่าวโทษผู้รับใช้ของผู้อื่น เขาจะยืนหยัดได้หรือล้มลงก็แล้วแต่นายของเขา และเขาจะยืนหยัดได้แน่ เพราะพระผู้เป็นเจ้าสามารถเป็นผู้โปรดให้เขายืนหยัดได้
5 คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งสำคัญกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน จงให้แต่ละคนมีความแน่ใจในความคิดของตนเถิด 6 คนที่ถือวันก็ถือเพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า และคนที่รับประทานก็เพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบคุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่รับประทานก็เพื่อเป็นเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า และขอบคุณพระเจ้าด้วย 7 เพราะว่าไม่มีใครในพวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง และไม่มีใครตายเพื่อตนเอง 8 เพราะถ้าเรามีชีวิตอยู่ เราก็อยู่เพื่อพระผู้เป็นเจ้า หรือถ้าเราตาย เราก็ตายเพื่อพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นไม่ว่าเราอยู่หรือตาย เราก็เป็นของพระผู้เป็นเจ้า 9 เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์ได้สิ้นชีวิตและฟื้นคืนชีวิต เพื่อว่าพระองค์จะได้เป็นพระผู้เป็นเจ้าของทั้งคนตายและคนเป็น
10 แล้วตัวท่านเล่า ทำไมท่านจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน หรือทำไมท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน ด้วยว่า เราทุกคนจะได้ยืนต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า 11 เพราะมีบันทึกไว้ว่า
“พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด
ทุกคนก็จะคุกเข่าลงต่อหน้าเรา
ทุกลิ้นจะออกปากยอมรับว่า เราเป็นพระเจ้า’”[a]
12 แล้วเราทุกคนจะไปรายงานเรื่องราวของตนเองต่อพระเจ้า
13 ฉะนั้น เราอย่ากล่าวโทษกันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจให้แน่วแน่ว่า จะไม่ทำให้พี่น้องสะดุดใจหรือฉุดรั้งเขาไว้ 14 ข้าพเจ้าทราบและเชื่อแน่ในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทินในตัวเองเลย แต่คนที่คิดเองว่าสิ่งใดเป็นมลทิน สิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับคนๆ นั้น 15 ถ้าพี่น้องของท่านต้องมาสะเทือนใจเพราะเรื่องอาหาร ท่านก็ไม่ได้ประพฤติตามความรักเสียแล้ว อย่าให้พี่น้องของท่านพินาศเพราะอาหารที่ท่านรับประทานเลย เพราะพระคริสต์สิ้นชีวิตเพื่อเขาด้วย 16 ฉะนั้นอย่าปล่อยให้สิ่งที่ท่านนับว่าดี กลายเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวกันว่าเลวร้าย 17 เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่การดื่มกิน แต่เป็นความชอบธรรม สันติสุขและความยินดีโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 18 เพราะใครก็ตามที่รับใช้พระคริสต์ในทางที่กล่าวมานี้ ก็เป็นที่พอใจของพระเจ้า และมนุษย์ก็เห็นชอบด้วย 19 ดังนั้นเราจึงควรพยายามมุ่งกระทำสิ่งที่นำสันติสุข และการเสริมสร้างกันและกันขึ้นเถิด
20 อย่าทำลายงานของพระเจ้าเพราะเห็นแก่อาหารเลย ทุกสิ่งไม่มีมลทินก็จริง แต่ก็ผิด หากว่ารับประทานสิ่งที่ทำให้คนอื่นต้องสะดุดใจ 21 ถ้าการรับประทานเนื้อสัตว์หรือดื่มเหล้าองุ่น หรือกระทำสิ่งใดที่ทำให้พี่น้องของท่านสะดุดใจก็อย่าทำเลยเสียดีกว่า 22 สิ่งใดในเรื่องเหล่านี้ที่ท่านเชื่อ ท่านจงนึกเสียว่าเป็นเรื่องระหว่างท่านกับพระเจ้า ผู้ใดไม่กล่าวโทษตนเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้ว ก็เป็นสุข 23 แต่ถ้าคนที่รับประทานมีความสงสัยก็ถูกกล่าวโทษ เพราะเขาไม่ได้รับประทานตามความเชื่อ และสิ่งใดก็ตามที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาป
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation