M’Cheyne Bible Reading Plan
หมายสำคัญของโมเสส
4 โมเสสจึงตอบว่า “แต่พวกเขาจะไม่เชื่อข้าพเจ้าและไม่ฟังเสียงข้าพเจ้าหรอก เพราะเขาจะพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ปรากฏแก่ท่าน’” 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ที่อยู่ในมือเจ้าคืออะไร” ท่านตอบว่า “ไม้เท้า” 3 พระองค์กล่าวว่า “โยนมันลงที่พื้น” โมเสสก็โยนมันลงที่พื้น แล้วไม้เท้าก็กลายเป็นงู ท่านเดินหนีงูไป 4 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงยื่นมือเจ้าออกมาจับหางงูเถิด” ท่านจึงยื่นมือออกไปจับ แล้วงูก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในอุ้งมือท่าน 5 “จงทำตามนี้ แล้วพวกเขาจะเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบได้ปรากฏแก่เจ้า” 6 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านอีกว่า “จงสอดมือเจ้าไว้ที่อก” ท่านก็ทำตาม เมื่อท่านชักมือออก ดูเถิด มือของท่านก็เป็นโรคเรื้อน ขาวราวหิมะ 7 แล้วพระองค์กล่าวว่า “สอดมือเจ้ากลับไปที่อก” ท่านก็ทำตาม เมื่อท่านชักมือออก ดูเถิด ผิวหนังก็ดีดังเดิม มือก็กลับสู่สภาพเดิม 8 พระเจ้ากล่าวว่า “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อเจ้า หรือไม่เชื่อปรากฏการณ์อัศจรรย์ครั้งแรก เขาจะเชื่อปรากฏการณ์อัศจรรย์ครั้งที่สอง 9 ถ้าพวกเขายังจะไม่เชื่อแม้แต่ปรากฏการณ์อัศจรรย์ทั้งสองนี้ และไม่ฟังเสียงเจ้าแล้ว เจ้าจงตักน้ำจากแม่น้ำไนล์มาเทลงบนดินแห้ง และน้ำที่เจ้าตักมานั้นจะกลายเป็นเลือดบนดินแห้ง”
10 แต่โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่ใช่คนมีโวหารดีทั้งในอดีตหรือแม้แต่หลังจากที่พระองค์พูดกับผู้รับใช้ของพระองค์แล้วก็ตาม ข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง และลิ้นก็ไม่คล่อง” 11 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า “ใครสร้างปากให้มนุษย์ ใครทำให้เขาเป็นใบ้หรือหูหนวก มองเห็นหรือตาบอด ไม่ใช่เราซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ 12 จงไปเดี๋ยวนี้ เราจะอยู่กับปากเจ้า และจะสอนว่าเจ้าจะต้องพูดอะไรบ้าง” 13 แต่ท่านพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดใช้คนอื่นไปเถิด” 14 พระผู้เป็นเจ้าจึงกริ้วโมเสสมาก พระองค์กล่าวว่า “อาโรนชาวเลวีเป็นพี่ชายเจ้ามิใช่หรือ เรารู้ว่าเขาพูดเก่ง ดูสิ เขากำลังออกมาหาเจ้า เมื่อเขาเห็นเจ้า เขาจะยินดีมาก 15 เจ้าพูดกับเขาได้ และบอกว่าเขาควรจะพูดอะไร เราจะอยู่กับปากเจ้าและปากเขา และจะสอนเจ้าว่า เจ้าควรจะทำอะไร 16 เขาจะเป็นคนที่พูดกับประชาชนให้เจ้าเอง และเขาจะเป็นปากให้เจ้า และเจ้าจะเป็นเสมือนพระเจ้าให้กับเขา 17 และเจ้าจะถือไม้เท้านี้ไว้ในมือของเจ้า เพื่อใช้สำหรับแสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ”
โมเสสกลับไปยังประเทศอียิปต์
18 โมเสสกลับไปหาเยโธรพ่อตาของตน และพูดว่า “โปรดให้ข้าพเจ้ากลับไปหาพี่น้องข้าพเจ้าในอียิปต์เถิด เพื่อดูว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เยโธรตอบว่า “จงไปด้วยสันติสุขเถิด” 19 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสที่มีเดียนว่า “จงกลับไปอียิปต์ เพราะทุกคนที่ต้องการฆ่าเจ้านั้นตายหมดแล้ว” 20 ดังนั้นโมเสสจึงพาภรรยาและบุตรของท่านไป ให้นั่งบนหลังลาและกลับไปยังดินแดนของอียิปต์ และโมเสสถือไม้เท้าของพระเจ้าไว้ในมือ
21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปอียิปต์ ต้องแน่ใจด้วยว่า เจ้าจะแสดงสิ่งมหัศจรรย์ทุกอย่างที่เรามอบให้อยู่ในอำนาจของเจ้าต่อหน้าฟาโรห์ แต่เราก็จะทำให้ใจของเขาแข็งกระด้าง และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ชาวอิสราเอลไป 22 แล้วเจ้าจงพูดกับฟาโรห์ว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า อิสราเอลเป็นบุตรหัวปีของเรา 23 และเราขอบอกเจ้าว่า “ปล่อยให้บุตรของเราไป เขาจะได้นมัสการเรา” แต่เจ้าปฏิเสธไม่ยอมให้เขาไป ดูเถิด เราจะฆ่าบุตรหัวปีของเจ้า’”
24 ณ ที่พักแห่งหนึ่งระหว่างทาง พระผู้เป็นเจ้าประจันหน้ากับโมเสส และพยายามทำให้โมเสสถึงแก่ชีวิต 25 ศิปโปราห์จึงคว้าหินคม นางตัดผิวหนังที่ปลายองคชาตบุตรของนาง แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสส นางพูดว่า “เพราะท่านเป็นเจ้าบ่าวที่เปื้อนเลือดของฉัน” 26 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าปล่อยโมเสสไป ในเวลานั้นนางพูดว่า “เจ้าบ่าวที่เปื้อนเลือด” อันเป็นการอ้างถึงการเข้าสุหนัต
27 ครั้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับอาโรนว่า “จงไปหาโมเสสในถิ่นทุรกันดาร” อาโรนจึงไปพบกับโมเสสที่ภูเขาของพระเจ้า และจูบแก้มทักทายท่าน 28 โมเสสบอกให้อาโรนฟังถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ และปรากฏการณ์อัศจรรย์ทั้งหมดที่พระองค์สั่งให้ทำ 29 โมเสสกับอาโรนจึงจัดประชุมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล 30 แล้วอาโรนก็กล่าวถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้บอกโมเสส และท่านได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ต่างๆ ต่อหน้าประชาชน 31 พวกประชาชนก็เชื่อ และเมื่อพวกเขาทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏพระองค์แก่ชาวอิสราเอล และได้เห็นความทุกข์ยากของพวกเขาแล้ว เขาก็พากันก้มศีรษะและกราบนมัสการพระองค์
ด้วยความเชื่อสูงส่ง
7 เมื่อพระเยซูได้กล่าวให้ฝูงชนฟังจบแล้ว ก็เข้าไปยังเมืองคาเปอร์นาอุม 2 มีผู้รับใช้ของนายร้อยโรมันคนหนึ่งกำลังป่วยใกล้สิ้นลม นายเห็นคุณค่าในตัวเขามาก 3 นายร้อยผู้นี้เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู จึงให้ผู้ใหญ่บางคนของชาวยิวไปหาพระองค์เพื่อขอให้มารักษาผู้รับใช้คนนั้น 4 เมื่อคนเหล่านั้นมาพบพระเยซู ก็อ้อนวอนพระองค์ว่า “นายร้อยผู้นี้สมควรจะได้รับความช่วยเหลือจากพระองค์ 5 เพราะว่าเขารักชาติของเรา และได้สร้างศาลาที่ประชุมให้พวกเรา” 6 พระเยซูจึงไปกับพวกเขา เมื่อใกล้จะถึงบ้านแล้ว นายร้อยก็ได้ขอให้เพื่อนๆ มาบอกพระเยซูว่า “พระองค์ท่าน อย่าลำบากเลย เพราะว่าไม่สมควรให้พระองค์เข้ามาใต้หลังคาบ้านของข้าพเจ้า 7 ฉะนั้นข้าพเจ้ามิบังควรที่จะมาพบพระองค์เช่นกัน เพียงแต่พระองค์พูด ผู้รับใช้ก็จะหายจากโรค 8 สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็เป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา มีทหารในบังคับด้วย ข้าพเจ้าบอกคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป และคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าบอกทาสรับใช้ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”
9 เมื่อพระเยซูได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็ประหลาดใจ และหันไปกล่าวกับหมู่คนที่เดินตามมาว่า “เราขอบอกท่านว่า เราไม่เคยเห็นความเชื่อมากเท่านี้แม้แต่ในประเทศอิสราเอล” 10 เมื่อคนเหล่านั้นกลับไปก็พบว่าผู้รับใช้คนนั้นได้หายเป็นปกติแล้ว
ลูกชายของหญิงม่ายฟื้นจากความตาย
11 ไม่นานหลังจากนั้นพระเยซูก็ไปยังเมืองนาอิน พวกสาวกของพระองค์และผู้คนจำนวนมากติดตามไปด้วย 12 ขณะที่พระองค์เข้าไปใกล้ประตูเมือง ก็สวนทางกับขบวนแห่ศพซึ่งมีคนแห่ร่วมมา ผู้ตายเป็นลูกชายคนเดียวของหญิงม่าย 13 เมื่อพระเยซูเจ้าเห็นหญิงม่าย ก็เกิดความสงสารจึงกล่าวว่า “อย่าร้องไห้เลย” 14 พระองค์เดินเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมไปแตะศพ พวกหามศพก็ยืนนิ่งอยู่ พระองค์กล่าวว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เราขอบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” 15 คนตายก็ลุกขึ้นนั่งและพูดได้ พระเยซูจึงมอบชายหนุ่มคืนให้แม่ของเขา 16 เขาทั้งหลายรู้สึกกลัวและสรรเสริญพระเจ้า พูดกันว่า “ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ปรากฏท่ามกลางเรา พระเจ้าได้มาช่วยชนชาติของพระองค์แล้ว” 17 เรื่องราวของพระเยซูได้เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดียและเขตใกล้เคียง
คำถามของยอห์นถึงพระเยซู
18 สาวกของยอห์นได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ยอห์นฟัง ท่านจึงเรียกสาวก 2 คนมา 19 และส่งเขาทั้งสองไปถามพระเยซูเจ้าว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้น หรือว่าพวกเราควรจะรอคอยผู้อื่นต่อไป” 20 เมื่อสาวกทั้งสองมาพบพระเยซูก็พูดว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาให้พวกเรามาถามท่านว่า ‘ท่านคือผู้ที่จะมานั้น หรือว่าพวกเราควรจะรอคอยผู้อื่นต่อไป’” 21 ขณะนั้นพระเยซูกำลังรักษาผู้คนจำนวนมากให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จากวิญญาณร้ายต่างๆ และให้คนตาบอดมองเห็น 22 พระองค์ตอบผู้ส่งข่าวทั้งสองว่า “จงกลับไปรายงานยอห์นถึงสิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยิน คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายขาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายฟื้นคืนชีวิต และข่าวประเสริฐถูกประกาศให้กับคนยากไร้ 23 ผู้ใดที่ยังคงความเชื่อในเรา ผู้นั้นย่อมเป็นสุข”
24 หลังจากผู้สื่อข่าวของยอห์นจากไปแล้ว พระเยซูเริ่มกล่าวกับฝูงชนถึงยอห์นว่า “พวกท่านออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ต้นอ้อที่ถูกลมพัดหรือ 25 ถ้าไม่ใช่ แล้วท่านออกไปเพื่อดูอะไร ไปดูชายที่สวมเสื้อผ้าเนื้อนุ่มหรือ เปล่าเลย ผู้สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงและเพลิดเพลินในสิ่งหรูหราย่อมอยู่ในวัง 26 แต่ท่านออกไปเพื่อดูอะไรเล่า ไปดูผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหรือ ใช่แล้ว เราขอบอกท่านว่า เขาเหนือกว่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเสียอีก 27 มีคำที่กล่าวถึงผู้นี้ไว้ว่า
‘ดูเถิด เราจะใช้ผู้ส่งข่าวของเราล่วงหน้าเจ้าไป
เพื่อเตรียมทางของเจ้าล่วงหน้า’[a]
28 เราขอบอกท่านว่า ในบรรดาผู้เกิดจากครรภ์มารดา ไม่มีผู้ใดที่จะยิ่งใหญ่เหนือยอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้ากลับยิ่งใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก” 29 เมื่อฝูงชนทั้งปวงหรือแม้แต่พวกคนเก็บภาษีได้ยินคำกล่าวของพระเยซู ต่างก็รับว่าวิถีทางของพระเจ้าเป็นทางที่ถูกต้อง เพราะว่าเขาเหล่านั้นได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว 30 แต่พวกฟาริสีและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายกฎบัญญัติปฏิเสธความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกเขาเอง เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น
31 “เราเปรียบเทียบคนในช่วงกาลเวลานี้กับอะไรดี พวกเขาเป็นอย่างไร 32 พวกเขาเหมือนกับเด็กๆ ที่นั่งในย่านตลาดและร้องต่อกันและกันว่า
‘พวกเราเป่าขลุ่ยให้เธอ
แต่เธอกลับไม่เต้นรำ
เมื่อพวกเราได้ร้องเพลงเศร้า
เธอก็ไม่ร้องร่ำไห้’
33 เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่กินขนมปังและไม่ดื่มเหล้าองุ่น พวกท่านก็พูดว่า ‘เขามีมารสิงอยู่’ 34 บุตรมนุษย์ได้มาแล้ว ทั้งกินและดื่ม พวกท่านก็พูดว่า ‘ดูเขาซิ เป็นทั้งคนตะกละและขี้เมา เพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป’ 35 แต่ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ารับว่าพระปัญญาเป็นทางที่ถูกต้อง”
น้ำมันหอมชโลมเท้า
36 ฟาริสีคนหนึ่งได้เชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารกับเขา เมื่อพระองค์ไปถึงบ้านเขาแล้วก็เอนกายลงรับประทาน 37 หญิงคนบาปคนหนึ่งในเมืองนั้นรู้ว่าพระเยซูกำลังรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านของฟาริสี นางจึงเอาผอบหินซึ่งบรรจุด้วยน้ำมันหอมมา 38 ขณะที่นางยืนอยู่เบื้องหลังพระองค์ พลางร้องไห้อยู่ที่แทบเท้า น้ำตาก็ไหลลงเปียกเท้าของพระองค์ แล้วนางใช้ผมของตนเช็ดเท้า ครั้นแล้วก็จูบและเทน้ำมันหอมชโลมบนเท้าของพระเยซู 39 เมื่อฟาริสีผู้เป็นเจ้าบ้านเห็นดังนั้นก็รำพึงกับตนเองว่า “ถ้าชายคนนี้เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว เขาจะรู้ว่าหญิงผู้กำลังจับต้องตัวเขาเป็นคนบาป” 40 พระเยซูตอบเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรบางสิ่งจะบอกท่าน” ซีโมนพูดว่า “เชิญบอกข้าพเจ้าเถิดอาจารย์”
41 “มีชายลูกหนี้ 2 คน คนหนึ่งเป็นหนี้ 500 เหรียญเดนาริอัน[b] และอีกคนเป็นหนี้ 50 42 ทั้งสองไม่มีเงินจ่ายคืนเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ก็ยกหนี้ให้แก่เขาทั้งสอง แล้วคนใดจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน” 43 ซีโมนตอบว่า “คงจะเป็นคนที่ได้รับการยกหนี้จำนวนมากกว่า” พระเยซูกล่าวว่า “ท่านได้ตัดสินถูกต้องแล้ว” 44 แล้วพระองค์หันไปทางหญิงคนนั้นพลางกล่าวกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้ไหม เราเข้ามาในบ้านของท่าน และท่านไม่ได้ให้น้ำล้างเท้าเรา แต่นางล้างเท้าเราด้วยน้ำตา เช็ดด้วยผมของนาง 45 ท่านไม่ได้จูบแก้มเรา[c] หญิงคนนี้ยังไม่ได้หยุดจูบเท้าเรานับตั้งแต่เวลาที่เราได้เข้ามา 46 ท่านไม่ได้ใส่น้ำมันบนผมเรา แต่นางเทน้ำมันหอมลงบนเท้าเรา[d] 47 ฉะนั้นเราขอประกาศว่าบาปต่างๆ ของนางได้รับการยกโทษแล้ว เพราะว่านางมีความรักมากมาย และคนที่ได้รับการยกโทษเพียงเล็กน้อยก็มีความรักน้อย” 48 แล้วพระเยซูกล่าวกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการยกโทษแล้ว” 49 แขกผู้ร่วมงานอื่นๆ ก็เริ่มคุยกันว่า “คนนี้เป็นใคร แม้แต่บาปก็ยกโทษให้ได้” 50 พระเยซูกล่าวกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอดพ้นแล้ว จงไปอย่างสันติสุขเถิด”
โยบตอบ: คนชั่วร้ายรุ่งเรือง
21 โยบจึงตอบว่า
2 “ฟังคำของฉันต่อไปเถิด
เพื่อเป็นการปลอบประโลมฉัน
3 ช่วยทนอีกสักหน่อย ขอให้ฉันได้พูด
หลังจากที่ฉันพูดแล้ว เชิญท่านเย้ยหยันต่อไป
4 ฉันบ่นต่อว่ามนุษย์อย่างนั้นหรือ
ทำไมฉันจึงต้องมาอดทน
5 ดูฉันสิ ท่านแปลกใจไหมล่ะ
และยกมือปิดปากท่านเอง
6 เมื่อฉันนึกถึงว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
ฉันก็กลัวจนตัวสั่น
7 ทำไมคนชั่วร้ายจึงมีชีวิตอยู่
มีอายุยืนจนแก่เฒ่า และร่ำรวยยิ่งๆ ขึ้น
8 พวกเขามีลูกหลานให้ชื่นชม
และมีชีวิตอยู่ดูผู้สืบเชื้อสายของเขา
9 บ้านเรือนของเขาปลอดภัย ปราศจากความกลัว
และพระเจ้าไม่ลงโทษพวกเขา
10 โคของเขาผสมพันธุ์โดยไม่พลาด
แม่โคมีลูกได้โดยไม่แท้ง
11 พวกเขาให้ลูกๆ ออกไปวิ่งเล่นได้อย่างฝูงแกะ
และลูกๆ ของเขาเต้นรำทำเพลง
12 พวกเขาร้องเพลงประสานกับรำมะนาและพิณเล็ก
และร่าเริงกับเสียงปี่
13 พวกเขาใช้ชีวิตในความเจริญรุ่งเรือง
และพวกเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสงบ
14 พวกเขาพูดกับพระเจ้าว่า ‘อย่ามายุ่งกับพวกเรา
เราไม่ต้องการรู้จักวิถีทางของพระองค์
15 องค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพเป็นผู้ใดที่เราควรจะรับใช้พระองค์
และถ้าเราอธิษฐานต่อพระองค์ เราจะได้ประโยชน์อะไร’
16 ดูเถิด ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขาไม่ได้อยู่ในมือของเขาหรือ
ฉันอยู่ห่างจากคำแนะนำของคนชั่ว
17 บ่อยแค่ไหนที่ตะเกียงของคนชั่วร้ายถูกดับ
ที่ความวิบัติตกอยู่กับพวกเขา
ที่พระองค์แจกจ่ายความเจ็บปวดเมื่อพระองค์กริ้ว
18 บ่อยแค่ไหนที่พวกเขาเป็นเหมือนฟางที่ลมพัดไป
และเหมือนแกลบที่ถูกลมพายุพัดปลิวไป
19 ท่านพูดว่า ‘พระเจ้าสะสมความชั่วของพวกเขาไว้ให้ลูกๆ ของเขา’
ขอพระองค์สนองตอบพวกเขาเถิด เขาจะได้รู้รส
20 ขอให้นัยน์ตาของพวกเขาเห็นความหายนะของเขาเอง
และให้พวกเขาดื่มการลงโทษขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ
21 พวกเขาจะห่วงใยอะไรในครอบครัวของตน
เมื่อวันเวลาของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้ว
22 จะมีใครสอนเรื่องความรู้แก่พระเจ้าบ้าง
เมื่อเห็นแล้วว่าพระองค์ตัดสินบรรดาผู้ที่อยู่สูง
23 คนหนึ่งตายขณะร่างกายยังแข็งแรง
ไร้ความกังวลและความกลัว
24 เขามีกินอย่างอุดมสมบูรณ์
และผิวก็ผุดผ่องดั่งคนวัยหนุ่มสาว
25 ส่วนอีกคนตายในความขมขื่นของจิตวิญญาณ
ไม่เคยได้ลิ้มรสความเจริญรุ่งเรือง
26 พวกเขานอนลงในฝุ่นเหมือนกัน
และตัวหนอนก็กินร่างของเขาทั้งสอง
27 ดูเถิด ฉันรู้ความคิดของพวกท่าน
และมีแผนการจะทำร้ายฉัน
28 เพราะท่านพูดว่า ‘บ้านของผู้บีบบังคับอยู่ที่ไหน
กระโจมซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของคนชั่วอยู่ที่ไหน’
29 ท่านไม่เคยถามพวกคนเดินทาง
และท่านไม่เชื่อเรื่องที่เขาเล่าหรือ
30 ว่าคนชั่วรอดตายในวันแห่งความวิบัติ
ว่าเขาพ้นจากวันแห่งความโกรธเกรี้ยว
31 ใครบ้างประณามคนชั่วซึ่งๆ หน้าเขา
และใครสนองตอบเขาตามที่เขาได้ทำ
32 เมื่อเขาถูกหามไปยังหลุมศพ
ก็มีคนเฝ้าถ้ำเก็บศพของเขา
33 ก้อนดินในหุบเขาก็ยังนิ่มสำหรับเขา
ผู้คนทั้งปวงเดินตามศพเขาไป
และพวกที่เดินนำหน้าไปก็นับไม่ถ้วน
34 แล้วท่านจะปลอบประโลมฉันด้วยคำพูดที่ไร้สาระได้อย่างไร
คำตอบของท่านไม่มีอะไรนอกจากความจอมปลอม”
อาหารที่บูชาแก่รูปเคารพ
8 ส่วนเรื่องอาหารที่บูชาแก่รูปเคารพนั้นเราทราบว่า “พวกเราทุกคนต่างก็มีความรู้” และความรู้ทำให้ลำพองตัว แต่ความรักเสริมสร้างขึ้น 2 คนที่คิดว่าตนรู้ ก็ถือว่ายังไม่รู้เท่าที่ควร 3 แต่ถ้าผู้ใดรักพระเจ้า เขาก็เป็นที่รู้จักของพระองค์
4 เรื่องการรับประทานอาหารที่บูชาแก่รูปเคารพแล้ว เราทราบว่ารูปเคารพไม่มีความหมายในโลก และมีพระเจ้าแท้เพียงองค์เดียวเท่านั้น 5 บางคนพูดว่ามีบรรดาเทพเจ้ามากทั้งในสวรรค์และโลก ก็จริงอยู่คือแม้จะมี “บรรดาเทพเจ้า” และ “บรรดาเจ้าฝ่ายวิญญาณ” อยู่มากก็ตาม 6 แต่สำหรับเราแล้ว มีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา ทุกสิ่งล้วนมาจากพระองค์ และเรามีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ ทุกสิ่งมีมาได้ และเราเป็นอยู่ได้โดยผ่านพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวคือพระเยซูคริสต์
7 มิใช่ว่าทุกคนจะทราบในเรื่องนี้ บางคนยังชินอยู่กับรูปเคารพจนกระทั่งบัดนี้ เวลาพวกเขารับประทานอาหารก็คิดว่าได้บูชาแก่รูปเคารพแล้ว และมโนธรรมของพวกเขาอ่อนแอจึงเป็นมลทิน 8 แต่อาหารไม่ได้นำเราเข้าถึงพระเจ้า เราจะรับประทานหรือไม่ ก็ไม่ทำให้เราดีขึ้นหรือแย่ลง 9 แต่จงระวังว่า ความมีอิสระของท่านจะไม่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้อ่อนแอสะดุดใจ 10 เพราะถ้าคนมีมโนธรรมอ่อนแอเห็นท่าน ซึ่งเป็นผู้รู้ในเรื่องนี้ กำลังรับประทานอาหารในวิหารที่มีรูปเคารพ จะไม่ทำให้เป็นแรงกระตุ้นให้เขาอยากรับประทานอาหารที่ได้บูชาแก่รูปเคารพแล้วหรือ 11 พระคริสต์สิ้นชีวิตเพื่อพี่น้องที่จิตใจอ่อนแอคนนี้ แต่เพราะความรู้ของท่าน เขาจึงพินาศไป 12 แต่เมื่อท่านกระทำบาปต่อพี่น้อง และทำร้ายมโนธรรมที่อ่อนแอของเขา ท่านก็ได้กระทำบาปต่อพระคริสต์แล้ว 13 ฉะนั้นถ้าสิ่งที่ข้าพเจ้ารับประทานเป็นเหตุให้พี่น้องสะดุดใจ ข้าพเจ้าก็จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์อีกเลย เพื่อจะได้ไม่เป็นเหตุให้พี่น้องสะดุดใจ
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation