Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 38

ทามาร์กับยูดาห์

38 อยู่มาครั้งหนึ่ง ยูดาห์จากพี่น้องไป ลงไปตั้งรกรากอยู่ใกล้กับชายชาวอดุลลามที่ชื่อฮีราห์ ยูดาห์เห็นบุตรหญิงของชูอาชาวคานาอันคนหนึ่งที่นั่น เขาจึงแต่งงานกับนางและได้นางเป็นภรรยา เมื่อนางตั้งครรภ์และได้บุตรชาย ยูดาห์ตั้งชื่อเขาว่า เอร์ แล้วนางตั้งครรภ์คลอดเป็นบุตรชายอีก และนางตั้งชื่อเขาว่า โอนัน ต่อมานางได้บุตรชายอีกคนหนึ่ง และตั้งชื่อเขาว่า เชลาห์ นางอยู่ที่เคซิบในช่วงที่คลอดบุตร

ต่อมายูดาห์หาภรรยาคนหนึ่งให้เอร์บุตรคนแรก นางชื่อทามาร์ แต่เอร์ชั่วร้ายในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงสังหารเขาเสีย แล้วยูดาห์พูดกับโอนันว่า “จงเข้าไปอยู่ร่วมกับภรรยาพี่ชายของเจ้า และทำหน้าที่น้องเขยให้กับนางให้มีลูกสืบเชื้อสายให้พี่ชายเจ้า”[a] แต่โอนันทราบว่าผู้สืบเชื้อสายจะไม่เป็นของตน ดังนั้นเมื่อเขาเข้าไปหาภรรยาพี่ชาย ก็ได้กำจัดน้ำกามลงบนพื้นดิน เพื่อเลี่ยงไม่ให้พี่ชายมีผู้สืบเชื้อสาย 10 สิ่งที่เขาทำเป็นที่ไม่พอใจในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทำให้เขาถึงแก่ชีวิตด้วย 11 ยูดาห์จึงบอกทามาร์บุตรสะใภ้ว่า “จงอยู่อย่างหญิงม่ายในบ้านบิดาของเจ้าไปก่อน จนกว่าเชลาห์ลูกชายของฉันโตขึ้น” เพราะยูดาห์กลัวว่าเชลาห์จะตายเหมือนกับพวกพี่ๆ ดังนั้นทามาร์จึงไปอาศัยอยู่ที่บ้านบิดาของนาง

12 วันเวลาล่วงไป ภรรยายูดาห์ คือบุตรหญิงของชูอาสิ้นชีวิต ยูดาห์ได้รับการปลอบประโลมแล้วก็ขึ้นไปหาพวกที่ตัดขนแกะของเขากับฮีราห์ชาวอดุลลามเพื่อนของตนที่ทิมนาห์ 13 มีคนบอกทามาร์ว่า “พ่อของสามีเจ้ากำลังขึ้นไปทิมนาห์เพื่อตัดขนแกะ” 14 นางจึงถอดเสื้อผ้าสำหรับหญิงม่ายที่ตนสวมอยู่ และใช้ผ้าคลุมหน้าและปกปิดร่างของนาง นางไปนั่งที่ทางเข้าไปยังเมืองเอนาอิมซึ่งเป็นทางผ่านไปทิมนาห์ เพราะนางเห็นว่าเชลาห์เติบโตขึ้นแล้ว แต่นางยังไม่ได้ถูกจัดให้แต่งงานกับเขา 15 ครั้นยูดาห์เห็นนาง เขาคิดว่านางเป็นหญิงแพศยา เพราะนางคลุมหน้าไว้ 16 เขาเข้าไปหานางที่ข้างถนน พูดกับนางว่า “มาเถิด ฉันจะไปนอนกับเจ้า” ด้วยว่าเขาไม่ทราบว่านางเป็นบุตรสะใภ้ของเขา นางถามว่า “ท่านจะข้องเกี่ยวกับฉัน แล้วท่านจะให้อะไรฉันเป็นการตอบแทน” 17 เขาตอบว่า “ฉันจะส่งลูกแพะตัวหนึ่งจากฝูงมาให้” นางพูดว่า “แล้วท่านจะให้อะไรฉันเก็บไว้ จนกว่าท่านจะส่งลูกแพะมาแลกคืน” 18 เขาถามว่า “ฉันจะต้องให้อะไรล่ะ” นางตอบว่า “ตราประทับกับสายคล้องของมัน และไม้เท้าในมือท่าน” เขาจึงให้สิ่งเหล่านั้นแก่นาง และไปนอนกับนาง นางก็ตั้งครรภ์กับเขา 19 แล้วนางก็กลับบ้านไป นางปลดผ้าคลุมหน้าออก สวมเสื้อผ้าสำหรับหญิงม่ายของนางกลับคืน

20 ฝ่ายยูดาห์ก็ส่งลูกแพะไปกับเพื่อนชาวอดุลลาม เพื่อรับของๆ ตนคืนจากหญิงคนนั้น แต่เขาหานางไม่เจอ 21 เขาถามพวกผู้ชายแถวนั้นว่า “หญิงแพศยาประจำวิหารที่อยู่ข้างทางถนนที่เอนาอิมไปไหนแล้ว” พวกเขาตอบว่า “ไม่เคยมีหญิงแพศยาประจำวิหารอยู่แถวนี้” 22 เขาจึงกลับไปหายูดาห์ และบอกเขาว่า “ฉันหานางไม่พบ และพวกผู้ชายแถวนั้นบอกว่า ‘ไม่เคยมีหญิงแพศยาประจำวิหารอยู่แถวนี้’” 23 ยูดาห์ตอบว่า “ปล่อยให้เธอเก็บของพวกนั้นไว้เอง คนจะได้ไม่หัวเราะเยาะพวกเรา ก็ดูสิ ฉันส่งลูกแพะตัวนี้ไป แต่ท่านก็หานางไม่พบ”

24 ประมาณ 3 เดือนต่อมา มีคนบอกยูดาห์ว่า “ทามาร์ลูกสะใภ้ของท่านทำตัวเป็นหญิงแพศยา และยิ่งกว่านั้น นางกำลังอุ้มท้องในสภาพของหญิงแพศยา” ยูดาห์สั่งว่า “พาตัวนางมา เผานางทั้งเป็น” 25 ขณะที่นางถูกนำตัวมา นางให้คนไปบอกพ่อสามีของนางว่า “ฉันมีครรภ์กับชายที่เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้” และนางพูดต่ออีกว่า “ดูสิว่า ท่านจำได้หรือไม่ว่าตราประทับกับสายคล้องและไม้เท้านี้เป็นของใคร” 26 ยูดาห์จำของพวกนั้นได้และพูดว่า “นางมีความชอบธรรมยิ่งกว่าฉัน เพราะว่าฉันไม่ได้ยกนางให้เชลาห์ลูกชายของฉัน” แล้วเขาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับนางอีกเลย

27 เมื่อนางครบกำหนดคลอด ก็พบว่ามีลูกแฝดอยู่ในครรภ์ 28 และเมื่อนางจวนคลอด คนหนึ่งยื่นมือมา หมอตำแยจับไว้และผูกข้อมือเขาด้วยเส้นด้ายสีแดงสด พลางพูดว่า “คนนี้เกิดก่อน” 29 แต่แล้วเขาหดมือกลับ ดูสิ และเด็กชายอีกคนก็คลอดออกมา นางจึงพูดว่า “ออกมาโดยวิธีนี้เองน่ะหรือ” ฉะนั้นเขาจึงชื่อ เปเรศ 30 หลังจากนั้นคนมีด้ายแดงที่ข้อมือก็คลอดออกมา เขาจึงชื่อ เศรัค

มาระโก 8

มหาชนกับขนมปัง 7 ก้อนและปลาตัวเล็กเพียงสองสามตัว

ในครั้งนั้น มีมหาชนที่ชุมนุมกันอีก และไม่มีสิ่งใดรับประทาน พระองค์เรียกบรรดาสาวกมาหาและกล่าวกับพวกเขาว่า “เราสงสารบรรดาฝูงชนเพราะพวกเขาอยู่กับเรามาได้ 3 วันแล้วโดยไม่มีอะไรรับประทาน ถ้าเราส่งเขากลับบ้านทั้งๆ ที่หิวโหย เขาก็จะเป็นลมระหว่างทาง บางคนก็มาจากที่ไกล” บรรดาสาวกตอบพระองค์ว่า “ทำอย่างไรจึงจะหาขนมปังพอที่จะเลี้ยงคนเหล่านี้ในที่กันดารอย่างนี้” พระองค์ถามพวกเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่ก้อน” เขาพูดว่า “7 ก้อน” ครั้นแล้วพระเยซูจึงสั่งฝูงชนให้นั่งลงบนพื้นดิน เมื่อพระองค์หยิบขนมปัง 7 ก้อนแล้วก็กล่าวขอบคุณพระเจ้า บิส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์เพื่อแจก พวกเขาจึงแจกให้แก่ฝูงชน พวกเขายังมีปลาเล็กๆ สองสามตัว พระองค์กล่าวขอบคุณพระเจ้าและให้แจกปลานั้นด้วย ผู้คนก็รับประทานกันจนอิ่มหนำ และเก็บอาหารที่เหลือได้เต็ม 7 ตะกร้าใหญ่ มีคนประมาณ 4,000 คนที่นั่น แล้วพระองค์ก็ให้พวกเขากลับบ้านไป 10 จากนั้นพระองค์ก็ลงเรือกับสาวกมาจนถึงเขตเมืองดาลมานูธา

11 พวกฟาริสีมาหาพระเยซูและเริ่มโต้เถียงกับพระองค์ อยากจะให้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์จากสวรรค์เพื่อทดสอบพระองค์ 12 พระองค์ถอนใจลึกและกล่าวว่า “ทำไมคนในช่วงกาลเวลานี้แสวงหาปรากฏการณ์อัศจรรย์ เราขอบอกความจริงกับท่านว่า คนเหล่านี้จะไม่ได้รับปรากฏการณ์อัศจรรย์” 13 พระองค์จากพวกเขาไปและลงเรือข้ามฟากไปอีก

เชื้อยีสต์ของพวกฟาริสีและเฮโรด

14 เหล่าสาวกลืมเอาขนมปังไปด้วยจึงมีติดตัวในเรือเพียงก้อนเดียว 15 พระองค์ให้คำสั่งพวกเขาว่า “จงระวังเชื้อยีสต์ของพวกฟาริสีและของเฮโรดให้ดี”[a] 16 พวกเขาเริ่มพูดกันว่า “เป็นเพราะเราไม่มีขนมปัง” 17 พระเยซูทราบดีจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงพูดกันในเรื่องที่ไม่มีขนมปัง เจ้ายังไม่เห็นและเข้าใจอีกหรือ ใจของเจ้าแข็งกระด้างใช่ไหม 18 เจ้ามีตา แต่มองไม่เห็นหรือ และเจ้ามีหู แต่ไม่ได้ยินหรือ พวกเจ้าจำไม่ได้หรือว่า 19 เมื่อเราบิขนมปัง 5 ก้อนให้คน 5,000 คน เจ้าเก็บอาหารที่เหลือได้เต็มกี่ตะกร้า” พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “12 ตะกร้า” 20 “เมื่อเราบิ 7 ก้อนให้คน 4,000 คน เจ้าเก็บอาหารที่เหลือได้เต็มกี่ตะกร้า” พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า “7 ตะกร้า” 21 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “แล้วพวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ”

พระเยซูรักษาคนตาบอด

22 แล้วพระเยซูกับพวกสาวกก็มายังเมืองเบธไซดา มีคนพาคนตาบอดผู้หนึ่งมาหาพระองค์ และขอร้องให้สัมผัสตัวเขา 23 พระองค์จับมือคนตาบอดเดินออกมาจากหมู่บ้าน และบ้วนน้ำลายใส่ตาทั้งสองของเขา วางมือทั้งสองบนตัวเขา แล้วพระองค์ถามว่า “เจ้ามองเห็นอะไรไหม” 24 เขาเงยหน้าขึ้นดูแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นคน เป็นเหมือนต้นไม้เดินอยู่” 25 แล้วพระเยซูแตะมือทั้งสองของพระองค์ที่ตาของเขา เขาเพ่งดู แล้วตาก็หายเป็นปกติ และก็เริ่มเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน 26 พระองค์ให้เขากลับบ้านไป และกล่าวว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้านเลย”

บุตรมนุษย์เป็นใคร

27 พระเยซูกับสาวกของพระองค์เดินออกไปยังหมู่บ้านแขวงซีซารียาฟีลิปปี และระหว่างทางที่ไปพระองค์ถามสาวกว่า “ผู้คนพูดกันว่าเราเป็นใคร” 28 พวกเขาตอบว่า “เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บ้างพูดว่าเป็นเอลียาห์ แต่บางคนก็ว่าเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า” 29 พระองค์ถามเขาต่อไปว่า “แต่พวกเจ้าพูดว่าเราเป็นใคร” เปโตรตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์” 30 แล้วพระองค์กำชับพวกเขาไม่ให้บอกใครๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระองค์

พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ไว้ล่วงหน้า

31 พระเยซูเริ่มสั่งสอนพวกเขาว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ และพวกผู้ใหญ่ บรรดามหาปุโรหิต และอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติจะไม่ยอมรับ และพระองค์จะถูกประหารชีวิต แต่หลังจากนั้น 3 วันก็จะฟื้นคืนชีวิตอีก 32 พระองค์กล่าวให้ฟังอย่างชัดเจน และเปโตรก็พูดทัดทานพระองค์เป็นการส่วนตัว 33 พระองค์มองดูเหล่าสาวกแล้วก็ห้ามเปโตรว่า “เจ้าซาตาน จงไปให้พ้น เพราะเจ้าไม่คิดในมุมของพระเจ้า แต่คิดจากมุมมองของมนุษย์”

34 พระเยซูเรียกฝูงชนมาร่วมกับเหล่าสาวกของพระองค์และกล่าวว่า “ถ้าใครปรารถนาที่จะตามเรามา เขาต้องไม่เห็นแก่ตนเอง และแบกไม้กางเขนของเขา และติดตามเราไป 35 เพราะใครก็ตามที่ต้องการช่วยชีวิตของตนให้รอดจะสูญเสียชีวิตนั้นไป แต่ใครก็ตามที่ยอมเสียชีวิตของเขาเพื่อเราและเพื่อข่าวประเสริฐก็จะมีชีวิตที่รอดพ้น 36 จะมีประโยชน์อันใด หากคนหนึ่งได้ทั้งโลกมาเป็นของตน แต่ต้องเสียชีวิตของเขาไป 37 คนหนึ่งสามารถเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนกับชีวิตของตนได้ 38 ใครก็ตามในช่วงกาลเวลาที่ผิดประเวณีและชั่วโฉดนี้ มีความอายเพราะเราและคำพูดของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะเขาเช่นกัน ในเวลาที่ท่านมาด้วยสง่าราศีของพระบิดาของท่าน พร้อมด้วยบรรดาทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์”

โยบ 4

เอลีฟัสพูด: คนไร้ความผิดจะรุ่งเรือง

เอลีฟัสชาวเทมานตอบว่า

“ถ้าใครสักคนจะลองพูดกับท่านสักคำ ท่านจะทนไหวหรือ
    แต่ใครจะอดพูดได้
ดูเถิด ท่านได้สั่งสอนคนหลายคน
    และท่านช่วยมือของคนอ่อนแอให้มีกำลัง
คำพูดของท่านได้เป็นกำลังใจแก่ผู้ที่กำลังสะดุด
    และท่านได้ให้พลังแก่หัวเข่าที่อ่อนล้า
แต่บัดนี้ มันมาถึงตัวท่านแล้ว และท่านก็ไร้ความอดทน
    พอมันแตะต้องท่าน ท่านก็ท้อใจ
ความยำเกรงพระเจ้าเป็นความมั่นใจของท่าน
    และความซื่อตรงในวิถีชีวิตก็เป็นความหวังของท่าน มิใช่หรือ

พิจารณาดูเถิดว่า ใครบ้างที่ไร้ความผิด แล้วพินาศดับลง
    หรือผู้มีความชอบธรรมถูกทอดทิ้งที่ใดบ้าง
ตามที่ฉันเคยเห็นมาแล้ว พวกที่ไถความผิดบาป
    และหว่านความทุกข์ยากก็จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
พวกเขาตายไปด้วยลมหายใจของพระเจ้า
    และพวกเขาดับสิ้นไปด้วยความโกรธของพระองค์ที่ระเบิดออกมา
10 เสียงคำรามของสิงโต เสียงขู่ของสิงโตดุร้าย
    ฟันของสิงโตหนุ่มถูกหัก
11 สิงโตที่แข็งแรงตายไปเพราะขาดเหยื่อ
    และลูกๆ ของแม่สิงโตก็กระจัดกระจายไป

12 มีข้อความมาถึงฉันอย่างเงียบๆ
    หูฉันได้ยินเสียงกระซิบข้อความนั้น
13 มันมาขณะที่ฉันฝันร้าย
    เวลาคนหลับสนิท
14 ฉันหวาดหวั่นและตัวสั่นเทา
    ทำให้กระดูกทุกท่อนสั่นตามไปด้วย
15 มีลมโชยผ่านใบหน้าฉัน
    ทำให้ฉันขนลุกขนพอง
16 สิ่งหนึ่งไม่ไหวติง
    แต่ฉันดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
ร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้าฉัน มีแต่ความเงียบ
    และแล้วฉันก็ได้ยินเสียง
17 ‘มนุษย์จะมีความชอบธรรม ณ เบื้องหน้าพระเจ้าได้หรือ
    มนุษย์จะบริสุทธิ์ ณ เบื้องหน้าองค์ผู้สร้างของเขาได้หรือ
18 แม้แต่บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ในสวรรค์ พระองค์ก็ยังไม่ไว้วางใจ
    แม้แต่บรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ พระองค์ก็ยังพบว่าพวกเขามีความผิด
19 แล้วบรรดาผู้พำนักในกายที่ทำขึ้นจากดิน
    ซึ่งรากฐานของเขาอยู่ในธุลีดิน
    ผู้ที่ถูกบี้อย่างแมลงเม่า
20 พวกเขาถูกฟันเป็นชิ้นๆ ตั้งแต่อรุณรุ่งจนพลบค่ำ
    พวกเขาตายไปชั่วนิรันดร์โดยไม่มีใครสังเกตเห็น
21 สมบัติที่เขายึดเหนี่ยวไว้ถูกพรากไปจากเขามิใช่หรือ
    พวกเขาตายโดยปราศจากสติปัญญามิใช่หรือ’

โรม 8

ใช้ชีวิตตามฝ่ายพระวิญญาณ

ฉะนั้น บัดนี้การกล่าวโทษจึงไม่มีแก่ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตช่วยให้ท่านมีอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย โดยผ่านพระเยซูคริสต์ สิ่งใดก็ตามที่กฎบัญญัติกระทำไม่ได้ เพราะฝ่ายเนื้อหนังทำให้กฎบัญญัติอ่อนกำลัง พระเจ้ากระทำได้โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมา มีลักษณะของมนุษย์ดั่งคนบาปทั่วไป[a] และเป็นเครื่องสักการะชดใช้บาปของเรา พระองค์จึงกล่าวโทษบาปที่ควบคุมฝ่ายเนื้อหนังของเรา เพื่อจะได้นับว่า เรากระทำตามข้อบังคับอันชอบธรรมของกฎบัญญัติอย่างบริบูรณ์ คือเราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ ด้วยว่าคนที่ใช้ชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งที่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง แต่คนที่ใช้ชีวิตตามฝ่ายพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งที่เป็นฝ่ายพระวิญญาณ ด้วยว่าการปักใจไปตามฝ่ายเนื้อหนังเป็นความตาย แต่การปักใจไปตามฝ่ายพระวิญญาณเป็นชีวิตและสันติสุข เพราะว่าการปักใจไปตามฝ่ายเนื้อหนังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่ยอมเชื่อฟังกฎบัญญัติของพระเจ้า และไม่สามารถปฏิบัติได้ด้วย คนที่ถูกควบคุมโดยฝ่ายเนื้อหนังไม่อาจเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวท่านจริงๆ แล้ว ท่านก็ไม่ใช้ชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ ส่วนผู้ใดที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ เขาก็ไม่ใช่คนของพระองค์ 10 ถ้าพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน และแม้ว่าร่างกายจะตายเพราะบาป แต่วิญญาณก็ยังมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรม 11 ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ดำรงอยู่ในตัวท่าน พระองค์ผู้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย จะให้สังขารอันไม่ยั่งยืนของท่านมีชีวิตขึ้นด้วย โดยพระวิญญาณของพระองค์ที่ดำรงอยู่ในตัวท่าน

12 ดังนั้น พี่น้องเอ๋ย เราเป็นหนี้ซึ่งไม่ใช่หนี้ฝ่ายเนื้อหนัง ที่ต้องดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนัง 13 ถ้าท่านใช้ชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณ ท่านทำลายการกระทำชั่วฝ่ายกายเสีย ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ 14 เพราะทุกคนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้านำทาง ก็ได้เป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า 15 และท่านไม่ได้รับวิญญาณแห่งทาสซึ่งนำไปสู่ความกลัวได้อีก แต่ท่านได้พระวิญญาณแห่งการได้รับการยกฐานะเป็นบุตร และเราร้องเรียกว่า “อับบา[b] พระบิดา” ได้ก็เพราะพระวิญญาณ 16 พระวิญญาณเองได้เป็นพยานต่อวิญญาณของเราว่า เราเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า 17 ถ้าเราเป็นบรรดาบุตร เราก็เป็นผู้รับมรดก คือเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเรามีส่วนร่วมในการทนทุกข์ทรมานร่วมกับพระองค์ เราจะได้มีส่วนร่วมกับพระบารมีของพระองค์ด้วย

พระบารมีที่จะปรากฏ

18 ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า การทนทุกข์ทรมานในเวลานี้ไม่สมควรจะเปรียบเทียบกับพระบารมีที่จะเผยให้เราเห็น 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นกำลังรอคอยอย่างใจจดจ่อให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 ด้วยว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น ถูกกำหนดให้อยู่ในสภาพที่ไร้ประโยชน์ มิใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องการเป็นไปตามสภาพแบบนั้น แต่เพราะพระองค์ตั้งใจให้เป็นไป โดยมีความหวังว่า 21 สรรพสิ่งเหล่านั้นเองจะได้พ้นจากการเน่าเปื่อยผุพัง และได้รับอิสระอันยิ่งใหญ่ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เราทราบว่าสรรพสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าสร้างขึ้นได้คร่ำครวญและทนต่อความเจ็บปวดอย่างหญิงคลอดลูก มาจนกระทั่งบัดนี้ 23 และไม่เพียงเท่านี้ เราเองซึ่งได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก[c] ก็ยังคร่ำครวญอยู่ในใจ เฝ้าคอยพระเจ้าเพื่อให้เราได้รับการยกฐานะเป็นบุตร คือให้ร่างกายของเราได้รับการไถ่ 24 ด้วยความหวังนี้ เราได้รับชีวิตรอดพ้น แต่ความหวังที่มองเห็นไม่ใช่ความหวัง ใครจะหวังในสิ่งที่เขาเห็น 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เราไม่เห็น เราก็จะรอด้วยความอดทน

26 ในวิธีเดียวกันคือ พระวิญญาณช่วยความอ่อนแอของเรา เพราะเราไม่ทราบว่าควรอธิษฐานอย่างไร แต่พระวิญญาณเองอธิษฐานขอให้เราด้วยการคร่ำครวญอันลึกซึ้งเกินกว่าที่จะกล่าวออกมาได้ 27 และพระองค์ผู้รู้เห็นถึงจิตใจทราบว่าพระวิญญาณคิดอย่างไร เพราะพระวิญญาณอธิษฐานขอให้บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าตามความประสงค์ของพระเจ้า 28 และเราทราบว่า พระเจ้าช่วยให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระเจ้า คือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้เรียกตามความประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทราบพวกเขาดีมาแต่แรกแล้ว พระองค์จึงได้กำหนดพวกเขาไว้ล่วงหน้า ให้เป็นไปตามคุณลักษณะของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระองค์จะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องเป็นอันมาก 30 และคนที่พระองค์กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ได้เรียกมาด้วย และคนที่พระองค์เรียกมา พระองค์ให้พ้นผิดด้วย และคนที่พระองค์ให้พ้นผิด พระองค์ให้ได้รับพระบารมีด้วย

ไม่มีสิ่งใดพรากเราไปจากความรักของพระคริสต์

31 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าเป็นฝ่ายเรา ใครจะเป็นฝ่ายค้านเรา 32 พระองค์เป็นผู้ที่ไม่ได้เว้นชีวิตพระบุตรของพระองค์เอง แต่มอบพระองค์ให้แก่เราทุกคน นอกจากพระบุตรแล้ว พระองค์จะมอบทุกสิ่งให้แก่เราโดยไม่มีข้อผูกพันมิใช่หรือ 33 ใครจะฟ้องร้องผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ได้ พระเจ้าผู้เดียวที่ให้เราพ้นผิดได้ 34 ใครเป็นคนกล่าวโทษเรา ไม่มีผู้ใด พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ได้เสียชีวิตให้แล้ว ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิต และพระองค์สถิต ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และกำลังอธิษฐานขอให้พวกเรา 35 ใครจะแยกเราออกจากความรักของพระคริสต์ได้ จะเป็นความทุกข์ยากลำบากหรือ ความเจ็บปวดรวดร้าวและการกดขี่ข่มเหงหรือ การอดอยากและขาดเครื่องนุ่งห่มหรือ ภัยอันตรายและการฆ่าฟันให้ตายหรือ 36 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า

“พวกเราเผชิญความตายเพื่อพระองค์ทุกวันเวลา
    พวกเราถูกนับว่าเป็นดั่งแกะสำหรับการประหาร”[d]

37 แต่เรามีชัยเหนือสิ่งเหล่านี้โดยบริบูรณ์ก็เพราะพระองค์ผู้รักเรา 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งแล้วว่า แม้ความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือมาร ปัจจุบันกาลหรืออนาคตกาล อานุภาพใดๆ ก็ตาม 39 เบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น ก็ไม่สามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าได้ คือความรักที่พระองค์แสดงให้เห็นในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation