M’Cheyne Bible Reading Plan
พนักงานถวายเหล้าองุ่นกับพนักงานทำขนมปัง
40 ต่อมาหลังจากนั้นพนักงานถวายเหล้าองุ่น และพนักงานทำขนมปังประจำกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ทำให้นายใหญ่ของเขาคือกษัตริย์แห่งอียิปต์ขุ่นเคือง 2 ฟาโรห์โกรธกริ้วพนักงานทั้งสอง คือหัวหน้าพนักงานถวายเหล้าองุ่นและหัวหน้าพนักงานทำขนมปัง 3 ท่านจึงจำคุกเขาทั้งสองไว้ที่บ้านหัวหน้าองครักษ์ เป็นคุกเดียวกับที่โยเซฟถูกขังไว้ 4 หัวหน้าองครักษ์สั่งให้โยเซฟดูแลรับใช้เขาทั้งสอง และพนักงานสองคนนี้ถูกขังไว้เป็นเวลานาน
5 อยู่มาคืนหนึ่งพนักงานถวายเหล้าองุ่นและพนักงานทำขนมปังของกษัตริย์แห่งอียิปต์ที่ถูกจำคุกฝัน ทั้งสองฝันในคืนเดียวกัน และความฝันของแต่ละคนก็มีความหมายต่างกัน 6 วันรุ่งขึ้นโยเซฟมาหาเขาทั้งสอง ก็เห็นว่าเขาดูหดหู่ 7 โยเซฟจึงถามพนักงานของฟาโรห์ที่ถูกขังด้วยกันที่บ้านนายของตนว่า “ทำไมวันนี้สีหน้าท่านจึงดูไม่ดีเลย” 8 เขาทั้งสองตอบว่า “เราสองคนฝัน แต่ไม่มีใครที่จะแก้ฝันได้” โยเซฟกล่าวว่า “พระเจ้าแก้ฝันได้มิใช่หรือ โปรดเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเถิด”
9 ดังนั้น หัวหน้าพนักงานถวายเหล้าองุ่นเล่าเรื่องที่ตนฝันให้โยเซฟฟังว่า “เราฝันว่ามีเถาองุ่นอยู่ตรงหน้าเรา 10 มี 3 กิ่งติดอยู่ที่เถา เมื่อแตกใบอ่อนแล้ว ก็ผลิดอกทันที ต่อมาก็เป็นพวงองุ่นสุก 11 เราถือถ้วยของฟาโรห์ไว้ในมือ บีบองุ่นใส่ถ้วยของฟาโรห์ และยื่นใส่มือฟาโรห์” 12 โยเซฟพูดว่า “แก้ฝันตามนี้คือ 3 กิ่งได้แก่ 3 วัน 13 ภายใน 3 วันฟาโรห์จะให้ท่านออกไปจากคุกและคืนตำแหน่งหน้าที่ให้ท่าน และท่านจะยื่นถ้วยของฟาโรห์ใส่มือให้ดังเดิม เป็นหน้าที่ถวายเหล้าองุ่นอย่างที่ท่านเคยทำแต่แรก 14 เมื่อทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีสำหรับท่านแล้ว ก็ขอให้ระลึกถึงข้าพเจ้าบ้าง ขอความกรุณาพูดถึงข้าพเจ้าให้ฟาโรห์ฟัง และพาตัวข้าพเจ้าออกไปจากบ้านนี้ด้วย 15 ข้าพเจ้าถูกลักตัวมาจากดินแดนของชาวฮีบรู แม้แต่ที่นี่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำสิ่งใดที่ควรแก่การถูกจำคุก”
16 เมื่อหัวหน้าพนักงานทำขนมปังเห็นว่าการแก้ฝันออกมาดี เขาจึงพูดกับโยเซฟว่า “เราก็ฝันด้วย มีตะกร้าขนมปัง 3 ใบบนศีรษะเรา 17 ตะกร้าที่อยู่บนสุดมีขนมปังสารพัดชนิดสำหรับฟาโรห์ แต่นกพากันจิกกินขนมปังจากตะกร้าบนศีรษะเรา” 18 โยเซฟตอบว่า “แก้ฝันตามนี้คือ ตะกร้า 3 ใบได้แก่ 3 วัน 19 ภายใน 3 วันฟาโรห์จะให้ท่านออกไปจากคุกและท่านจะถูกตัดหัว ตัวท่านจะถูกแขวนไว้ที่ต้นไม้ แล้วพวกนกจะกินเนื้อท่าน”
20 สามวันต่อมาเป็นวันเกิดฟาโรห์ ท่านจัดงานฉลองใหญ่ให้ผู้รับใช้ทั้งปวงของท่าน และให้หัวหน้าพนักงานถวายเหล้าองุ่นกับหัวหน้าพนักงานทำขนมปังออกไปจากคุก แล้วให้มาอยู่ท่ามกลางบรรดาผู้รับใช้ของท่าน 21 ท่านให้หัวหน้าพนักงานถวายเหล้าองุ่นรับตำแหน่งเดิม แล้วเขาก็ยื่นถ้วยใส่มือฟาโรห์ 22 ส่วนร่างของหัวหน้าพนักงานทำขนมปังถูกแขวนไว้ ตามที่โยเซฟได้แก้ฝันให้ทั้งสองคน 23 กระนั้นก็ตามหัวหน้าพนักงานถวายเหล้าองุ่นก็ไม่ได้ระลึกถึงโยเซฟ แล้วก็ลืมเขาไป
การหย่าร้าง
10 พระเยซูออกไปจากที่นั่นเพื่อไปยังแคว้นยูเดีย และอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน ฝูงชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์ก็เริ่มสั่งสอนพวกเขาตามปกติวิสัย
2 มีพวกฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์ว่า “ถูกต้องตามกฎหรือไม่ที่ผู้ชายจะหย่าร้างจากภรรยา” 3 พระองค์กล่าวตอบพวกเขาว่า “โมเสสสั่งท่านไว้อย่างไรเล่า” 4 พวกเขาตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนใบหย่าร้าง และให้ภรรยาไปจากเขา”
5 แต่พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เป็นเพราะความแข็งกระด้างในจิตใจของท่าน โมเสสจึงได้เขียนพระบัญญัตินี้ให้แก่ท่าน 6 แต่ในปฐมกาลของการสร้างโลก พระเจ้า ‘ได้สร้างทั้งชายและหญิง’[a] 7 ‘ด้วยเหตุนี้ ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไป [และผูกพันอยู่กับภรรยาของตน][b] 8 และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน’[c] ดังนั้นเขาไม่ใช่สองคนอีกต่อไป แต่เป็นหนึ่งเดียวกัน 9 ฉะนั้นอะไรก็ตามที่พระเจ้าได้เชื่อมสัมพันธ์กันแล้ว ก็อย่าให้ผู้ใดแยกจากกันเลย”
10 ขณะที่อยู่ในบ้าน เหล่าสาวกเริ่มซักถามพระองค์ถึงเรื่องนี้อีก 11 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ใครก็ตามที่หย่าร้างจากภรรยาของตนและไปสมรสกับหญิงอื่น นับว่าผิดประเวณีต่อภรรยาเดิม 12 และถ้านางหย่าร้างจากสามีของนางและสมรสกับชายอื่น นางก็ผิดประเวณี”
เด็กๆ มาหาพระเยซู
13 ผู้คนพาเด็กๆ มาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์สัมผัสตัว แต่เหล่าสาวกห้ามพวกเขาไว้ 14 เมื่อพระเยซูเห็นดังนั้นพระองค์ก็โกรธและกล่าวกับพวกเขาว่า “ปล่อยให้เด็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนอย่างเด็กเหล่านี้ 15 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ใครก็ตามที่ไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเช่นเดียวกับที่เด็กๆ รับ ก็จะเข้าอาณาจักรนั้นไม่ได้เลย” 16 แล้วพระองค์ก็โอบเด็กๆ ในอ้อมแขน แล้ววางมือทั้งสองของพระองค์บนตัวพวกเขา และอำนวยพรให้
เศรษฐีหนุ่ม
17 ขณะที่พระเยซูกำลังเตรียมตัวออกเดินทาง มีชายคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์และคุกเข่าลงเบื้องหน้า เขาเริ่มถามพระองค์ว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าต้องทำสิ่งใดจึงจะได้ชีวิตอันเป็นนิรันดร์” 18 พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงเรียกเราว่าประเสริฐ ไม่มีผู้ใดที่ประเสริฐ เว้นแต่พระเจ้าเพียงพระองค์เดียว 19 ท่านทราบพระบัญญัติว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าผิดประเวณี อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’”[d]
20 เขาพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว” 21 พระเยซูมองดูเขาด้วยความรักและกล่าวว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ท่านขาดคือ จงไปขายทุกสิ่งที่ท่านมี แจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ และท่านจะมีสมบัติในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” 22 เมื่อเขาได้ยินดังนั้นแล้ว ใบหน้าของเขาก็สลดลง และเดินจากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย
23 พระเยซูมองดูรอบข้างและกล่าวกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ยากเหลือเกินที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 24 เหล่าสาวกแปลกใจในคำพูดของพระองค์ แต่พระเยซูกล่าวตอบพวกเขาอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากเหลือเกินที่จะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า 25 ให้ตัวอูฐผ่านเข้ารูเข็มก็ยังจะง่ายกว่าที่คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า” 26 พวกเขาอัศจรรย์ใจมากยิ่งขึ้นและกล่าวต่อกันและกันว่า “แล้วใครเล่าที่จะมีชีวิตรอดพ้นได้” 27 พระเยซูมองดูพวกเขาและกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะช่วยตนเองให้รอดพ้น แต่พระเจ้าทำได้ เพราะไม่มีสิ่งใดยากเกินกว่าที่พระเจ้าจะทำได้” 28 เปโตรเริ่มพูดกับพระองค์ว่า “ดูเถิด พวกเราได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์มา” 29 พระเยซูกล่าวตอบว่า “เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ไม่มีผู้ที่สละบ้าน พี่น้องชายหญิง แม่ พ่อ ลูกๆ หรือไร่นาเพื่อเราและเพื่อข่าวประเสริฐ 30 แล้วจะไม่ได้รับจากพระเจ้ามากเป็น 100 เท่าทั้งในยุคปัจจุบัน (บ้าน พี่น้องชายหญิง แม่ ลูกๆ และไร่นา รวมทั้งการกดขี่ข่มเหง) และในยุคที่จะมาถึงคือชีวิตอันเป็นนิรันดร์ 31 แต่คนจำนวนมากที่เป็นคนแรกก็จะเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายก็จะเป็นคนแรก”
พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ไว้ล่วงหน้า
32 ขณะที่พระเยซูและเหล่าสาวกกำลังเดินทางขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูเดินนำหน้าพวกเขาไป และพวกเขาก็แปลกใจ คนที่ตามไปด้วยก็หวาดกลัว พระองค์พาสาวกทั้งสิบสองไปอีก เพื่อบอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์ 33 พระองค์กล่าวว่า “ดูเถิด พวกเรากำลังจะขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกมอบตัวให้แก่พวกมหาปุโรหิตและอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติ และพวกเขาจะกล่าวโทษให้ท่านถึงแก่ความตาย และจะมอบท่านให้แก่บรรดาคนนอก 34 พวกเขาจะล้อเลียนและถ่มน้ำลายรดท่าน จะโบยและประหารท่าน 3 วันหลังจากนั้นท่านจะฟื้นคืนชีวิต”
ยากอบและยอห์นขอร้องสิ่งหนึ่งจากพระเยซู
35 ฝ่ายยากอบและยอห์นบุตรทั้งสองของเศเบดีมาหาพระองค์และพูดว่า “อาจารย์ ข้าพเจ้าทั้งสองอยากให้พระองค์ช่วยทำตามสิ่งที่ขอด้วย” 36 พระองค์กล่าวกับเขาว่า “พวกเจ้าอยากให้เราทำสิ่งใดให้เล่า” 37 พวกเขาพูดว่า “ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งสองนั่งร่วมในบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ คนหนึ่งทางด้านขวา และอีกคนหนึ่งทางด้านซ้ายของพระองค์” 38 แต่พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าไม่รู้ว่ากำลังขออะไรกันอยู่ เจ้าสามารถดื่มจากถ้วยที่เราดื่มได้หรือ และจะได้รับบัพติศมาซึ่งเรารับได้หรือ” 39 เขาทั้งสองพูดกับพระองค์ว่า “พวกเราทำได้แน่” แล้วพระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “เจ้าจะดื่มจากถ้วยที่เราดื่มและเจ้าจะได้รับบัพติศมาซึ่งเราได้รับ 40 แต่จะนั่งอยู่ทางขวามือหรือทางซ้ายมือของเรา ไม่ใช่สิทธิ์ของเราที่จะให้ แต่เป็นที่สำหรับบรรดาผู้ที่พระองค์เตรียมให้ไว้”
41 เมื่อสาวก 10 คนได้ยินดังนั้นจึงโกรธยากอบและยอห์น 42 พระเยซูจึงเรียกพวกเขามาหาและกล่าวว่า “เจ้าก็รู้อยู่ว่า พวกที่อยู่ในระดับปกครองของบรรดาคนนอกมีสิทธิอำนาจเหนือพวกเขา และคนใหญ่คนโตของเขาใช้สิทธิอำนาจกับพวกเขา 43 แต่มิใช่เช่นนั้นในพวกเจ้า ใครก็ตามที่อยากจะเป็นใหญ่ในพวกเจ้าต้องเป็นผู้รับใช้ของเจ้า 44 และใครก็ตามที่อยากเป็นคนแรกในพวกเจ้า ต้องเป็นทาสรับใช้ของคนทั้งปวง 45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาเพื่อให้ผู้ใดรับใช้ แต่มาเพื่อจะรับใช้ และเพื่อมอบชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่แก่คนจำนวนมาก”
ดวงตาที่ได้คืนของชายตาบอด
46 พระเยซูและเหล่าสาวกมายังเมืองเยรีโค และขณะที่พระองค์กำลังออกจากเมืองเยรีโคกับสาวกของพระองค์และมหาชน มีขอทานตาบอดคนหนึ่งชื่อบาร์ทิเมอัสบุตรของทิเมอัส นั่งอยู่ที่ข้างถนน 47 เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธกำลังเดินผ่านมา เขาจึงร้องตะโกนขึ้นว่า “พระเยซูบุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย” 48 คนจำนวนมากห้ามเขาและบอกให้เงียบเสีย แต่เขากลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “บุตรของดาวิด โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วย” 49 พระเยซูก็หยุดเดินและกล่าวว่า “เรียกตัวเขามาที่นี่” และพวกเขาก็เรียกตัวชายตาบอดมา และพูดกับเขาว่า “ทำใจให้ดีไว้ จงลุกขึ้น พระองค์เรียกตัวเจ้าไปหา” 50 เขากระโดดขึ้นพลางทิ้งเสื้อตัวนอกไว้และไปหาพระเยซู 51 พระเยซูกล่าวตอบเขาว่า “เจ้าต้องการจะให้เราทำอะไรให้เล่า” ชายตาบอดพูดกับพระองค์ว่า “รับบี ข้าพเจ้าอยากจะมองเห็น” 52 พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “ไปตามทางของเจ้าเถิด ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรคแล้ว” และในทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้ แล้วก็ตามพระองค์ไปตามทางถนน
โยบตอบ: บ่นตามความเห็น
6 โยบตอบว่า
2 “โอ หากว่าได้ชั่งความเจ็บปวดรวดร้าวของฉัน
และแขวนความวิบัติของฉันทั้งหมดไว้บนตราชู
3 แล้วมันก็จะหนักกว่าทรายในทะเล
ฉะนั้น ฉันจึงไม่ได้ยับยั้งคำพูด
4 เพราะลูกศรขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพอยู่ในตัวฉัน
จิตวิญญาณของฉันดื่มพิษลูกศร
ความน่ากลัวจากพระเจ้าเรียงแถวเข้าต่อต้านฉัน
5 เมื่อลาป่ามีหญ้ากิน หรือโคมีฟางกิน
แล้วมันจะส่งเสียงร้องไหม
6 สิ่งที่ไม่มีรสชาติจะกินลงหรือ ถ้าไม่ใส่เกลือ
หรือไข่ขาวจะมีรสชาติอะไร
7 ฉันไม่อยากลิ้มรสของเหล่านั้น
มันทำให้ฉันสะอิดสะเอียน
8 ฉันอยากได้รับสิ่งที่ฉันขอ
และพระเจ้าจะให้ฉันสมหวัง
9 ให้พระเจ้าปราบฉันเพื่อความพอใจของพระองค์
พระองค์จะปล่อยมือของพระองค์ และฆ่าฉันเสีย
10 นี่แหละจะทำให้ฉันสบายใจ
ฉันยังจะยินดีในความเจ็บปวดอันสุดจะทน
เพราะฉันไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวขององค์ผู้บริสุทธิ์
11 พละกำลังของฉันเป็นเช่นไร ที่ทำให้ฉันควรจะทนรอต่อไปอีก
และจุดจบของฉันเป็นเช่นไรที่ทำให้ฉันควรจะอดทน
12 พละกำลังของฉันเป็นพลังดั่งหิน
หรือกายของฉันเป็นทองสัมฤทธิ์อย่างนั้นหรือ
13 ฉันจะช่วยตัวเองได้หรือ
ในเมื่อฉันหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว
14 ผู้ที่ไร้ความกรุณาต่อเพื่อนของเขา
หามีความเกรงกลัวต่อองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพไม่
15 เพื่อนๆ ของฉันเป็นเหมือนกระแสน้ำที่พึ่งพาไม่ได้
เหมือนกระแสลำธารที่พัดผ่านไป
16 ซึ่งดำมืดเพราะน้ำแข็งปกคลุม
และหิมะก็ซ่อนตัวเองไว้
17 เมื่อละลาย มันก็หายหมดไป
เมื่ออากาศร้อน มันก็หายไปจากที่ของมัน
18 กองคาราวานหันจากทิศทางที่ตนเดิน
พวกเขาขึ้นไปในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ตายไป
19 กองคาราวานจากเท-มามองหาน้ำ
พวกนักเดินทางจากเช-บามีความหวัง
20 พวกเขาอับอาย เพราะพวกเขามั่นใจ
พวกเขาไปยังที่นั่น แต่ก็ผิดหวัง
21 เพราะบัดนี้ท่านเป็นเหมือนลำธารพวกนั้น
ท่านเห็นความหายนะของฉัน แล้วท่านก็กลัว
22 ฉันพูดแล้วรึว่า ‘ช่วยฉันหน่อย’
หรือฉันพูดว่า ‘ช่วยจ่ายค่าสินบนเพื่อขอความช่วยเหลือให้แก่ฉัน’
23 หรือฉันพูดว่า ‘ช่วยฉันให้หลุดพ้นจากมือศัตรู’
หรือ ‘ไถ่ฉันจากมือของคนทารุณ’
24 สอนฉันด้วยเถิด ฉันจะได้นิ่งเงียบเสีย
ช่วยให้ฉันเข้าใจว่าฉันเดินผิดทางไปได้อย่างไร
25 คำพูดที่ซื่อตรงช่างมีพลัง
แต่คำโต้เถียงของท่านพิสูจน์อะไรได้หรือ
26 ท่านคิดว่า ท่านจะตักเตือนว่ากล่าวฉัน เมื่อท่านเห็นว่า
คนสิ้นหวังพูดลมๆ แล้งๆ อย่างนั้นหรือ
27 ท่านจับฉลากเป็นการตัดสินเลือกเด็กกำพร้าพ่อ
และท่านต่อรองซื้อขายเพื่อนของท่านเหมือนสินค้า
28 แต่บัดนี้ จงมองฉันให้ดีๆ เถิด
เพราะฉันจะไม่โกหกท่าน
29 คิดทบทวนดูเถิด ขอให้ท่านมีความยุติธรรม
คิดทบทวนบัดนี้ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด
30 มีอะไรที่อยุติธรรมในคำพูดของฉันหรือ
ฉันไม่รู้รสของความวิบัติหรอกหรือ
10 พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่ง และอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อชาวอิสราเอล คือให้พวกเขาได้รอดพ้น 2 เพราะข้าพเจ้าสามารถเป็นพยานให้พวกเขาได้ว่า เขาเอาจริงเอาจังต่อพระเจ้า แต่ความปรารถนาอันแรงกล้าของเขามิได้มีพื้นฐานอยู่บนความรู้ที่แท้จริง 3 ด้วยว่า พวกเขาขาดความรู้เรื่องความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า และพยายามก่อตั้งความชอบธรรมแบบของตนเองขึ้น พวกเขาไม่ได้ยอมอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า 4 พระคริสต์เป็นจุดจบของกฎบัญญัติ เพื่อทุกคนที่เชื่อจะได้มีความชอบธรรม
ความรอดพ้นสำหรับทุกคน
5 โมเสสเขียนไว้ว่า ความชอบธรรมที่ถือตามกฎบัญญัติคือ “คนที่ถือตามพระบัญญัติจะมีชีวิตได้โดยการปฏิบัติตามนั้น”[a] 6 แต่ความชอบธรรมที่ได้มาโดยความเชื่อกล่าวว่า “อย่านึกในใจว่า ‘ใครจะขึ้นไปสวรรค์’[b] (หมายถึงขึ้นไปเพื่อพาพระคริสต์ลงมา) 7 หรือ ‘ใครจะลงไปถึงขุมนรก’[c] (หมายถึงลงไปเพื่อพาพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย)” 8 แต่พระคัมภีร์ระบุว่าอย่างไร “คำกล่าวอยู่ใกล้ท่าน คืออยู่ในปากและในจิตใจของท่าน”[d] นั่นคือคำกล่าวแห่งความเชื่อซึ่งเรากำลังประกาศอยู่ 9 ด้วยว่าถ้าท่านยอมรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจของท่านว่า พระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว ท่านก็จะรอดพ้น 10 เพราะผลที่ได้จากการเชื่อด้วยใจคือการพ้นผิด และผลที่ได้จากการสารภาพจากปากคือความรอดพ้น 11 ตามที่พระคัมภีร์ระบุว่า “ใครก็ตามที่เชื่อพระองค์ จะไม่ได้รับความอับอาย”[e] 12 ไม่มีความแตกต่างระหว่างชาวยิวและชาวกรีก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน เป็นพระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และให้พรอย่างล้นเหลือแก่ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระองค์ 13 เพราะมีบันทึกไว้ว่า “ทุกคนที่ร้องเรียกพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจะรอดพ้น”[f]
14 ฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะร้องเรียกถึงพระองค์ได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่ได้เชื่อ และเขาจะเชื่อพระองค์ได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และเขาจะได้ยินได้อย่างไรหากไม่มีผู้ประกาศ 15 และพวกเขาจะประกาศได้อย่างไร นอกจากว่าจะมีผู้ส่งเขาไป ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “ดีเหลือเกินที่พวกเขามาพร้อมกับข่าวประเสริฐ”[g] 16 แต่ไม่ใช่ชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ยอมรับข่าวประเสริฐ เพราะอิสยาห์กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากเราแล้ว”[h] 17 ดังนั้นความเชื่อจึงมาจากการได้ยินคำประกาศ คือได้ยินเรื่องของพระคริสต์
18 แต่ข้าพเจ้าถามว่า จริงหรือที่ว่า พวกเขาไม่เคยได้ยินคำประกาศ พวกเขาได้ยินแล้วอย่างแน่นอน ด้วยว่า
“เสียงของสิ่งเหล่านั้นได้กระจายออกไปทั่วแหล่งหล้า
และคำประกาศได้แผ่กระจายไปจนสุดขอบโลก”[i]
19 ข้าพเจ้าถามอีกว่า ชนชาติของอิสราเอลไม่ทราบหรือ แรกทีเดียวโมเสสกล่าวว่า
“เราจะกระตุ้นให้พวกเจ้าอิจฉาพวกที่ไม่ใช่ประชาชาติ
เราจะทำให้พวกเจ้าโกรธด้วยประชาชาติที่ไม่มีความเข้าใจ”[j]
20 และอิสยาห์กล้ากล่าวว่า
“พวกคนที่ไม่ได้แสวงหาเราได้พบเรา
เราปรากฏแก่พวกที่ไม่ได้ถามหาเรา”[k]
21 พระเจ้าได้กล่าวถึงพวกอิสราเอลดังนี้คือ “ตลอดวันเวลาเรายื่นมือของเราให้แก่ชนชาติที่ไม่เชื่อฟังและดื้อกระด้าง”[l]
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation